Home / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / ศัตรูในที่มืด 4

Share

ศัตรูในที่มืด 4

last update Last Updated: 2024-12-25 19:28:28

เสียงตึงตังบริเวณทางเดินชั้นสองดังสนั่นไปถึงชั้นล่าง จะโทษก็โทษที่หอแพทย์โอสถแห่งนี้วัสดุทำขึ้นจากไม้ บุรุษทั้งสามวิ่งมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูบานหนึ่ง หายใจหอบถี่ หวังซีจัดเครื่องแต่งกาย ผมเผ้า และปรับสีหน้าให้สงบนิ่งเหมือนยามปกติ เคาะประตูสองครั้งจากนั้นค่อยๆ ผลักเข้าไป

เหยาจี้เห็นท่าทางของหวังซีพลันยิ้มกรุ้มกริ่ม เดินตามหลังเข้าไป มีเพียงถงลี่ยืนเฝ้าสถานการณ์อยู่ด้านนอก ช่างใจจะเข้าไปดีหรือไม่ หลังจากความคิดตีกันในหัวอยู่นาน สุดท้ายตัดสินใจเดินคอตกเข้าไป

“ผู้อาวุโสหวัง” เมื่อเห็นชายทั้งสามเดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังมีชายหนุ่มที่ต้องการอยากพบจึงส่งเสียงกระเช้าเย้าแหย่ไปให้ หัวเราะเบาๆ อย่างคนอารมณ์ดี

เมื่อได้ยินเสียงหลี่หลิงเฟิ่ง เขาถึงกับขนลุกซู่ มุมปากหวังซีกระตุกครั้งหนึ่ง ยกยิ้มพิลึกพิลั่น พลางเดินเข้าไปหาทั้งสองคนที่นั่งอยู่กลางห้อง

“คารวะผู้อาวุโสหวัง” หลี่เจี้ยนลุกขึ้นยืนคำนับ ใคร่นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ดวงตาคมมองสลับระหว่างหวังซีและหลี่หลิงเฟิ่งไปมา

หวังซีพยักหน้าน้อยๆ ตอบกลับหลี่เจี้ยน ทว่า ตัวกลับคำนับหลี่หลิงเฟิ่งแทน ทำเอาทุกคนภายในห้องงุนงงกันถ้วนหน้า “แม่นางหลี่ กล่าวหนักไปแล้ว”

“มารยาทไม่อาจละเว้น” ทั้งสามมองหน้ากันไปมา ไม่เข้าใจการสื่อสารอันพิลึกเช่นนี้ 

มารยาทอันใด พวกเขายังเห็นนางนั่งเอกเขนกอยู่ที่เดิมทักทายหวังซีราวกับคนระดับเดียวกันอยู่เลย

สีหน้าผู้อาวุโสหวังไม่เปลี่ยนแปลง หากใครจะรู้ว่าในใจเขาอมทุกข์แค่ไหน ผู้อื่นไม่เข้าใจ แต่เขาเข้าใจชัดแจ้ง

นางกำลังล้อเลียนเขาอยู่

หลี่หลิงเฟิ่งพึงพอใจกับความหัวไวของหวังซี ไม่เปิดโปงสถานะของนาง นึกอยากเลิกแกล้งชายหนุ่ม ทว่า เมื่อมองใบหน้านิ่งดังขอนไม้นั่นแล้ว นางอดไม่ได้จริงๆ อยากจะเห็นหน้าตาอย่างอื่นของศิษย์หลานผู้นี้บ้าง “ท่านช่วยดูหน่อยเถิด อาการข้าสาหัสมากหรือไม่”

ไม่พูดเปล่า มือเรียวจับชายแขนเสื้อหวังซีกระตุกเบาๆ หวังซีเดินเข้าไปใกล้อีกนิดอย่างจำยอม หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกว้าง ขณะพูดมือเนียนนุ่มอีกข้างค่อยๆ แหวกเสื้อออกเผยให้เห็นไหล่ซ้ายที่เต็มไปด้วยเลือดพร้อมกับแผลฉกรรจ์เป็นรูลึกประมาณสามชุ่น ลากยาวไปจนถึงต้นแขน

