Home / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / นักคว้าจับมือฉมัง 3

Share

นักคว้าจับมือฉมัง 3

last update Last Updated: 2024-12-25 19:30:31

สามชั่วยามถัดมา หลี่เจี้ยนและหลี่หลิงเฟิ่งขอตัวกลับ หวังซีเดินมาส่งทั้งสองถึงชั้นล่างด้วยตนเอง ผู้คนที่เคยเนืองแน่นขนัดอย่างสามวันก่อนไม่มีอีกต่อไป มีเพียงศิษย์สองสามคนเท่านั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาด้านในได้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีผู้บุกรุกขึ้น หอแพทย์โอสถจึงเปิดทำการเพียงส่วนขายยาสมุนไพรและยาลูกกลอนเท่านั้น นั่นคือโถงหน้าสุดของหอ

“แม่นางหลี่ สมุนไพรส่วนที่เหลือข้าจะส่งให้ท่านถึงจวนพรุ่งนี้เช้าตามเดิม ไม่คิดเงินแต่อย่างใด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหอแพทย์ของเรา บุญคุณครั้งนี้สำนักแพทย์โอสถต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หวังซีคำนับขอบคุณนางครั้งหนึ่ง

“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครั้งอยู่ชนบทพวกท่านได้ช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง สหายช่วยเหลือกันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดหรอก หากช่วยได้หนึ่งชีวิตก็ถือเป็นการทำกุศลเพิ่มไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“หากห่อยาหลัวนั้นจะช่วยผู้อาวุโสในสำนักท่านได้ ก็ถือเป็นโชคดีของมันแล้ว ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้นได้นะ” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างติดตลก พลันสายตาเหลือบไปเห็นถงลี่เดินไวๆ มาทางพวกเขา

“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ น้ำใจของท่านในครั้งนี้พวกเราจดจำไว้แล้ว” หวังซียังคงกล่าวอย่างนอบน้อมตามเดิม สลัดคราบบุรุษผู้เงียบขรึมออกไปจนหมด ใบหน้าซาบซึ้งของเขาทำเอานางแทบจะสำลัก

“แฮ่ม แค่ของต่างหน้าที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้เท่านั้น ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด วันนี้ถือเสียว่ามันเจอเจ้าของแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งกลั้นขำจนหน้าแดง ยกแขนเสื้อตัวยาวปิดบังใบหน้าตนเองเอาไว้ นางเคยรู้สึกรำคาญชุดรุ่มร่ามของผู้คนยุคนี้ แต่ตอนนี้นางอยากขอบคุณนักออกแบบชุดยิ่งนัก

“คารวะผู้อาวุโสหวัง คุณชายรอง คุณหนูห้า” ถงลี่เดินเข้ามา คำนับหวังซีอย่างผู้อาวุโส ก่อนหันไปทักทายพี่น้องตระกูลหลี่ “ท่านทั้งสองจะกลับแล้วหรือ ผู้น้อยขอรับหน้าที่เดินไปส่งทุกท่านเองขอรับ”

หลี่หลิงเฟิ่งผงกศีรษะ กล่าวลาหวังซีสองสามประโยคก่อนเดินตามทั้งสองออกไป นางเร่งฝีเท้าเดินเคียงข้างหลี่เจี้ยน สีหน้าติดจะกังวลเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบาว่า “พี่รอง ท่านว่าหลัวยาห่อนั้นจะช่วยคนผู้นั้นได้จริงหรือ”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นั่นเป็นของท่านน้าชิงเชียวนะ ต้องได้ผลอยู่แล้ว อย่าคิดมากไปเลย กลับไปรอฟังข่าวดีที่จวนกันดีกว่า” ภายนอกต่างรู้กันว่ามารดาของหลี่หลิงเฟิ่งเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของหอนางโลมที่เจ้าเมืองหลี่ซื้อตัวมา หากแต่น้อยคนที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเข้าจวนตระกูลหลี่ได้เพราะยาลูกกลอนสามเม็ด หนึ่งในผู้ที่รู้เรื่องนี้ก็คือหอแพทย์โอสถ เพราะยาลูกกลอนสามเม็ดนั้นผ่านการรับรองและประเมินราคาจากหอแพทย์นั่นเอง

