Home / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / นักคว้าจับมือฉมัง 1

Share

นักคว้าจับมือฉมัง 1

last update Last Updated: 2024-12-25 19:28:55

กว่าจะออกจากหอแพทย์โอสถก็ล่วงเลยเข้ายามซวี* ด้านนอกมืดสนิท หลี่หลิงเฟิ่งอ่อนเพลียจนผลอยหลับในรถม้าตลอดทาง ตอนแรกหวังซีเสนอให้นางพักอยู่ที่หอแพทย์เพื่อดูอาการสักหนึ่งคืน รุ่งสางค่อยกลับไปพักฟื้นที่จวน

ทว่า คนร้ายยังคงแฝงตัวอยู่ในหอแพทย์โอสถ ทำให้หลี่เจี้ยนปฏิเสธเสียงแข็ง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอม หลี่หลิงเฟิ่งเองก็อยากกลับจวนเช่นเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธออกไป ก่อนจากมายังได้กำชับหวังซีส่งสมุนไพรบางส่วนสำหรับหลอมยาลูกกลอนมาให้นางจำนวนหนึ่ง

เวลาสามปีแห่งการเก็บตัวของนางผ่านพ้นไปแล้ว ยอดฝีมือแข็งแกร่งมีมากเหลือเกิน หากนางไม่เร่งฝึกพลังยุทธ์ เพิ่มความแข็งแกร่ง ไม่นานนางคงเพลี่ยงพล้ำเข้าสักวัน ไม่เพียงปกป้องคนรอบข้างไม่ได้ ยังไม่มีแม้แต่กำลังจะป้องกันตนเองให้อยู่รอดปลอดภัยเสียด้วยซ้ำ

เมื่อกลับถึงจวนยังไม่วายถูกหลี่เจี้ยนซักถามเรื่องราวความเป็นมาระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของนางกับหูซาน จวบจนเห็นว่าดึกมากแล้วหลี่เจี้ยนจึงยอมล่าถอยกลับไป กว่าหลี่หลิงเฟิ่งจะทำกิจธุระเตรียมตัวเข้านอนเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบยามจื่อ*

หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ กล่าวกับเสี่ยวเซียงที่กำลังจัดที่นอนให้นาง

“เรื่องนั้นคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว”

หลังจากผ่านเหตุการณ์เป็นตายมาหลายครั้ง นิสัยของเสี่ยวเซียงสุขุมขึ้นมาก ไม่ตื่นตระหนกง่ายเหมือนที่ผ่านมา “ไม่มีวี่แววเลยเจ้าค่ะ ตั้งแต่นายท่านสามกลับมาก็นอนพักรักษาตัวอยู่แต่ในเรือน ปิดประตูไม่ยอมให้ใครเยี่ยมเยียน ส่วนหลูหมิ่นหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”

“สืบต่อไป รวมถึงที่อยู่ของหลูหมิ่น เป็นไปได้มากว่าเขาจะถูกคนของฮูหยินใหญ่จับตัวไป” หลูหมิ่นปกปิดความผิดแทนนาง คนอย่างโจวชิงหรานต้องไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ คนรู้มาก เมื่อหมดประโยชน์ มักตายไวทั้งนั้น

“เจ้าค่ะ”

“เจ้าออกไปก่อนเถอะ” เสี่ยวเซียงคำนับก่อนถอยออกจากห้อง หลี่หลิงเฟิ่งเดินไปดับตะเกียง เตรียมตัวเข้านอน ทว่า จะอย่างไรก็นอนไม่หลับ อาจเพราะนอนบนรถม้ามาก่อน อาการง่วงงุนจึงหายเป็นปลิดทิ้ง

นางลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดหน้าต่าง แสงจันทร์นวลส่องเข้ามาด้านในห้อง สายตาหงอยเหงามองออกไปอย่างไร้จุดหมายเนิ่นนาน นางคิดถึงชีวิตความเป็นอยู่ในชาติก่อน คิดถึงมิตรสหายร่วมรบ ไม่รู้เป็นอย่างไรกันบ้าง จะรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนนางในตอนนี้หรือไม่

หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาลง ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ความอ่อนไหวในแววตาพลันจางหาย นางมองเหล่าแมกไม้ที่เป็นเงาดำตะคุ่มอยู่ครู่หนึ่งก็หมุนตัวกลับ เดินไปจุดตะเกียงบนโต๊ะอีกครั้ง ทิ้งตัวลงนั่งนิ่งอยู่ปลายเตียง

ตุบ

หยกเย็นเฉียบชิ้นหนึ่งกระทบแก้มซีกขวาของนาง ปลายเตียงด้านข้างยุบลงพร้อมกับท่อนแขนแกร่งดึงร่างนางเข้าสู่อ้อมกอด มือใหญ่ลูบผมดำขลับที่แผ่สยายอย่างเบามือ ไล้ลงมายังลาดไหล่ซ้าย “บาดเจ็บอีกแล้ว”

หลี่หลิงเฟิ่งแนบหน้าเข้าหาอกแกร่ง ปรับท่านั่งให้สบาย ทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดไปทางชายหนุ่ม เอนตัวซบราวกับคนไร้กระดูก นางหลับตาลงซึมซับความอบอุ่น “อืม”

“เจ้าถึงกับเปิดหน้าต่างทิ้งไว้เลยรึ หากว่าคืนนี้คนที่มาไม่ใช่พี่เล่า จะทำอย่างไร” คางเรียวขยับขึ้นลงตามจังหวะการพูดบนศีรษะชวนให้จักจี้

“ไม่มีทางเป็นผู้อื่น” นางสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของหลี่เฟยหยางอยู่ก่อนแล้ว จึงเปิดหน้าต่างเชื้อเชิญเขาเข้ามา

“อย่าได้ให้ชายอื่นมาหายามวิกาล” เสียงนุ่มทุ้มเข้มขึ้นหลายส่วน อ้อมแขนแกร่งกระชับร่างในอ้อมกอดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“นอกจากท่าน แล้วยังจะมีใคร” หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะเบาๆ ทุยศีรษะมนกับอกแกร่งสองสามทีอย่างออดอ้อน นางรู้สึกได้ว่าร่างของพี่ชายแข็งเกร็งเล็กน้อย

บรรยากาศพลันเงียบสงัด ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย วันนี้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย นางไม่อยากพูดอะไร หลับตาพริ้มอยู่บนอกแกร่งอย่างผ่อนคลาย ช่วงเวลาสงบและปลอดภัยเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก ตลอดสิบวันที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่นางหลับสนิทเลยสักคืน  มุมปากหญิงสาวยกขึ้นสูง 

“เจ็บมากหรือไม่” หลี่เฟยหยางถามอย่างเป็นห่วง น้ำเสียงทุ้มเจือแววเจ็บปวดจางๆ ทุกครั้งที่เห็นนางบาดเจ็บ เขาแทบจะทนไม่ไหว อยากจะฆ่าพวกที่ทำร้ายนางทุกคนให้สิ้นซาก แล้วอย่างนี้เขาจะวางใจทิ้งนางไปได้อย่างไร

ความคิดแบบนี้ไม่รู้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่มันเริ่มหยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆ

หลี่หลิงเฟิ่งไม่จำเป็นต้องตอบ เรื่องราวในวันนี้หลี่เฟยหยางคงรู้หมดแล้ว

นางเปลี่ยนเรื่อง “พี่ใหญ่ ข้าอยากได้หินแร่ พาข้าไปซื้อหน่อยนะเจ้าคะ” หลี่หลิงเฟิ่งถอนหน้าออกจากอกแกร่ง เงยขึ้นมองหลี่เฟยหยาง เขย่าแขนเขาเบาๆ

รอยยิ้มอบอุ่นประดับอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาไม่จางหาย ตามมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ได้สิ เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่ พี่จะให้หลี่เจี้ยนพาเจ้าไป”

“ทำไมท่านไม่พาข้าไปเองเล่า” ท่าทางเอาแต่ใจแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว นางไม่อยากไปกับหลี่เจี้ยน นางอยากไปกับหลี่เฟยหยางมากกว่า ชายตรงหน้านางดูน่าเชื่อถือกว่าตั้งเยอะ

