หน้าหลัก / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / นักคว้าจับมือฉมัง 2

แชร์

นักคว้าจับมือฉมัง 2

ผู้เขียน: เสี่ยวหลันฮวา
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-12-25 19:29:42

หลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”

มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด

“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้า

ตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร

รอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”

นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”

“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก กำตลับยาไว้แน่น ค่อยๆ เปิดมันออกมา สีหน้าที่กำลังดีใจพลันแข็งค้าง เขาถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“เอ่อ...น้องเล็ก สิ่งนี้คืออันใดหรือ” สมองของเขาเหมือนจะพิการไปชั่วขณะ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในนี้เป็นยาลูกกลอนหรือไม่หนอ "ยาลูกกลอน?"

มันช่าง....หาคำใดมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย

“ก็ใช่น่ะสิ” รอยยิ้มนางยังคงไม่จางหาย น้ำเสียงเบาสบายดังขึ้นอีกหน “เป็นยาลูกกลอนที่ข้าทำขึ้นมาเอง เก็บมันไว้ให้ท่านคนเดียวเลยนะ แม้แต่พี่ใหญ่ขอ ข้าก็ยังไม่ยอมให้”

“ยานี่...มันออกจะแตกต่างจากที่เคยพบเห็นอยู่สักหน่อย เจ้าแน่ใจนะว่ามันกินได้” กลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวนรอบบริเวณล้านกว้าง หลี่เจี้ยนมุมปากกระตุก หยิบเจ้าก้อนกลมๆ ดำๆ จากตลับขึ้นมา รอยไหม้ติดมือของเขาเป็นจุดกระดำกระด่าง ไม่มีกลิ่นหอมของสมุนไพรหลงเหลืออยู่เลยสักนิด

ครั้นเห็นน้องสาวก้มหน้างุด ก็คิดว่านางกำลังเศร้าสร้อย ในใจเขาพลันอ่อนยวบ  แม้ใจจะคิดไปอีกทางแต่ปากกลับกล่าววาจาเชิงปลอบ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานุ่มนวลกว่าทุกครั้ง  “อืม แม้จะแตกต่างไปบ้าง รสชาติอาจจะไม่ถูกปาก แต่ก็ดูเหมือนจะมีสรรพคุณล้นหลาม ยาลูกกลอนที่น้องเล็กทำ จะเหมือนผู้อื่นได้อย่างไร จริงไหม”

คราวนี้เป็นเสี่ยวเซียงที่ตามหลี่หลิงเฟิ่งออกมา สีหน้าฉายแววซับซ้อนที่สุด มองหลี่เจี้ยนด้วยแววตาประหลาด คิดอย่างสงสัย อย่างนี้ก็เรียกว่ายาลูกกลอนได้แล้วหรือ เห็นอยู่ว่ายาลูกกลอนของคุณหนูน่าเกลียดเพียงใด คุณชายรองยังหาจุดชื่นชมปลอบใจคุณหนูออกมาได้ สมแล้วที่เป็นคุณชายรอง หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงไม่แม้แต่จะแตะมันด้วยซ้ำ

ครั้นเห็นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง รอยยิ้มประดับบนใบหน้ายามปลุกปลอบน้องสาวเมื่อสักครู่บิดเบี้ยวเล็กน้อย เขารู้สึกสงสารตนเองอยู่บ้าง พลันอยากให้ที่ตรงนี้เป็นหลี่เฟยหยางแทน

หลี่เจี้ยนหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกลืนยาลูกกลอนเข้าปากอย่างรวดเร็ว นี่เป็นความตั้งใจของน้องเล็กที่ทำเพื่อเขา เขาต้องรักถนอมน้ำใจของนาง ถึงอย่างไรก็คงไม่ถึงตาย

