LOGINหลี่เจี้ยนชะงักงัน น้องเล็กดีใจที่ได้เจอเขาหรือ ความน้อยใจที่สั่งสมมาตลอดหลายวันพลันจางหายเพียงแค่ประโยคเดียวของนาง ริมฝีปากยกยิ้มอบอุ่น กล่าวอย่างอารมณ์ดี “ไป พี่จะพาเจ้าไปเปิดหูเปิดตา”
มือเรียวคล้องแขนผู้เป็นพี่ชาย ส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้ามีของขวัญจะให้ท่าน เดิมทีตั้งใจจะมอบให้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่เกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงไม่มีโอกาสสักครั้ง” นางกะพริบตากลมโตจ้องมองหลี่เจี้ยนตาแป๋ว น้ำเสียงใสพูดออกจากปากช่างไหลลื่น ไม่ติดขัดสักนิด
“สิ่งใดรึ” หลี่เจี้ยนตาเป็นประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น นานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความสำคัญจากน้องเล็ก ตั้งแต่นางกลับมาก็ทำตัวเหินห่างกับเขาราวกับคนแปลกหน้า
ตอนเด็กก็ยังชอบเกาะติดกับหลี่เฟยหยาง เขาเป็นเพียงพี่ชายที่เดินตามพวกนางอยู่ข้างหลัง นางระลึกถึงเขา จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไร
รอยยิ้มหวานไปจนถึงดวงตาถูกส่งไปให้อีกครา ชายหนุ่มมองอย่างเคลิบเคลิ้ม “สิ่งนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า ท่านเป็นคนแรกที่ได้รับมันเชียวนะเจ้าคะ”
นางปล่อยมือทั้งสองข้างที่คล้องแขนหลี่เจี้ยนออก จากนั้นหยิบเอาตลับยาในอกเสื้อออกมาก่อนยื่นให้ “ท่านเปิดดูสิ”
“น้องเล็ก” หลี่เจี้ยนซาบซึ้งใจยิ่งนัก กำตลับยาไว้แน่น ค่อยๆ เปิดมันออกมา สีหน้าที่กำลังดีใจพลันแข็งค้าง เขาถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“เอ่อ...น้องเล็ก สิ่งนี้คืออันใดหรือ” สมองของเขาเหมือนจะพิการไปชั่วขณะ ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่อยู่ในนี้เป็นยาลูกกลอนหรือไม่หนอ "ยาลูกกลอน?"
มันช่าง....หาคำใดมาเปรียบเทียบไม่ได้เลย
“ก็ใช่น่ะสิ” รอยยิ้มนางยังคงไม่จางหาย น้ำเสียงเบาสบายดังขึ้นอีกหน “เป็นยาลูกกลอนที่ข้าทำขึ้นมาเอง เก็บมันไว้ให้ท่านคนเดียวเลยนะ แม้แต่พี่ใหญ่ขอ ข้าก็ยังไม่ยอมให้”
“ยานี่...มันออกจะแตกต่างจากที่เคยพบเห็นอยู่สักหน่อย เจ้าแน่ใจนะว่ามันกินได้” กลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวนรอบบริเวณล้านกว้าง หลี่เจี้ยนมุมปากกระตุก หยิบเจ้าก้อนกลมๆ ดำๆ จากตลับขึ้นมา รอยไหม้ติดมือของเขาเป็นจุดกระดำกระด่าง ไม่มีกลิ่นหอมของสมุนไพรหลงเหลืออยู่เลยสักนิด
ครั้นเห็นน้องสาวก้มหน้างุด ก็คิดว่านางกำลังเศร้าสร้อย ในใจเขาพลันอ่อนยวบ แม้ใจจะคิดไปอีกทางแต่ปากกลับกล่าววาจาเชิงปลอบ น้ำเสียงที่เปล่งออกมานุ่มนวลกว่าทุกครั้ง “อืม แม้จะแตกต่างไปบ้าง รสชาติอาจจะไม่ถูกปาก แต่ก็ดูเหมือนจะมีสรรพคุณล้นหลาม ยาลูกกลอนที่น้องเล็กทำ จะเหมือนผู้อื่นได้อย่างไร จริงไหม”
คราวนี้เป็นเสี่ยวเซียงที่ตามหลี่หลิงเฟิ่งออกมา สีหน้าฉายแววซับซ้อนที่สุด มองหลี่เจี้ยนด้วยแววตาประหลาด คิดอย่างสงสัย อย่างนี้ก็เรียกว่ายาลูกกลอนได้แล้วหรือ เห็นอยู่ว่ายาลูกกลอนของคุณหนูน่าเกลียดเพียงใด คุณชายรองยังหาจุดชื่นชมปลอบใจคุณหนูออกมาได้ สมแล้วที่เป็นคุณชายรอง หากเป็นคนอื่นเกรงว่าคงไม่แม้แต่จะแตะมันด้วยซ้ำ
