/ รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / นักคว้าจับมือฉมัง 3

공유

นักคว้าจับมือฉมัง 3

last update 최신 업데이트: 2024-12-25 19:30:31

สามชั่วยามถัดมา หลี่เจี้ยนและหลี่หลิงเฟิ่งขอตัวกลับ หวังซีเดินมาส่งทั้งสองถึงชั้นล่างด้วยตนเอง ผู้คนที่เคยเนืองแน่นขนัดอย่างสามวันก่อนไม่มีอีกต่อไป มีเพียงศิษย์สองสามคนเท่านั้น ผู้ไม่เกี่ยวข้องมิอาจเข้ามาด้านในได้ ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์มีผู้บุกรุกขึ้น หอแพทย์โอสถจึงเปิดทำการเพียงส่วนขายยาสมุนไพรและยาลูกกลอนเท่านั้น นั่นคือโถงหน้าสุดของหอ

“แม่นางหลี่ สมุนไพรส่วนที่เหลือข้าจะส่งให้ท่านถึงจวนพรุ่งนี้เช้าตามเดิม ไม่คิดเงินแต่อย่างใด ขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือหอแพทย์ของเรา บุญคุณครั้งนี้สำนักแพทย์โอสถต้องตอบแทนท่านอย่างแน่นอน” หวังซีคำนับขอบคุณนางครั้งหนึ่ง

“ไม่ต้องเกรงใจ เมื่อครั้งอยู่ชนบทพวกท่านได้ช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง สหายช่วยเหลือกันไม่นับว่าเป็นบุญคุณอันใดหรอก หากช่วยได้หนึ่งชีวิตก็ถือเป็นการทำกุศลเพิ่มไม่ใช่หรือ” หลี่หลิงเฟิ่งโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ

“หากห่อยาหลัวนั้นจะช่วยผู้อาวุโสในสำนักท่านได้ ก็ถือเป็นโชคดีของมันแล้ว ท่านไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าจะอายุสั้นได้นะ” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างติดตลก พลันสายตาเหลือบไปเห็นถงลี่เดินไวๆ มาทางพวกเขา

“อย่างไรก็ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ น้ำใจของท่านในครั้งนี้พวกเราจดจำไว้แล้ว” หวังซียังคงกล่าวอย่างนอบน้อมตามเดิม สลัดคราบบุรุษผู้เงียบขรึมออกไปจนหมด ใบหน้าซาบซึ้งของเขาทำเอานางแทบจะสำลัก

“แฮ่ม แค่ของต่างหน้าที่ท่านแม่ของข้าทิ้งไว้ให้เท่านั้น ข้าเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์อันใด วันนี้ถือเสียว่ามันเจอเจ้าของแล้ว” หลี่หลิงเฟิ่งกลั้นขำจนหน้าแดง ยกแขนเสื้อตัวยาวปิดบังใบหน้าตนเองเอาไว้ นางเคยรู้สึกรำคาญชุดรุ่มร่ามของผู้คนยุคนี้ แต่ตอนนี้นางอยากขอบคุณนักออกแบบชุดยิ่งนัก

“คารวะผู้อาวุโสหวัง คุณชายรอง คุณหนูห้า” ถงลี่เดินเข้ามา คำนับหวังซีอย่างผู้อาวุโส ก่อนหันไปทักทายพี่น้องตระกูลหลี่ “ท่านทั้งสองจะกลับแล้วหรือ ผู้น้อยขอรับหน้าที่เดินไปส่งทุกท่านเองขอรับ”

หลี่หลิงเฟิ่งผงกศีรษะ กล่าวลาหวังซีสองสามประโยคก่อนเดินตามทั้งสองออกไป นางเร่งฝีเท้าเดินเคียงข้างหลี่เจี้ยน สีหน้าติดจะกังวลเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงไม่หนักไม่เบาว่า “พี่รอง ท่านว่าหลัวยาห่อนั้นจะช่วยคนผู้นั้นได้จริงหรือ”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นั่นเป็นของท่านน้าชิงเชียวนะ ต้องได้ผลอยู่แล้ว อย่าคิดมากไปเลย กลับไปรอฟังข่าวดีที่จวนกันดีกว่า” ภายนอกต่างรู้กันว่ามารดาของหลี่หลิงเฟิ่งเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของหอนางโลมที่เจ้าเมืองหลี่ซื้อตัวมา หากแต่น้อยคนที่จะรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเข้าจวนตระกูลหลี่ได้เพราะยาลูกกลอนสามเม็ด หนึ่งในผู้ที่รู้เรื่องนี้ก็คือหอแพทย์โอสถ เพราะยาลูกกลอนสามเม็ดนั้นผ่านการรับรองและประเมินราคาจากหอแพทย์นั่นเอง

