Masukหลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะซ่อนตัวอีกต่อไป นางฟาดฝ่ามือลงบนกลางหลังเสี่ยวเฉินด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสี่ยวเฉินให้ไปไกลมากที่สุด ส่วนนางรุดเข้าไปหาชายชุดดำข้างหน้า ขณะที่นางเอี้ยวตัวหันไปผลักเสี่ยวเฉินนั้นมืออีกข้างที่ว่างอยู่ล้วงเข้าไปหยิบผงสีขาวชนิดหนึ่งในมิติออกมา
“คุณหนู!” เสี่ยวเฉินที่โดนฝ่ามือปะทะจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางลอยละลิ่วไปหลายจั้ง ดวงตาฉายแววตื่นตระหนก เมื่อร่วงลงบนพื้นได้ก็ทำท่าจะวิ่งกลับมาหาหลี่หลิงเฟิ่งอีกครั้ง
‘กลับไป! รีบไปตามอู๋เหยียนมาที่นี่ เร็ว! ยิ่งเจ้าอยู่จะยิ่งทำให้ข้าห่วงหน้าพะวงหลัง ไปซะ’ หลี่หลิงเฟิ่งเพ่งกระแสจิตอย่างหนักหน่วงจนรู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย นางไม่แน่ใจว่าเสี่ยวเฉินจะได้ยินที่นางพูดหรือไม่ นางเคยอ่านเจอในตำราฝึกพลังธาตุ ทว่าก็ยังไม่เคยลองใช้มาก่อน
อย่างไรก็ดี นางไม่สามารถสัมผัสกลิ่นอายเสี่ยวเฉินได้อีก หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังดีที่กระแสจิตของนางใช้ได้ อย่างน้อยเสี่ยวเฉินก็ไม่ได้วิ่งกลับเข้ามาหานาง
หลี่หลิงเฟิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เรียกความมั่นใจของตนกลับมา มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ด้วยพละกำลังของนางในตอนนี้ คิดจะใช้พลังยุทธ์ปะทะคงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะชนะ
“เจ้า มานี่ให้ข้า!” หนึ่งในชายชุดดำเจ้าของเสียงอันทรงพลังตลาดออกมาด้วยความโมโห หลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะหลบเลี่ยงอยู่แล้ว ค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า สีหน้าสงบนิ่ง แต่ภายในใจกำลังครุ่นคิดวิธีร้อยแปดพันอย่างที่จะถ่วงเวลาให้ได้นานที่สุด
เมื่อนางเดินเข้าไปใกล้ๆ ก็สังเกตเห็นรูปร่างกำยำผิวคล้ำกรำแดด ใบหน้าดุดันเต็มไปด้วยจิตสังหารจ้องเขม็งมาที่นาง ส่วนอีกคนที่อยู่ด้านหลังเป็นบุรุษร่างผอมบางอมโรคคนหนึ่ง แววตาลุ่มลึกยากจะหยั่งถึง
“พี่ชาย ท่านคิดจะฆ่าคนปิดปากอย่างนั้นหรือ” เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวดังขึ้นแผ่วเบา ระบายรอยยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ชวนให้คนที่พบเห็นสบายตาไปด้วย
“สังหารเจ้าหรือ” บุรุษชุดดำรูปร่างกำยำตวาดลั่นพร้อมกับหัวเราะลั่น “ข้าต้องฆ่าเจ้าแน่ เช่นนั้นแล้ว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป พวกข้าไม่กลายเป็นคนถูกไล่ล่าเองหรอกหรือ” เขามองหลี่หลิงเฟิ่งราวกับเห็นตัวประหลาดสมองหมู แต่เมื่อเพ่งพินิจมองหญิงสาวก็ได้แต่อ้าปากค้าง
สาวงาม ช่างงดงามเหลือเกิน งามกว่าทุกคนที่เขาเคยเจอมา
เสียงเกรี้ยวกราดที่กำลังเปร่งออกมา พลันเปลี่ยนเป็นนุ่มนวล “แต่ถ้าเจ้าอยากมีชีวิตรอด มาเป็นเมียพวกข้าสักสองสามคืนก่อนเป็นไง ฮ่าๆ ถึงตอนนั้นข้าอาจจะใจดีเลี้ยงเจ้าไว้เป็นนางบำเรอก็ได้ เจ้าว่าอย่างไร” บุรุษต่ำทรามผู้นั้นแสยะรอยยิ้มอันน่ารังเกียจออกมา สายตาหื่นกระหายมองอย่างจาบจ้วงแทะโลมหลี่หลิงเฟิ่งไปทั่วเรือนร่าง