หลี่หลิงเฟิ่งไม่พูดอันใดต่อ เดินตามหลังมาอย่างเงียบๆ ขณะที่นางเดินมาถึงหน้าโถงชั้นหนึ่ง กลิ่นฉุนผสมกลิ่นคาวลอยมาแตะจมูกของนางจางๆ หญิงสาวหยุดชะงัก หันมองไปรอบๆกาย โถงหน้าเต็มไปด้วยผู้คนเนืองแน่นเช่นเคย มิอาจระบุเจ้าของกลิ่นประหลาดนี้ได้อย่างชัดเจน

“มีอันใดหรือ” หลี่เจี้ยนเห็นนางหยุดเดิน จึงหันหลังกลับมาถามอย่างสงสัย

“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าหอแพทย์โอสถดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ” หลี่หลิงเฟิ่งส่ายหน้า “พวกเราไปกันเถอะ”

ถงลี่เห็นว่าหญิงสาวขมวดคิ้ว มองสำรวจไปรอบด้าน จึงเอ่ยคลายความสงสัยให้แก่นาง “นั่นเพราะหอแพทย์ของเราเปิดแค่ส่วนด้านหน้านี้เท่านั้น คุณหนูห้าถึงได้รู้สึกว่าผู้คนละลานตามากกว่าเดิม” เขาสำทับอีกว่า “หากเป็นในยามปกติ ผู้คนจะอยู่ในห้องรับรองที่ท่านผ่านมาเมื่อสักครู่ขอรับ”

หญิงสาวยิ้มตอบถงลี่ วันนี้ชายร่างท้วมดูต่างจากวันวานเล็กน้อย เดินแค่ไม่กี่ก้าวกลับมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเสียแล้ว สงสัยว่าอากาศจะร้อนไปหน่อยกระมัง หลี่หลิงเฟิ่งพูดออกมาอย่างห่วงใย “ผู้ดูแลถง สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

“ทำให้คุณหนูห้าต้องเป็นห่วงแล้ว หลายวันมานี้หอแพทย์มีเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน อาจเพราะนอนไม่พอจึงเหนื่อยล้าขอรับ” ถงลี่สีหน้าซีดเซียว เสียงที่ตอบกลับหลี่หลิงเฟิ่งก็ไร้ชีวิตชีวา

“เช่นนั้นท่านส่งพวกข้าแค่นี้เถิด โปรดรักษาสุขภาพด้วย” เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เจี้ยนจึงตัดบท ผู้ดูแลถงอายุไม่น้อยแล้ว ช่วงนี้หอแพทย์โอสถอยู่ในความไม่สงบ เกรงว่าคงเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก สุขภาพร่างกายอ่อนแอลงก็เป็นเรื่องปกติ

“ข้าน้อยต้องขออภัยพวกท่านทั้งสอง เดินทางปลอดภัยนะขอรับ” ถงลี่คำนับครั้งหนึ่ง ก่อนผายมือซ้ายไปทางประตู เมื่อเห็นทั้งสองขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว จึงหมุนตัวกลับ

“พี่รอง วันนั้นนอกจากพู่ชิ้นนั้นแล้ว ท่านไม่เจอสิ่งใดอีกเลยหรือ” บนรถม้า หลี่หลิงเฟิ่งนั่งหยิบของว่างที่ซื้อมาระหว่างทางขึ้นมากิน เคี้ยวไปเอ่ยถามหลี่เจี้ยนไป

“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักกันพอดี” หลี่เจี้ยนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นดังนั้นก็รีบรินชาส่งให้หญิงสาวทันที “นอกจากพู่อันนั้น ก็ไม่เจออะไรอีกนะ”

