Home / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / กลับสู่จุดเริ่มต้น 2

Share

กลับสู่จุดเริ่มต้น 2

last update Last Updated: 2024-12-25 19:24:44

ช่วงนี้แคว้นหลิวอวิ๋นมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย

เรื่องสนุกปากในโรงเตี๊ยมและตามตรอกซอกซอยมีเพิ่มขึ้นทุกวัน เรื่องเล่าที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดคงหนีไม่พ้นเรื่องคู่หมั้นขยะขององค์ชายรองผู้เป็นเลิศในทุกด้าน ได้รับความนิยมจนโรงละครนำมาทำเป็นเรื่องเล่าหลายต่อหลายบท เหตุการณ์สำคัญในเรื่องพูดถึงความอาภัพอับโชคขององค์ชายรอง หน้าตาอัปลักษณ์ของคู่หมั้น รวมไปถึงเสนาบดีหลี่ใช้อำนาจบาตรใหญ่บังคับเหล่าองค์ชายแต่งงานกับหลานสาวอันเป็นที่รัก ฮ่องเต้เห็นแก่คุณงามความดีของเจ้าเมืองหลี่จึงได้ยกองค์ชายรองให้หมั้นหมายกับบุตรสาวตระกูลหลี่ ที่ได้ชื่อว่าตัวไร้ค่า

ชาวบ้านต่างพากันเห็นใจสงสารองค์ชายรอง สาปแช่งก่นด่าหลี่หลิงเฟิ่งและเจ้าเมืองหลี่

เรื่องราวอัปยศอดสูทำเอาเจ้าเมืองหลี่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด ขุนนางทั้งหลายพากันประณามเขา ฎีกาหลายฉบับส่งตรงไปหาฮ่องเต้ให้ยุติการหมั้นหมายนี้ลง ตัวเขาเองที่เป็นบิดาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ไหนเลยจะมีใครคิด ไม่เพียงฮ่องเต้ไม่เอ่ยปากทัดทาน หากแต่ทรงกริ้วเหล่าขุนนางที่ร้องเรียนหน้าท้องพระโรง ออกว่าราชการยังไม่เสร็จก็สะบัดแขนเสื้อจากไป

ชายวัยกลางคนรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนใบ้ที่กินหวงเหลียน* เขาน่ะหรืออยากให้ตัวไร้ค่าอย่างนางลูกไม่รักดีแต่งเข้าราชวงศ์ ตัวไร้ค่าอย่างนางแค่พูดถึงก็ให้สะอิดสะเอียนเต็มที แค่นางอยู่ในตระกูลของเขาก็ทำให้วงศ์ตระกูลแปดเปื้อนไม่รู้เท่าไหร่ ถูกขับไล่ออกไปไกลๆ ตา ให้ผู้คนลืมเลือนเป็นเรื่องดีที่สุดแล้ว

แรกเริ่มก็เป็นเพราะพระประสงค์วัยเยาว์ขององค์ชายรองที่มาขอหมั้นหมายหลี่หลิงเฟิ่ง ไม่อย่างนั้นด้วยฐานะต่ำต้อยของนางน่ะหรือจะมีวาสนาได้เป็นถึงว่าที่พระชายาแห่งแว่นแคว้น

ทว่า ฮ่องเต้กลับส่งสารให้หลี่หลิงเฟิ่งเข้าเฝ้า พร้อมทั้งให้นางเข้าเรียนในสำนักศึกษาหลวงกับองค์ชายรองเพื่อกระชับความสัมพันธ์

นี่มันเรื่องบ้าอันใด เป็นที่รู้กันไปทั่วว่าลูกสาวคนนี้ของเขาไม่เป็นแม้กระทั่งพลังยุทธ์ แล้วจะให้นางเข้าร่ำเรียนอย่างไร ฮ่องเต้ว่างเกินไปจึงหาเรื่องมาทำให้ทั้งราชวงศ์และตระกูลหลี่อับอายขายหน้าเช่นนั้นหรือ