ความรู้สึกแรกช่างขมปร่าติดลิ้น แทบอยากจะคายทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น ทว่า ครู่ต่อมา ร่างสูงพลันเบิกตาโพลง ความเย็นสบาย สดชื่นราวอยู่ที่น้ำตกบนยอดเขาสูงเช่นนี้ ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเย็นดั่งดอกไม้ป่า ใสสะอาด บริสุทธิ์ ตามมาด้วยอาการเมื่อยล้าจากการต่อสู้ค่อยๆถูกชะล้างลงในเวลาอันรวดเร็ว ความกระปรี้กระเปร่าเข้ามาแทนที่

“น้องเล็ก นี่...ยาลูกกลอนสะกดสำนึกรึ” หลี้เจี้ยนตกใจจนร่างกายแข็งทื่อ ไม่อยากเชื่อสายตา ณ เวลาที่เขากลืนยามันลงไปนั้น เขาเพียงกล้ำกลืนฝืนกินมันเพื่อน้องเล็ก ไม่คาดคิดว่า... “ไม่ถูก คล้ายคลึงแต่กลับไม่ใช่”

หลี่เจี้ยนขบคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก เขาเคยศึกษายาลูกกลอนมาบ้าง แต่ที่เคยเห็นกลับนับนิ้วได้ เพราะยาลูกกลอนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมักไม่ปรากฏตามท้องตลาด และเขาก็เองไม่ใช่แพทย์โอสถ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักของสิ่งนี้

“ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว มันคือลูกกลอนสะกดสำนึก” หลี่หลิงเฟิ่งยกมือกอดอก หน้างดงามเชิดขึ้น “แต่ดีกว่าลูกกลอนสะกดสำนึก”

สองนายบ่าวมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างงุนงง ทำไมพอฟังนางพูดถึงได้สับสนยิ่งกว่าเดิม เสี่ยวเซียงรู้สึกตนเองโง่เขลาในบัลดล “คุณหนูเจ้าขา แล้วมันใช่ลูกกลอนสะกดสำนึกหรือไม่เจ้าคะ”

“ลูกกลอนสะกดสำนึกทั่วไปเพียงรักษาอาการบาดเจ็บภายใน แต่ลูกกลอนที่ข้าหลอมขึ้นมายังช่วยฟื้นฟูพละกำลังให้กลับมาแข็งแรงดังเดิมได้” โดยทั่วไปลูกกลอนสะกดสำนึกเป็นยาลูกกลอนขั้นพื้นฐานที่สุด นักหลอมโอสถทุกคนเพียงหลับตาก็หลอมออกมาได้แล้ว เพียงแต่นางเปลี่ยนวัตถุดิบหลอมยา ใช้น้ำทิพย์ต่างน้ำแร่ คุณสมบัติจึงก้าวกระโดดขึ้นอีกขั้น

“ฮ่าๆ พี่คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน” หลี่เจี้ยนหัวเราะร่า ขยี้ผมนางเบาๆ แม้รสชาติจะย่ำแย่อย่างมาก แต่สรรพคุณชนะเลิศ “มีหรือจะเอาของชั้นเลวพวกนั้นมาให้พี่”

หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มตอบ ไม่เปิดโปงความคิดของเขา จากนั้นหันไปกล่าวกับเสี่ยวเซียงเสียงเรียบ “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าจะไปดูหอแพทย์โอสถสักหน่อย เจ้าเฝ้าเรือนให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาวุ่นวาย”

“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเซียงรับคำ เดินคอตกล่าถอยกลับไป

“ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่” ไม่จำเป็นต้องตอบรับ มือหนาคว้ามือหลี่หลิงเฟิ่งเดินออกไปทันที หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีตลอดทาง

ณ ห้องด้านใน

“จนป่านนี้ยังสืบอะไรเพิ่มเติมไม่ได้เลย” เหยาจี้ตบโต๊ะอย่างแรง สีหน้าโกรธเกรี้ยว “ศิษย์ทั้งหมดในหอแพย์ไม่มีอันใดผิดปกติ ทุกคนต่างก็มีพู่ติดกายด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งยังมีพยานยืนยันที่อยู่กันหมด”