หลี่เจี้ยนยกมือขึ้้นลูบคางพลางครุ่นคิด “จะว่าไปโจรชั่วนั่นโดนฝ่ามือพี่ครั้งหนึ่งก่อนจะหลบหนีออกไปได้ ข้าว่าช่วงนี้มันคงไม่กล้าเคลื่อนไหวอันใดหรอก”

หลี่หลิงเฟิ่งกำลังจิบชาอยู่พลันชะงัก บาดเจ็บงั้นรึ ประกายตาของนางเย็นชาขึ้นหลายส่วน หญิงสาวเลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อย เทน้ำชาในถ้วยที่เหลือทิ้งลงบนถนน พลางเอ่ย “ชาดี แต่ไม่ควรดื่มสุ่มสี่สุ่มห้า”

“หืม" หลี่เจี้ยนยกกาน้ำชาขึ้นมาดม สีหน้าพลันฉงน ก็ปกติดีนี่นา

“ดื่มชายามค่ำจะทำให้นอนหลับยากเจ้าค่ะ” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแทน คนยุคนี้ไม่รู้จักคาเฟอีน ชาที่ยังไม่ได้สกัดคาเฟอีนออก ดื่มมากไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย

หลี่เจี้ยนส่งเสียง “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง จึงเอ่ยต่อ “แต่ว่าน้องเล็ก แผนการนี้ของเจ้าจะจับตัวคนทรยศได้จริงหรือ หากว่ามันไม่ยอมออกมาเล่า ไม่เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นซะเองรึ”

“มันต้องโผล่หัวออกมาแน่” หลังจากรู้ต้นสายปลายเหตุ พวกเขาตั้งใจปล่อยข่าวออกไปว่าหายารักษาเจ้าสำนักแพทย์โอสถได้แล้ว เพื่อล่อคนร้ายออกมาติดกับ มีเพียงพวกเขาและคนร้ายเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ หากข่าวโคมลอยไปถึงหูมันล่ะก็ มีหรือจะยอมนิ่งเฉยได้ ไม่นานต้องลงมืออีกครั้งแน่นอน “ท่านคอยดูแล้วกัน”

“คุณชายรอง คุณหนูห้า ถึงแล้วขอรับ” หลี่เจี้ยนยังคงไม่วางใจ ขณะที่กำลังจะถามต่อนั้น คนขับรถม้าก็เอ่ยเรียกเสียงดังขัดจังหวะความคิดของเขา รถม้ามาหยุดที่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าเต็มไปด้วยรถม้าจอดเรียงกันหลายสิบคัน บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ แต่งกายแตกต่างกันออกไป มีทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ผู้คนต่างเมือง รวมไปถึงต่างแคว้น หลี่หลิงเฟิ่งสำรวจสถานที่แปลกตาแห่งใหม่จนเหลือบไปเห็นป้ายบนประตูสลักคำว่าหออวี้หลิ่ว

หลี่เจี้ยนพาหลี่หลิงเฟิ่งเดินเข้ามาด้านในหออวี้หลิ่วอย่างคล่องแคล่ว ราวกับเคยมาเยือนที่แห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน ด้านในตัวเรือนหรูหราโอ่อ่ากว่าที่นางเห็นด้านนอกมากนัก ตัวหอมีเพียงชั้นเดียวแต่กินพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ใหญ่กว่าจวนเจ้าเมืองไม่รู้กี่เท่า ทว่ากลับมีห้องหับอยู่เพียงไม่กี่ห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นโถงโล่งซะมากกว่า

ที่นี่เป็นแหล่งซื้อขายหินต้นกำเนิดขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากหินต้นกำเนิดแล้ว ทุกๆ ครึ่งเดือนยังมีการจัดงานประมูลของล้ำค่าหายากมากมาย ดูจากผู้คนล้นหลาม คืนนี้คงมีงานประมูลเป็นแน่ แต่หลี่หลิงเฟิ่งไม่สนใจมากนัก นางเพียงต้องการหินแร่ขั้นต้นไม่กี่ก้อนเท่านั้น