หลี่จ้งใช้เวลาเพียงสามวันเดินทางกลับบ้าน เมื่อกลับถึงจวนเรื่องแรกที่เขาสั่งการคือให้คนไปรับตัวหลี่หลิงเฟิ่ง แต่เขากลับไม่คาดคิดเลยว่าน้องชายและคนของภรรยาจะล่วงหน้าไปก่อนแล้ว และได้ทำเรื่องให้บานปลายเข้าไปใหญ่

คืนนั้นจวนตระกูลหลี่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลี่จ้งโมโหไม่ยอมร่วมหลับนอนกับภรรยาเอก ขลุกตัวอยู่แต่ในห้องหนังสือทั้งคืน ดรุณีน้อยเยาว์วัยอาภรสีขาวนางหนึ่งทักท้วงออกมาอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ ไยจึงต้องรีบรับนางกลับมากันเล่า”

โจวชิงหรานมองหลี่หรูอี้ บุตรสาวอันเป็นที่รัก มือที่แอบไว้ในชายแขนเสื้อสั่นระริก สายตารักใคร่ที่มักจะปรากฏในช่วงเวลาปกติพลันแผ่กลิ่นอายเย็นชาขึ้น ตวัดมองบุตรสาวอย่างไม่พอใจ “หลี่เฟยหยางไปตามนางร่วมเดือนแล้วยังไม่มีข่าวสารอันใดให้เห็น ไม่รู้ว่าสองคนนั้นรวมหัวคิดจะทำอันใดกันอยู่ ลากตัวเด็กเวรนั่นกลับมาก่อนพิธีปักปิ่น เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว”

หากพวกนั้นต้องการหลีกเลี่ยงการทำพิธีแล้วใส่ไคล้ขึ้นมา นางไม่ต้องแบกรับข้อครหาว่าเป็นแม่เลี้ยงใจทรามหรอกรึ อีกอย่าง หากสามารถควบคุมเด็กนั่นให้อยู่ในกำมือเสียแต่เนิ่นๆ ถึงจะเป็นการดีต่อพวกนางแม่ลูก

“ตัวไร้ค่า ไร้ยางอายอย่างหลี่หลิงเฟิ่งมีอะไรดี ทำไมถึงถูกใจองค์ชายรองได้” หลี่หรูอี้ส่งเสียงฮึดฮัด นางไม่ยอมขยะอย่างหลี่หลิงเฟิ่งถือดีอย่างไรมาเทียบเคียงองค์ชายรอง

“อี้อี้!” โจวชิงหรานเอ่ยปราม “ระวังคำพูดด้วย อย่าให้ท่านพ่อของเจ้าได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกจากปากเจ้าเป็นอันขาด”

หลี่หรูอี้ตัดพ้ออย่างไม่ยินยอม “ท่านพ่อได้ยินแล้วอย่างไร คนทั้งแคว้นต่างก็รู้ว่านางเป็นตัวไร้ค่าของตระกูล เพราะนาง ทำให้บรรดาพี่หญิงน้องหญิงตระกูลอื่นดูถูกพวกเราตระกูลหลี่ ไล่นางออกไปให้พ้นๆ ก็ดีอยู่แล้ว นี่มันอะไรกัน อยู่ดีๆ ถึงอยากรับนางกลับมา” พี่ชายใหญ่ไปรับนางเศษสวะนั่นกลับมาก็ทำเอานางหงุดหงิดมากแล้ว ท่านแม่ยังให้ท่านอาสามไปรับนางกลับมาอีก สำคัญตัวผิดไปหรือไม่

“อี้อี้ เจ้าจะสนใจนางไปทำไม นางเป็นเพียงวัชพืชที่มาอยู่ในตระกูล สักวันต้องกำจัดทิ้ง เจ้าเป็นคุณหนูคนสำคัญพลังยุทธ์โดดเด่นของเมืองหลี่ แล้วจะไปให้ค่าคนต่ำต้อยเช่นนั้นทำไม”

“แต่ว่า...” ใจของหลี่หรูอี้ไม่ยินยอม

“ในเมื่อแม่เคยไล่นางออกไปได้ครั้งหนึ่ง ย่อมไล่นางออกไปได้เป็นครั้งที่สอง อย่าลืมสิ แม่ของเจ้าเป็นนายหญิงใหญ่แห่งจวนนี้ นางกลับมาแล้วจะอยู่อย่างมีหน้ามีตาหรือไม่ นั่นก็ไม่แน่”

