เช้าวันนี้เมืองหลี่ครึกครื้นเป็นพิเศษ โรงเตี๊ยมแน่นขนัดไม่มีที่ว่างแม้แต่น้อย บรรดาชนชั้นสูงจากหลายมุมเมืองต่างเดินทางมาร่วมแสดงความยินดีกับคุณหนูทั้งสองของตระกูลหลี่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่หรูอี้ คุณหนูสี่ผู้กำเนิดจากภรรยาเอกของท่านเจ้าเมือง สำหรับหลี่หลิงเฟิ่งพวกเขามีความรู้สึกอันหลากหลาย หลายเดือนก่อนเก้าในสิบส่วนของครอบครัวผู้เข้าร่วมงานเคยยื่นฎีกาเรียกร้องถอดถอนตำแหน่งคู่หมั้น มาวันนี้กลับต้องนำของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี บรรยากาศภายในจวนจึงเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด
ในตระกูลใหญ่พิธีปักปิ่นหรือพิธีแสดงความเป็นผู้ใหญ่จัดขึ้นทุกปี เมื่อบุตรีในบ้านอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์ ดังนั้นงานเลี้ยงสกุลหลี่สำหรับแขกเหรื่อที่มาเยือนจึงเป็นเรื่องที่คุ้นเคยกันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกันหรือไม่ ของขวัญที่ควรมอบยังคงต้องมอบออกไป หากบ้านไหนมีความสัมพันธ์อันดีหรือต้องการผูกมิตรกับตระกูลหลี่จะเดินทางมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง จากจำนวนที่เข้าร่วมในวันนี้ รากฐานตระกูลหลี่นับว่าไม่ธรรมดา หยั่งรากลึกไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น
ไม่เพียงบ่งบอกว่าสตรีสามารถออกเรือนได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ยังแสดงถึงการผูกพันธสัญญากับสัตว์อสูรอีกด้วย ตระกูลที่ลูกหลานมีพรสวรรค์ในด้านฝึกพลังยุทธ์จะได้รับสัตว์อสูรเป็นของขวัญ ส่วนใหญ่จะเป็นสัตว์อสูรขั้นหนึ่งขั้นสอง ง่ายต่อการทำให้มันยอมรับ จากนั้นค่อยๆ เติบโตไปพร้อมๆ กัน
หลี่หลิงเฟิ่งค่อนข้างสนใจเรื่องสัตว์อสูรเป็นอย่างมาก หากอยากแข็งแกร่งขึ้นนางจำเป็นต้องมีศาสตราวุธคู่กายเคลื่อนไหวได้ มีความคิด มีชีวิตจิตใจ หญิงสาวฉุกคิดถึงเหตุการณ์ตอนได้พบกับเสี่ยวมู่ครั้งแรก วันนั้นเป็นวันครบรอบวันเกิดอายุสิบห้าปีของนาง มีความเป็นไปได้ว่ามิติของนางจะสมบูรณ์เมื่ออายุครบสิบห้าปีและเสี่ยวมู่ผูกพันธสัญญากับนางโดยบังเอิญ
คิดถึงเจ้าพืชชราในคราบทารกน้อยทีไรเป็นต้องกุมขมับทุกที ผ่านมาหลายเดือนขนาดนี้ยังไม่มีวิวัฒนาการอะไรบ้างเลย น้ำทิพย์ที่หล่อเลี้ยงทุกวันจนแทบจะแห้งขอดอยู่รอมร่อก็ไม่ช่วยอันใด ทำเอานางอดคิดไม่ได้ว่าบางทีรากคงเน่าพร้อมนำไปฝังได้แล้ว
งานเลี้ยงดำเนินไปสักพักใหญ่ ทว่า ตัวเอกของงานอีกหนึ่งคนยังไม่ปรากฏกาย เหล่าฮูหยินชะเง้อรอคอยเป็นเวลานานเริ่มจับกลุ่มติฉินนินทา ภายนอกยังคงรักษาท่าที ประดับรอยยิ้มให้เกียรติ แต่ความเร็วในการสนทนาหาได้ลดทอนลงไม่
หลี่หรูอี้ได้ยินเสียงด่าทอเปรียบเทียบนางกับหลี่หลิงเฟิ่ง ความหงุดหงิดที่ถูกกดข่มเมื่อวานพลันมลายสิ้น หลายเดือนมานี้นางทุ่มเทประทินโฉม ทำเครื่องประดับ ตัดชุดฤดูกาลใหม่เพื่องานนี้โดยเฉพาะ นางต้องโด่ดเด่นที่สุดในงาน ต้องข่มขวัญนังลูกอนุนั่นเสียหน่อย เมื่อวานเพราะนางไม่ทันระวังตัวจึงถูกเล่นงานเอาได้ หากวันนี้นังบ้านนอกกล้าลงมือกับนางอีกล่ะก็ นางไม่แพ้แน่
“โจวฮูหยิน เหตุใดคุณหนูห้าถึงยังไม่มาอีกเล่า หรือเอียงอายจนไม่ยอมให้พวกเรายลโฉมว่าที่พระชายาเสียแล้ว” ฮูหยินท่านหนึ่งในบรรดาสตรีจับกลุ่มคุยกัน จีบปากจีบคอเอ่ยถาม
โจวชิงหรานยิ้มรับ “ลูกห้าเพิ่งกลับมาถึงเมื่อเย็นวาน ร่างกายยังคงอ่อนเพลีย หากทำให้ล่าช้าบ้างข้าคงได้แต่อภัยแทนนางแล้ว”
ฮูหยินท่านนั้นกล่าวอีก “จะได้อย่างไร ทำเช่นนี้ไม่เป็นการให้ท้ายนางหรือ เป็นถึงว่าที่พระชายา กลับทำตัวเหลวไหล แบบนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน” หลังกล่าวจบ สีหน้าหนักอกหนักใจก็ปรากฏขึ้นทันที หลี่เหวินเหยาที่นั่งอยู่ด้านข้างพินิจมองฮูหยินท่านนั้นพลันกระจ่างแจ้ง ที่แท้ก็เป็นฮูหยินท่านเจ้าเมืองซูนี่เอง มิน่าล่ะ...