พูดแล้วก็เหนื่อยใจ นางเหมือนกับผู้ดีเก่าที่มีของล้ำค่าเก็บสะสมแต่ไม่อาจนำมาใช้ได้ หินแร่ในมิติของนางมีเยอะก็จริง แต่กลับไม่มีขั้นต้นเลยสักก้อน

เมื่อเดินมาถึงโถงกลาง หญิงสาวพลันรู้สึกอึดอัด จุดนี้ผู้คนแน่นขนัดจนทำให้นางรู้สึกหายใจไม่สะดวก คิดอยากจะเดินหนีออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ทันใดนั้นมีบุรุษชุดม่วงผู้หนึ่งเข้ามาต้อนรับอย่างเร่งรีบ “คุณชายรองหลี่ นายใหญ่เชิญท่านเข้าไปพบด้านในขอรับ”

บุรุษชุดม่วงพาพวกนางเดินหลบมาข้างหลังหออวี้หลิ่ว เดินมาตามระเบียงจนสุดทาง เบื้องหน้ามีโรงไม้หลังเล็กตั้งอยู่ เมื่อเทียบกับส่วนหน้าที่เดินผ่านมา โรงไม้นี้ดูเรียบง่ายไปถนัดตา

“นายใหญ่รอพวกท่านอยู่ด้านในขอรับ” ชายชุดม่วงกล่าวจบก็หมุนตัวเดินกลับไปทิศทางที่เพิ่งจากมา หลี่เจี้ยนไม่ได้เอ่ยอันใด ร่างสูงผลักประตูไม้เข้าไปอย่างถือวิสาสะ ตรงไปนั่งบนโต๊ะตรงข้ามกับสตรีชุดเขียวนางหนึ่งที่กำลังนั่งยิ้มบางๆ ถือถ้วยชาอยู่ในมือ

“หลี่เจี้ยน ไม่ได้พบกันเสียนาน ได้ยินว่าเจ้ากลับมาเมื่อหลายวันก่อน ข้ายังคิดว่าอีกสองสามวันหากเจ้าไม่มาเยี่ยมเยียน ก็จะส่งของไปให้ถึงจวนด้วยตนเองอยู่เลย ไฉนวันนี้ถึงได้มาหาโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำล่ะ แล้วเฟยหยาง…เอ๋ นางคือ...” สตรีชุดเขียวกล่าวทักทายหลี่เจี้ยนอย่างเป็นกันเอง บังเอิญสายตากวาดมองไปยังหน้าประตู เห็นหลี่หลิงเฟิ่งผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งก็ให้ประหลาดใจ หลี่เจี้ยนพาสตรีมาด้วย? นางเผลอนึกว่าผู้ที่มาด้วยกันจะเป็นบุรุษอีกคนซะอีก

หลี่เจี้ยนกวักมือเรียกน้องสาวที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้ามา “น้องเล็ก มานี่เร็ว มาคารวะพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า”

“พี่สะใภ้ใหญ่? ข้าเพิ่งรู้ว่าพี่ใหญ่แต่งงานแล้วก็วันนี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ” ใบหน้าที่เคยราบเรียบส่งยิ้มบางๆ ออกมา หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วในใจ พิจารณาสตรีอีกคนอย่างละเอียด สตรีนางนี้อายุราว ๆ ยี่สิบปี มีรูปโฉมโดดเด่น ภายนอกดูสุภาพนุ่มนวล รอยยิ้มงดงามประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา นิสัยน่าจะเข้ากันได้ดีกับหลี่เฟยหยาง

“เหอะๆ เจ้าไม่รู้อะไร ไม่ช้าก็เร็วนางต้องแต่งให้หลี่เฟยหยางอย่างแน่นอน เพราะเจ้าอยู่แต่ในจวน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน จึงไม่รู้เรื่องราวของพวกพี่” ใบหน้าหลี่เจี้ยนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “น้องเล็ก เจ้าไม่รู้หรอกว่านอกจากเจ้าแล้วก็มีเพียงอวิ๋นหลิ่วนี่ล่ะที่ทำให้รู้สึกว่าเขามีความเป็นคนขึ้นมาบ้าง”