“อย่างนั้นหรือ?” หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะออกมาเบาๆ สายตาที่เคยสงบนิ่งพลันเย็นชาขึ้นมาหลายส่วน นางเหลือบมองที่ข้างขอบสระแวบหนึ่ง ริมฝีปากพลันคลี่ยิ้มกว้างสดใส
“เช่นนั้นเจ้าก็ลองดู” หลี่หลิงเฟิ่งพุ่งกายเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมายืนด้านข้างระหว่างชายชุดดำทั้งสองอย่างรวดเร็ว ประกายสังหารพลันปรากฏขึ้นบนดวงตาของหญิงสาว พร้อมกับสาดผงสีขาวที่มือออกไปข้างหน้า
“อ๊ากกก” เสียงร้องโหยหวนสองเสียงดังลั่น สองมือกุมดวงตาตัวเองอย่างเจ็บปวดทรมาน หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะเย้ยหยันอยู่ในใจ คนพวกนี้เห็นนางเป็นคนปัญญาอ่อนหรือไง มีหรือที่คนปกติจะนอนรอให้คนอื่นมาเชือดได้ง่ายๆ
จากนั้นสายตาหญิงสาวหันไปสนใจบุรุษชุดดำอีกคนที่นอนรอความตายอยู่บนพื้น ความโกรธของนางพุ่งสูงหมื่นจั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้บ้าน่าตายผู้นี้ นางคงไม่ต้องมารนหาที่ตายอย่างนี้แน่
อยากตายนักหรือ เดี๋ยวพี่สาวคนนี้จัดให้!
อั่ก! เท้าเล็กเหยียบลงบนหน้าอกของชายหนุ่มอย่างแรง ร่างสูงใหญ่กระตุกสองสามทีก่อนจะแน่นิ่งไป
“สมควรตาย!” บุรุษชุดดำร่างผอมบางคำรามออกมาอย่างเคียดแค้น พลังอันมหาศาลสีส้มสายหนึ่งพุ่งตรงมาที่หลี่หลิงเฟิ่งอย่างรวดเร็ว โดยที่นางไม่อาจป้องกันได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ตูม!
เมื่อโดนพลังทรงพลังเช่นนั้น ร่างของนางปลิวกระเด็นตกลงไปในสระน้ำอย่างแรง น้ำในสระสาดกระเซ็นไปรอบทิศ ด้วยอานุภาพที่รุนแรงนี้ ภายในกายของนางบอบช้ำแสนสาหัส หลี่หลิงเฟิ่งกระอักเลือดออกมาไม่หยุด ผิวหนังภายนอกเสียดสีกับผิวน้ำ ส่งผลให้มีบาดแผลราวมีดกรีดหลายร้อยเล่มไปทั่วร่าง บัดนี้น้ำในสระถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
ทว่าต่อให้นางบาดเจ็บแค่ไหน สติของนางก็ยังแจ่มชัด หลี่หลิงเฟิ่งประคองตัวเองว่ายไปฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว เกาะขอบสระไว้แน่น
“หึ เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้าไม่มีปัญญา เป็นอย่างไรพิษหญ้าเผยกู่ ทรมานดีหรือไม่” แววตาคมกริบจ้องมองทั้งสองคนที่ยังคงกุมหน้าของตนอยู่ ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน
หญ้าเผยกู่เป็นหญ้าที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยปกติแล้วรากของมันมีสรรพคุณทางยาช่วยให้เลือดลมไหลเวียนคล่อง แต่ถ้านำใบของมันไปตากแห้งแล้วบดเป็นผงจะทำให้เกิดพิษร้ายแรงชนิดหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือ ผงขับสลาย มีฤทธิ์ทำให้ตาบอดชั่วขณะ ราวๆ หนึ่งเค่อ*
“นางสารเลว เอายาถอนพิษมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!” เสียงโวยวายดังขึ้นมาอีกครั้งจากชายร่างกำยำ ชี้มือมาทางหลี่หลิงเฟิ่ง สีหน้าฉายแววโกรธแค้น
“อย่าคิดว่าจะหนีไปไหนรอด รอให้ข้าสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น ดูสิว่าเจ้ายังจะปากดีอยู่อีกหรือไม่! อ๊ากกก” หางคิ้วของหญิงสาวเลิกขึ้นอย่างท้าทาย
คิดจะฆ่านางหรือ ยังเร็วไปอีกสิบปี!