หวังซีหน้าตาสงบนิ่งกว่ามาก นิ้วชี้เคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ “เพราะปกติเกินไปนี่ล่ะ ถึงไม่ปกติ”

เหยาจี้เผยสีหน้าอับจนปัญญา “เป็นไปได้หรือไม่ พวกเราอาจเดาผิดตั้งแต่แรก บางทีคนร้ายอาจเป็นคนนอก แต่เพราะต้องการใส่ความให้พวกเราหอแพทย์โอสถแตกคอกันเอง จึงตั้งใจทิ้งหลักฐานไว้ให้ดูต่างหน้า”

การดำรงอยู่ของพู่มาลา ทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเองภายในหอแพทย์โอสถ กลายเป็นหนอนร้ายชอนไชกัดกินหัวใจทุกคนทีละนิด หากปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดรอยร้าวขึ้นสักวัน

“หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า จะอธิบายเรื่องพู่มาลาอย่างไร บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกของหอแพทย์ไม่มีทางจะมีมันได้” หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่ครุ่นคิด หาตัวคนทรยศ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันตลอดทั้งวันทั้งคืน

“จะคนในก็ดี คนนอกก็ช่าง ไม่ว่ายากเย็นเพียงไร จำต้องลากตัวมันออกมาให้จงได้” หวังซีคลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า “ใครก็ตามที่ต้องการทำลายหอแพทย์โอสถ ข้าไม่ยอมให้มันอยู่อย่างสบายใจแน่”

คนที่มีเรื่องกับสำนักแพทย์โอสถ ไม่เคยมีใครได้กลับมาพูดถึงความร้ายกาจของพวกเขาเลยสักครั้ง เพราะคนพวกนั้นล้วนหมดลมหายใจกันไปก่อนแล้วอย่างไรล่ะ

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก บุรุษทั้งสองหันหน้าไปมอง พลันพบศิษย์หอแพทย์คนหนึ่งเดินนำพี่น้องตระกูลหลี่เข้ามา คำนับอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่งก่อนจะถอยออกไป

“อาจารย์อา” เหยาจี้ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ กูลีกุจอเข้ามาคำนับหลี่หลิงเฟิ่ง เชื้อเชิญนางมานั่งยังตำแหน่งเดิมของตน ส่วนเจ้าตัวนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างตัวหวังซีแทน พลางหันไปพยักหน้าให้หลี่เจี้ยนเป็นเชิงทักทาย

“เหตุใดท่านไม่แจ้งก่อน พวกข้าจะได้ลงไปต้อนรับ” ตื่นเต้นดีใจจนมือที่กำลังรินน้ำชาให้หลี่หลิงเฟิ่งสั่นเทาไม่หยุด น้ำชากระฉอก หกกระเด็นเต็มพื้น

“ข้าทำเองดีกว่า” หลี่หลิงเฟิ่งเห็นแล้วให้เวทนาหมายจะแย่งกาน้ำชามาจากเหยาจี้ หากแต่ถูกหวังซีชิงตัดหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว

ชายหนุ่มรินน้ำชาให้นางด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลางเอ่ย “ท่านหายดีแล้วหรือ”

หลี่หลิงเฟิ่งเพียงหยักหน้าตอบ รับถ้วยชาจากหวังซีมาดื่ม “ของที่เจ้าให้ข้าดูเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ยังอยู่หรือไม่”

“ท่านรอสักครู่” ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเดินหายเข้าไปในห้องนอนไม่นานก็กลับมาพร้อมหลอดเลือดหลอดหนึ่งยื่นมาตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง

หญิงสาวเพ่งพินิจครู่ใหญ่ คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เลือดใครรึ” ดูเหมือนว่าเลือดก้อนนี้จะสำคัญอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เจ้าของเลือดสำคัญ ก็แสดงว่าเลือดไม่กี่หยดนี้มีสิ่งสำคัญซุกซ่อนอยู่