“ถ้าเกิดนางไม่ต้องกลับมาอีกเลยก็คงดีกว่านะเจ้าคะ” หลี่หรูอี้โพล่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อรู้ว่าตนเองพูดเสียงดังเกินไปจึงรีบยกมือปิดปากแน่นสนิท

โจวชิงหรานส่ายหน้า ไม่ใช่นางไม่เคยคิด เรื่องมาถึงขั้นที่ท่านพี่เอ่ยปากด้วยตนเอง ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทาง นางคงต้องถูกสามีตนเองระแวงสงสัย อาจถึงขั้นเบื่อหน่ายนางก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นไม่เพียงแค่หลี่หลิงเฟิ่งกลับบ้าน ยังต้องกลับมาอย่างปลอดภัยด้วย

ได้แต่หวังว่านายท่านสามและบ่าวคนสนิทจะได้รับข่าวทันท่วงที

“คู่หมั้นหรือ” โจวชิงหรานเอ่ยอย่างเย็นชา “ไม่นึกเลยว่า...แค่ต่อเวลาหายใจให้สามปี กลับไม่เจียมตัวใช้ชีวิตอย่างสงบในชนบท ริอ่านเป็นหงส์ ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงดินต่ำ...หึ...ข้าจะรอดูว่าเมื่อกลับมาแล้วเจ้าจะเป็นหงส์หรือเป็นไก่ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร เจ้าไม่โชคดีเช่นนี้อีกเป็นแน่”

ทางด้านหลี่หลิงเฟิ่งนั้นไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย นางเดินนวยนาดไปนั่งตรงเก้าอี้ปีกซ้ายที่ยังว่างอยู่ ไม่แม้แต่จะชายหางตามองผู้มีศักดิ์เป็นอาสามของนางแม้แต่น้อย ท่าทางเหมือนเด็กไร้คนอบรมบ่มนิสัย “คุณหนูห้า”

หลี่หลิงเฟิ่งยกมือรับถ้วยชาจากเสี่ยวเซียงขึ้นมาจิบเบาๆ หลูหมิ่น คนสนิทของโจชิงหรานและหลี่เชา นายท่านสามตระกูลหลี่ขมวดคิ้วมุ่น ความรังเกียจฉายชัดในแววตา

“เศษขยะ” หลี่เชาเห็นเช่นนี้ ภายในใจเกิดความไม่พอใจถึงกับก่นด่าหญิงสาวออกมาตรงๆ

สตรีที่กำลังลิ้มรสชาชะงักไปชั่วครู่ บรรยากาศในห้องโถงพลันเย็นเยียบลงทันที เหล่าผู้ติดตามที่ยืนอยู่ข้างหลังสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

หลี่หลิงเฟิ่งมองประเมินหลี่เชาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ดังขึ้น “ท่านอาสาม”

หลี่เชาเห็นหลี่หลิงเฟิ่งมองประเมินตนเองอย่างเปิดเผยเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเดียดฉันท์ขึ้นไปอีก เด็กบ้านนอกไร้ซึ่งคนอบรมมารยาทจะดีได้สักแค่ไหน เทียบไม่ได้สักครึ่งส่วนของหลานอี้อี้เลยด้วยซ้ำ นอกจากหน้าตาสะสวยมากกว่าหน่อย ก็ไม่มีสิ่งใดดึงดูดบุรุษเพศได้ ใบหน้าของหลี่เชาพลันปรากฏแววดูแคลนสะอิดสะเอียนอย่างปิดไม่มิด

เดิมทีทุกคนต่างลืมสัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นไปแล้ว ปีนี้องค์ชายรองอายุครบยี่สิบปี สมควรแก่การเลือกเฟ้นพระชายา พวกเขาหมายจะส่งหลี่หรูอี้ขึ้นครองตำแหน่ง นึกไม่ถึงว่าองค์ชายรองยังทรงระลึกถึงนาง บอกกล่าวกับฮ่องเต้เรื่องการหมั้นหมายเมื่อครั้งยังเยาว์ ส่งผลให้มีราชโองการเรียกตัวหลี่หลิงเฟิ่งเข้าเฝ้า

หลูหมิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ นั้นไม่เหมือนกัน เขามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับมองศัตรูคู่อาฆาต แววตาเหยียดหยันแสดงออกโจ่งแจ้งไม่เก็บงำซ่อนเร้นไว้แม้เพียงนิด

ชายหนุ่มพูดอย่างแค้นเคือง สืบเท้าเข้ามาใกล้หลี่หลิงเฟิ่ง “คุณหนู ท่านควรมีสัมมาคารวะต่อผู้อาวุโส ถึงแม้ฮูหยินสามจะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ท่านจะลืมวิธีการเคารพผู้ใหญ่หรอกกระมัง กิริยาไร้หัวนอนปลายเท้าถึงเพียงนี้ ทำให้คนอยากจะอาเจียน ไม่ต้องไปถึงตำแหน่งพระชายาเลย ต่อให้จวนเจ้าเมืองก็มิอาจยอมรับคนไร้การศึกษา...”

ตึง!

พูดไม่ทันจบ ขาทั้งสองข้างพลันอ่อนแรง รู้สึกถึงความเจ็บแปลบบริเวณข้อพับ ครั้นก้มไปมองพลันสบเข้ากับถ้วยชากลิ้งหลุนๆ อยู่ด้านข้าง

ทั่วทั้งห้องโถงเงียบกริบทันที ทุกคนต่างมองหลูหมิ่นที่คุกเข่าลงตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่งด้วยความตื่นตะลึง

ท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วน มีเพียงหลี่หลิงเฟิ่งนวดข้อมือขวามองหลูหมิ่นด้วยหางตา “คนที่ต้องทำความเคารพสมควรเป็นเจ้า ข้าอนุญาตให้เจ้าพูดรึ ถึงมีปากมีเสียงในที่นี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น กล้าดียังไงมาชี้หน้าด่าเจ้านาย ไม่รู้จักประมาณตน ซ้ำยังไม่รู้ฟ้าสูงดินต่ำ”

หญิงสาวส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา “ดูท่าฮูหยินใหญ่จะสั่งสอนคนใต้อาณัติออกมาได้ดี ถึงขั้นสามารถกดข่มคุณหนูของจวนได้เช่นนี้ น่านับถือจริงๆ”

“โอหัง!” หลี่เชาตบโต๊ะ ลุกขึ้นยืนชั่วพริบตาร่างชายวัยกลางคนพรุ่งพรวดมาหยุดยืนตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่งด้วยความโกรธเกรี้ยว หมายจะเห็นความหวาดกลัวให้แววตาตัวไร้ค่า แต่เขากลับต้องนึกแปลกใจเมื่อเห็นแววตาสนุกสนาน ไม่ผิด เป็นแววตานึกสนุก มองพวกเขาราวมดปลวก นี่...

ตึง!

“โอ้” หลี่หลิงเฟิ่งทำท่าทางผงะถอยหลังหนึ่งจังหวะอย่างแนบเนียน “เหตุใดท่านอาถึงลงไปคุกเข่าอีกคนเล่า ท่านคารวะขออภัยข้าเช่นนี้ ไม่พอใจอันใดต่อข้าใช่หรือไม่” เพลิงโทสะหลี่เชาลุกโหม เขาน่ะหรือคุกเข่าขอขมานาง เห็นได้ชัดว่ามีคนลอบทำร้ายเขาต่างหาก!

“ไยท่านทำถึงเพียงนี้ แค่คำพูดไม่รู้จักคิดของบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ยังไม่ถึงคราให้ท่านต้องออกโรงปกป้องเลยสักนิด หลานสาวคนนี้แค่สั่งสอนเขาแทนฮูหยินใหญ่เท่านั้น ท่านทำเช่นนี้จะไม่เป็นการสาปแช่งให้ข้าตายไวขึ้นหรอกหรือ” น้ำเสียงตกใจเกินกว่าเหตุดังขึ้นไม่ขาดสาย

สายตาตกตะลึงทั้งหมดย้ายไปยังร่างของหลี่เชาอย่างรวดเร็ว ความเงียบอันผิดวิสัยชวนขนหัวลุก เหล่าผู้คุ้มกันไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นได้แต่ยืนนิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน

หลี่เชาคุกเข่าเป็นเวลานานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้น น้ำเสียงหลี่หลิงเฟิ่งพลันเปลี่ยนเป็นราบเรียบอีกครั้ง “ท่านอาสาม ท่านหมายจะให้ทำให้หลานคนนี้ลำบากใจใช่หรือไม่”

อันใด? เขานี่นะไม่อยากลุกขึ้น ทำให้นางลำบากใจน่ะรึ เขาทำแน่! แต่ไม่ใช่การลดศักดิ์ของตนเองคุกเข่าต่อหน้านางเด็กขยะนี่ ประกายสังหารแผ่ออกมาจากสีหน้าอย่างแจ่มชัด

“เจ้าทำอันใดข้า!” หลังจากน้ำเสียงเพลิงพิโรธแผ่ออกมาจากหลี่เชา ทุกคนมองหลี่เชาอย่างประหลาดใจระคนงุนงง ครั้นเขาสัมผัสถึงบรรยากาศภายในห้อง สีหน้าพลันมืดครึ้มลง

“ตัวไร้ค่าอย่างเจ้าไม่มีปัญญาเล่นงานข้าได้หรอก” หลี่เชาละล่ำละลักแก้ตัว พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างไม่ขยับเลยสักนิด! พลังมหาศาลกดตัวเขาจนไม่อาจขยับได้ “ใครกัน! เจ้าลูกเต่าที่ไหนมันกล้าลอบทำร้ายข้า ไสหัวสารเลวของเจ้าออกมาซะ”

หรือจะเป็น... “หลี่เฟยหยาง! อย่าให้มันมากไปนัก ถึงเจ้าจะเป็นนายน้อยตระกูล แต่ก็ยังไม่ใช่ผู้นำตระกูล ทำแบบนี้ไม่คิดว่าเกินไปหน่อยหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งที่ก้มตัวลงหมายจะดึงหลี่เชาให้ลุกขึ้นพลันชะงักค้าง เลิกคิ้วโก่งงอขึ้น จากนั้นยืดตัวขึ้นยืนนิ่งดังเดิม ก้าวออกไปหยุดตรงหน้าหลูหมิ่นแทน

“เสี่ยงเซียง” เอ่ยเรียกสาวใช้แผ่วเบา นิ้วชี้เรียวยาวชี้หน้าหลูหมิ่น “ตบปาก”

“เจ้ากล้า!” เสียงตะโกนตื่นตระหนกดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝ่ามือกระทบผิวหน้า

เพียะ!

สาวน้อยตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดหวั่น ตั้งแต่ถูกขายมาเป็นข้ารับใช้ นางไม่เคยตบตีใครมาก่อน นางถึงกับ...ถึงกับตบคนสนิทข้างกายฮูหยินใหญ่ สาวน้อยแทบลมจับ มือข้างที่ใช้ตบสั่นระริกไม่หยุด

“เจ้า!” หลูหมิ่นไม่อยากจะเชื่อสายตา ชั่วชีวิตไม่เคยโดนสตรีตบสั่งสอนมาก่อน นางถึงกลับกล้าสั่งคนให้ตบข้า บ้าบิ่นเกินไปแล้ว

“หยุดทำไม ถ้าข้าไม่สั่งให้หยุด เจ้าห้ามหยุด!” จำใส่สมองเจ้าไว้ ใครมันว่าร้ายข้า ไม่เคยมีผลลัพธ์ที่ดี

“เจ้าค่ะ”

เพียะๆๆๆๆ

“หลี่หลิงเฟิ่ง! พวกเจ้าสองพี่น้องมันชักจะมากเกินไปแล้ว เรื่องในวันนี้ข้าต้องรายงานให้พ่อของเจ้ารู้ คอยดูกันว่าพวกเจ้ายังโอหังอันใดได้อีก!” คำพูดโกรธเกรี้ยวเล็ดลอดออกมา แววตาอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจ เขาอยากจะฆ่าพวกมันให้ตายตกตามกันไปทุกคน