รอยยิ้มร้ายกาจราวปีศาจสาวผุดขึ้นมา “อ้อ รับไปสิ” หลี่หลิงเฟิ่งคว้าต้นหญ้าที่อยู่ข้างริมสระใกล้ๆ นางขึ้นมา โยนไปให้บุรุษจอมโวยวาย โดยไม่ทันได้คิด เมื่อสิ้นเสียงหญิงสาว มือก็ยื่นออกไปข้างหน้ารับหญ้าต้นนั้นมาอย่างไม่รู้ตัว
หลี่หลิงเฟิ่งยิ้มกริ่ม เจ้าโง่ ปัญญาทึบเอ๋ย “โง่เง่า ปัญญาอ่อน”
“นางแพศยา เจ้าเอาอะไรมาให้ข้า!” ชายหนุ่มนิ่งงันไปชั่วขณะ เมื่อได้สติพลันแผดเสียงคำรามลั่น
“อะไรน่ะหรือ” น้ำเสียงเนิบนาบดังขึ้นมาอีกหน สายตาเจ้าเล่ห์จับจ้องไปยังคนทั้งสองที่ตอนนี้ยังลืมตาไม่ขึ้น “เจ้าไปถามเอากับยมบาลสิ”
สิ่งที่นางโยนไปน่ะหรือ ก็แค่หญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น เพียงแต่หญ้าต้นนี้เป็นสมุนไพรล้ำค่าหายากที่สิบปีจะมีสักต้น ไม่คิดว่าจะมาเจอที่ป่าแห่งนี้ได้
จากที่นางได้ศึกษาตำรามาระยะหนึ่งแล้ว สมุนไพรหายากทุกชนิดมักจะมีสัตว์อสูรคอยปกป้องอยู่เสมอ บังเอิญว่าสระน้ำแห่งนี้มีหญ้าหลอมวิญญาณอยู่ต้นหนึ่ง
หลี่หลิงเฟิ่งไม่มีทางเลือก เพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุด นางจำเป็นต้องใช้วิธีเสี่ยงตายเช่นนี้
เจ้าไม่ตาย ก็เป็นข้าที่ม้วย เพราะฉะนั้นอย่าโทษที่ข้าใจร้าย
“ปากดีนัก งั้นก็อย่าอยู่เลย!” ว่าแล้วทั้งสองก็ซัดพลังมายังทิศทางของหลี่หลิงเฟิ่ง ทว่า ยังไม่ทันที่พลังจะถึงตัวนาง สายน้ำที่เคยสงบนิ่งพลันเกิดเป็นเกลียวคลื่นมหึมา ลึกลงไปไม่มีที่สิ้นสุด ร่างแบบบางของหญิงสาวถูกเกลียวคลื่นพัดไปตามกระแสหมุนวนไม่รู้เหนือรู้ใต้
บ้าเอ๊ย ข้าคำนวณมาทุกอย่าง แต่กลับไม่ได้คิดว่าสัตว์อสูรจะอยู่ใต้น้ำ อยากร่ำไห้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่มีเวลาคร่ำครวญให้กับความโชคร้ายได้นานนัก คลื่นใต้น้ำม้วนตัวนางลงไปลึกลงเรื่อยๆ สายตาของนางมองไม่เห็น รอบด้านมืดมิดไปหมด ร่างกายของนางหมุนวนรอบทิศ หูทั้งสองข้างไม่ได้ยินสิ่งใดนอกจากเสียงน้ำอึงอวลอยู่ข้างหูตลอดเวลา