“พูดจาเหลวไหล” อวิ๋นหลิ่วตวัดสายตามองเขาทีหนึ่ง ทว่า ใบหน้าขึ้นสีเรื่อจาง ๆ เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะกล่าวกับหลี่หลิงเฟิ่งที่เดินมานั่งข้างหลี่เจี้ยน “คุณหนูท่านนี้คงเป็นคุณหนูห้า หลี่หลิงเฟิ่งสินะ ได้ยินชื่อของเจ้ามานานแล้ว วันนี้ได้พบหน้ากันเสียที อย่าไปฟังคำพูดไร้แก่นสารของเขาให้มากนัก พวกเราเป็นเพียงสหายที่ดีต่อกันเท่านั้น”

“จะวันนี้หรือวันหน้า ตำแหน่งพี่สะใภ้ก็หนีท่านไม่พ้น” หลี่เจี้ยนส่งสายตายั่วเย้า แลดูสนุกสนาน

“เจ้าปรักปรำข้าเช่นนี้จะเกิดความเข้าใจผิดเอาได้ สตรีในอนาคตของหลี่เฟยหยางจะเป็นใครนั้น ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า ที่พวกท่านมาวันนี้คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้กระมัง”

หลี่หลิงเฟิ่งมองถ้วยน้ำชาในมือ แววตาทอประกายล้ำลึก เอ่ยถามเสียงเรียบแม้ว่านางจะมั่นใจถึงแปดเก้าส่วนก็ตาม “แม่นางอวิ๋นหลิ่ว ท่านคือนายใหญ่ของหออวี้หลิ่วหรือ”

อวิ๋นหลิ่วไม่ตอบรับ เพียงยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง “เรียกข้าว่าอวิ๋นหลิ่วก็พอ น้องสาวของเฟยหยางก็เหมือนน้องสาวของข้า” อวิ๋นหลิ่วชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวถามอย่างใคร่รู้ “ได้ยินมาว่าเจ้าฝึกพลังยุทธ์ได้แล้ว ที่มาวันนี้เพราะต้องการหินแร่สินะ”

“ไม่ผิด” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านพอจะขายให้ข้าสักสิบยี่สิบก้อนได้หรือไม่”

อวิ๋นหลิ่วยิ้มอย่างปลงตก “ไม่ใช่ไม่ได้ เพียงแต่คืนนี้จัดงานประมูลขึ้น หินแร่ทุกก้อนที่หาได้ถูกส่งไปประมูลจนไม่เหลือ หากเจ้าอยากได้ต้องเข้าร่วมการประมูลเท่านั้น” หินแร่แต่ละก้อนไม่ได้หากันง่าย ๆ กว่าจะได้มาต้องเสียหินต้นกำเนิดไปหลายก้อน ดูจากหลี่หลิงเฟิ่งที่เริ่มฝึกพลังยุทธ์คงต้องการหินแร่ขั้นต้นมากพอสมควร

หินแร่สีเทานับว่ามีเยอะที่สุด แต่ก็เป็นที่ต้องการมากที่สุดเช่นกัน ผู้ฝึกพลังยุทธ์บนแผ่นดินนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขั้นกำเนิดใหม่และขั้นหลอมรวม หินแร่ขั้นต้นใช้กับขั้นพลังยุทธ์ของนางไม่ได้ ที่นางเก็บไว้จึงมีเพียงหินแร่ขั้นสอง

“เหตุใดเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ถ้ารู้แต่แรกข้าคงเก็บไว้ให้บางส่วน” อวิ๋นหลิ่วถลึงตามองหลี่เจี้ยน ถอนหายใจอย่างเสียดาย หลี่เจี้ยนถูกนางขึงตาใส่ได้แต่อึกอักพูดไม่ออก

หลี่หลิงเฟิ่งเองก็ผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน หินแร่ที่ควรจะได้มาง่าย ๆ กลับหลุดลอยจากมือนางไปเสียนี่ แต่นางก็ยังไม่หมดหวัง “หากเป็นหินต้นกำเนิด หออวี้หลิ่วคงไม่ขาดแคลนกระมัง”