“ให้ทุกท่านรอนาน ผู้น้อยต้องขออภัยด้วย” สตรีอาภรณ์สีแดงเยื้องย่างเข้ามา ส่งยิ้มงดงามพอเหมาะขอบรรลุแก่โทษ ก้าวย่างที่ไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไปเพิ่มให้นางดูดีขึ้นอีกหลายส่วน
“ข้าน้อย หลี่หลิงเฟิ่ง โทษฐานที่มาสาย ขอดื่มชาถ้วยนี้แทนคำขอโทษทุกท่าน” หลี่หลิงเฟิ่งเดินไปหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมายกรวดเดียวจบ จากนั้นคว่ำลงวางที่เดิม เสียงเซ็งแซ่พลันดึงขึ้นรอบงาน
ฮูหยินท่านหนึ่งอดอุทานออกมาไม่ได้ “ข้าได้ยินมาว่าคู่หมั้นขององค์ชายรองเป็นหญิงอัปลักษณ์ไม่ใช่หรือ นางโง่เขลาเบาปัญญา ไม่อาจฝึกพลังยุทธ์ได้ เป็นตัวอัปมงคลของตระกูล แล้วเหตุใดหญิงอัปลักษณ์จึงมีรูปลักษณ์เช่นนี้”
“เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ ทำไมองค์ชายรองถึงปักใจตัวไร้ค่าอย่างนางนักหนา ได้เจอวันนี้ ข้าไม่แปลกใจอีกต่อไป” ฮูหยินอีกท่านที่มีสายสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับตระกูลหลี่เปรยขึ้น สตรีเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีอะไรเลย ก็ควรค่าแก่การเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว ด้วยฐานะ อำนาจขององค์ชายรอง ยังจะต้องการสตรีเก่งกาจไปทำไม สู้หาสตรีที่ทำให้ผ่อนคลายใจได้จะดีกว่า
“น่าเสียดายที่นางฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ หาไม่แล้วตำแหน่งว่าที่พระชายาคงมิมีใครสั่นคลอนได้ลง” หนึ่งในหญิงสาวที่ติดตามมาร่วมงานด้วยนางหนึ่งส่ายหัวอย่างนึกเสียดาย เมื่อได้ฟังประโยคนี้คนอื่นๆ ต่างพากันพยักหน้าตาม
เรื่องเมื่อวานเกิดขึ้นภายในจวน คนรับใช้ทั้งหมดไม่กล้านำข่าวออกไปเผยแพร่ ข่าวที่ว่าหลี่หลิงเฟิ่งเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่จึงยังไม่มีใครล่วงรู้
หลี่หรูอี้ตกใจนัก ดวงตากลมโตจ้องมองไปทางผู้เป็นแม่
โจวชิงหรานเดินนวยนาดเข้ามา รอยยิ้มตามมารยาทแทบจะฝืนทนไม่ไหว “จะโทษเจ้าได้อย่างไร อยู่ด้านนอกมาหลายปี สุขภาพร่างกายย่อมอ่อนแอเป็นธรรมดา”
หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว แสดงบทแม่ผู้แสนดี? ย่อมได้ นางจะเล่นด้วยสักหน่อย
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ จะโทษก็ต้องโทษข้าเองผ่ายผอมเกินไป” ก้มหน้าหลุบตาต่ำ กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ชุดที่แม่ใหญ่อุตส่าห์สั่งตัดมาให้จึงไม่อาจใส่ได้ ได้แต่หยิบชุดที่ดีที่สุดในตอนนั้นมาใส่แก้ขัดไปก่อนเจ้าค่ะ กลัวก็แต่ว่าจะทำให้ตระกูลของเราต้องอับอายขายขี้หน้าก็เท่านั้น”
อาภรณ์ตัวยาวสีแดงเข้มค่อนข้างเก่า เห็นได้ชัดว่าผ่านการสวมใส่บ่อยครั้ง รูปแบบการตัดเย็บเป็นของฤดูกาลที่แล้ว แต่ก็ไม่อาจบดบังความงามของหลี่หลิงเฟิ่งได้ กลับกันยิ่งทำให้นางดูเรียบง่าย ผิวพรรณเปล่งปลั่งสะดุดตา เรือนผมประดับหยกสีขาวเพียงหนึ่งชิ้นขับเน้นเรือนผมดำขลับ
ชุดนี้เป็นชุดที่นางได้มาตอนเจออู๋เหยียน เป็นสิ่งที่หลี่เฟยหยางจัดเตรียมไว้ให้นางและเป็นชุดที่นางใส่บ่อยที่สุด
แขกเหรื่อรอบด้านพากันกระซิบกระซาบ วาจาของหลี่หลิงเฟิ่งล้วนพาให้คนขบคิดว่าโจวชิงหรานไม่เคยดูดำดูดีลูกสาวที่เกิดจากอนุภรรยา หากใส่ใจอยู่บ้างคงไม่ถึงขั้นไม่รู้แม้กระทั่งขนาดตัวของบุตรี สายตาหลายคู่กล่าวตำหนิโจวชิงหราน ช่างใจดำอำมหิต ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลสามี
คำพูดกล่าวหาหลุดไปถึงหูอีกฝั่งของงานเลี้ยง พาลต่อว่าต่อขานหลี่จ้งตามืดบอด มีภรรยาจิตใจคับแคบ ริษยาจนเกินงาม พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าชีวิตที่ผ่านมาของเด็กคนนี้ต้องน่าเวทนาอย่างมาก หากองค์ชายรองไม่รำลึกถึงนาง หญิงสาวคงถูกลืมเลือนไปไม่ช้าก็เร็ว