“เด็กดี” หลี่เฟยหยางลูบหลังปลอบ “ไปกับพี่หรือพี่รองก็ไม่ต่างกัน พรุ่งนี้พี่ต้องเดินทางไปเมืองหลวง ไม่อาจพาเจ้าไปเที่ยวเล่นได้”

หลี่หลิงเฟิ่งใจกระตุก “เร็วขนาดนั้นเลยรึ”

หลี่เฟยหยางถอนหายใจ เขาเองก็ไม่อยากทิ้งนางไว้ที่นี่คนเดียวเหมือนกัน ถึงจะมีหลี่เจี้ยนคอยดูแล แต่เขาก็ไม่วางใจอยู่ดี “เจ้าจำกลุ่มนักฆ่าวันนั้นได้หรือไม่ พี่พบเบาะแสคนพวกนั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลจวง พระประยูลญาติของฮองเฮา” ไม่เพียงเท่านี้ เขายังให้อู๋เหยียนสืบเรื่องการหมั้นหมายของนางเพิ่มเติมอีกด้วย

เสี่ยวเฟิ่ง เจ้าอยากแต่งให้โม่จื่อหลิงหรือไม่

หลี่เฟยหยางยิ้ม ไม่พูดอันใด เรื่องบางเรื่องเขาไม่ควรก้าวก่าย สตรีผู้นี้มีความคิดเป็นของตนเอง นางกล้าหาญ เจ้าเล่ห์ เด็ดเดี่ยว เฉลียวฉลาด ระแวดระวัง ทั้งยังเจ้าคิดเจ้าแค้น คำพูดบางคำยังไม่ถึงเวลาจะเอ่ย นางยังคงไม่ไว้ใจเขาจนหมดใจ แต่ไม่เป็นไร เขารอได้

มือหนาวางป้ายหยกสีดำลงบนมือหลี่หลิงเฟิ่ง ดึงร่างแบบบางออกจากอ้อมกอด ลูบศีรษะนางอย่างนึกเอ็นดู “ยินดีด้วย น้องพี่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว”

“มันคือ?” หยกห้อยเอวสีดำเนื้อดีสลักลวดลายคล้ายมังกรเก้าหางตวัดไขว้กันแลดูงดงามชดช้อยปรากฏสู่สายตานาง หลี่หลิงเฟิ่งพลันนิ่งงัน หัวคิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น

“มันคือป้ายประจำตัวของพี่เอง เก็บไว้อย่าให้ห่างกาย มันจะช่วยเจ้ายามตกอยู่ในอันตรายได้หนึ่งครั้ง” หลี่หลิงเฟิ่งพลิกหยกในมือสำรวจ ป้ายหยกธรรมดาๆ น่ะรึจะช่วยชีวิตนางได้ ครั้นเงยหน้าขึ้นหมายจะถาม ก็เห็นหลี่เฟยหยางกระโจนลงหน้าต่างกลืนหายไปกับความมืดมิดเสียแล้ว

น่าตายนัก! แม้แต่เอ่ยคำลายังไม่มี บอกกันสักคำมันจะตายรึ

นอกหน้าต่าง

พุ่มไม้ใหญ่พุ่มหนึ่งข้างกำแพงเรือนนอนของหลี่หลิงเฟิ่ง ปรากฏดวงตาสีแดงคู่หนึ่งจับจ้องมายังเรือนนอนของหญิงสาว พุ่มไม้ใหญ่สั่นไหวรุนแรงครั้งหนึ่งก่อนจะสงบนิ่งดังเดิม พร้อมกับดวงตาปริศนาหายวับไป ความเงียบสงบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง

“คุณหนูเจ้าขา ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” เสี่ยงเซียงส่งเสียงแผ่วเบาเรียกหลี่หลิงเฟิ่งด้านนอกห้อง