หลี่หลิงเฟิ่งไม่พูดอันใดต่อ เดินตามหลังมาอย่างเงียบๆ ขณะที่นางเดินมาถึงหน้าโถงชั้นหนึ่ง กลิ่นฉุนผสมกลิ่นคาวลอยมาแตะจมูกของนางจางๆ หญิงสาวหยุดชะงัก หันมองไปรอบๆกาย โถงหน้าเต็มไปด้วยผู้คนเนืองแน่นเช่นเคย มิอาจระบุเจ้าของกลิ่นประหลาดนี้ได้อย่างชัดเจน

“มีอันใดหรือ” หลี่เจี้ยนเห็นนางหยุดเดิน จึงหันหลังกลับมาถามอย่างสงสัย

“เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่รู้สึกว่าหอแพทย์โอสถดูเหมือนจะคึกคักเป็นพิเศษ” หลี่หลิงเฟิ่งส่ายหน้า “พวกเราไปกันเถอะ”

ถงลี่เห็นว่าหญิงสาวขมวดคิ้ว มองสำรวจไปรอบด้าน จึงเอ่ยคลายความสงสัยให้แก่นาง “นั่นเพราะหอแพทย์ของเราเปิดแค่ส่วนด้านหน้านี้เท่านั้น คุณหนูห้าถึงได้รู้สึกว่าผู้คนละลานตามากกว่าเดิม” เขาสำทับอีกว่า “หากเป็นในยามปกติ ผู้คนจะอยู่ในห้องรับรองที่ท่านผ่านมาเมื่อสักครู่ขอรับ”

หญิงสาวยิ้มตอบถงลี่ วันนี้ชายร่างท้วมดูต่างจากวันวานเล็กน้อย เดินแค่ไม่กี่ก้าวกลับมีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากเสียแล้ว สงสัยว่าอากาศจะร้อนไปหน่อยกระมัง หลี่หลิงเฟิ่งพูดออกมาอย่างห่วงใย “ผู้ดูแลถง สีหน้าท่านดูไม่ค่อยดีเลย ไม่สบายตรงไหนหรือไม่”

“ทำให้คุณหนูห้าต้องเป็นห่วงแล้ว หลายวันมานี้หอแพทย์มีเรื่องวุ่นวายไม่หยุดหย่อน อาจเพราะนอนไม่พอจึงเหนื่อยล้าขอรับ” ถงลี่สีหน้าซีดเซียว เสียงที่ตอบกลับหลี่หลิงเฟิ่งก็ไร้ชีวิตชีวา

“เช่นนั้นท่านส่งพวกข้าแค่นี้เถิด โปรดรักษาสุขภาพด้วย” เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่เจี้ยนจึงตัดบท ผู้ดูแลถงอายุไม่น้อยแล้ว ช่วงนี้หอแพทย์โอสถอยู่ในความไม่สงบ เกรงว่าคงเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก สุขภาพร่างกายอ่อนแอลงก็เป็นเรื่องปกติ

“ข้าน้อยต้องขออภัยพวกท่านทั้งสอง เดินทางปลอดภัยนะขอรับ” ถงลี่คำนับครั้งหนึ่ง ก่อนผายมือซ้ายไปทางประตู เมื่อเห็นทั้งสองขึ้นรถม้าเรียบร้อยแล้ว จึงหมุนตัวกลับ

“พี่รอง วันนั้นนอกจากพู่ชิ้นนั้นแล้ว ท่านไม่เจอสิ่งใดอีกเลยหรือ” บนรถม้า หลี่หลิงเฟิ่งนั่งหยิบของว่างที่ซื้อมาระหว่างทางขึ้นมากิน เคี้ยวไปเอ่ยถามหลี่เจี้ยนไป

“ค่อยๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักกันพอดี” หลี่เจี้ยนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเห็นดังนั้นก็รีบรินชาส่งให้หญิงสาวทันที “นอกจากพู่อันนั้น ก็ไม่เจออะไรอีกนะ”