หลี่หลิงเฟิ่งลอบยินดีอยู่ในใจที่เมื่อเช้าตัดสินใจไม่กินหมั่นโถว ไม่อย่างนั้น นางคงสำรอกออกมาจนหมดสิ้นเป็นแน่
ฟู่ๆๆ
ขณะเดียวกัน สถานการณ์บนบกเลวร้ายกว่าที่หลี่หลิงเฟิ่งประสบพบเจอยิ่งนัก บุคคลทั้งสามอยู่รอบสระน้ำปลิวกันไปคนละทิศคนละทาง จากลมที่พ่นออกมาจากปากสัตว์อสูร สภาพดีหน่อยเห็นจะเป็นบุรุษชุดดำปลายชุดขลิบทองผู้เคยนอนอยู่ริมสระที่สลบไปนานแล้วเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวหรืออาจเป็นเพราะเสียเลือดมากก็เป็นได้ ถูกพัดปลิวไปหลายจั้ง แต่โชคดีที่ร่างกายไม่ได้กระแทกกับสิ่งกีดขวางใดๆ ต่างจากอีกสองคนที่ร่างกายกระแทกโดนลำต้นไม้ใหญ่จนกระอักเลือดออกมาหลายคำ
สัตว์อสูรที่หลับไหลใต้ผืนน้ำค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาจากน้ำ ลำตัวยาวหลายสิบฉื่อ สีดำมะเมื่อมมันวาว อวบอ้วนจนเสียคนสองคนโอบรอบตัวมันก็ยังไม่มิด เกล็ดของมันส่องประกายระยิบระยับรับกับแสงแดด พุ่งตรงไปยังชายสองคนใต้ต้นไม้ที่กำลังยันตัวลุกขึ้นยืนอยู่ตอนนี้ ลิ้นสีแดงสดสามแฉกแลบออกมาพร้อมกับพ่นหมอกควันสีเขียวไปข้างหน้า
ฟู่
หย่อมหญ้าที่หมอกควันสีเขียวไหลผ่านนั้น เดิมจากที่เคยเขียวชอุ่ม ล้วนแห้งเหี่ยวลงทันที จากนั้นค่อยๆ แห้งเหือดสลายกลายเป็นเถ้าถ่านลอยคละคลุ้งอยู่กลางอากาศ
เห็นได้ชัดว่าหมอกควันที่มันพ่นออกมานี้มีพิษร้ายแรง
ชายร่างผอมสัมผัสถึงกลิ่นแปลกประหลาดที่ลอยเข้ามา สีหน้าพลันมืดครึ้มลง มือข้างหนึ่งรีบอุดจมูกตัวเองไว้ ขบกรามแน่นอย่างโกรธจัด ส่งเสียงลอดไรฟันออกมาแผ่วเบา” รีบอุดจมูกเร็วเข้า มีพิษ!”
