Home / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / นักคว้าจับมือฉมัง 2

Share

นักคว้าจับมือฉมัง 2

last update Last Updated: 2024-12-25 19:29:42

หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”

มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด

“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้า

ตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร

รอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”

นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”

“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก กำตลับยาไว้แน่น ค่อยๆ เปิดมันออกมา สีหน้าที่กำลังดีใจพลันแข็งค้าง เขาถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“เอ่อ...น้องเล็ก สิ่งนี้คืออันใดหรือ” สมองของเขาเหมือนจะพิการไปชั่วขณะ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในนี้เป็นยาลูกกลอนหรือไม่หนอ "ยาลูกกลอน?"

มันช่าง....หาคำใดมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย

“ก็ใช่น่ะสิ” รอยยิ้มนางยังคงไม่จางหาย น้ำเสียงเบาสบายดังขึ้นอีกหน “เป็นยาลูกกลอนที่ข้าทำขึ้นมาเอง เก็บมันไว้ให้ท่านคนเดียวเลยนะ แม้แต่พี่ใหญ่ขอ ข้าก็ยังไม่ยอมให้”

“ยานี่...มันออกจะแตกต่างจากที่เคยพบเห็นอยู่สักหน่อย เจ้าแน่ใจนะว่ามันกินได้” กลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวนรอบบริเวณล้านกว้าง หลี่เจี้ยนมุมปากกระตุก หยิบเจ้าก้อนกลมๆ ดำๆ จากตลับขึ้นมา รอยไหม้ติดมือของเขาเป็นจุดกระดำกระด่าง ไม่มีกลิ่นหอมของสมุนไพรหลงเหลืออยู่เลยสักนิด

ครั้นเห็นน้องสาวก้มหน้างุด ก็คิดว่านางกำลังเศร้าสร้อย ในใจเขาพลันอ่อนยวบ  แม้ใจจะคิดไปอีกทางแต่ปากกลับกล่าววาจาเชิงปลอบ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานุ่มนวลกว่าทุกครั้ง  “อืม แม้จะแตกต่างไปบ้าง รสชาติอาจจะไม่ถูกปาก แต่ก็ดูเหมือนจะมีสรรพคุณล้นหลาม ยาลูกกลอนที่น้องเล็กทำ จะเหมือนผู้อื่นได้อย่างไร จริงไหม”

คราวนี้เป็นเสี่ยวเซียงที่ตามหลี่หลิงเฟิ่งออกมา สีหน้าฉายแววซับซ้อนที่สุด มองหลี่เจี้ยนด้วยแววตาประหลาด คิดอย่างสงสัย อย่างนี้ก็เรียกว่ายาลูกกลอนได้แล้วหรือ เห็นอยู่ว่ายาลูกกลอนของคุณหนูน่าเกลียดเพียงใด คุณชายรองยังหาจุดชื่นชมปลอบใจคุณหนูออกมาได้ สมแล้วที่เป็นคุณชายรอง หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงไม่แม้แต่จะแตะมันด้วยซ้ำ

ครั้นเห็นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง รอยยิ้มประดับบนใบหน้ายามปลุกปลอบน้องสาวเมื่อสักครู่บิดเบี้ยวเล็กน้อย เขารู้สึกสงสารตนเองอยู่บ้าง พลันอยากให้ที่ตรงนี้เป็นหลี่เฟยหยางแทน

หลี่เจี้ยนหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกลืนยาลูกกลอนเข้าปากอย่างรวดเร็ว นี่เป็นความตั้งใจของน้องเล็กที่ทำเพื่อเขา เขาต้องรักถนอมน้ำใจของนาง ถึงอย่างไรก็คงไม่ถึงตาย

ความรู้สึกแรกช่างขมปร่าติดลิ้น แทบอยากจะคายทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น ทว่า ครู่ต่อมา ร่างสูงพลันเบิกตาโพลง ความเย็นสบาย สดชื่นราวอยู่ที่น้ำตกบนยอดเขาสูงเช่นนี้ ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเย็นดั่งดอกไม้ป่า ใสสะอาด บริสุทธิ์ ตามมาด้วยอาการเมื่อยล้าจากการต่อสู้ค่อยๆถูกชะล้างลงในเวลาอันรวดเร็ว ความกระปรี้กระเปร่าเข้ามาแทนที่

“น้องเล็ก นี่...ยาลูกกลอนสะกดสำนึกรึ” หลี้เจี้ยนตกใจจนร่างกายแข็งทื่อ ไม่อยากเชื่อสายตา ณ เวลาที่เขากลืนยามันลงไปนั้น เขาเพียงกล้ำกลืนฝืนกินมันเพื่อน้องเล็ก ไม่คาดคิดว่า... “ไม่ถูก คล้ายคลึงแต่กลับไม่ใช่”