หลี่จ้งสีหน้าพลันมืดครึ้ม ทว่ายังคงแสดงท่าทีดังเดิมเหมือนตอนแรกไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าว ถึงกระนั้นโจวชิงหรานก็รู้ว่าสามีเริ่มไม่พอใจตน มือเรียวบิดผ้าเช็ดหน้าจนยับยู่ พยายามข่มอารมณ์ให้คงที่
“ในเมื่อเจ้ารู้ตัวว่าใส่ไม่พอดีตัว ทำไมจึงไม่บอกเสียแต่เนิ่นๆ หลายวันก่อนที่จวนตัดเย็บเสื้อผ้าฤดูกาลใหม่ไว้หลายชุด อีกทั้งขนาดตัวเจ้ากับข้าก็พอๆ กัน ทำแบบนี้ เจ้าจงใจทำให้ท่านแม่ลำบากใช่หรือไม่” หลี่หรูอี้ทักท้วง นางขยะหลี่หลิงเฟิ่งคิดจะโยนเผือกร้อนให้ท่านแม่ของนางรึ อย่างฝันไปหน่อยเลย
“ข้าก็อยากทำเช่นนั้น แต่บ่าวรับใช้เรือนใหญ่เพิ่งส่งชุดมาให้เมื่อเช้านี้ กว่าจะรู้ตัวทุกคนก็อยู่ในงานหมดแล้ว ขืนข้ายังเรื่องมาก ชักช้า ให้แขกทุกท่านรอนาน จะไม่เสียมารยาทหรือ” หญิงสาวยิ่งพูดยิ่งฟังดูน่าสงสาร เสียงที่เปล่งออกมาแผ่วลงเรื่อยๆ “หากทำให้แม่ใหญ่และพี่สี่ไม่พอใจ ข้าต้องขออภัยจริงๆ”
เดิมทีหลี่หลิงเฟิ่งไม่คิดจะหาเรื่องใคร นางแค่อยากทำพิธีให้เสร็จๆ ไปเพื่อจะได้ไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่า แต่ใครใช้ให้โจวชิงหรานวางกับดักนางก่อนเล่า ส่งชุดหลวมโพลกให้นางใส่ยังไม่พอ ชุดนั้นยังอาบผงพิษลมแปรปรวนไว้ หากนางใส่ออกมา ไม่ถึงครึ่งเค่อร่างกายของนางจะเต็มไปด้วยผื่นแดงน่าเกลียดน่ากลัวทันที ภาพจำในใจผู้คนเหล่านี้ นางคงได้เป็นหญิงอัปลักษณ์อย่างแท้จริง
ถ้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ กับดักวันนี้คงยากจะรอดพ้น ในเมื่อเจ้าทำร้ายข้า เหตุใดข้าจะทำร้ายเจ้าคืนไม่ได้ เกิดเป็นคนต้องเท่าเทียม
“เจ้า!” หลี่หรูอี้ตัวสั่นงันงก ความโกรธพุ่งสูงแทบระเบิด ในใจคั่งแค้นอยากจะเดินไปตบหน้าหลี่หลิงเฟิ่งสักหลายที
โจวชิงหรานหน้าซีดเผือด นังเด็กเวร!
ขณะไร้คำพูดโต้แย้ง เสียงอ่อนหวานด้านหลังก็ดังขึ้น “นี่ก็เลยฤกษ์มาพอสมควร พวกเรามาเริ่มพิธีกันดีหรือไม่เจ้าคะ” หลี่เหวินเหยาเอ่ยแทรกทำลายสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก วันนี้หญิงสาวแต่งกายด้วยชุดฉินหรูสีฟ้า ดูงดงาม สะอาดสะอ้าน พอรวมกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ส่งผลให้นางอยู่เหนือโลกีย์กับเรื่องทั้งปวง ผู้คนได้ยลโฉมมักจิตใจสงบลงได้ง่าย
โจวชิงหรานจ้องมองหลี่หลิงเฟิ่งแวบหนึ่ง จึงตอบรับหลี่เหวินเหยา รอยยิ้มมารยาทปรากฏขึ้นอีกครั้ง “ให้ทุกท่านชมเรื่องตลกขบขันแล้ว”
พิธีปักปิ่นดำเนินไปอย่างราบเรียบดังเช่นทุกบ้าน หลี่หลิงเฟิ่งสีหน้ายิ้มแย้มประดับมุมปากตั้งแต่ต้นจนจบ ทว่าในใจเบื่อหน่ายเหลือแสน แขกเหรื่อทยอยเข้ามาอวยพรกันทีละคน พูดสองสามคำพอเป็นพิธี “อายุยืนยาว ร่างกายแข็งแรง” วนไปจวบจนถึงช่วงท้ายของงาน
“ฮูหยินขอรับ คนในราชวังส่งของขวัญแสดงความยินดีแก่คุณหนูห้าขอรับ” พ่อบ้านประคองกล่องผ้าไหมกับราชโองการหนึ่งฉบับเข้ามา ในกล่องมีปิ่นหยกสีเงินประดับทับทิมสีแดงสดเม็ดโตเม็ดหนึ่งน่าดึงดูดใจ หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้ว
องค์ชายรองผู้นี้ดูตั้งใจประกาศฐานะของนางโจ่งแจ้งไปหน่อยหรือไม่
“องค์ชายรองรักทะนุถนอมเจ้าจริงๆ” โจวชิงหรานพูดพร้อมส่งปิ่นหยกให้หลี่หลิงเฟิ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยน แต่อิจฉาริษยาเหลือล้น จากนั้นเปิดราชโองการจากฮ่องเต้อ่านเสียงดังฟังชัด
‘ด้วยสัจวาจาโอรสองค์ที่สองของเราแห่งแว่นแคว้น โม่จื่อหลิง ถูกตาต้องใจบุตรีสกุลหลี่ นามหลิงเฟิ่ง เพียบพร้อมด้วยภาพลักษณ์งดงาม เอ่ยปากหมั้นหมายเมื่อครั้งยังเยาว์ ครั้นเมื่อครบสิบห้าขวบปีเราจึงกลับมาทำตามสัญญาใคร่ขอบุตรีเจ้าเมืองหลี่ขึ้นเป็นพระชายา กำหนดเดินทางเจ็ดวันให้หลัง จบราชโองการ’