หลี่เจี้ยนยกมือขึ้้นลูบคางพลางครุ่นคิด “จะว่าไปโจรชั่วนั่นโดนฝ่ามือพี่ครั้งหนึ่งก่อนจะหลบหนีออกไปได้ ข้าว่าช่วงนี้มันคงไม่กล้าเคลื่อนไหวอันใดหรอก”

หลี่หลิงเฟิ่งกำลังจิบชาอยู่พลันชะงัก บาดเจ็บงั้นรึ ประกายตาของนางเย็นชาขึ้นหลายส่วน หญิงสาวเลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อย เทน้ำชาในถ้วยที่เหลือทิ้งลงบนถนน พลางเอ่ย “ชาดี แต่ไม่ควรดื่มสุ่มสี่สุ่มห้า”

“หืม" หลี่เจี้ยนยกกาน้ำชาขึ้นมาดม สีหน้าพลันฉงน ก็ปกติดีนี่นา

“ดื่มชายามค่ำจะทำให้นอนหลับยากเจ้าค่ะ” หลี่หลิงเฟิ่งหยิบน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแทน คนยุคนี้ไม่รู้จักคาเฟอีน ชาที่ยังไม่ได้สกัดคาเฟอีนออก ดื่มมากไปก็ไม่ดีต่อร่างกาย

หลี่เจี้ยนส่งเสียง “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง จึงเอ่ยต่อ “แต่ว่าน้องเล็ก แผนการนี้ของเจ้าจะจับตัวคนทรยศได้จริงหรือ หากว่ามันไม่ยอมออกมาเล่า ไม่เท่ากับว่าแหวกหญ้าให้งูตื่นซะเองรึ”

“มันต้องโผล่หัวออกมาแน่” หลังจากรู้ต้นสายปลายเหตุ พวกเขาตั้งใจปล่อยข่าวออกไปว่าหายารักษาเจ้าสำนักแพทย์โอสถได้แล้ว เพื่อล่อคนร้ายออกมาติดกับ มีเพียงพวกเขาและคนร้ายเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ หากข่าวโคมลอยไปถึงหูมันล่ะก็ มีหรือจะยอมนิ่งเฉยได้ ไม่นานต้องลงมืออีกครั้งแน่นอน “ท่านคอยดูแล้วกัน”

“คุณชายรอง คุณหนูห้า ถึงแล้วขอรับ” หลี่เจี้ยนยังคงไม่วางใจ ขณะที่กำลังจะถามต่อนั้น คนขับรถม้าก็เอ่ยเรียกเสียงดังขัดจังหวะความคิดของเขา รถม้ามาหยุดที่หน้าสถานที่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าเต็มไปด้วยรถม้าจอดเรียงกันหลายสิบคัน บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยผู้คนเดินขวักไขว่ แต่งกายแตกต่างกันออกไป มีทั้งบรรดาพ่อค้าแม่ค้า ผู้คนต่างเมือง รวมไปถึงต่างแคว้น หลี่หลิงเฟิ่งสำรวจสถานที่แปลกตาแห่งใหม่จนเหลือบไปเห็นป้ายบนประตูสลักคำว่าหออวี้หลิ่ว

หลี่เจี้ยนพาหลี่หลิงเฟิ่งเดินเข้ามาด้านในหออวี้หลิ่วอย่างคล่องแคล่ว ราวกับเคยมาเยือนที่แห่งนี้นับครั้งไม่ถ้วน ด้านในตัวเรือนหรูหราโอ่อ่ากว่าที่นางเห็นด้านนอกมากนัก ตัวหอมีเพียงชั้นเดียวแต่กินพื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ใหญ่กว่าจวนเจ้าเมืองไม่รู้กี่เท่า ทว่ากลับมีห้องหับอยู่เพียงไม่กี่ห้อง ส่วนใหญ่จะเป็นโถงโล่งซะมากกว่า

ที่นี่เป็นแหล่งซื้อขายหินต้นกำเนิดขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากหินต้นกำเนิดแล้ว ทุกๆ ครึ่งเดือนยังมีการจัดงานประมูลของล้ำค่าหายากมากมาย ดูจากผู้คนล้นหลาม คืนนี้คงมีงานประมูลเป็นแน่ แต่หลี่หลิงเฟิ่งไม่สนใจมากนัก นางเพียงต้องการหินแร่ขั้นต้นไม่กี่ก้อนเท่านั้น