น่าตายนัก! นางบ้านั่นไปปลุกสัตว์ประหลาดตัวไหนเข้า อย่าให้ข้าหนีรอดไปได้ ข้าจะให้มันต้องตายอย่างทรมานเป็นร้อยเท่าพันเท่า
พลังยุทธ์สีส้มสลับเขียวหลายสายพุ่งไปทั่วบริเวณ แต่ไม่สามารถทำอันตรายงูยักษ์ได้ เนื่องจากดวงตาที่ยังมองไม่เห็น พลังที่ปล่อยออกไปจึงสะเปะสะปะไร้ทิศทาง ทว่าพิษของเจ้างูยักษ์ก็ทำอะไรมนุษย์สองคนนี้ไม่ได้เหมือนกัน งูยักษ์แลบลิ้นออกมาด้วยความโกรธ ไม่นานสองมนุษย์หนึ่งงูก็ปะทะกันอีนุงตุงนังไปหมด
ภายใต้สระน้ำ ร่างหนึ่งค่อยๆ จมลงไปยังก้นสระ หญิงสาวไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอกเลยแม้แต่น้อย กระแสน้ำกลับมาสงบนิ่งเหมือนอย่างเคย หลี่หลิงเฟิ่งหลับตาพริ้มทิ้งตัวดิ่งลงไปตามแรงโน้มถ่วง ปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจรอบๆ บริเวณ
ยังดีที่ชาติก่อนนางเคยฝึกดำน้ำ ทดสอบกลั้นหายใจได้ราวๆ ครึ่งเค่อ หลี่หลิงเฟิ่งไม่รู้ว่าสัตว์อสูรตัวนั้นจะสามารถกำจัดศัตรูพวกนั้นได้หรือไม่ แต่ไม่ว่าอย่างไร เวลาเท่านี้ก็เพียงพอให้คนของนางตามมาช่วยทันแล้ว ถึงนางจะไม่รู้ถึงระดับพลังยุทธ์ของอู๋เหยียน แต่หากจะเลวร้ายแค่ไหนก็ต้องสูงกว่านางแน่นอน
ขณะที่คิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา หลี่หลิงเฟิ่งสัมผัสถึงความเย็นสบายที่ได้รับก่อนหน้านี้ ยิ่งร่างนางดิ่งลึกลงไปเท่าไหร่ ความเย็นยิ่งแผ่ซ่านออกมาเรื่อยๆ
มันอยู่ข้างใต้นี่
หญิงสาวลืมตาขึ้นมาฉับพลัน แววตาสั่นระริกเจือความตื่นเต้น เร่งดำน้ำลงไปยังก้นสระ น้ำในสระแห่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก ยิ่งอยู่ลึกยิ่งให้ความรู้สึกเบาสบาย คิ้วของนางขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว นอกจากนั้นยังช่วยให้บาดแผลภายนอกของนางสมานตัวเร็วขึ้น
หรือน้ำในสระนี้จะมีคุณสมบัติคล้ายๆ กับน้ำทิพย์ในมิติของนาง
เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งมาถึงก้นสระ แสงสะท้อนแวววาวหลากสีคือสิ่งแรกที่กระทบเข้ากับนัยน์ตาของนาง หลี่หลิงเฟิ่งสายตาพร่ามัวไปชั่วขณะ นางหรี่ตาลงน้อยๆ เพ่งพินิจถึงที่มาของแสงเจ้าปัญหา ทันใดนั้นสีหน้างดงามพลันฉายแววฉงน
ก้อนหิน?