“คิก” ราชโองการราวกับประกาศว่าหลี่หลิงเฟิ่งได้ดีเพราะหน้าตา อย่างอื่นนั้นไม่มีดีสักอย่าง ไม่รู้ใครหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็เพียงพอให้ทุกคนในที่นี้ได้ยิน มุมปากหลี่หลิงเฟิ่งกระตุก ไม่รู้ฮ่องเต้ต้องการกล่าวตำหนินางหรือประจานบุตรตนเองที่ลุ่มหลงหญิงงามกันเล่า
ไม่ว่าทางไหน ราชวงศ์ก็ไม่ได้รับผลดีกับเรื่องนี้สักนิด ฝ่าบาทยังสติดีอยู่ใช่ไหมเพคะ
ขณะที่หญิงสาวกลอกตาอยู่ในใจนั้น เสียงมารผจญดังขึ้นอีกหน “น้องห้า เจ้าช่างเก่งกาจเสียนี่กระไร องค์ชายรองที่สตรีหลายคนหมายปองยังมิอาจหนีพ้นเงื้อมมือเจ้า” คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร นางไปล่อลวงโม่จื่อหลิงตั้งแต่เมื่อไหร่ หลี่หลิงเฟิ่งถอนใจ อยู่ๆ ก็เหมือนถูกดาบทิ่มแทงลงกลางหลังโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เพียงมอบปิ่นหยกเป็นของแทนใจ ยังจะนำเกี้ยวมารับเจ้าด้วยตนเอง ทำเอาบรรดาหญิงสาวที่ยังไม่ทันออกเรือนอิจฉาตาร้อนกันไปทั่ว” หลี่หรูอี้ไม่พอใจอย่างมาก ตั้งแต่นางได้พบองค์ชายรองกลางปีที่ผ่านมา รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาเป็นเอก นอกจากหลี่เฟยหยางแล้วก็ไม่อาจหาใครเทียบได้ ทั้งยังมากความสามารถ เป็นหนึ่งบุรุษที่หญิงสาวในแว่นแคว้นต่างใฝ่ฝัน แต่เหตุใดต้องหมั้นหมายกับตัวไร้ค่าที่สุดอย่างหลี่หลิงเฟิ่ง
ในสายตาของหลี่หรูอี้ หลี่หลิงเฟิ่งเป็นสตรีที่ไม่มีอะไรดี ไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง
“เช่นนั้นท่านกับพี่หญิงใหญ่ก็คงอิจฉาข้าด้วยสินะ” คำพูดหยอกล้อของหลี่หลิงเฟิ่ง พาเอาบรรยากาศเปลี่ยนแปลงอีกครา “หากท่านต้องการ ข้ายกให้ท่านก็ได้ อย่างไรของของข้าก็เหมือนของของท่าน” เอาไปเลย ข้าไม่ต้องการสักนิด
หลี่หรูอี้ดีใจคว้ามาจากมือหลี่หลิงเฟิ่งอย่างไว “ดียิ่งนัก”
หลี่เหวินเหยายิ้มบางๆ ทำตัวเป็นพี่สาวกำลังสอนน้องสาว “น้องห้า ของบางอย่างก็ไม่อาจยกให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าได้ เช่นเดียวกับเรื่องบางเรื่องไม่อาจนำมาล้อเล่นได้เช่นกัน”
จากนั้นหันไปดุหลี่หรูอี้ “น้องสี่ ยังไม่คืนน้องห้าไปอีก ปิ่นนี้ต่อให้เจ้าชอบมันแค่ไหน ใช่ว่าเจ้าจะยึดมันได้ตามใจชอบ”
คนทั้งกลุ่มเบนสายตามาทางสามสาวด้วยสายตาซับซ้อน คำพูดของหลี่เหวินเหยาชวนให้ผู้คนคิดไปไกลยิ่งนัก หลี่หรูอี้ หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่เล่าลือว่ามีนิสัยใจคอใสซื่อบริสุทธิ์ โอบอ้อมอารี แท้จริงแล้วเป็นหญิงสาวจิตใจคับแคบ เอาแต่ใจนางหนึ่ง ขนาดของน้องสาวตนเองยังแย่งเอามาได้
ส่วนหลี่หลิงเฟิ่งช่างหัวอ่อน ไม่สู้คน ต่อให้มีสมองอยู่บ้างก็ไม่เหมาะจะเอามาเป็นสะไภ้ ที่ดีคงไม่พ้นหลี่เหวินเหยา รู้จักหนักเบา รู้เหตุรู้ผล ใจเย็นราวสายน้ำ เพียบพร้อมทั้งกิริยาจาและรูปลักษณ์ ความสามารถไม่เป็นสองรองใคร บ้านไหนได้นางเป็นสะใภ้ นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว
“พี่ใหญ่กล่าวหนักเกินไปแล้ว ก็แค่ปิ่นอันเดียว ไม่ส่งผลกระทบต่อความรักที่องค์ชายรองมีให้ข้าหรอก” สตรีนางนี้ดูเหมือนจะไม่ชอบนางจริงๆ อย่างว่า จวนหลังนี้ใครบ้างจริงใจต่อนาง “หากท่านอยากได้ ข้าขอองค์ชายรองมอบให้ท่านอีกอันดีหรือไม่” รอยยิ้มหวานปานน้ำผึ้งอย่างนั้นใครว่าหลี่หลิงเฟิ่งคนนี้ทำไม่เป็น เอาดีเข้าตัว เอาชั่วใส่คนอื่นหรือ สร้างภาพนักใช่มั้ย ได้! เดี๋ยวนางจัดให้
“เฮอะ พูดเหมือนกับว่าองค์ชายรองรักเจ้าจริงอย่างนั้นแหละ เคยเจอกันรึก็ยังไม่เคย เอาอะไรมามั่นใจว่าเจ้ามัดใจเขาได้แล้ว” หลี่หรูอี้ทนฟังหลี่หลิงเฟิ่งอวดอ้างความรักขององค์ชายรองไม่ไหว แย้งขึ้นมาอย่างลืมตัว นางขยะ น้ำหน้าอย่างเจ้าน่ะรึ จะอยู่ในสายตาองค์ชายรอง