ถงลี่ตาเบิกกว้างตั้งแต่เห็นหลี่หลิงเฟิ่งยกมือจับคอเสื้อ รีบก้มหน้าลงทันที ส่วนเหยาจี้ปากอ้าตาค้างไปนานแล้ว สตรีของศิษย์พี่ช่างไม่ธรรมดา มีเพียงหวังซีเท่านั้นที่หน้าเข้มขึ้นหลายส่วน

“น้องเล็ก!” หลี่เจี้ยนร้องเสียงหลง รีบตรงมาจัดเสื้อผ้านางให้เข้าที่ตามเดิม ส่งสายตาดุดันเชิงตำหนิ ปากบ่นอุบ “เป็นสาวเป็นแส้ไม่ควรเปิดเผยเนื้อหนังต่อหน้าชายอื่น”

โบราณ!

หลี่หลิงเฟิ่งกลอกตามองบน ก่อนมองค้อนหลี่เจี้ยน นางแค่จะแกล้งหวังซีเล่นเท่านั้น วาจาของหลี่เจี้ยนเล่นเอานางหมดสนุก “หากไม่ให้ดู แล้วจะรักษาอย่างไร”

“ถงลี่ เจ้าพาคุณชายหลี่ออกไปรอที่ห้องรับรองก่อนเถิด” หวังซีเคร่งเครียดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ยื่นมือหมายเปิดคอเสื้อหลี่หลิงเฟิ่งด้วยตนเอง หากแต่ถูกหลี่เจี้ยนปัดทิ้งเสียก่อน

“ผู้อาวุโสหวัง โปรดสำรวมด้วย” เสียงแข็งกระด้างไม่พอใจเอ่ยออกมา พร้อมยืนบังตัวหลี่หลิงเฟิ่งเอาไว้

หวังซีชะงัก หลับตาทั้งสองข้างลง “ข้าจะดูแผลของนาง ไม่ได้จะล่วงเกิน” หวังซีสีหน้าอึมครึม เขาเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว “ถงลี่่”

ถงลี่ไม่รอช้า รีบเข้าไปลากตัวหลี่เจี้ยนออกมา “คุณชายรองหลี่ เชิญท่านออกไปก่อนเถิด”

ชายหนุ่มไม่ขยับ มองหวังซีอย่างดุดัน หลี่หลิงเฟิ่งเองก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเช่นกัน นางปวดจะตายอยู่แล้ว ยังจะมาทำตัวงี่เง่าอะไรอยู่อีก “พี่รอง ท่านออกไปรอข้าอยู่ข้างนอกก่อนเถิด หากท่านไม่วางใจจะยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องก็ย่อมได้ แต่อย่าได้รบกวนการรักษาเด็ดขาด”

เมื่อได้ยินเสียงที่เริ่มไม่พอใจของหลี่หลิงเฟิ่ง หลี่เจี้ยนพลันได้สติ มองหวังซีอย่างขอลุแก่โทษ ก่อนจะถอยออกมา “ขออภัย”

เมื่อประตูห้องปิดลง หวังซีไม่รอช้า น้ำเสียงร้อนรนถามขึ้นทันที “เกิดเรื่องอันใดขึ้น” นางเพิ่งห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

“ไว้จะเล่าให้ฟัง แต่ตอนนี้ข้าขอยาถอนพิษก่อน ปวดจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว โอย” หลี่หลิงเฟิ่งโอดครวญ ทิ้งมาดสง่างามไปหมดสิ้น นั่งแผ่หลาบนเก้าอย่างหมดสภาพ กว่าจะมาถึงที่นี่ก็ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม นางอดทนอดกลั้นมาตลอดทาง ยาระงับความเจ็บปวดใดๆ ก็ไม่ได้กิน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ขยับเขยื้อน หญิงสาวจึงนึกขึ้นได้ “ไม่มีหรือ ยาระงับพิษชั่วคราวคงมีกระมัง”

“ท่านรอประเดี๋ยว” เหยาจี้หายจากอาการตกตะลึง ตอบรับหญิงสาว รีบไปเอายาลูกกลอนมาให้นาง

เมื่อเห็นว่าอยู่กันแค่สองคน หวังซีจึงอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “อาจารย์อา ตกลงเกิดอะไรขึ้นที่จวนท่านกันแน่ เหตุใดท่านจึงถูกพิษหยาดรัตติกาลได้เล่า”