ไม่สิ มันเหมือนอัญมณีที่ถูกขัดเกลาจนโปร่งใสแล้วต่างหาก ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนนางคงรวยเละไปแล้วล่ะ
นางกวาดตามองไปรอบๆ พลันพบว่านอกจากอัญมณีเหล่านี้แล้วยังมีพวกเหรียญเงิน เหรียญทอง ข้าวของเครื่องใช้ล้ำค่ามากมายก่ายกองเต็มก้นสระ
โอ้! นี่นางเจอขุมทรัพย์อีกแล้วหรือนี่
หญิงสาวแทบหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือด อย่างน้อยในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีซ่อนอยู่
*หนึ่งเค่อ = 15 นาที
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้
ห่างจากตำแหน่งของหลี่หลิงเฟิ่งไปไม่กี่ลี้ กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ห้าคนเดินเรียงกันบนทางดินที่ถูกเถาวัลย์กลืนกิน กำลังจะประสบกับเหตุการณ์คล้ายคลึงกับพวกนาง คนที่นำหน้าเป็นชายร่างใหญ่ในชุดเกราะหนา สวมปลอกแขนหนังงูอัสนี เขามีแผลเป็นลากจากขมับจรดปลายคาง ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของความเคยชินกับความตาย ด้านหลังเขาเป็นหญิงสาวสองคน และชายอีกสองคนที่แบกหีบเครื่องมือบนหลัง“ข้าบอกแล้วว่าเส้นทางนี้มีพลังจิตประหลาด เจ้ายังจะเดินเข้ามาอีก” เสียงชายหนุ่มด้านหลังบ่น แต่ก็ไม่ได้หยุดเดินหัวหน้ากลุ่มหันมามองแวบหนึ่ง แววตาเฉียบคม “ในเขตจิตลวงนี้ ทุกย่างก้าวคือโอกาส ถ้าไม่เสี่ยง ก็ไม่มีวันได้อะไรกลับไป”หญิงสาวที่เดินข้างหลังเขายกคิ้ว “หมอกหนาแบบนี้ ขนาดจิตสัมผัสยังถูกสะท้อนกลับ ข้าว่าพวกเราคงโคร้ายมากกว่าโชคดี”“พอ” หัวหน้ากลุ่มพูดขัดเสียงเรียบ “หากกลัวก็กลับ แต่ทรัพยากรของวันนี้จะไม่มีส่วนแบ่งของพวกเจ้า”ครั้นพูดจบ เสียงโต้เถียงจึงหยุดลง ความเงียบกลับมาปกคลุมอีกครั้ง มีเพียงเสียงฝีเท้าที่กระทบดินแฉะเท่าน
ชั่วพริบตา ร่างเงานางพลันแตกแยกออกเป็นห้าสิบภาพในอากาศ แต่ละร่างจับท่าทางเดียวกัน แผ่นหลังตรงดุจคันศร เส้นไหมแดงในมือร่ายวนรอบตน ภาพทั้งหมดเคลื่อนไหวพร้อมกันราวระลอกคลื่นยักษ์“ภาพลวงห้าสิบ!”ระยะเวลาเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น ทว่า พลังสะท้อนที่ส่งออกจากห้าสิบร่างกลับเทียบเท่าร่างจริงทุกประการ ประกายเพลิงจากเงาแต่ละร่างพุ่งเข้าใส่ฝูงยุงเลือดจากคนละทิศ ยุงเลือดหลายสิบตัวถูกแผดไหม้จนกลายเป็นเพียงธุลีธุลี ทว่าอีกนับร้อยกลับพุ่งเข้ามาแทนที่อย่างบ้าคลั่งโม่เจี้ยนหมิงสบช่อง ดวงตาเปล่งประกายบ้าบิ่น โผเข้าประชิดด้านข้าง เสียงฟ้าร้องระเบิดในอากาศอีกครั้ง"พายุเจ็ดดารา!" แรงลมหมุนเจ็ดชั้นกระแทกใส่ฝูงยุงจากด้านหลัง กระบี่ลมสับกลางอากาศเสียงฉึบฉับ"ถ้าจะตายขอให้ข้าตายพร้อมพวกเจ้าละกัน!" เสียงของโม่เจี้ยนหมิงดังขึ้นตามหลัง เขาร่ายกระบี่กวาดเป็นวง ก่อเป็นกระแสพายุอันบ้าคลั่งรอบตัวทั้งสองสายลมบ้าคลั่งพัดหมอกกระจายออก เผยให้เห็นร่างของยุงเลือดนับไม่ถ้วนที่แหวกเข้ามา ทว่า เพียงไม่นาน ฝูงอสูรระดับหกสองตัว พุ่งฝ่าเข้ามาอย่างดุดัน แรงคลื่นพลังของมันทำให้ร่างแยกของนางหายวับไปครึ่งหนึ่งในพริบตา หลี่หลิงเฟิ่