หลี่หลิงเฟิ่งหัวเราะจนน้ำตาเล็ด เผลอกิริยาที่ทำเป็นประจำในยามปกติออกมา “หรือพี่สี่ฟังราชโองการไม่ออก เห็นอยู่ว่าองค์ชายรองปักใจรักข้ามาตั้งแต่เด็ก ท่านว่าพวกเราเคยเจอกันหรือไม่เล่า ไม่ต้องอธิบายให้ฟังอีกรอบกระมัง”
“นั่น...นั่นเพราะพระองค์ยังเด็ก ไม่รู้อะไรคือความงามที่แท้จริง” เด็กสาวเถียงคอเป็นเอ็น ไม่ยอมแพ้ นางไม่มีทางยอมแพ้หลี่หลิงเฟิ่งเป็นครั้งที่สองแน่ อย่างไรวันนี้นางต้องทำให้นางเด็กเหลือขอขายขี้หน้าให้จงได้
“นี่ท่านกำลังบอกว่า องค์ชายแห่งแว่นแคว้นโง่เขลาถึงกับไม่รู้เรื่องตื้นเขินเช่นนี้เชียวรึ” หลี่หลิงเฟิ่ง
ยกมือขึ้นปิดปาก ท่าทางตกใจจนขวัญเสีย ช่างโง่งม ถูกหลี่เหวินเหยาหลอกใช้ยังไม่รู้ตัว ริอ่านมางัดข้อลับฝีปากกับนาง
“น้องห้า นี่เจ้าบีบบังคับกันเกินไปหรือไม่ ถึงอย่างไรก็ครอบครัวเดียวกัน” หวี่เหวินเหยาเอ่ยแย้งปราม
“พี่ใหญ่นี่ก็แปลก ข้าบีบบังคับนางตอนไหนกัน เพียงชี้แจงให้ชัดเจนก็เท่านั้น” หลี่หลิงเฟิ่งถอนหายใจอย่างถูกจังหวะ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ท่านจะทำเป็นเรื่องใหญ่เพื่ออันใดกัน”
“ข้า...” หลี่เหวินเหยารอยยิ้มแข็งค้าง หาคำโต้แย้งไม่ได้
“ท่านแม่ ฝีปากคุณหนูห้า...ช่างไม่ธรรมดา” สตรีนางหนึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนัก แอบกระซิบกับมารดา มือข้างขวายกนิ้วหัวแม่มือขึ้น สีหน้านางดูพึงใจยิ่ง ฮูหยินบ้านนั้นอดตีแขนบุตรสาวตนเองไม่ได้ ถลึงตาดุเชิงห้ามปราม
“เอาล่ะๆ วันนี้เป็นวันมงคลแท้ๆ พวกเจ้านี่ทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ไปได้ ไม่อายแขกเหรื่อบ้างหรืออย่างไร” โจวชิงหรานตัดบทสนทนา สายตาเอ็นดูแสดงออกอยู่เนืองๆ หลี่หลิงเฟิ่งไม่พูดอันใดอีก หยิบน้ำชาขึ้นมาจิบหลบซ่อนสายตาจากผู้คนอย่างแนบเนียน “เด็กสาวบ้านข้าก็เป็นอย่างนี้แหละ โดยปกติแล้วก็ปรองดองกันดี พอเห็นเครื่องประดับสวยๆ งามๆ เข้าหน่อย เป็นต้องทะเลาะกันทุกที เรื่องเล็กน้อยก็ยังนำมาถกเถียง ขอทุกท่านอย่าได้ถือสาหาความ”
“อี้อี้ เจ้าก็อย่าได้น้อยใจ ถึงน้องเจ้าจะมีของพระราชทาน แต่แม่ก็มีของขวัญอีกอย่างไว้ให้เจ้าเช่นกัน” โจวชิงหรานเอ่ยปลอบบุตรสาวพลางปรบมือส่งสัญญาณ
ฮว่าง
บ่าวรับใช้สี่ห้าคนช่วยกันยกกรงสัตว์อสูรขึ้นมาบนเรือน ในกรงมีหมูป่าหางทองตัวอวบอ้วนขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่นอนจ้องตากลมมาทางพวกนาง ทั้งตัวเป็นสีดำมีปีกเล็กๆ คู่หนึ่งงอกโค้งอยู่กลางหลัง หางสีทองขดกันเป็นก้อนกลม ดูคล้ายก้อนแป้ง น่ารักน่าเอ็นดู
บางคนเมื่อเห็นสัตว์อสูรที่นำออกมาถึงกับอุทานอย่างห้ามไม่อยู่ ยังมีอีกหลายคนส่งสายตาอิจฉาไปยังหลี่หรูอี้ หมูป่าหางทองถือว่าเป็นสัตว์อสูรที่พบเห็นไม่บ่อยนัก ผู้ที่เป็นเจ้าของเผ่าพันธุ์มันในแคว้นนี้มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ แม้เจ้าตัวที่อยู่ในกรงจะแค่ขั้นหนึ่ง แต่พละกำลังของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่า ตระกูลหลี่ไม่อาจดูเบาได้จริงๆ
หลี่หลิงเฟิ่งเองก็สนใจขึ้นมาบ้างแล้ว ของดี! น่าเสียดาย ต้องตกไปเป็นของสตรีสมองทึบอย่างหลี่หรูอี้
กรงเหล็กเปิดออกช้าๆ บ่าวรับใช้ร่างกายกำยำสองคนครอบเหล็กไว้ที่ลำคอหมูป่าหางทอง ลากตัวมันมาหาหลี่หรูอี้ “อี้อี้ หากเจ้าสยบมันได้ มันก็จะเป็นสัตว์อสูรตัวแรกของเจ้า”
โอ้ วิธีผูกพันธสัญญากับสัตว์อสูรอย่างนั้นรึ น่าสนใจ ว่าแล้วหญิงสาวปรับเปลี่ยนท่ายืนให้ดูจริงจังมากขึ้น จดจ่อดูการกระทำของหลี่หรูอี้ จะสยบเจ้าตัวพยศน้อยนี่อย่างไร นางรู้ว่าการทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรคือการที่สัตว์อสูรได้รับเลือดจากเจ้านายและจิตใจเปิดการยอมรับเท่านั้นจึงจะสำเร็จ