วันนี้หลี่หลิงเฟิ่งตื่นสาย เมื่อลืมตาขึ้นมาแสงแดดส่องกระทบใบหน้างาม บ่งบอกว่าเลยเวลาอาหารเช้านานแล้ว ครั้นได้ยินเสียงเสี่ยวเซียง น้ำเสียงของนางติดจะงัวเงียเล็กน้อย

“มีอันใด”

“คนของหอแพทย์โอสถ มาส่งสมุนไพรเจ้าค่ะ ตอนนี้รอพบท่านอยู่หน้าเรือน” อันที่จริงพวกเขามาถึงตั้งแต่สองชั่วยามที่แล้ว หากแต่ไม่กล้ารบกวนการพักผ่อนของนาง จึงห้ามไม่ให้แม่นางเสี่ยวเซียงเข้าไปแจ้ง

“อ้อ ให้พวกเขารอสักครู่” หลี่หลิงเฟิ่งเองเพิ่งนึกได้เช่นกัน หวังซีบอกนางว่าจะนำสมุนไพรที่นางต้องการทั้งหมดมาส่งในเช้าวันนี้ เกรงว่าคนพวกนั้นคงรอนางอยู่นานแล้ว หากแต่ไม่มีใครเข้ามาปลุกนาง

ข่าวลือหนาหูเรื่องความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดาของผู้อาวุโสหวังกับคุณหนูห้าแห่งจวนเจ้าเมือง รู้ถึงหูทุกคนในหอแพทย์โอสถ นางเป็นว่าที่นายหญิงในอนาคต พวกเขามิกล้าล่วงเกิน

นอกจากเหยาจี้ที่อยู่ประจำการ ณ เมืองหลี่ที่รู้เรื่องความสัมพันธ์ที่แท้จริงของพวกนาง ก็ไม่มีใครอื่น ทำให้คนพวกนั้นเข้าใจผิดและคาดเดาไปต่างๆ นานา หากแต่เหยาจี้เป็นเพียงแพทย์ที่ยังไม่ผ่านการยอมรับขึ้นเป็นนักหลอมโอสถเต็มตัว แท้จริงแล้วผู้ดูแลสาขาตัวจริงคือหวังซี นักหลอมโอสถชั้นกลาง พ่วงด้วยตำแหน่งศิษย์เอกของนักหลอมโอสถหูซานผู้เลื่องชื่อ อีกทั้งเหยาจี้ก็แสดงออกชัดเจนว่านอบบน้อมต่อนางอย่างมากเช่นกัน

ไม่นานหญิงสาวในชุดสีแดงตัวยาวก็ปรากฏอยู่หน้าประตูเรือน มือเรียวหยิบกระดาษรายนามสมุนไพรจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาตรวจ เมื่อพบว่าสมุนไพรที่ต้องการอยู่บนรถเข็นคันนี้ทั้งหมด จึงส่งยิ้มให้แล้วเอ่ยทักทายเสียงหวาน “ขอบคุณพวกเจ้ามาก”

พวกเขาทั้งสามคนได้แต่โบกมือปฏิเสธอย่างนอบน้อม ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหลี่หลิงเฟิ่งเลยสักครั้ง

นางรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง คนพวกนี้ดูเหมือนจะเกรงใจนางอยู่หลายส่วน ถ้าจำไม่ผิด คนของหอแพทย์โอสถมักจะหยิ่งทะนงกันทั้งสิ้น เหตุใดวันนี้ทำตัวแปลกพิกล

“มีเรื่องใดต้องการบอกกล่าวกับข้าหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งไม่พูดพร่ำทำเพลง ถามออกไปตรงๆ ถ้าแค่มาส่งสมุนไพร ไม่จำเป็นต้องคอยนาง หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

“คือว่า...ผู้อาวุโสหวังมีเรื่อง...เอ่อ...ต้องการปรึกษาคุณหนูหลี่เป็นการส่วนตัวขอรับ” หนึ่งในนั้นพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “จึงใคร่เชิญท่านไปเสวนาที่หอแพทย์ด้วยกันอีกครา”

ใบหน้าเคร่งเครียดของหญิงสาวพลันโล่งอก เสียงอ่อนหวานดังขึ้นอีกหน “ข้าทราบแล้ว ฝากบอกหวังซีว่าอีกสามวันให้หลัง ข้าจะไปพบเขาด้วยตนเอง”