พิษหยาดรัตติกาล เป็นพิษที่เกิดจากเกสรดอกถานฮวา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดอกไม้รัตติกาล แม้พิษชนิดนี้ไม่ร้ายแรง ถ้าเกิดปล่อยทิ้งไว้หลายวันไม่รีบกินยาถอนพิษจะทำให้ผู้ฝึกพลังยุทธ์หรือสัตว์อสูรพลังถดถอยลงทีละนิด สองสามชั่วยามแรกจะรู้สึกเจ็บราวถูกน้ำร้อนราด เมื่อพิษลุกลามไปทั่วร่างจะค่อยๆ กัดกร่อนโลหิต เป็นสาเหตุให้ร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน เมื่อร่างกายมีรอยแผลไปสัมผัสโดนผู้ถูกพิษเข้าก็จะได้รับพิษจากอีกฝ่ายไปด้วย

“ไม่มีอันใด แค่โดนหมูตัวหนึ่งกัดก็เท่านั้น” หวังซีคิดจะแย้ง หากถูกหลี่หลิงเฟิ่งชิงพูดขึ้นเสียก่อน “เจ้าเองก็เก่งไม่เบานี่นา มองปราดเดียวรู้ว่าข้าต้องพิษ แถมยังรู้ว่าเป็นพิษจากดอกถานฮวา”

หวังซียกมือขึ้นลูบหูแก้อาการเก้อกระดาก “ข้าเพียงศึกษามาเล็กน้อย ไหนเลยจะรับคำชมจากท่านได้”

หญิงสาวเพียงมองยิ้มๆ “เจ้าอยากถูกใต้หล้าขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งพิษหรือไม่ หมื่นพิษไม่อาจกล้ำกราย ” หญิงสาวเลิกคิ้วเชิงถาม “ว่าอย่างไร อยากหรือไม่อยาก”

ตุบ!

“อาจารย์อา ได้โปรดชี้แนะศิษย์หลานด้วยเถิดขอรับ” เสียงคุกเข่าดังพอๆ กับเสียงโขกศีรษะของหวังซี แววตาซาบซึ้งใจของหวังซีแผ่ซ่านเข้าสู่หัวใจหลี่หลิงเฟิ่ง ทว่า ทุกอย่างจะดีกว่านี้หากศิษย์หลานของนางไม่รุ่นราวคราวพ่อ หญิงสาวส่งยิ้มให้อย่างเหยเก

“บอกไว้ก่อน จะเรียนรู้จากข้านั้นไม่ง่าย เจ้าต้องมุ่งมั่น หนักแน่น อดทน หากเจ้าไม่มีสามสิ่งนี้ ข้าจะไม่สอนให้เสียเวลา” เส้นเลือดบนขมับบของนางเต้นตุบๆ ไม่หยุด หากว่ากันตามจริงแล้ว หวังซีถือได้ว่าเป็นบุรุษหล่อเหลาผู้หนึ่ง แค่ดูเป็นผู้ใหญ่จนเกินไปเมื่อเทียบกับร่างกายอายุสิบห้าของนาง ภายภาคหน้าคงมีเรื่องอย่างนี้อีกมาก นางควรจะทำใจให้ชินเสียตั้งแต่เนิ่นๆ

“ศิษย์หลานจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังขอรับ” อืม ใบหน้ามุ่งมั่น น้ำเสียงหนักแน่น สุขุม เยือกเย็น ขาดก็แต่ความเจ้าเล่ห์ ส่วนนี้คงต้องฝึกกันอีกนาน

ผลั่ก!