หลี่เจี้ยนขบคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก เขาเคยศึกษายาลูกกลอนมาบ้าง แต่ที่เคยเห็นกลับนับนิ้วได้ เพราะยาลูกกลอนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมักไม่ปรากฏตามท้องตลาด และเขาก็เองไม่ใช่แพทย์โอสถ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักของสิ่งนี้

“ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว มันคือลูกกลอนสะกดสำนึก” หลี่หลิงเฟิ่งยกมือกอดอก หน้างดงามเชิดขึ้น “แต่ดีกว่าลูกกลอนสะกดสำนึก”

สองนายบ่าวมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างงุนงง ทำไมพอฟังนางพูดถึงได้สับสนยิ่งกว่าเดิม เสี่ยวเซียงรู้สึกตนเองโง่เขลาในบัลดล “คุณหนูเจ้าขา แล้วมันใช่ลูกกลอนสะกดสำนึกหรือไม่เจ้าคะ”

“ลูกกลอนสะกดสำนึกทั่วไปเพียงรักษาอาการบาดเจ็บภายใน แต่ลูกกลอนที่ข้าหลอมขึ้นมายังช่วยฟื้นฟูพละกำลังให้กลับมาแข็งแรงดังเดิมได้” โดยทั่วไปลูกกลอนสะกดสำนึกเป็นยาลูกกลอนขั้นพื้นฐานที่สุด นักหลอมโอสถทุกคนเพียงหลับตาก็หลอมออกมาได้แล้ว เพียงแต่นางเปลี่ยนวัตถุดิบหลอมยา ใช้น้ำทิพย์ต่างน้ำแร่ คุณสมบัติจึงก้าวกระโดดขึ้นอีกขั้น

“ฮ่าๆ พี่คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน” หลี่เจี้ยนหัวเราะร่า ขยี้ผมนางเบาๆ แม้รสชาติจะย่ำแย่อย่างมาก แต่สรรพคุณชนะเลิศ “มีหรือจะเอาของชั้นเลวพวกนั้นมาให้พี่”

หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มตอบ ไม่เปิดโปงความคิดของเขา จากนั้นหันไปกล่าวกับเสี่ยวเซียงเสียงเรียบ “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าจะไปดูหอแพทย์โอสถสักหน่อย เจ้าเฝ้าเรือนให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาวุ่นวาย”

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเซียงรับคำ เดินคอตกล่าถอยกลับไป

“ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่” ไม่จำเป็นต้องตอบรับ มือหนาคว้ามือหลี่หลิงเฟิ่งเดินออกไปทันที หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีตลอดทาง

ณ ห้องด้านใน

“จนป่านนี้ยังสืบอะไรเพิ่มเติมไม่ได้เลย” เหยาจี้ตบโต๊ะอย่างแรง สีหน้าโกรธเกรี้ยว “ศิษย์ทั้งหมดในหอแพย์ไม่มีอันใดผิดปกติ ทุกคนต่างก็มีพู่ติดกายด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งยังมีพยานยืนยันที่อยู่กันหมด”

หวังซีหน้าตาสงบนิ่งกว่ามาก นิ้วชี้เคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ “เพราะปกติเกินไปนี่ล่ะ ถึงไม่ปกติ”

เหยาจี้เผยสีหน้าอับจนปัญญา “เป็นไปได้หรือไม่ พวกเราอาจเดาผิดตั้งแต่แรก บางทีคนร้ายอาจเป็นคนนอก แต่เพราะต้องการใส่ความให้พวกเราหอแพทย์โอสถแตกคอกันเอง จึงตั้งใจทิ้งหลักฐานไว้ให้ดูต่างหน้า”

การดำรงอยู่ของพู่มาลา ทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเองภายในหอแพทย์โอสถ กลายเป็นหนอนร้ายชอนไชกัดกินหัวใจทุกคนทีละนิด หากปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดรอยร้าวขึ้นสักวัน

“หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า จะอธิบายเรื่องพู่มาลาอย่างไร บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกของหอแพทย์ไม่มีทางจะมีมันได้” หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่ครุ่นคิด หาตัวคนทรยศ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันตลอดทั้งวันทั้งคืน

“จะคนในก็ดี คนนอกก็ช่าง ไม่ว่ายากเย็นเพียงไร จำต้องลากตัวมันออกมาให้จงได้” หวังซีคลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า “ใครก็ตามที่ต้องการทำลายหอแพทย์โอสถ ข้าไม่ยอมให้มันอยู่อย่างสบายใจแน่”

คนที่มีเรื่องกับสำนักแพทย์โอสถ ไม่เคยมีใครได้กลับมาพูดถึงความร้ายกาจของพวกเขาเลยสักครั้ง เพราะคนพวกนั้นล้วนหมดลมหายใจกันไปก่อนแล้วอย่างไรล่ะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก บุรุษทั้งสองหันหน้าไปมอง พลันพบศิษย์หอแพทย์คนหนึ่งเดินนำพี่น้องตระกูลหลี่เข้ามา คำนับอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่งก่อนจะถอยออกไป