“ขอรับ!” ทั้งสามคำนับก่อนจะล่าถอยออกไป ข่าวลือพวกนั้นเป็นเรื่องจริง แม่นางน้อยผู้นี้ถึงกับเรียกชื่อตรงๆ ของผู้อาวุโสหวัง ไม่ได้การ พวกเขาต้องเอาไปบอกเล่าแก่พวกพ้อง

“คุณหนู...คนของหอแพทย์โอสถดูเหมือนจะยำเกรงท่านไม่น้อยเลย” เสี่ยงเซียวยกมือเกาหัวอย่างงงๆ มองหลี่หลิงเฟิ่งตาแป๋ว ใช่ว่าเมื่อวานตอนอยู่หอแพทย์โอสถมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับคุณหนูของนางหรือไม่

“มองข้าอย่างนั้นทำไม” หลี่หลิงเฟิ่งผลักหัวเสี่ยวเซียงเบาๆ “ข้าเองก็ไม่รู้” คงไม่ใช่เหยาจี้ปากพล่อยป่าวประกาศฐานะนางออกไปหรอกนะ หลี่เจี้ยนรู้ความจริงก็เพราะเขา จะบอกว่านางไม่ระแวงเลยก็ดูจะเป็นการโกหก

แต่เมื่อทบทวนอย่างจริงจัง ไม่น่าใช่ หากเป็นอย่างนั้นจริง พวกนั้นคงไม่เรียกนางว่าแม่นางหลี่ ปฏิกิริยาก็น่าจะรุนแรงมากกว่านี้เช่นกัน

แล้วมันเรื่องอันใดอีกเล่า

หลังจากกินอาหารเที่ยงเสร็จ นางก็กลับเข้าห้อง พลันเห็นองุ่นสีม่วงเต่งตึงถาดหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ริมฝีปากของนางกว้างขึ้นเรื่อยๆ “เสี่ยวเซียง องุ่นพวกนี้มาจากไหน”

“คนรับใช้เรือนคุณชายใหญ่ส่งมาให้เจ้าค่ะ” ฮึ คิดว่าเอาของกินมาง้อแล้วนางจะหายโกรธรึ

ก็ใช่น่ะสิ! นี่เขายังจำมันได้อีกหรือ ช่างน่ารักจริงๆ

เสี่ยวเซียงเดินมาหยิบองุ่นบนโต๊ะ ปอกเปลือก แกะเมล็ดออกก่อนจะยื่นให้นาง “คุณชายใหญ่กำชับมาว่าต้องปอกเปลือกแกะเมล็ดออกให้หมดก่อน คุณหนูถึงจะยอมกิน”

“แต่ทำไมข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าคุณหนูชอบกินองุ่นล่ะเจ้าค่ะ” อย่าว่าแต่ให้ปอกเปลือกอันใดเลย แม้แต่กินสักครั้งนางยังไม่เคยเห็น

“ข้าเพิ่งนึกอยากจะกินขึ้นมาน่ะ” หลี่หลิงเฟิ่งกระแอมเล็กน้อย คว้าองุ่นจากมือเสี่ยวเซียงใส่เข้าปาก กลืนลงคออย่างรวดเร็วจนแทบไม่ได้เคี้ยว “ข้าจะเก็บตัวสักระยะ ระหว่างนี้หากมีใครมาหา ก็ปฏิเสธไปให้หมด”

“เจ้าค่ะ” เสียวเซียงตอบรับอย่างว่าง่าย ปิดประตูห้องลงอย่างเบามือ

หลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึก นำเตาหลอมที่ได้จากหูซานออกมาจากมิติ จากนั้นหยิบสมุนไพรจำนวนหนึ่งเข้าเตาหลอม นี่เป็นครั้งแรกที่นางจะหลอมยาลูกกลอน หลี่หลิงเฟิ่งถูมือสองสามทีระงับความตื่นเต้น เปลวไฟโชติโชนสีแดงลุกพรึ่บกลางฝ่ามือ นางหมุนข้อมือเล็กน้อยเปลวไฟทั้งหมดตกลงสู่เตาหลอมทันที