“เป็นเลือดของเจ้าสำนักแพทย์โอสถขอรับ เจ้าสำนักเดินทางไปร่วมงานชุมนุมที่แคว้นจวินเมื่อหกเดือนก่อน หลังจากกลับมาก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอันใด ทว่า ผ่านไปสองเดือนอาการป่วยก็เริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อย ไม่มีใครคาดคิดว่าเพียงไม่กี่วัน เจ้าสำนักก็อาการทรุดหนัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ ร่างกายผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ขอรับ”

มู่เจียง ศิษย์พี่ผู้กุมอำนาจทั้งหมดของสำนักแพทย์โอสถน่ะหรือ หลี่หลิงเฟิ่งคลึงหลอดเลือดในมือเล่น ใช้น้ำเสียงเฉื่อยเนือยเอ่ยถาม “นอกจากนั้นเล่า”

“ไม่ทราบขอรับ ข้าเองก็เพิ่งได้รับข่าวเมื่อไม่นานมานี้ เป็นข่าวล่าสุดเมื่อสองเดือนก่อน ท่านอาจารย์เองก็เร่งเดินทางกลับสำนักแพทย์โอสถ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะมาเจออาจารย์อาได้ขอรับ”

หลี่เจี้ยนที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมา “การส่งข่าวของสำนักพวกเจ้าล่าช้าไปมากทีเดียว” เหยาจี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ก้มหน้าสำนึกผิด

สายตาคมมองสบตากับหลี่หลิงเฟิ่ง “เสี่ยวเฟิ่ง ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว”

“อืม เป็นไปได้มากว่า สิ่งที่คนร้ายต้องการเป็นของสิ่งนี้” ชายทั้งสองตื่นตระหนกทันที ร่างสองร่างสั่นท้าน ข่าวการป่วยของท่านเจ้าสำนักเก็บเงียบเป็นความลับ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป สำนักพวกเขาต้องเกิดการสั่นคลอนแน่!

“ก่อนหน้านี้ข้าส่งคนไปแจ้งข่าวกับอาจารย์หูรอบหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าข่าวจะไปไม่ถึง” เหยาจี้เป็นกังวลเหลือแสน หากเรื่องนี้หลุดรอดออกไปก็ถือเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นอาการเจ็บป่วยของเจ้าสำนักทรุดลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดอีกนานเท่าใด

“อาจารย์อา ท่านบอกว่ารักษาได้ไม่ใช่หรือขอรับ” หวังซีเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหลี่หลิงเฟิ่ง ในใจเขาเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว

“อาจารย์อา ท่านรักษาได้จริงรึ” เหยาจี้ตะลึงงัน มองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ เรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีนางนี้มีความสามารถล้ำหน้านักหลอมโอสถในสำนักแพทย์โอสถทุกคน!

โอ้! หากเขาไม่เห็นกับตาว่านางรู้จักการใช้พิษ ตอนนี้นางคงถูกเขาหัวเราะเยาะไปแล้วเป็นแน่ เหยาจี้ยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจต่อโชคชะตา เขาอายุปูนนี้ยังเป็นแค่แพทย์โอสถ ฝึกฝนอยู่หลายปีก็ยังไม่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักหลอมโอสถ

แต่สตรีนางนี้เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง กลับก้าวข้ามพวกเขาทุกคนไปแล้ว!

หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สีหน้าปรากฏความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “ล่วงเลยมานานขนาดนี้ พิษคงกระจายตัวเข้าสู่ร่างกายไปหมดแล้ว หวังว่าพิษจะยังไม่ลามไปถึงหัวใจ” หากพิษอยู่ระดับเดียวกันกับเลือดในหลอดนี้ นางมั่นใจว่ารักษาได้ แต่ปล่อยไว้นานถึงขนาดนี้ ความมั่นใจของนางก็ลดลงหลายส่วน คงมีแค่หนทางเดียว นางต้องเดินทางไปดูด้วยตนเองสักครา

“พิษ!” เหยาจี้ตื่นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิม นี่เจ้าสำนักถูกวางยาพิษรึ เหตุใดถึงไม่มีผู้อาวุโสท่านใดกล่าวถึงเลยสักครั้ง

“อาจารย์อา ท่านหมายความว่า...” หวังซีหน้าซีดเผือด สามวันก่อนเขามาพร้อมความหวังเต็มเปี่ยม พอมาวันนี้กลับเหมือนมีคนขยี้มันทิ้งไปต่อหน้าต่อตา

“ตอนนี้ข้ายังตอบไม่ได้ จนกว่าจะได้เห็นอาการคนป่วย” หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้ว “แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าจะปรุงยาระงับพิษชั่วคราวให้ก่อน สามารถยืดการลุกลามของพิษเข้าสู่หัวใจช้าลงได้”

นางเงียบนิ่งครู่หนึ่ง เงยหน้ามองหวังซี ก่อนเอ่ยต่อ “ทางที่ดี เจ้านำมันไปส่งด้วยตนเองเถิด ระหว่างทางก็คิดหาเหตุผลดีๆ สักข้อบอกกล่าวตาเฒ่าหูซานสักหน่อย เรื่องที่เจ้าจะมาติดตามข้านับต่อแต่นี้”

ครั้นเห็นสายตาอยากจะร้องไห้ของอีกฝ่าย ก็ให้ไม่พอใจขึ้นมา ส่งสายตาค้อนขวับกลับไป “อันใด เจ้าคงไม่คิดว่าข้าว่างมากมีเวลาสอนเจ้าอยู่ที่นี่หรอกนะ สำคัญตัวผิดไปหรือไม่ หากไม่ติดตามข้าแล้ว จะเรียนรู้วิชาจากจินตนาการอย่างนั้นรึ ถ้าเจ้าเก่งกาจขนาดนั้น ไฉนไม่เป็นอัจริยะไปแล้วเล่า มาตามก้นหูซานอยู่หลายปีเพื่ออะไร”

“อาจารย์อา ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นขอรับ” หวังซีอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ความไม่ยินยอมพร้อมใจหายไปฉับพลัน อย่าเห็นว่าสตรีนางนี้จะใจดีเหมือนหน้าตาเชียว นางน่ะเป็นนางมารชัดๆ

ชายหนุ่มนึกไว้อาลัยให้กับชีวิตในอนาคตของตนเอง ไม่รู้จะพบกับหายนะอันใดบ้าง

“อาจารย์อา แล้วเรื่องคนร้ายล่ะขอรับ ข้ากลัวว่าหากไม่จับเขาเสียแต่เนิ่นๆ เกิดเรื่องเจ้าสำนักถูกพิษแพร่งพรายออกไป จะไม่เป็นการดีนะขอรับ” เหยาจี้เอ่ยแย้งออกมาในที่สุด หากหวังซีจากไปแล้ว เขาคนเดียวไม่มีทางจับคนทรยศผู้นี้ได้แน่

“จับโจรน่ะหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างเกียจคร้าน ประกายตาเจ้าเล่ห์พลันผุดขึ้นมา  “งานถนัดของข้าเลยล่ะ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ชายาอสรพิษ   อันตรายมาเยือน

    หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่

  • ชายาอสรพิษ   ภัยเงียบ

    ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ

  • ชายาอสรพิษ   เบื้องหลังที่ทับซ้อน

    ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน

  • ชายาอสรพิษ   ผ้าแพร

    สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น

  • ชายาอสรพิษ   เงามืด

    *ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ

  • ชายาอสรพิษ   พบศัตรูบนทางแคบ

    ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status