“อาจารย์อา” เหยาจี้ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ กูลีกุจอเข้ามาคำนับหลี่หลิงเฟิ่ง เชื้อเชิญนางมานั่งยังตำแหน่งเดิมของตน ส่วนเจ้าตัวนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างตัวหวังซีแทน พลางหันไปพยักหน้าให้หลี่เจี้ยนเป็นเชิงทักทาย

“เหตุใดท่านไม่แจ้งก่อน พวกข้าจะได้ลงไปต้อนรับ” ตื่นเต้นดีใจจนมือที่กำลังรินน้ำชาให้หลี่หลิงเฟิ่งสั่นเทาไม่หยุด น้ำชากระฉอก หกกระเด็นเต็มพื้น

“ข้าทำเองดีกว่า” หลี่หลิงเฟิ่งเห็นแล้วให้เวทนาหมายจะแย่งกาน้ำชามาจากเหยาจี้ หากแต่ถูกหวังซีชิงตัดหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว

ชายหนุ่มรินน้ำชาให้นางด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลางเอ่ย “ท่านหายดีแล้วหรือ”

หลี่หลิงเฟิ่งเพียงหยักหน้าตอบ รับถ้วยชาจากหวังซีมาดื่ม “ของที่เจ้าให้ข้าดูเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ยังอยู่หรือไม่”

“ท่านรอสักครู่” ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเดินหายเข้าไปในห้องนอนไม่นานก็กลับมาพร้อมหลอดเลือดหลอดหนึ่งยื่นมาตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง

หญิงสาวเพ่งพินิจครู่ใหญ่ คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เลือดใครรึ” ดูเหมือนว่าเลือดก้อนนี้จะสำคัญอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เจ้าของเลือดสำคัญ ก็แสดงว่าเลือดไม่กี่หยดนี้มีสิ่งสำคัญซุกซ่อนอยู่

“เป็นเลือดของเจ้าสำนักแพทย์โอสถขอรับ เจ้าสำนักเดินทางไปร่วมงานชุมนุมที่แคว้นจวินเมื่อหกเดือนก่อน หลังจากกลับมาก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอันใด ทว่า ผ่านไปสองเดือนอาการป่วยก็เริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อย ไม่มีใครคาดคิดว่าเพียงไม่กี่วัน เจ้าสำนักก็อาการทรุดหนัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ ร่างกายผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ขอรับ”

สวีคุน ศิษย์พี่ผู้กุมอำนาจทั้งหมดของสำนักแพทย์โอสถน่ะหรือ หลี่หลิงเฟิ่งคลึงหลอดเลือดในมือเล่น ใช้น้ำเสียงเฉื่อยเนือยเอ่ยถาม “นอกจากนั้นเล่า”

“ไม่ทราบขอรับ ข้าเองก็เพิ่งได้รับข่าวเมื่อไม่นานมานี้ เป็นข่าวล่าสุดเมื่อสองเดือนก่อน ท่านอาจารย์เองก็เร่งเดินทางกลับสำนักแพทย์โอสถ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะมาเจออาจารย์อาได้ขอรับ”

หลี่เจี้ยนที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมา “การส่งข่าวของสำนักพวกเจ้าล่าช้าไปมากทีเดียว” เหยาจี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ก้มหน้าสำนึกผิด

สายตาคมมองสบตากับหลี่หลิงเฟิ่ง “เสี่ยวเฟิ่ง ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว”

“อืม เป็นไปได้มากว่า สิ่งที่คนร้ายต้องการเป็นของสิ่งนี้” ชายทั้งสองตื่นตระหนกทันที ร่างสองร่างสั่นท้าน ข่าวการป่วยของท่านเจ้าสำนักเก็บเงียบเป็นความลับ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป สำนักพวกเขาต้องเกิดการสั่นคลอนแน่!

“ก่อนหน้านี้ข้าส่งคนไปแจ้งข่าวกับอาจารย์หูรอบหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าข่าวจะไปไม่ถึง” เหยาจี้เป็นกังวลเหลือแสน หากเรื่องนี้หลุดรอดออกไปก็ถือเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นอาการเจ็บป่วยของเจ้าสำนักทรุดลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดอีกนานเท่าใด

“อาจารย์อา ท่านบอกว่ารักษาได้ไม่ใช่หรือขอรับ” หวังซีเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหลี่หลิงเฟิ่ง ในใจเขาเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว

“อาจารย์อา ท่านรักษาได้จริงรึ” เหยาจี้ตะลึงงัน มองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ เรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีนางนี้มีความสามารถล้ำหน้านักหลอมโอสถในสำนักแพทย์โอสถทุกคน!