“ยาระงับพิษมาแล้ว สามารถระงับพิษได้เพียงเจ็ดวันเท่านั้น เอ่อ...” เหยาจี้เปิดประตูเข้ามาเห็นฉากศิษย์พี่หวังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าสางงาม หน้าตาเหลอหลา ทำอันใดไม่ถูก นี่เขาเข้ามาผิดเวลาหรือไม่

หลี่หลิ่งเฟิ่งตาเป็นประกาย กวักมือเรียกเหยาจี้ “รีบนำมาให้ข้าเร็วเข้า”

เหยาจี้ส่งยาให้หลี่หลิงเฟิ่ง เอ่ยปากขอตัวด้วยน้ำสียงกระอักกระอ่วน “เอ่อ งั้น...งั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านสองคนแล้ว ขอตัวก่อน”

“เดี๋ยวก่อน” หวังซีกลุ้มใจหนัก เกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิด จากนั้นเรื่องไปถึงหูอาจารย์ขึ้นมา เขาอาจตายโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ “พวกข้าเกี่ยวข้องกันจริง แต่ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด”

“ศิษย์พี่ไม่ต้องเขินอาย คนกันเองๆ” เหยาจี้ยิ้มอย่างมีเลศนัยไปทางหลี่หลิงเฟิ่งที่กำลังอ้าปากกินยาลูกกลอน “ใช่หรือไม่แม่นางหลี่”

หลี่หลิงเฟิ่งชะงักมือ มองหน้าเหยาจี้สลับกับหวังซี จากนั้นเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจพลันดังลั่นห้อง หญิงสาวไม่ตอบอันใด กระทั่งยกมือป้องปากยามหัวเราะยังไม่ทำ

“เหยาจี้! หากไม่รู้อันใดก็หุบปากไปซะ” หวังซีตวาดเสียงเข้ม ก่อนจะพูดกับหลี่หลิงเฟิ่งด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด “อาจารย์อา ขออภัยที่ศิษย์ล่วงเกินท่านขอรับ”

“อะ อาจารย์อา” เหยาจี้ราวกับถูกสายฟ้าฟาด เสียงหึ่งๆ ดังสนั่นอยู่ในหู เขาฟังผิดไปหรือไม่ ศิษย์พี่เรียกนางว่าอะไรนะ อาจารย์อา? สำนักแพทย์โอสถมีอาจารย์อาหญิงโผล่มาจากไหน

แถมยัง...อายุน้อยเพียงนี้ พ้นวัยปักปิ่นหรือยังก็ไม่รู้ ล้อกันเล่นใช่หรือไม่

แต่เมื่อมองสายตาเย็นยะเยือกของหวังซี คำพูดโต้แย้งกลืนลงท้องทันที เข่าทั้งสองข้างวางลงบนพื้นฉับพลัน “อะ อาจารย์อา ศิษย์หลานเหยาจี้ขออภัยขอรับ ศิษย์หลานกล่าวผิดไปแล้ว สมควรได้รับการลงโทษ”

ณ เวลานี้ ถ้าเท้าของนางสามารถก่ายหน้าผากได้นางคงทำไปแล้ว น่าเหนื่อยใจยิ่งนัก หลี่หลิงเฟิ่งพยายามรักษาท่าทีสุขุม ตอบรับเบาๆ แค่ “อืม” จากนั้นรีบกลืนยาลูกกลอนลงท้องอย่างรวดเร็ว กลัวว่าหากช้าไปเพียงนิดอาจมีเรื่องทำให้นางสำลักขณะกำลังกลืนได้

เมื่อเห็นว่าหลี่หลิงเฟิ่งไม่พูดอันใด บุรุษทั้งสองเหงื่อตกยิ่งกว่าเดิม แม้แต่หายใจแรงยังไม่กล้า อาจารย์อาต้องไม่พอใจพวกเขามากเป็นแน่

บรรยากาศรอบตัวค่อนข้างเงียบผิดปกติจนหลี่หลิงเฟิ่งรู้สึกได้ มองทั้งสองคนที่ยังคุกเข่าอยู่ “ทำไมยังไม่ลุกอีกเล่า ไม่เมื่อยกันหรือ”

“อาจารย์อา อย่าได้โกรธพวกข้าเลย โปรดลงโทษตามใจชอบเถิดขอรับ” หรือนางโกรธจนไม่อยากจะเอ่ยวาจากับพวกเขาแล้ว เหยาจี้อยากตบปากตัวเองนัก กล่าววาจาล่วงเกินนางได้อย่างไร