ฮว่าง
เสียงขู่คำรามลอดผ่านลำคอเบาๆ แทบไม่มีผู้ใดได้ยิน ยกเว้นหลี่หลิงเฟิ่งผู้มีประสาทสัมผัสไว หญิงสาวยกยิ้ม หมูป่าตนนี้ดูคล้ายซึมเซาเชื่องเชื่อ ทว่าความจริงแล้วมันกำลังรอโอกาส
หลี่หรูอี้เมื่อเห็นหมูป่าหางทอง สีหน้าบูดบึ้งพลันมลายหายสิ้น รอยยิ้มสดใสแต่งแต้มบนใบหน้าสวย “เจ้าค่ะ ท่านแม่”
จบคำพลังสีฟ้าจากฝ่ามือหลี่หรูอี้ปรากฏก้อนกลมๆ ลอยเข้าไปหาหมูป่าหางทองสามสี่ลูกอย่างรวดเร็ว เห็นว่าเจ้าหมูป่ายังคงไม่ขยับเขยื้อน รอยยิ้มกระหยิ่มยิ้มย่องของนางกดลึกลง “เจ้ามันก็แค่นี้เอง” หลี่หลิงเฟิ่งแอบพยักหน้าชื่นชม นางนับว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง
ทั้นใดนั้นคนทั้งห้องโถงพลันชะงักค้าง พลังยุทธ์สีฟ้าถูกหมูป่าหางทองกลืนกินเข้าไปจนหมด สวรรค์!
เอื๊อก!
สีหน้าหลี่หรูอี้เคร่งขึม ปล่อยพลังออกไปติดๆ กัน สายฝนพิรุณโปรยปรายลงมาทั่วบริเวณดั่งเข็มแหลมนับพันเล่มทิ่มแทงเจ้าหมู ไม่เพียงมันไม่สะทกสะท้าน ขนสีดำชี้ตั้งเป็นแพสวยงาม สะบัดน้ำที่เกาะอยู่ตามตัวออกไป “นะ...นี่” เหตุใดมันถึงไม่เป็นอะไรเลย
สัตว์อสูรขั้นหนึ่งแน่หรือ น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ดวงตากลมโตวาววับมองหลี่หรูอี้แววมาดร้าย มันกระหายหิวมาเป็นเวลนาน ถูกจับมาขังนับสิบวัน นอกจากน้ำก็ไม่มีเนื้อสัตว์หรือพืชให้มันเคี้ยวเล่น ตอนนี้มันต้องการอาหารตกถึงท้องยิ่งนัก
หลี่หลิงเฟิ่งรับรู้ถึงอารมณ์ไม่คงที่ของหมูป่าหางทอง คิดแอบหลบไปยืนด้านข้างรวมกับฝูงชนเงียบๆ สี่เท้าคืบคลานเข้ามาหาหลี่หรูอี้น้อยๆ หญิงสาวกำหมัดแน่น ท่าไม่ดีแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปนางได้ขายหน้าแน่ แค่สัตว์อสูรขั้นหนึ่ง ผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางอย่างนางถึงกับสยบไม่ลง
ด้านฝ่ายบุรุษ หลี่จ้งซึ่งเป็นเจ้าภาพสังเกตเห็นความวุ่นวายทางนี้ หน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งกว่าเดิม โจวฮูหยินชักจะเหลวไหลขึ้นไปทุกที มือหนากวักมือเรียกหลี่เจี้ยนที่อยู่ไม่ไกล “เจ้าไปดูหน่อย ทางด้านนั้นเกิดอะไรขึ้น”
หลี่เจี้ยนตอบรับคำหนึ่ง ใจของเขาไม่สงบอยู่ตลอดเวลา พะวงว่าจะมีคนรังแกหลี่หลิงเฟิ่ง น้องสาวของเขาอ่อนแอถึงเพียงนั้น จะสู้กับสตรีพวกนั้นทั้งหมดอย่างไรไหว
ด้านฝ่ายหลี่หรูอี้ อับจนหนทางขึ้นมาแล้ว อยากหันไปขอความช่วยเหลือจากโจวชิงหรานก็กลัวถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะ สายตาล่อกแล่กมองรอบๆ พยายามหาทางออก ฉับพลันดวงตาร้อนรนฉายแววโหดเหี้ยม มุมปากยกยิ้มมุ่งร้ายไปทางด้านหลังหลี่หลิงเฟิ่ง ก้าวเท้าเร็วรี่เซถลาไปหาหญิงสาวราวกับไม่ได้ตั้งใจ สองมือเรียวปล่อยพลังแสงสีฟ้าออกเป็นทางตรง พุ่งเข้าหน้าหมูป่าหางทองอย่างจัง ลำแสงเจิดจ้าจนตาของมันพร่าไปหมด
'อย่าอยู่เลย' มุมปากร้ายยกยิ้มสะใจ ริมฝีปากไร้เสียงขยับขึ้นลง มีเพียงหลี่หลิงเฟิ่งที่อยู่ใกล้เท่านั้นที่เห็น
หมูป่าหางทองโกรธเกรี้ยว พุ่งเข้าใส่หลี่หรูอี้ด้วยความเร็วปานสายฟ้าเเลบ แสงสีดำแหวกพลังสีฟ้าออกเป็นสองทาง กรงเล็บสองข้างเงื้อมขึ้นหมายตะปบลงบนอกของเหยื่อ หลี่หรูอี้ยิ้มอย่างสะใจ ถ่ายทอดพลังส่งตัวออกไปนอกเขตอันตรายอย่างทันท่วงที
พลันรุนแรงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลี่หลิงเฟิ่งสีหน้าเคร่งขรึม พลังสีแดงก่อตัวบนฝ่ามือขึ้นป้องกันการโจมตีกะทันหันนี้ แสงสีดำพุ่งวาบมาถึงตรงหน้านาง มือเรียวยกขึ้นช้าๆ ทันใดนั้นตรงหน้านางพลันปรากฏแผ่นหลังบอบบางของคนผู้หนึ่งขึ้น
ผลั่ก!