“เจ้าอยากดูหรือ ได้สิ ตามข้ามา แต่บอกไว้ก่อนว่าอาจทำให้คุณหนูห้าเสียเวลาเปล่า การจะค้นพบหินแร่นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านคิด โดยเฉพาะคุณหนูห้าที่ยังไม่เคยดูหินต้นกำเนิดมาก่อน หากขาดนักคว้าจับด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่” อวิ๋นหลิ่วพยักหน้า ลุกจากเก้าอี้เดินนำพี่น้องสกุลหลี่เข้าไปส่วนด้านหลังของโรงไม้ เมื่อผลักประตูเข้าไปพลันเจอกับหีบไม้นับร้อยซ้อนทับกัน อวิ๋นหลิ่วสุ่มเปิดหีบใกล้มือ พลางอธิบายให้หลี่หลิงเฟิ่งฟังอย่างใจเย็น

“หินต้นกำเนิดทั้งหมดที่ข้ามีเก็บอยู่ในนี้ทั้งหมด หากคุณหนูห้าชอบชิ้นไหนก็สามารถหยิบติดมือกลับไปเท่าที่เจ้าต้องการได้เลย ในฐานะสหายข้าลดราคาให้พวกท่านครึ่งหนึ่งละกัน แต่ก็กลัวว่าจะเสียเวลาเปล่า ต่อให้กะเทาะทั้งหมดคงได้แค่หินแร่ขั้นต้นเพียงไม่กี่ก้อนเท่านั้น”

“หินเหล่านี้ผ่านมือเจ้าหมดแล้วสินะ อวิ๋นหลิ่วแห่งหออวี้หลิ่วไม่เพียงแต่เป็นเถ้าแก่ แต่ยังเป็นนักคว้าจับที่หาตัวจับยากผู้หนึ่ง ข้าพูดถูกหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งสัมผัสแร่ธาตุได้เพียงบางเบาเท่านั้น เป็นอย่างที่อวิ๋นหลิ่วกล่าวไว้ ต่อให้ผ่าก้อนหินพวกนี้ออกมาทุกก้อน ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของนาง สตรีจมูกไวเช่นอวิ๋นหลิ่วจะเป็นเพียงเจ้าของหอได้อย่างไร

“ปิดบังคุณหนูไม่ได้จริงๆ” อวิ๋นหลิ่วตกใจ คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคทำให้นางจับพิรุธได้แล้ว สมแล้วที่เป็นสตรีที่บุรุษผู้นั้นเอ็นดู อวิ๋นหลิ่วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ กล่าวอย่างถ่อมตน “ข้าแค่พอมีความรู้อยู่บ้าง ไม่ถึงกับเก่งกาจอะไร”

“แม้กระทั่งตัวเจ้าเองยังบอกว่าไม่เก่ง ในเมืองนี้คงไม่มีใครกล้าเรียกตนเองว่าเป็นนักคว้าจับอีกต่อไปแล้ว” หลี่เจี้ยนประกายตาร้อนแรงมองอวิ๋นหลิ่ว น้ำเสียงฟังดูเกียจคร้านกว่าทุกครั้ง เขาได้ยินคำนี้มาจนชิน แต่ก็อดค่อนแคะนางสักสองสามประโยคไม่ได้

ยามนี้ใบหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ไฉนถึงมีคนบอกนางว่าหินแร่สีเทาหาง่ายเดินไปทางไหนก็เจออย่างไรเล่า คนพวกนั้นหลอกลวงนางหรือ

ไม่ถูกสิ หากอวิ๋นหลิ่วมีหินต้นกำเนิดไว้ครอบครองมากมายขนาดนี้ นางย่อมรู้แหล่งกำเนิดของพวกมันอย่างแน่นอน