พูดแล้วก็เหนื่อยใจ นางเหมือนกับผู้ดีเก่าที่มีของล้ำค่าเก็บสะสมแต่ไม่อาจนำมาใช้ได้ หินแร่ในมิติของนางมีเยอะก็จริง แต่กลับไม่มีขั้นต้นเลยสักก้อน

เมื่อเดินมาถึงโถงกลาง หญิงสาวพลันรู้สึกอึดอัด จุดนี้ผู้คนแน่นขนัดจนทำให้นางรู้สึกหายใจไม่สะดวก คิดอยากจะเดินหนีออกไปให้รู้แล้วรู้รอด ทันใดนั้นมีบุรุษชุดม่วงผู้หนึ่งเข้ามาต้อนรับอย่างเร่งรีบ “คุณชายรองหลี่ นายใหญ่เชิญท่านเข้าไปพบด้านในขอรับ”

บุรุษชุดม่วงพาพวกนางเดินหลบมาข้างหลังหออวี้หลิ่ว เดินมาตามระเบียงจนสุดทาง เบื้องหน้ามีโรงไม้หลังเล็กตั้งอยู่ เมื่อเทียบกับส่วนหน้าที่เดินผ่านมา โรงไม้นี้ดูเรียบง่ายไปถนัดตา

“นายใหญ่รอพวกท่านอยู่ด้านในขอรับ” ชายชุดม่วงกล่าวจบก็หมุนตัวเดินกลับไปทิศทางที่เพิ่งจากมา หลี่เจี้ยนไม่ได้เอ่ยอันใด ร่างสูงผลักประตูไม้เข้าไปอย่างถือวิสาสะ ตรงไปนั่งบนโต๊ะตรงข้ามกับสตรีชุดเขียวนางหนึ่งที่กำลังนั่งยิ้มบางๆ ถือถ้วยชาอยู่ในมือ

“หลี่เจี้ยน ไม่ได้พบกันเสียนาน ได้ยินว่าเจ้ากลับมาเมื่อหลายวันก่อน ข้ายังคิดว่าอีกสองสามวันหากเจ้าไม่มาเยี่ยมเยียน ก็จะส่งของไปให้ถึงจวนด้วยตนเองอยู่เลย ไฉนวันนี้ถึงได้มาหาโดยไม่บอกกล่าวกันสักคำล่ะ แล้วเฟยหยาง…เอ๋ นางคือ...” สตรีชุดเขียวกล่าวทักทายหลี่เจี้ยนอย่างเป็นกันเอง บังเอิญสายตากวาดมองไปยังหน้าประตู เห็นหลี่หลิงเฟิ่งผู้มีใบหน้าเรียบนิ่งก็ให้ประหลาดใจ หลี่เจี้ยนพาสตรีมาด้วย? นางเผลอนึกว่าผู้ที่มาด้วยกันจะเป็นบุรุษอีกคนซะอีก

หลี่เจี้ยนกวักมือเรียกน้องสาวที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูไม่ยอมเข้ามา “น้องเล็ก มานี่เร็ว มาคารวะพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า”

“พี่สะใภ้ใหญ่? ข้าเพิ่งรู้ว่าพี่ใหญ่แต่งงานแล้วก็วันนี้นี่เอง คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ” ใบหน้าที่เคยราบเรียบส่งยิ้มบางๆ ออกมา หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วในใจ พิจารณาสตรีอีกคนอย่างละเอียด สตรีนางนี้อายุราว ๆ ยี่สิบปี มีรูปโฉมโดดเด่น ภายนอกดูสุภาพนุ่มนวล รอยยิ้มงดงามประดับอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา นิสัยน่าจะเข้ากันได้ดีกับหลี่เฟยหยาง

“เหอะๆ เจ้าไม่รู้อะไร ไม่ช้าก็เร็วนางต้องแต่งให้หลี่เฟยหยางอย่างแน่นอน เพราะเจ้าอยู่แต่ในจวน ไม่ค่อยได้ออกไปไหน จึงไม่รู้เรื่องราวของพวกพี่” ใบหน้าหลี่เจี้ยนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “น้องเล็ก เจ้าไม่รู้หรอกว่านอกจากเจ้าแล้วก็มีเพียงอวิ๋นหลิ่วนี่ล่ะที่ทำให้รู้สึกว่าเขามีความเป็นคนขึ้นมาบ้าง”