หญิงสาวหน้าตาเหลอหลา โกรธหรือ โกรธอันใด เมื่อใคร่ครวญอย่างจริงจัง จากนั้นจึงเข้าใจ หลี่หลิงเฟิ่งร้อง ‘อ้อ’ ออกมาเบาๆ สายตาเจ้าเล่ห์พลันปรากฏขึ้น “จะบอกว่าไม่ถือสาอันใดเลยก็คงไม่ใช่ หากพวกเจ้าอยากให้ข้าลืมเรื่องนี้เสีย ยังนับว่ามีหนทาง”

หนังตาขวาของหวังซีเริ่มกระตุก น้ำเสียงแบบนี้ของนาง มักส่งสัญญาณว่าหายนะกำลังจะมาเยือน ส่วนเหยาจี้ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่พยักหน้าขึ้นลงหลายทีอย่างกระตือรือร้น

หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกว้าง “บาดแผลของข้าแม้จะดูน่ากลัวไปสักหน่อย แต่ไม่ได้บาดลึกอันใด รักษาไม่ให้โดนน้ำสองสามวันก็ดีขึ้น แต่ที่น่ากังวลคือพิษหยาดรัตติกาลต่างหาก จำต้องรักษาตัวเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดอีกหลายวัน และไม่อาจเดินทางไกลได้ พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่”

เฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด? เดินทางไม่ได้? ใบหน้าพวกเขาสลับซับซ้อนประเดี๋ยวขาวประเดี๋ยวดำ สมองทึ่มทื่อไปหมด

"เกรงว่าหลายวันนี้คงไม่อาจทำตามพระบัญชาของฮ่องเต้ได้ จำต้องเลื่อนการเดินทางออกไปจนกว่าจะหายดี"

“หืม?” เสียงสูงในลำคอหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้วทั้งสองข้าง

เหยาจี้ยิ้มตอบ ผงกศีรษะรัวๆ “แน่นอน อาจารย์อาได้รับพิษร้ายแรง ควรอยู่นิ่งๆ สงบๆ รักษาตนเองให้หายดีสักหนึ่งเดือน ร่างกายไม่ควรได้รับความกระทบกระเทือนมากจนเกินไปจึงไม่เหมาะที่จะเดินทางขอรับ”

นิ่งๆสงบๆ รึ เหลวไหลทั้งเพ หวังซีเหลือบมองเหยาจี้ที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ สายตาประหลาดพิกล

หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มอย่างพอใจ แอบวักน้ำทิพย์ใส่ขวดแก้วสองใบในช่วงที่บุรุษทั้งสองก้มหน้าคุกเข่า แล้วส่งให้คนละขวด “ของขวัญแรกพบหน้า รับไปสิ”

จะว่าไปยังมีหวังข่ายและอีกหลายคน ในอนาคตนางยังต้องเสียทรัพยากรอีกมาก แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว

ช่างเถิด วันหน้าค่อยว่ากัน

“น้ำ...น้ำทิพย์!” สองหลานศิษย์เบิกตาโพลง กลิ่นหอมกำจายตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ของดี!

“อาจารย์อา ท่านหา...” ยังไม่ทันที่เหยาจี้พูดจบประโยค หลี่หลิงยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน พลังจิตของนางส่งสัญญาณอันตราย มีผู้บุกรุก!

“มีคนร้าย อยู่ชั้นบน” หวังซีเองก็สัมผัสได้เช่นกัน หัวคิ้วเรียวขมวดแน่น ผลุนผลันออกไป

หลี่หลิงเฟิ่งรีบคว้าแขนหวังซีที่ตั้งท่าจะออกไปไว้ทันท่วงที “อย่าไป เจ้าสู้มันไม่ได้”

“แต่ว่า...” ชายหนุ่มคิดแย้ง หลี่หลิงเฟิ่งถลึงตาดุใส่ ชายหนุ่มได้แต่หุบปากฉับ ยืนนิ่งอยู่กับที่

แม้จะไม่รู้ว่านางรู้ได้อย่างไร แต่นางเป็นอาจารย์ เขาเลือกที่จะเชื่อฟัง

“เจ้าไปป่าวประกาศให้ทั่วหอ เร็ว!” หลี่หลิงเฟิ่งหันไปสั่งเหยาจี้ หญิงสาวกัดริมฝีปากแน่น น่าเสียดายตอนนี้นางไม่อาจใช้พลังยุทธ์ได้ หมูป่าทองก็ยังสลบสไลอยู่ในมิติมายา

ทำได้เพียงให้หอแพทย์โกลาหลเท่านั้น ถึงจะสามารถไล่ผู้บุกรุกไปได้ หากจับได้ก็ถือเป็นโชคดีของพวกเขา

“มีผู้บุกรุก! เร็วเข้า ช่วยกันจับไอ้โจรชั่ว” เหยาจี้ทำตามอย่างที่หลี่หลิงเฟิ่งบอกทุกประการ ทันใดนั้นหอแพทย์โอสถเกิดความวุ่นวายทันที

เคร้ง!