ครั้นเห็นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยสีหน้าคาดหวัง รอยยิ้มประดับบนใบหน้ายามปลุกปลอบน้องสาวเมื่อสักครู่บิดเบี้ยวเล็กน้อย เขารู้สึกสงสารตนเองอยู่บ้าง พลันอยากให้ที่ตรงนี้เป็นหลี่เฟยหยางแทน
หลี่เจี้ยนหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะกลืนยาลูกกลอนเข้าปากอย่างรวดเร็ว นี่เป็นความตั้งใจของน้องเล็กที่ทำเพื่อเขา เขาต้องรักถนอมน้ำใจของนาง ถึงอย่างไรก็คงไม่ถึงตาย
ความรู้สึกแรกช่างขมปร่าติดลิ้น แทบอยากจะคายทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น ทว่า ครู่ต่อมา ร่างสูงพลันเบิกตาโพลง ความเย็นสบาย สดชื่นราวอยู่ที่น้ำตกบนยอดเขาสูงเช่นนี้ ปลายจมูกสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมเย็นดั่งดอกไม้ป่า ใสสะอาด บริสุทธิ์ ตามมาด้วยอาการเมื่อยล้าจากการต่อสู้ค่อยๆถูกชะล้างลงในเวลาอันรวดเร็ว ความกระปรี้กระเปร่าเข้ามาแทนที่
“น้องเล็ก นี่...ยาลูกกลอนสะกดสำนึกรึ” หลี้เจี้ยนตกใจจนร่างกายแข็งทื่อ ไม่อยากเชื่อสายตา ณ เวลาที่เขากลืนยามันลงไปนั้น เขาเพียงกล้ำกลืนฝืนกินมันเพื่อน้องเล็ก ไม่คาดคิดว่า... “ไม่ถูก คล้ายคลึงแต่กลับไม่ใช่”
หลี่เจี้ยนขบคิดอยู่นานก็คิดไม่ออก เขาเคยศึกษายาลูกกลอนมาบ้าง แต่ที่เคยเห็นกลับนับนิ้วได้ เพราะยาลูกกลอนที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยมมักไม่ปรากฏตามท้องตลาด และเขาก็เองไม่ใช่แพทย์โอสถ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะรู้จักของสิ่งนี้
“ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว มันคือลูกกลอนสะกดสำนึก” หลี่หลิงเฟิ่งยกมือกอดอก หน้างดงามเชิดขึ้น “แต่ดีกว่าลูกกลอนสะกดสำนึก”
สองนายบ่าวมองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างงุนงง ทำไมพอฟังนางพูดถึงได้สับสนยิ่งกว่าเดิม เสี่ยวเซียงรู้สึกตนเองโง่เขลาในบัลดล “คุณหนูเจ้าขา แล้วมันใช่ลูกกลอนสะกดสำนึกหรือไม่เจ้าคะ”
“ลูกกลอนสะกดสำนึกทั่วไปเพียงรักษาอาการบาดเจ็บภายใน แต่ลูกกลอนที่ข้าหลอมขึ้นมายังช่วยฟื้นฟูพละกำลังให้กลับมาแข็งแรงดังเดิมได้” โดยทั่วไปลูกกลอนสะกดสำนึกเป็นยาลูกกลอนขั้นพื้นฐานที่สุด นักหลอมโอสถทุกคนเพียงหลับตาก็หลอมออกมาได้แล้ว เพียงแต่นางเปลี่ยนวัตถุดิบหลอมยา ใช้น้ำทิพย์ต่างน้ำแร่ คุณสมบัติจึงก้าวกระโดดขึ้นอีกขั้น
“ฮ่าๆ พี่คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นของดีอย่างแน่นอน” หลี่เจี้ยนหัวเราะร่า ขยี้ผมนางเบาๆ แม้รสชาติจะย่ำแย่อย่างมาก แต่สรรพคุณชนะเลิศ “มีหรือจะเอาของชั้นเลวพวกนั้นมาให้พี่”
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มตอบ ไม่เปิดโปงความคิดของเขา จากนั้นหันไปกล่าวกับเสี่ยวเซียงเสียงเรียบ “นี่ก็สายมากแล้ว ข้าจะไปดูหอแพทย์โอสถสักหน่อย เจ้าเฝ้าเรือนให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาวุ่นวาย”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเซียงรับคำ เดินคอตกล่าถอยกลับไป
“ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่” ไม่จำเป็นต้องตอบรับ มือหนาคว้ามือหลี่หลิงเฟิ่งเดินออกไปทันที หัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดีตลอดทาง
ณ ห้องด้านใน
“จนป่านนี้ยังสืบอะไรเพิ่มเติมไม่ได้เลย” เหยาจี้ตบโต๊ะอย่างแรง สีหน้าโกรธเกรี้ยว “ศิษย์ทั้งหมดในหอแพย์ไม่มีอันใดผิดปกติ ทุกคนต่างก็มีพู่ติดกายด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งยังมีพยานยืนยันที่อยู่กันหมด”
หวังซีหน้าตาสงบนิ่งกว่ามาก นิ้วชี้เคาะโต๊ะเป็นจังหวะเบาๆ “เพราะปกติเกินไปนี่ล่ะ ถึงไม่ปกติ”
เหยาจี้เผยสีหน้าอับจนปัญญา “เป็นไปได้หรือไม่ พวกเราอาจเดาผิดตั้งแต่แรก บางทีคนร้ายอาจเป็นคนนอก แต่เพราะต้องการใส่ความให้พวกเราหอแพทย์โอสถแตกคอกันเอง จึงตั้งใจทิ้งหลักฐานไว้ให้ดูต่างหน้า”
การดำรงอยู่ของพู่มาลา ทำให้เกิดความหวาดระแวงกันเองภายในหอแพทย์โอสถ กลายเป็นหนอนร้ายชอนไชกัดกินหัวใจทุกคนทีละนิด หากปล่อยไว้อย่างนี้ต่อไป ไม่ช้าก็เร็วต้องเกิดรอยร้าวขึ้นสักวัน
“หากเป็นอย่างที่เจ้าว่า จะอธิบายเรื่องพู่มาลาอย่างไร บุคคลภายนอกที่ไม่ใช่สมาชิกของหอแพทย์ไม่มีทางจะมีมันได้” หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาเอาแต่ครุ่นคิด หาตัวคนทรยศ ไม่ได้หลับไม่ได้นอนกันตลอดทั้งวันทั้งคืน
“จะคนในก็ดี คนนอกก็ช่าง ไม่ว่ายากเย็นเพียงไร จำต้องลากตัวมันออกมาให้จงได้” หวังซีคลึงขมับอย่างเหนื่อยล้า “ใครก็ตามที่ต้องการทำลายหอแพทย์โอสถ ข้าไม่ยอมให้มันอยู่อย่างสบายใจแน่”
คนที่มีเรื่องกับสำนักแพทย์โอสถ ไม่เคยมีใครได้กลับมาพูดถึงความร้ายกาจของพวกเขาเลยสักครั้ง เพราะคนพวกนั้นล้วนหมดลมหายใจกันไปก่อนแล้วอย่างไรล่ะ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก บุรุษทั้งสองหันหน้าไปมอง พลันพบศิษย์หอแพทย์คนหนึ่งเดินนำพี่น้องตระกูลหลี่เข้ามา คำนับอย่างนอบน้อมครั้งหนึ่งก่อนจะถอยออกไป
“อาจารย์อา” เหยาจี้ลุกพรวดออกจากเก้าอี้ กูลีกุจอเข้ามาคำนับหลี่หลิงเฟิ่ง เชื้อเชิญนางมานั่งยังตำแหน่งเดิมของตน ส่วนเจ้าตัวนั่งลงบนเก้าอี้ว่างข้างตัวหวังซีแทน พลางหันไปพยักหน้าให้หลี่เจี้ยนเป็นเชิงทักทาย
“เหตุใดท่านไม่แจ้งก่อน พวกข้าจะได้ลงไปต้อนรับ” ตื่นเต้นดีใจจนมือที่กำลังรินน้ำชาให้หลี่หลิงเฟิ่งสั่นเทาไม่หยุด น้ำชากระฉอก หกกระเด็นเต็มพื้น
“ข้าทำเองดีกว่า” หลี่หลิงเฟิ่งเห็นแล้วให้เวทนาหมายจะแย่งกาน้ำชามาจากเหยาจี้ หากแต่ถูกหวังซีชิงตัดหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว
ชายหนุ่มรินน้ำชาให้นางด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลางเอ่ย “ท่านหายดีแล้วหรือ”
หลี่หลิงเฟิ่งเพียงหยักหน้าตอบ รับถ้วยชาจากหวังซีมาดื่ม “ของที่เจ้าให้ข้าดูเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้ยังอยู่หรือไม่”
“ท่านรอสักครู่” ชายหนุ่มครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเดินหายเข้าไปในห้องนอนไม่นานก็กลับมาพร้อมหลอดเลือดหลอดหนึ่งยื่นมาตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง
หญิงสาวเพ่งพินิจครู่ใหญ่ คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นเล็กน้อย ยิ้มอย่างเกียจคร้าน “เลือดใครรึ” ดูเหมือนว่าเลือดก้อนนี้จะสำคัญอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เจ้าของเลือดสำคัญ ก็แสดงว่าเลือดไม่กี่หยดนี้มีสิ่งสำคัญซุกซ่อนอยู่
“เป็นเลือดของเจ้าสำนักแพทย์โอสถขอรับ เจ้าสำนักเดินทางไปร่วมงานชุมนุมที่แคว้นจวินเมื่อหกเดือนก่อน หลังจากกลับมาก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอันใด ทว่า ผ่านไปสองเดือนอาการป่วยก็เริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อย ไม่มีใครคาดคิดว่าเพียงไม่กี่วัน เจ้าสำนักก็อาการทรุดหนัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ ร่างกายผ่ายผอมลงเรื่อยๆ ขอรับ”
สวีคุน ศิษย์พี่ผู้กุมอำนาจทั้งหมดของสำนักแพทย์โอสถน่ะหรือ หลี่หลิงเฟิ่งคลึงหลอดเลือดในมือเล่น ใช้น้ำเสียงเฉื่อยเนือยเอ่ยถาม “นอกจากนั้นเล่า”
“ไม่ทราบขอรับ ข้าเองก็เพิ่งได้รับข่าวเมื่อไม่นานมานี้ เป็นข่าวล่าสุดเมื่อสองเดือนก่อน ท่านอาจารย์เองก็เร่งเดินทางกลับสำนักแพทย์โอสถ เกรงว่าคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะมาเจออาจารย์อาได้ขอรับ”
หลี่เจี้ยนที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นมา “การส่งข่าวของสำนักพวกเจ้าล่าช้าไปมากทีเดียว” เหยาจี้พลันหน้าเปลี่ยนสี ก้มหน้าสำนึกผิด
สายตาคมมองสบตากับหลี่หลิงเฟิ่ง “เสี่ยวเฟิ่ง ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว”
“อืม เป็นไปได้มากว่า สิ่งที่คนร้ายต้องการเป็นของสิ่งนี้” ชายทั้งสองตื่นตระหนกทันที ร่างสองร่างสั่นท้าน ข่าวการป่วยของท่านเจ้าสำนักเก็บเงียบเป็นความลับ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป สำนักพวกเขาต้องเกิดการสั่นคลอนแน่!
“ก่อนหน้านี้ข้าส่งคนไปแจ้งข่าวกับอาจารย์หูรอบหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าข่าวจะไปไม่ถึง” เหยาจี้เป็นกังวลเหลือแสน หากเรื่องนี้หลุดรอดออกไปก็ถือเป็นความผิดของเขาด้วยส่วนหนึ่ง นอกเหนือจากนั้นอาการเจ็บป่วยของเจ้าสำนักทรุดลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดอีกนานเท่าใด
“อาจารย์อา ท่านบอกว่ารักษาได้ไม่ใช่หรือขอรับ” หวังซีเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหลี่หลิงเฟิ่ง ในใจเขาเริ่มวิตกกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว
“อาจารย์อา ท่านรักษาได้จริงรึ” เหยาจี้ตะลึงงัน มองหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ เรื่องนี้ออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง เด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีนางนี้มีความสามารถล้ำหน้านักหลอมโอสถในสำนักแพทย์โอสถทุกคน!
โอ้! หากเขาไม่เห็นกับตาว่านางรู้จักการใช้พิษ ตอนนี้นางคงถูกเขาหัวเราะเยาะไปแล้วเป็นแน่ เหยาจี้ยิ่งคิดยิ่งคับแค้นใจต่อโชคชะตา เขาอายุปูนนี้ยังเป็นแค่แพทย์โอสถ ฝึกฝนอยู่หลายปีก็ยังไม่ผ่านการคัดเลือกเป็นนักหลอมโอสถ
แต่สตรีนางนี้เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง กลับก้าวข้ามพวกเขาทุกคนไปแล้ว!
หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สีหน้าปรากฏความลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด “ล่วงเลยมานานขนาดนี้ พิษคงกระจายตัวเข้าสู่ร่างกายไปหมดแล้ว หวังว่าพิษจะยังไม่ลามไปถึงหัวใจ” หากพิษอยู่ระดับเดียวกันกับเลือดในหลอดนี้ นางมั่นใจว่ารักษาได้ แต่ปล่อยไว้นานถึงขนาดนี้ ความมั่นใจของนางก็ลดลงหลายส่วน คงมีแค่หนทางเดียว นางต้องเดินทางไปดูด้วยตนเองสักครา
“พิษ!” เหยาจี้ตื่นตระหนกตกใจยิ่งกว่าเดิม นี่เจ้าสำนักถูกวางยาพิษรึ เหตุใดถึงไม่มีผู้อาวุโสท่านใดกล่าวถึงเลยสักครั้ง
“อาจารย์อา ท่านหมายความว่า...” หวังซีหน้าซีดเผือด สามวันก่อนเขามาพร้อมความหวังเต็มเปี่ยม พอมาวันนี้กลับเหมือนมีคนขยี้มันทิ้งไปต่อหน้าต่อตา
“ตอนนี้ข้ายังตอบไม่ได้ จนกว่าจะได้เห็นอาการคนป่วย” หลี่หลิงเฟิ่งขมวดคิ้ว “แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ข้าจะปรุงยาระงับพิษชั่วคราวให้ก่อน สามารถยืดการลุกลามของพิษเข้าสู่หัวใจช้าลงได้”
นางเงียบนิ่งครู่หนึ่ง เงยหน้ามองหวังซี ก่อนเอ่ยต่อ “ทางที่ดี เจ้านำมันไปส่งด้วยตนเองเถิด ระหว่างทางก็คิดหาเหตุผลดีๆ สักข้อบอกกล่าวตาเฒ่าหูซานสักหน่อย เรื่องที่เจ้าจะมาติดตามข้านับต่อแต่นี้”
ครั้นเห็นสายตาอยากจะร้องไห้ของอีกฝ่าย ก็ให้ไม่พอใจขึ้นมา ส่งสายตาค้อนขวับกลับไป “อันใด เจ้าคงไม่คิดว่าข้าว่างมากมีเวลาสอนเจ้าอยู่ที่นี่หรอกนะ สำคัญตัวผิดไปหรือไม่ หากไม่ติดตามข้าแล้ว จะเรียนรู้วิชาจากจินตนาการอย่างนั้นรึ ถ้าเจ้าเก่งกาจขนาดนั้น ไฉนไม่เป็นอัจริยะไปแล้วเล่า มาตามก้นหูซานอยู่หลายปีเพื่ออะไร”
“อาจารย์อา ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นขอรับ” หวังซีอยากจะร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว ความไม่ยินยอมพร้อมใจหายไปฉับพลัน อย่าเห็นว่าสตรีนางนี้จะใจดีเหมือนหน้าตาเชียว นางน่ะเป็นนางมารชัดๆ
ชายหนุ่มนึกไว้อาลัยให้กับชีวิตในอนาคตของตนเอง ไม่รู้จะพบกับหายนะอันใดบ้าง
“อาจารย์อา แล้วเรื่องคนร้ายล่ะขอรับ ข้ากลัวว่าหากไม่จับเขาเสียแต่เนิ่นๆ เกิดเรื่องเจ้าสำนักถูกพิษแพร่งพรายออกไป จะไม่เป็นการดีนะขอรับ” เหยาจี้เอ่ยแย้งออกมาในที่สุด หากหวังซีจากไปแล้ว เขาคนเดียวไม่มีทางจับคนทรยศผู้นี้ได้แน่
“จับโจรน่ะหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างเกียจคร้าน ประกายตาเจ้าเล่ห์พลันผุดขึ้นมา “งานถนัดของข้าเลยล่ะ”
สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม
หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้





![ภรรยาเช่นข้าหาได้ยากยิ่ง [ตัวประกอบ]](https://acfs1.goodnovel.com/dist/src/assets/images/book/43949cad-default_cover.png)