“พูดจาเหลวไหล” อวิ๋นหลิ่วตวัดสายตามองเขาทีหนึ่ง ทว่า ใบหน้าขึ้นสีเรื่อจาง ๆ เอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะกล่าวกับหลี่หลิงเฟิ่งที่เดินมานั่งข้างหลี่เจี้ยน “คุณหนูท่านนี้คงเป็นคุณหนูห้า หลี่หลิงเฟิ่งสินะ ได้ยินชื่อของเจ้ามานานแล้ว วันนี้ได้พบหน้ากันเสียที อย่าไปฟังคำพูดไร้แก่นสารของเขาให้มากนัก พวกเราเป็นเพียงสหายที่ดีต่อกันเท่านั้น”

“จะวันนี้หรือวันหน้า ตำแหน่งพี่สะใภ้ก็หนีท่านไม่พ้น” หลี่เจี้ยนส่งสายตายั่วเย้า แลดูสนุกสนาน

“เจ้าปรักปรำข้าเช่นนี้จะเกิดความเข้าใจผิดเอาได้ สตรีในอนาคตของหลี่เฟยหยางจะเป็นใครนั้น ไม่เกี่ยวอันใดกับข้า ที่พวกท่านมาวันนี้คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้กระมัง”

หลี่หลิงเฟิ่งมองถ้วยน้ำชาในมือ แววตาทอประกายล้ำลึก เอ่ยถามเสียงเรียบแม้ว่านางจะมั่นใจถึงแปดเก้าส่วนก็ตาม “แม่นางอวิ๋นหลิ่ว ท่านคือนายใหญ่ของหออวี้หลิ่วหรือ”

อวิ๋นหลิ่วไม่ตอบรับ เพียงยกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง “เรียกข้าว่าอวิ๋นหลิ่วก็พอ น้องสาวของเฟยหยางก็เหมือนน้องสาวของข้า” อวิ๋นหลิ่วชะงักเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวถามอย่างใคร่รู้ “ได้ยินมาว่าเจ้าฝึกพลังยุทธ์ได้แล้ว ที่มาวันนี้เพราะต้องการหินแร่สินะ”

“ไม่ผิด” หลี่หลิงเฟิ่งกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ท่านพอจะขายให้ข้าสักสิบยี่สิบก้อนได้หรือไม่”

อวิ๋นหลิ่วยิ้มอย่างปลงตก “ไม่ใช่ไม่ได้ เพียงแต่คืนนี้จัดงานประมูลขึ้น หินแร่ทุกก้อนที่หาได้ถูกส่งไปประมูลจนไม่เหลือ หากเจ้าอยากได้ต้องเข้าร่วมการประมูลเท่านั้น” หินแร่แต่ละก้อนไม่ได้หากันง่าย ๆ กว่าจะได้มาต้องเสียหินต้นกำเนิดไปหลายก้อน ดูจากหลี่หลิงเฟิ่งที่เริ่มฝึกพลังยุทธ์คงต้องการหินแร่ขั้นต้นมากพอสมควร

หินแร่สีเทานับว่ามีเยอะที่สุด แต่ก็เป็นที่ต้องการมากที่สุดเช่นกัน ผู้ฝึกพลังยุทธ์บนแผ่นดินนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ขั้นกำเนิดใหม่และขั้นหลอมรวม หินแร่ขั้นต้นใช้กับขั้นพลังยุทธ์ของนางไม่ได้ ที่นางเก็บไว้จึงมีเพียงหินแร่ขั้นสอง

“เหตุใดเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้ ถ้ารู้แต่แรกข้าคงเก็บไว้ให้บางส่วน” อวิ๋นหลิ่วถลึงตามองหลี่เจี้ยน ถอนหายใจอย่างเสียดาย หลี่เจี้ยนถูกนางขึงตาใส่ได้แต่อึกอักพูดไม่ออก

หลี่หลิงเฟิ่งเองก็ผิดหวังเล็กน้อยเช่นกัน หินแร่ที่ควรจะได้มาง่าย ๆ กลับหลุดลอยจากมือนางไปเสียนี่ แต่นางก็ยังไม่หมดหวัง “หากเป็นหินต้นกำเนิด หออวี้หลิ่วคงไม่ขาดแคลนกระมัง”