เสียงตกแตกดังมาจากชั้นบน พร้อมกับเสียงต่อสู้ให้ได้ยินเป็นระยะ หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจ สถานการณ์ตึงเครียดในที่สุดก็คลี่คลาย

“หอแพทย์มีของล้ำค่าอันใดหรือ” นอกจากสมุนไพร ตำราแพทย์ ก็ไม่มีสิ่งใดให้เอาไปได้ แล้วมันต้องการอะไร

หวังซีหน้าตาเคร่งเครียดขึ้นมาทันที นิ่งคิดอยู่เป็นนาน สุดท้ายได้แต่ส่ายหน้าตอบกลับไป “ข้าเองก็ไม่รู้”

“จริงสิ อาจารย์อา” เหมือนจะคิดอันใดได้ สีหน้าเขาตื่นเต้นเล็กน้อย “ข้ามีของสิ่งหนึ่งอยากให้ท่านช่วยดูสักหน่อย” มือหนาหยิบหลอดแก้วขนาดเรียวเล็ก ด้านในบรรจุโลหิตไว้เต็มหลอดออกมาจากอกเสื้อ ยื่นไปตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง

“นี่คือสิ่งใด” หลี่หลิงเฟิ่งรับมา เปิดฝากออก สูดดมเล็กน้อย กลิ่นฉุนประหลาดปะปนมากับกลิ่นเลือด

ความสงสัยยังคงไม่จางหาย หลี่หลิงเฟิ่งปิดฝาแล้วส่งคืนหวังซี ก่อนเอ่ยถาม “เลือดพิษรึ”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ท่านรู้จักหรือไม่”

แววตากลมโตเป็นประกาย น้ำเสียงเจ้าเล่ห์เอ่ยออกมาอีกครั้ง “ไม่ใช่แค่รู้จัก แต่ยังรักษาได้อีกด้วย”

“แต่ตอนนี้ รักษาพิษในร่างของข้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบกระดาษบนโต๊ะขึ้นมาขีดเขียนครู่เดียวก่อนจะยื่นให้หวังซี "สมุนไพรและวิธีปรุงยาแก้พิษหยาดรัตติกาล ทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว หากเจ้าสามารถปรุงมันออกมาได้ภายในระยะเวลาเพียงสองเค่อ ข้าจึงจะยอมรับเจ้าอย่างเป็นทางการ"

หลังจากหวังซีออกไปไม่นาน เหยาจี้พาหลี่เจี้ยนเข้ามา แววตาโกรธเกรี้ยวอัดอั้น มากกว่านั้นคือความรู้สึกผิด หยุดยืนตรงหน้าหลี่หลิงเฟิ่ง หญิงสาวสำรวจเนื้อตัวของทั้งคู่อย่างละเอียดรอบหนึ่งจึงค่อยโล่งใจ ถอนสายตากลับมาดังเดิม ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด

“เป็นอย่างไรบ้าง” ถึงแม้พอจะเดาผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว ก็ยังอดถามออกไปไม่ได้

เหยาจี้กัดฟันกรอดอย่างแค้นเคือง “ตอนข้าไปถึงข้าวของในห้องถูกมันรื้อกระจุยกระจายจนหมดแล้ว ไหนเลยจะมีโจรให้จับอยู่อีก”

หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้า คนผู้นั้นพลังยุทธ์แข็งแกร่งกว่าพวกนาง ที่พอประมือได้ในที่นี้ก็มีหลี่เจี้ยนแค่คนเดียว “พี่ไปถึงช้าก้าวหนึ่ง แต่พอทันประมือกับมันสองสามกระบวนท่า” หลี่เจี้ยนถอนหายใจ “ต้องโทษที่พี่เพิ่งเคยขึ้นไปชั้นบนสุดเป็นครั้งแรกเลยไม่คุ้นทาง สุดท้ายจึงปล่อยให้มันหนีไปได้”