“ท่านกล่าวล้อเล่นอันใด พี่ชายข้านอนรักษาตัวอยู่ในห้องตลอดมา จะมีเรี่ยวแรงมาทำร้ายท่านได้อย่างไร” มาถึงตรงนี้สีหน้าหญิงสาวพลันเยียบเย็น มือสองข้างกอดอกหลวมๆ ก้มมองหลี่เชาที่ยังคุกเข่าอยู่ เหล่าผู้คุ้มกันเห็นท่าทีเช่นนั้น รีบรุดเข้ามาช่วยดึงผู้เป็นนายสุดกำลัง อาจเป็นเพราะออกแรงช่วยกันหลายคน ทันใดนั้นหลี่เชาก็ลุกขึ้นยืน ทำให้เหล่าผู้คุมทั้งหมดและหลี่เชาล้มทับกันระเนระนาดสภาพดูไม่ได้

“เจ้า...นางเด็กเวร เจ้าจงใจใช่หรือ” หลี่เชาที่ร้องโอดโอยกุมบั้นท้ายอยู่บนพื้น ตวัดสายตาขึ้นมามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“เหอะๆ” หญิงสาวไม่สนใจ หยิบถ้วยชาถ้วยใหม่ รินน้ำชาด้วยท่าทีสบายอกสบายใจ ละเมียดละไมลิ้มรสรสชาใหม่ที่ได้มาจากหูซานเมื่อไม่นานมานี้

“นี่ท่านด้อยความสามารถ ขนาดคนไร้พลังยุทธ์อย่างข้ายังข่มเหงท่านได้น่ะหรือ” คำพูดของหลี่เชาที่กำลังก่นด่าพลันชะงักค้าง “นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ตลกที่สุดเท่าที่ข้าได้ยินมาเลยนะ”

“ท่านอา ท่านช่างมีความสามารถไม่เหมือนใคร ข้าขอคารวะ” ความชื่นชมเผยออกมาจากแววตานาง ยกถ้วยชาขึ้นสูงก่อนจะดื่มรวดเดียวหมดจอก

มุมปากหลี่เชากระตุกไม่หยุด ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ “เหิมเกริม เหิมเกริมยิ่งนัก พี่ใหญ่มีลูกอย่างเจ้านับว่าอัปยศอดสู วงศ์ตระกูลคงได้ล่มสลายที่รุ่นนี้แล้ว เจ้ามันตัวหายนะ”

ปัง!

“เจ้าน่ะสิตัวหายนะ” พลังยุทธ์สีแดงพวยพุ่งกระแทกใส่หลี่เชาตัวปลิวติดขอบเก้าอี้ สีหน้าบุรุษวัยกลางคนซีดเผือดลง เหล่าผู้คุ้มกันได้แต่อ้าปากค้าง นอนนิ่งไม่ขยับราวกับตาย

เมื่อครู่...ขอเพียงออกแรงอีกนิด เขาคง...

“เจ้า...เจ้าเป็นใคร” ความหวาดหวั่นไม่มีที่สิ้นสุดผุดขึ้นกลางใจ เขายกมือลูบหน้าอกโดยไม่รู้ตัว

“ข้าเป็นใครน่ะหรือ” ชายชราย่างสามขุมมายืนเบื้องหน้าหลี่เชา “ข้าก็คือปู่ทวดของทวดของทวดของทวดยายเทียดของเจ้าอย่างไรเล่า”

อัปยศอดสูอันใด วงศ์ตระกูลล่มสลายเกี่ยวอะไรกับศิษย์น้องของเขา เหลวไหลทั้งเพ

*คนใบ้ที่กินหวงเหลียน หมายถึง สมุนไพรจีนชนิดหนึ่งซึ่งมีรสชาติขม แต่เพราะเป็นคนใบ้จึงไม่สามารถบอกใคร ได้แต่เก็บความทุกข์อยู่ในใจ แต่พูดไม่ออก

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชายาอสรพิษ   รังมังกรดิน 1

    สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม

  • ชายาอสรพิษ   จอมแทะ

    หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”

  • ชายาอสรพิษ   มิติสอดแทรก

    เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต

  • ชายาอสรพิษ   มังกรดินใต้พิภพ

    กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้

  • ชายาอสรพิษ   เหล่าสัตว์อสูร 2

    ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ

  • ชายาอสรพิษ   เหล่าสัตว์อสูร 1

    ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status