“เจ้าอยากดูหรือ ได้สิ ตามข้ามา แต่บอกไว้ก่อนว่าอาจทำให้คุณหนูห้าเสียเวลาเปล่า การจะค้นพบหินแร่นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่ท่านคิด โดยเฉพาะคุณหนูห้าที่ยังไม่เคยดูหินต้นกำเนิดมาก่อน หากขาดนักคว้าจับด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยากเข้าไปใหญ่” อวิ๋นหลิ่วพยักหน้า ลุกจากเก้าอี้เดินนำพี่น้องสกุลหลี่เข้าไปส่วนด้านหลังของโรงไม้ เมื่อผลักประตูเข้าไปพลันเจอกับหีบไม้นับร้อยซ้อนทับกัน อวิ๋นหลิ่วสุ่มเปิดหีบใกล้มือ พลางอธิบายให้หลี่หลิงเฟิ่งฟังอย่างใจเย็น

“หินต้นกำเนิดทั้งหมดที่ข้ามีเก็บอยู่ในนี้ทั้งหมด หากคุณหนูห้าชอบชิ้นไหนก็สามารถหยิบติดมือกลับไปเท่าที่เจ้าต้องการได้เลย ในฐานะสหายข้าลดราคาให้พวกท่านครึ่งหนึ่งละกัน แต่ก็กลัวว่าจะเสียเวลาเปล่า ต่อให้กะเทาะทั้งหมดคงได้แค่หินแร่ขั้นต้นเพียงไม่กี่ก้อนเท่านั้น”

“หินเหล่านี้ผ่านมือเจ้าหมดแล้วสินะ อวิ๋นหลิ่วแห่งหออวี้หลิ่วไม่เพียงแต่เป็นเถ้าแก่ แต่ยังเป็นนักคว้าจับที่หาตัวจับยากผู้หนึ่ง ข้าพูดถูกหรือไม่” หลี่หลิงเฟิ่งสัมผัสแร่ธาตุได้เพียงบางเบาเท่านั้น เป็นอย่างที่อวิ๋นหลิ่วกล่าวไว้ ต่อให้ผ่าก้อนหินพวกนี้ออกมาทุกก้อน ก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของนาง สตรีจมูกไวเช่นอวิ๋นหลิ่วจะเป็นเพียงเจ้าของหอได้อย่างไร

“ปิดบังคุณหนูไม่ได้จริงๆ” อวิ๋นหลิ่วตกใจ คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคทำให้นางจับพิรุธได้แล้ว สมแล้วที่เป็นสตรีที่บุรุษผู้นั้นเอ็นดู อวิ๋นหลิ่วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ กล่าวอย่างถ่อมตน “ข้าแค่พอมีความรู้อยู่บ้าง ไม่ถึงกับเก่งกาจอะไร”

“แม้กระทั่งตัวเจ้าเองยังบอกว่าไม่เก่ง ในเมืองนี้คงไม่มีใครกล้าเรียกตนเองว่าเป็นนักคว้าจับอีกต่อไปแล้ว” หลี่เจี้ยนประกายตาร้อนแรงมองอวิ๋นหลิ่ว น้ำเสียงฟังดูเกียจคร้านกว่าทุกครั้ง เขาได้ยินคำนี้มาจนชิน แต่ก็อดค่อนแคะนางสักสองสามประโยคไม่ได้

ยามนี้ใบหน้าของหลี่หลิงเฟิ่งฉายแววเคร่งเครียดขึ้นมาทันที ไฉนถึงมีคนบอกนางว่าหินแร่สีเทาหาง่ายเดินไปทางไหนก็เจออย่างไรเล่า คนพวกนั้นหลอกลวงนางหรือ

ไม่ถูกสิ หากอวิ๋นหลิ่วมีหินต้นกำเนิดไว้ครอบครองมากมายขนาดนี้ นางย่อมรู้แหล่งกำเนิดของพวกมันอย่างแน่นอน

“อย่าเพิ่งร้อนใจไป” ครั้นเห็นหญิงสาววิตกกังวล อวิ๋นหลิ่วจึงรีบเอ่ยปลอบหลี่หลิงเฟิ่ง “หินพวกนี้เป็นแค่ของเก่าเก็บไว้รอขายให้พ่อค้าต่างแดนเท่านั้น ของดีๆ มีหรือคนเป็นเถ้าแก่อย่างข้าจะเอาออกมาขายโดยง่าย เพียงแต่ว่าพวกเจ้าต้องเปลืองแรงกันสักหน่อย”