“หนีไปได้ก็ไม่แปลกอันใด จุดประสงค์ของมันหาได้ต้องการสังหารคน แค่ต้องการของบางอย่างจากหอแพทย์เท่านั้น” หลี่หลิงเฟิ่งจ้องมองเหยาจี้ เอ่ยถามออกมาอย่างเนิบๆ “ห้องนั้นมีไว้ทำอะไรหรือ” นางเดาว่าน่าจะเป็นเขตหวงห้ามหรือห้องลับอะไรสักอย่าง

“โดยปกติแล้วเป็นเพียงห้องรับรองศิษย์สำนักเราเท่านั้น ไม่มีอันใดพิเศษ” เหยาจี้กล่าวเสริม “ตอนนี้เป็นที่พำนักของศิษย์พี่หวังขอรับ”

หลี่หลิงเฟิ่งยกมือเท้าคางใช้ความคิด เป็นไปได้อย่างมากว่าสิ่งที่คนผู้นั้นต้องการจะอยู่ที่ตัวหวังซี หากแต่ศิษย์หลานของนางมีของล้ำค่าอันใดซ่อนอยู่กันเล่า ถ้ามีอยู่จริง เหตุใดจึงไม่เคยปรากฏเหตุการณ์แบบนี้ช่วงที่อาศัยอยู่ในชนบท แต่เพิ่งเกิดอยากจะปล้นเอาตอนนี้

“จริงสิ” หลี่เจี้ยนพูดแทรกขึ้นมา ขัดความคิดของหลี่หลี่เฟิ่ง “ข้าเจอสิ่งนี้ตกอยู่ในห้อง คาดว่าคนร้ายน่าจะเผลอทำตกตอนปะทะกัน” ชายหนุ่มหยิบพู่ชิ้นหนึ่งออกมา

“นี่...นี่...ใช่ท่านหยิบผิดมาหรือไม่” เป็นเหยาจี้ที่ตื่นตระหนกสุดขีด พุ่งตัวมาแย่งไปจากมือหลี่เจี้ยน มือข้างที่ถือพู่สั่นระริกไม่หยุด อารมณ์แปรปรวณอย่างเห็นได้ชัด จิตใจพลันเกิดความรู้สึกซับซ้อน

“เจ้ารู้จักเจ้าของมันหรือ” หลี่เจี้ยนซักถาม

“ไม่เพียงแค่รู้จัก แต่ยังคุ้นเคยเป็นอย่างมาก สมาชิกทุกคนของหอแพทย์ใครบ้างที่จะไม่รุ้” เหยาจี้หน้าซีดเผือด

หลี่หลิงเฟิ่งมองพู่มาลาสีขาวประดับด้วยหยกเขียวนวลสลักคำว่าหอแพทย์ในมือเหยาจี้ น้ำเสียงราบเรียบเฉยชาดังขึ้นแผ่วเบา “หากสิ่งนี้คือของคนร้ายทำตกไว้จริง เกรงว่าจะมีเกลือเป็นหนอน*เสียแล้ว”

*เกลือเป็นหนอน หมายถึง คนใกล้ชิดหรือพวกพ้อง ทรยศหักหลัง เปรียบเสมือนเกลือที่ช่วยปกป้องไม่ให้เนื้อเกิดหนอนขึ้น กลับกลายเป็นว่าคนของตนเองคือหนอนกัดกินเนื้อที่ดูแลเสียเอง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชายาอสรพิษ   วิชามารสังเวยชีวิต

    หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต

  • ชายาอสรพิษ   ท่าใหญ่ที่แปลกไป

    เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก

  • ชายาอสรพิษ   สำรวจค่าย

    หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น

  • ชายาอสรพิษ   ตีเนียนเข้าซ่องโจร

    เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต

  • ชายาอสรพิษ   ลักพาตัว

    รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า

  • ชายาอสรพิษ   กลับคืนถิ่น

    อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status