โอ้! หากเขาไม่เห็นกับตาว่านางรู้จักการใช้พิษ ตอนนี้นางคงถูกเขาหัวเราะเยาะไปแล้วเป็นแน่ เหยาจี้ยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจต่อโชคชะตา เขาอายุปูนนี้ยังเป็นแค่แพทย์โอสถ ฝึกฝนอยู่หลายปีก็ยังไม่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักหลอมโอสถ

แต่สตรีนางนี้เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง กลับก้าวข้ามพวกเขาทุกคนไปแล้ว!

หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สีหน้าปรากฏความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “ล่วงเลยมานานขนาดนี้ พิษคงกระจายตัวเข้าสู่ร่างกายไปหมดแล้ว หวังว่าพิษจะยังไม่ลามไปถึงหัวใจ” หากพิษอยู่ระดับเดียวกันกับเลือดในหลอดนี้ นางมั่นใจว่ารักษาได้ แต่ปล่อยไว้นานถึงขนาดนี้ ความมั่นใจของนางก็ลดลงหลายส่วน คงมีแค่หนทางเดียว นางต้องเดินทางไปดูด้วยตนเองสักครา

“พิษ!” เหยาจี้ตื่นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิม นี่เจ้าสำนักถูกวางยาพิษรึ เหตุใดถึงไม่มีผู้อาวุโสท่านใดกล่าวถึงเลยสักครั้ง

“อาจารย์อา ท่านหมายความว่า...” หวังซีหน้าซีดเผือด สามวันก่อนเขามาพร้อมความหวังเต็มเปี่ยม พอมาวันนี้กลับเหมือนมีคนขยี้มันทิ้งไปต่อหน้าต่อตา

“ตอนนี้ข้ายังตอบไม่ได้ จนกว่าจะได้เห็นอาการคนป่วย” หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้ว “แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าจะปรุงยาระงับพิษชั่วคราวให้ก่อน สามารถยืดการลุกลามของพิษเข้าสู่หัวใจช้าลงได้”

นางเงียบนิ่งครู่หนึ่ง เงยหน้ามองหวังซี ก่อนเอ่ยต่อ “ทางที่ดี เจ้านำมันไปส่งด้วยตนเองเถิด ระหว่างทางก็คิดหาเหตุผลดีๆ สักข้อบอกกล่าวตาเฒ่าหูซานสักหน่อย เรื่องที่เจ้าจะมาติดตามข้านับต่อแต่นี้”

ครั้นเห็นสายตาอยากจะร้องไห้ของอีกฝ่าย ก็ให้ไม่พอใจขึ้นมา ส่งสายตาค้อนขวับกลับไป “อันใด เจ้าคงไม่คิดว่าข้าว่างมากมีเวลาสอนเจ้าอยู่ที่นี่หรอกนะ สำคัญตัวผิดไปหรือไม่ หากไม่ติดตามข้าแล้ว จะเรียนรู้วิชาจากจินตนาการอย่างนั้นรึ ถ้าเจ้าเก่งกาจขนาดนั้น ไฉนไม่เป็นอัจริยะไปแล้วเล่า มาตามก้นหูซานอยู่หลายปีเพื่ออะไร”

“อาจารย์อา ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นขอรับ” หวังซีอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ความไม่ยินยอมพร้อมใจหายไปฉับพลัน อย่าเห็นว่าสตรีนางนี้จะใจดีเหมือนหน้าตาเชียว นางน่ะเป็นนางมารชัดๆ

ชายหนุ่มนึกไว้อาลัยให้กับชีวิตในอนาคตของตนเอง ไม่รู้จะพบกับหายนะอันใดบ้าง

“อาจารย์อา แล้วเรื่องคนร้ายล่ะขอรับ ข้ากลัวว่าหากไม่จับเขาเสียแต่เนิ่นๆ เกิดเรื่องเจ้าสำนักถูกพิษแพร่งพรายออกไป จะไม่เป็นการดีนะขอรับ” เหยาจี้เอ่ยแย้งออกมาในที่สุด หากหวังซีจากไปแล้ว เขาคนเดียวไม่มีทางจับคนทรยศผู้นี้ได้แน่

“จับโจรน่ะหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างเกียจคร้าน ประกายตาเจ้าเล่ห์พลันผุดขึ้นมา  “งานถนัดของข้าเลยล่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชายาอสรพิษ   วิชามารสังเวยชีวิต

    หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต

  • ชายาอสรพิษ   ท่าใหญ่ที่แปลกไป

    เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก

  • ชายาอสรพิษ   สำรวจค่าย

    หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น

  • ชายาอสรพิษ   ตีเนียนเข้าซ่องโจร

    เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต

  • ชายาอสรพิษ   ลักพาตัว

    รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า

  • ชายาอสรพิษ   กลับคืนถิ่น

    อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status