“ไม่ได้!” หลี่เจี้ยนที่เริ่มรู้เป้าหมายของอวิ๋นหลิ่ว ปฏิเสธเสียงแข็ง มองอวิ๋นหลิ่วอย่างไม่พอใจ

“เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้” อวิ๋นหลิ่วแบมือย่างจนใจ “คุณหนูห้า พี่ชายของเจ้าไม่อนุญาต ข้าเองก็จนปัญญา”

“ข้าไปเอง! แค่เจ้ากับข้า” หลี่เจี้ยนโพล่งออกมาดังลั่น รั้นหัวชนฝา ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่ยอมให้น้องเล็กไปเสี่ยงอันตรายเด็ดขาด

“เจ้าทะนุถนอมนางเกินไปแล้ว แค่ไปแหล่งกำเนิดหินแร่ เจ้าต้องกังวลถึงเพียงนี้เชียวหรือ นางเป็นน้องของเจ้าหรือเป็นลูกของเจ้ากันแน่ อีกอย่างมีเจ้ากับข้าอยู่ นางจะเป็นอันใดได้” อวิ๋นหลิ่วไม่คาดคิดว่าหลี่เจี้ยนจะมีปฏิกิริยารุนแรงถึงเพียงนี้ นี่เขายังฝังใจกับเรื่องครั้งนั้นอยู่อีกหรือ ใช่ว่าเรื่องในครั้งนั้นจะเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง หลายปีมานี้นางเข้าออกที่แห่งนั้นนับครั้งไม่ถ้วนยังไม่มีอันใดเกิดขึ้น เขากังวลเกินเหตุไปหรือไม่

“ใครก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเรื่องผิดพลาดจะไม่เกิดขึ้นอีก หากมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในร้อยส่วน ข้าก็ไม่ยอมให้น้องของข้าเข้าไปเสี่ยงแน่” หลี่เจี้ยนเคร่งเครียดจนหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกได้ แม้ในใจจะรู้สึกสงสัยใคร่รู้อย่างมาก แต่นางก็ยังเลือกที่จะเงียบ มือเรียวลูบแขนเขาเบาๆ

อวิ๋นหลิ่วก็เริ่มมีน้ำโหขึ้นมาแล้ว นางไม่มีพี่น้องจึงไม่อาจเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ แต่หากนางหวังดีกับคนผู้หนึ่งจริง ๆ นางจะไม่เก็บซ่อนคนผู้นั้นเอาไว้ แต่จะให้เขาได้ออกไปโลดโผนข้างนอกอย่างสบายใจ “หลี่เจี้ยน เจ้าอยากให้นางอ่อนแออย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรือ เจ้ามั่นใจมากแค่ไหนว่าจะปกป้องนางได้ตลอดไป สักวันนางก็ต้องกางปีกออกจากอ้อมอกของเจ้า วันหน้าหากนางตกอยู่ในอันตรายจะทำเช่นไร ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงนาง แต่สิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ตอนนี้มันไม่ถูกต้อง แทนที่จะให้นางเผชิญหน้าด้วยตนเอง แต่เจ้าคอยเอาตัวมาเป็นเกราะกำบังให้นางทุกครั้ง แล้วนางจะเติบโตขึ้นได้อย่างไร”

“เจ้าควรเอาเวลาที่เถียงกับข้ามาคิดหาวิธีว่าจะระวังภัยข้างหลังนางให้ปลอดภัยดีกว่าหรือไม่” อวิ๋นหลิ่วกลอกตา นางรู้มาตลอดว่าสหายทั้งสองของนางเป็นโรคคลั่งน้องสาว แต่ไม่คิดว่าจะเป็นถึงขนาดไม่ลืมหูลืมตาขนาดนี้ “อีกอย่าง เจ้าอย่าลืมว่าอีกไม่นานน้องสาวเจ้าจะต้องเดินทางไปเมืองหลวง เข้าร่ำเรียนที่สำนักศึกษาหลวง เจ้ากล้าพูดเต็มปากหรือไม่ว่าสามารถดูแลนางได้อย่างทั่วถึง”

คราวนี้เป็นหลี่เจี้ยนพูดไม่ออกบ้าง สีหน้าซีดเผือดลงเรื่อย ๆ เขารู้ดีหากหลี่หลิงเฟิ่งเข้าสำนักศึกษาหลวงต้องโดนกลั่นแกล้งไม่มากก็น้อย แต่เขาก็ไม่อยากเห็นนางได้รับบาดเจ็บ แค่วันนั้นที่เห็นนางเลือดท่วมตัว เขาก็เสียใจโทษตนเองอยู่หลายวันที่ดูแลนางได้ไม่ดีพอ