ผ่านไปไม่นานหญิงสาวรู้สึกถึงกลิ่นไหม้รุนแรง พลังธาตุไฟในมือหยุดลงกะทันหัน ความร้อนระอุทำให้เหงื่อนางท่วมทั่วร่างกาย เมื่อมองเข้าไปในเตาหลอม นางแทบอยากจะกรีดร้อง

วัตถุดิบทั้งหมดสลายกลายเป็นเศษขี้เถ้าไม่เหลือซาก

เคราะห์ดีนางยังมีสมุนไพรให้ใช้หลอมอีกมาก แต่ก็อดเสียใจไม่ได้ ครั้งแรกของนางล้มเหลวไม่เป็นท่า หลี่หลิงเฟิ่งไม่ลดความพยายาม ใส่วัตถุดิบเข้าเตาหลอมอีกครั้ง หลอมยาลูกกลอนขึ้นมาใหม่ แต่ผลลัพธ์ก็ยังล้มเหลวเช่มเดิม

ตลอดระยะเวลาสามวันสามคืน นอกจากกินข้าว อาบน้ำ เข้านอน ทั้งคืนวันนางทุ่มเทให้กับการหลอมโอสถเพียงอย่างเดียว จนในที่สุดนางก็สามารถควบคุมระดับไฟที่เหมาะสมได้ หลี่หลิงเฟิ่งยกมือขึ้นปาดเหงื่อ ยาลูกกลอนเซ็ตแรกในชีวิตของนาง ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว

หลี่หลิงเฟิ่งหยิบยาลูกกลอนสามเม็ดออกมาจากเตาหลอม วางทั้งสามเม็ดบนบนฝ่ามือ มีเพียงเม็ดเดียวที่ใช้ได้ แต่มันออกจะแตกต่างจากยาลูกกลอนที่พบเห็นทั่วไปอยู่สักหน่อย แถมยังมีกลิ่นไหม้ติดอยู่จางๆ 

ดวงตาพินิจมองอยู่เป็นนาน กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ อย่างไรก็ตัดสินใจกลืนลงท้องตนเองไม่ลง สุดท้ายจึงเก็บใส่ตลับยาซุกไว้ในอกเสื้อ

ย่างเข้าสู่เที่ยงวันที่สาม จำได้ว่านางมีนัดกับหวังซีที่หอแพทย์โอสถ ดวงตางดงามเป็นประกายทันที มือเรียวตบหน้าอกเบาๆ มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย 

หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มร่าออกมาจากห้อง พ้นหน้าเรือนไปไม่เท่าไหร่ ก็พบกับหลี่เจี้ยนที่ตีสีหน้าบึ้งตึงเดินเข้ามาหา “ในที่สุด เจ้าก็ยอมออกมาพบปะผู้คนสักที พี่นึกว่าเจ้าจะจำศีลอยู่แต่ในห้องตลอดชีวิตเสียอีก”

“พี่รอง” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกว้าง เป็นฝ่ายวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มเสียเอง “ข้ากำลังคิดถึงท่านอยู่พอดี”

เมื่อครู่นางยังคิดอยู่ว่าจะมอบให้ใครดี ไม่คิดเลยว่า...ตัวทดลองจะเดินมาหานางถึงหน้าเรือนเสียเอง

*ยามซวี ช่วงเวลาประมาณ 1-3 ทุ่ม

*ยามจื่อ ช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่ม - เที่ยงคืน

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชายาอสรพิษ   วิชามารสังเวยชีวิต

    หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต

  • ชายาอสรพิษ   ท่าใหญ่ที่แปลกไป

    เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก

  • ชายาอสรพิษ   สำรวจค่าย

    หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น

  • ชายาอสรพิษ   ตีเนียนเข้าซ่องโจร

    เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต

  • ชายาอสรพิษ   ลักพาตัว

    รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า

  • ชายาอสรพิษ   กลับคืนถิ่น

    อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status