“อย่าเพิ่งร้อนใจไป” ครั้นเห็นหญิงสาววิตกกังวล อวิ๋นหลิ่วจึงรีบเอ่ยปลอบหลี่หลิงเฟิ่ง “หินพวกนี้เป็นแค่ของเก่าเก็บไว้รอขายให้พ่อค้าต่างแดนเท่านั้น ของดีๆ มีหรือคนเป็นเถ้าแก่อย่างข้าจะเอาออกมาขายโดยง่าย เพียงแต่ว่าพวกเจ้าต้องเปลืองแรงกันสักหน่อย”

“ไม่ได้!” หลี่เจี้ยนที่เริ่มรู้เป้าหมายของอวิ๋นหลิ่ว ปฏิเสธเสียงแข็ง มองอวิ๋นหลิ่วอย่างไม่พอใจ

“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้” อวิ๋นหลิ่วแบมือย่างจนใจ “คุณหนูห้า พี่ชายของเจ้าไม่อนุญาต ข้าเองก็จนปัญญา”

“ข้าไปเอง! แค่เจ้ากับข้า” หลี่เจี้ยนโพล่งออกมาดังลั่น รั้นหัวชนฝา ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้น้องเล็กไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด

“เจ้าทะนุถนอมนางเกินไปแล้ว แค่ไปแหล่งกำเนิดหินแร่ เจ้าต้องกังวลถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางเป็นน้องของเจ้าหรือเป็นลูกของเจ้ากันแน่ อีกอย่างมีเจ้ากับข้าอยู่ นางจะเป็นอันใดได้” อวิ๋นหลิ่วไม่คาดคิดว่าหลี่เจี้ยนจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้ นี่เขายังฝังใจกับเรื่องครั้งนั้นอยู่อีกหรือ ใช่ว่าเรื่องในครั้งนั้นจะเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง หลายปีมานี้นางเข้าออกที่แห่งนั้นนับครั้งไม่ถ้วนยังไม่มีอันใดเกิดขึ้น เขากังวลเกินเหตุไปหรือไม่

“ใครก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเรื่องผิดพลาดจะไม่เกิดขึ้นอีก หากมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วน ข้าก็ไม่ยอมให้น้องของข้าเข้าไปเสี่ยงแน่” หลี่เจี้ยนเคร่งเครียดจนหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกได้ แม้ในใจจะรู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างมาก แต่นางก็ยังเลือกที่จะเงียบ มือเรียวลูบแขนเขาเบาๆ

อวิ๋นหลิ่วก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว นางไม่มีพี่น้องจึงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ แต่หากนางหวังดีกับคนผู้หนึ่งจริง ๆ นางจะไม่เก็บซ่อนคนผู้นั้นเอาไว้ แต่จะให้เขาได้ออกไปโลดโผนข้างนอกอย่างสบายใจ “หลี่เจี้ยน เจ้าอยากให้นางอ่อนแออย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรือ เจ้ามั่นใจมากแค่ไหนว่าจะปกป้องนางได้ตลอดไป สักวันนางก็ต้องกางปีกออกจากอ้อมอกของเจ้า วันหน้าหากนางตกอยู่ในอันตรายจะทำเช่นไร ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนาง แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่ถูกต้อง แทนที่จะให้นางเผชิญหน้าด้วยตนเอง แต่เจ้าคอยเอาตัวมาเป็นเกราะกำบังให้นางทุกครั้ง แล้วนางจะเติบโตขึ้นได้อย่างไร”

“เจ้าควรเอาเวลาที่เถียงกับข้ามาคิดหาวิธีว่าจะระวังภัยข้างหลังนางให้ปลอดภัยดีกว่าหรือไม่” อวิ๋นหลิ่วกลอกตา นางรู้มาตลอดว่าสหายทั้งสองของนางเป็นโรคคลั่งน้องสาว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้ “อีกอย่าง เจ้าอย่าลืมว่าอีกไม่นานน้องสาวเจ้าจะต้องเดินทางไปเมืองหลวง เข้าร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลวง เจ้ากล้าพูดเต็มปากหรือไม่ว่าสามารถดูแลนางได้อย่างทั่วถึง”