“พี่รอง ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของอวิ๋นหลิ่วนะเจ้าคะ” ความรู้สึกอบอุ่นที่มีคนเป็นห่วงมันช่างดีเหลือเกิน แม้นางเพียงรู้จักกับเขาไม่กี่วัน แต่ชายผู้นี้ก็รักและห่วงใยนางจากใจจริง น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาจึงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ข้ารู้ว่าพี่เป็นห่วง แต่ข้าไม่ต้องการหลบอยู่ข้างหลังพวกท่าน สิ่งที่ข้าต้องการคือการเดินไปข้างหน้าพร้อมกับพวกท่าน เคียงข้างพวกท่าน พี่เข้าใจหรือไม่” หลี่เจี้ยนมองหน้าหลี่หลิงเฟิ่งอยู่เป็นนาน สุดท้ายจึงพยักหน้าตกลงอย่างยากลำบาก

ใช่แล้ว นางไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของใคร แรกเริ่มนางมาที่นี่เพียงคนเดียว เก็บตัวเงียบเชียบ เอาชีวิตรอดไปวัน ๆ ไม่สนใจใคร ไม่ผูกพันกับใคร จนนางได้พบกับเสี่ยวเซียงเสี่ยวเฉินที่ยืนอยู่ข้างนางมาเสมอ หลี่เฟยหยางที่ยอมตายแทนนางได้ และบัดนี้ยังมีหลี่เจี้ยนที่ปกป้องนางทุกทาง

หลี่หลิงเฟิ่งไม่ชอบเป็นตัวถ่วงของใคร ไม่ชอบให้ใครมาปกป้อง นางชอบยืนอยู่เบื้องหน้า สร้างทุกอย่างด้วยสองมือตนเอง แต่ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่ซาบซึ้งใจหากมีคนทำเพื่อนางเช่นนี้

“คุณหนูห้าไม่ต้องคิดมาก แหล่งกำเนิดหินแร่ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นหรอก เพียงแค่หลายปีก่อนระหว่างข้ามฟากเกิดกระแสน้ำเชี่ยวขึ้นมาครั้งหนึ่ง ทำให้พวกเราเกือบเอาชีวิตไม่รอด นับแต่นั้นมาหลี่เจี้ยนจึงไม่ยอมไปเหยียบย่างที่นั่นอีก แต่มันก็เกิดขึ้นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าวางใจได้ พวกเราจะต้องปลอดภัยกลับมาทั้งหมดทุกคนอย่างแน่นอน” อวิ๋นหลิ่วถอนหายใจโล่งอก ในที่สุดเจ้าคนดื้อรั้นหลี่เจี้ยนก็สงบลงได้ นางส่งยิ้มให้หลี่หลิงเฟิ่งอย่างขอโทษขอโพย

“เรียกข้าว่าเสี่ยวเฟิ่งเหมือนพวกพี่ ๆ ของข้าเถอะ สหายของพี่ข้าก็เหมือนสหายของข้า” นางส่งยิ้มกว้างให้อย่างน่ารักจนแก้มทั้งสองข้างบุ๋มลง อวิ๋นหลิ่วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ บรรยากาศตึงเครียดภายในห้องสลายหายไปในพริบตา

이 책을 계속 무료로 읽어보세요.
QR 코드를 스캔하여 앱을 다운로드하세요

최신 챕터

  • ชายาอสรพิษ   อันตรายมาเยือน

    หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่

  • ชายาอสรพิษ   ภัยเงียบ

    ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ

  • ชายาอสรพิษ   เบื้องหลังที่ทับซ้อน

    ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน

  • ชายาอสรพิษ   ผ้าแพร

    สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น

  • ชายาอสรพิษ   เงามืด

    *ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ

  • ชายาอสรพิษ   พบศัตรูบนทางแคบ

    ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้

더보기
좋은 소설을 무료로 찾아 읽어보세요
GoodNovel 앱에서 수많은 인기 소설을 무료로 즐기세요! 마음에 드는 책을 다운로드하고, 언제 어디서나 편하게 읽을 수 있습니다
앱에서 책을 무료로 읽어보세요
앱에서 읽으려면 QR 코드를 스캔하세요.
DMCA.com Protection Status