คราวนี้เป็นหลี่เจี้ยนพูดไม่ออกบ้าง สีหน้าซีดเผือดลงเรื่อย ๆ เขารู้ดีหากหลี่หลิงเฟิ่งเข้าสำนักศึกษาหลวงต้องโดนกลั่นแกล้งไม่มากก็น้อย แต่เขาก็ไม่อยากเห็นนางได้รับบาดเจ็บ แค่วันนั้นที่เห็นนางเลือดท่วมตัว เขาก็เสียใจโทษตนเองอยู่หลายวันที่ดูแลนางได้ไม่ดีพอ

“พี่รอง ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของอวิ๋นหลิ่วนะเจ้าคะ” ความรู้สึกอบอุ่นที่มีคนเป็นห่วงมันช่างดีเหลือเกิน แม้นางเพียงรู้จักกับเขาไม่กี่วัน แต่ชายผู้นี้ก็รักและห่วงใยนางจากใจจริง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้ารู้ว่าพี่เป็นห่วง แต่ข้าไม่ต้องการหลบอยู่ข้างหลังพวกท่าน สิ่งที่ข้าต้องการคือการเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพวกท่าน เคียงข้างพวกท่าน พี่เข้าใจหรือไม่” หลี่เจี้ยนมองหน้าหลี่หลิงเฟิ่งอยู่เป็นนาน สุดท้ายจึงพยักหน้าตกลงอย่างยากลำบาก

ใช่แล้ว นางไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของใคร แรกเริ่มนางมาที่นี่เพียงคนเดียว เก็บตัวเงียบเชียบ เอาชีวิตรอดไปวัน ๆ ไม่สนใจใคร ไม่ผูกพันกับใคร จนนางได้พบกับเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉินที่ยืนอยู่ข้างนางมาเสมอ หลี่เฟยหยางที่ยอมตายแทนนางได้ และบัดนี้ยังมีหลี่เจี้ยนที่ปกป้องนางทุกทาง

หลี่หลิงเฟิ่งไม่ชอบเป็นตัวถ่วงของใคร ไม่ชอบให้ใครมาปกป้อง นางชอบยืนอยู่เบื้องหน้า สร้างทุกอย่างด้วยสองมือตนเอง แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ซาบซึ้งใจหากมีคนทำเพื่อนางเช่นนี้

“คุณหนูห้าไม่ต้องคิดมาก แหล่งกำเนิดหินแร่ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแค่หลายปีก่อนระหว่างข้ามฟากเกิดกระแสน้ำเชี่ยวขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเราเกือบเอาชีวิตไม่รอด นับแต่นั้นมาหลี่เจี้ยนจึงไม่ยอมไปเหยียบย่างที่นั่นอีก แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าวางใจได้ พวกเราจะต้องปลอดภัยกลับมาทั้งหมดทุกคนอย่างแน่นอน” อวิ๋นหลิ่วถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดเจ้าคนดื้อรั้นหลี่เจี้ยนก็สงบลงได้ นางส่งยิ้มให้หลี่หลิงเฟิ่งอย่างขอโทษขอโพย

“เรียกข้าว่าเสี่ยวเฟิ่งเหมือนพวกพี่ ๆ ของข้าเถอะ สหายของพี่ข้าก็เหมือนสหายของข้า” นางส่งยิ้มกว้างให้อย่างน่ารักจนแก้มทั้งสองข้างบุ๋มลง อวิ๋นหลิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องสลายหายไปในพริบตา

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชายาอสรพิษ   รังมังกรดิน 1

    สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม

  • ชายาอสรพิษ   จอมแทะ

    หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”

  • ชายาอสรพิษ   มิติสอดแทรก

    เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต

  • ชายาอสรพิษ   มังกรดินใต้พิภพ

    กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้

  • ชายาอสรพิษ   เหล่าสัตว์อสูร 2

    ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ

  • ชายาอสรพิษ   เหล่าสัตว์อสูร 1

    ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status