ฉึก!
“ชิงเอ๋อร์!” เสียงร้องตกใจของสตรีนางหนึ่งกรีดผ่านหูนาง
“น้องเล็ก!” เสียงทุ้มตื่นตระหนกของชายผู้หนึ่งปลิวมาตามสายลม
ยังไม่รวมถึงเสียงกรีดร้องลั่นของแขกเหรื่อภายในงาน
หุบเขาหยกขาวมิใช่ชื่อที่คนในแผ่นดินไร้ขอบกล่าวถึงด้วยความยินดี ถึงแม้จะมีคำว่า “หยก” และ “ขาว” อันดูสูงส่งบริสุทธิ์อยู่ในชื่อ แต่มันกลับเป็นสถานที่ที่ แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นนภายังไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปลึกเกินสามลี้ที่แห่งนั้นคือเส้นแบ่งระหว่าง ความรุ่งโรจน์กับความตาย และในยามฤดูหนาวเช่นนี้ หิมะที่ปกคลุมมันก็ไม่ต่างจากผืนผ้าสะอาดที่กลบศพเน่าเปื่อยไว้ใต้รากไม้หลี่หลิงเฟิ่งเคลื่อนกายอย่างเงียบงัน ลมหายใจเป็นไอขาวราวควันจาง กลีบหิมะโปรยปรายแตะใบหน้าของนางแล้วละลายหายอย่างไม่ทันรู้สึกเย็น แต่ความเย็นกลับฝังลึกอยู่ในอกอย่างไม่ทราบสาเหตุไฉนที่นี่จึงมีหิมะตก น่าแปลกหลี่หลิงเฟิ่งเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางแคบ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ระหว่างหน้าผาสูงชันและป่ารกเรื้อ นางอยู่คนเดียว ไร้ผู้ติดตาม ไร้เสียงสนทนา มีเพียงเสียงฝีเท้าของตนที่ก้าวลงบนก้อนกรวด กับเสียงใบไม้เสียดสีกันจากกระแสลมที่ไม่หยุดนิ่ง“เงียบเกินไป…” นางพึมพำกับตัวเองนางชะลอฝีเท้า สายตามองไปรอบกาย แผ่กระจิตออกไปสำรวจ ทว่าไม่สิ่งมีชีวิตสักตัวในระแวกนี้เลยบนข้อมือข้างซ้ายของนาง มีกำไลสีแดงเข้มรูปวงแหวนมันวาวประดับอยู่ นุ่มนิ่มสิ่งมีชีวิตรูปร่
ท้องฟ้าสีดำสนิทปราศจากแสงจันทร์และดวงดารา สายลมหนาวพัดผ่านไปทั่วอาณาเขต เงามืดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบบนหลังคาโม่จื่อหลิงยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นสูงสุดของหอสิบทิศ ดวงตาคมกริบทอดมองไปยังเมืองที่แผ่กว้างออกไปสุดสายตา ลางสังหรณ์บางอย่างบีบคั้นหัวใจของเขา คล้ายกับว่ามีพายุที่มองไม่เห็นกำลังพัดโหมเข้ามาและแล้ว...ตูม!เสียงระเบิดดังสนั่นทำลายความเงียบงันของค่ำคืน แสงเพลิงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ เสียงร้องของผู้คนปะปนกับเสียงอาวุธกระทบกันดังไปทั่วบริเวณ"ในที่สุด พวกมันก็มาจนได้ คนที่ควรมาก็มาแล้ว" โม่จื่อหลิงกระซิบกับตัวเอง ดวงตาของเขาเย็นเยียบไร้ซึ่งความหวาดหวั่นชายในชุดดำจำนวนมากพุ่งทะยานเข้ามาภายในหอสิบทิศ ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกราก พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระเบียบ รวดเร็ว และโหดเหี้ยม"นายท่าน! หอสิบทิศถูกจู่โจม!" หนึ่งในลูกน้องของเขารีบวิ่งเข้ามารายงาน "พวกมันมีกำลังพลมหาศาล และมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงอยู่ด้วย!"โม่จื่อหลิงกวาดตามองไปรอบ ๆ แม้จะยังไม่รู้แน่ชัดว่าใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้เป้าหมายของพวกมัน คือ สังหารเขาเสียงกระบี่ปะทะกันดังกึกก้อง ลูกธนูเพลิงถูกยิงเ
ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง เสียงผู้คนกระซิบกระซาบมิขาดสาย ข่าวการแตกหักของตระกูลหนานและตระกูลหลินแพร่กระจายราวเพลิงลามป่า“ได้ยินมาว่า เจ้าสาวหายตัวไปหลังจากถูกพวกโจรลักพาตัว แต่จู่ ๆ นางกลับมาเองอย่างไร้รอยแผล”“แล้วนางก็ปฏิเสธการแต่งงานทันที! ข้ารู้สึกเหมือนเรื่องนี้มีอะไรมากกว่านั้น”“หรือว่านางมิได้ถูกลักพาตัว แต่ไปด้วยความยินยอมเอง”เสียงพูดคุยนั้นกระทบถึงหูโม่จื่อหลิง เขานั่งเงียบอยู่มุมหนึ่ง สวมอาภรณ์ธรรมดาไม่สะดุดตา เขามองภาพของเจ้าสาวตระกูลหลินจากที่ไกลๆ เหมือนกับภาพจากมือสอดแนมของหอสิบทิศไม่ผิดเพี้ยนในภาพนั้น หญิงสาวนั่งนิ่งอยู่ในสวนของตระกูลหลิน ใบหน้าเรียบสงบ ผมที่เคยสลวยถูกรวบไว้ลวก ๆ ราวผู้ที่เพิ่งผ่านบางสิ่งบางอย่างมา อย่างเช่นเหตุการณ์เฉียดตายภายในเรือนรับรองของตระกูลเป่ย หลี่หลิงเฟิ่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ไม้แกะสลัก นางจิบชาหอมกรุ่นอย่างใจเย็น ขณะที่สายตาเหลือบไปทางกลุ่มสาวใช้ที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส“ข้าล่ะไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันเป็นมาอย่างไรกันแน่” สาวใช้คนหนึ่งกล่าวพลางส่ายหน้า “อยู่ดี ๆ เจ้าสาวของตระกูลหลินก็กลับไปโดยไม่กล่าวอะไรเลย เมื่อตระกูลหนาน
สองวันหลังจากโม่จื่อหลิงจากไป แสงอรุณในจวนตระกูลเป่ยคล้ายหม่นลงกว่าทุกวัน ลมเหนือพัดเอื่อยเฉื่อยประหนึ่งพาเอากลิ่นของบางสิ่งจากอดีตย้อนกลับมาและหลี่หลิงเฟิ่งรับรู้มันตั้งแต่ย่างก้าวแรกที่ตื่นขึ้นณ ห้องคุณชายสาม นางยืนนิ่งอยู่ข้างเตียงไม้แกะสลัก มือหนึ่งแตะที่ชีพจรของเป่ยเฉินหลงที่ยังคงหลับใหล ลมหายใจของเขาราบเรียบขึ้นเล็กน้อย แต่กลิ่นพลังปราณยังขุ่นมัวไม่เสื่อมคลายทว่าสิ่งที่ทำให้นางกังวล ไม่ใช่สภาพของเขา แต่เป็นเงาที่ค่อย ๆ เริ่มเผยตัวนางใช้เวลาทุกวินาทีอย่างแยบคาย เฝ้าสังเกตความผิดปกติของคนในจวน เฝ้าฟังเสียงก้าวเท้าที่ไม่ได้ยินจากทหารยาม และเฝ้ารอสิ่งที่แน่ใจว่ายังไม่สิ้นสุด อย่างการลอบสังหาร“ครั้งก่อนเจ้ามาเพื่อวางยา” นางกระซิบ ขณะบดสมุนไพร “ครั้งนี้ เจ้าจะเอาอะไรมาทิ้งร่องรอยอีกล่ะ”ระหว่างที่ปลายนิ้วนางบรรจงหยดยาแยกพิษใส่ถ้วยสมุนไพร กลิ่นหนึ่งก็ลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมจาง ๆ ไม่ใช่จากยา ไม่ใช่จากดอกไม้ในสวน ทว่าเป็นกลิ่นที่คุ้นอย่างน่ากลัวจนรู้สึกขนลุกกลิ่นเช่นนี้ นางเคยได้กลิ่นมันในความฝันในชาติก่อนตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ฝันที่ไม่มีใบหน้ามีเพียงเสียงร้องไห้ของเด็กหญิง กลิ่น
*ขอเปลี่ยนจากตำหนักเทพธิดา เป็นตำหนักธิดาสวรรค์*คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งดุจสายฟ้าฟาดลงบนผิวน้ำอันสงบนิ่ง เงาสะท้อนแห่งศรัทธาที่เหล่าผู้อาวุโสเคยยึดมั่นภักดี เริ่มแตกร้าว เทพธิดาแห่งตำหนักธิดาสวรรค์มิได้ตอบกลับทันที นางยืนนิ่งราวรูปสลักกลางห้อง ศูนย์รวมแห่งความเคารพที่เคยเปล่งประกายความสง่างามไร้ราคี บัดนี้กลับถูกความเงียบห่มคลุมราวหมอกหนาอาภรณ์ขาวสะอาดที่เคยดั่งแสงจันทร์เหนือเมฆ บัดนี้ดูซีดหม่นลงในสายตาของหลายคน ม่านผ้าบางเบาที่บดบังใบหน้างดงามพลิ้วไหวไปตามแรงลมเบา ดวงตาเรียวยาวใต้ผืนผ้าทอแสงแข็งกร้าว เงาที่เคยสงบ บัดนี้กลับเจือความตึงเครียดแนบแน่นฝ่ามือเรียวงามของนางละจากจุดชีพจรของเป่ยเฉินหลง ราวกับตัดขาดพันธะบางอย่างที่มองไม่เห็น“หากพวกท่านเห็นว่า ตำหนักธิดาสวรรค์ไม่ควรข้องเกี่ยว ข้าย่อมถอย” เสียงของนางยังคงอ่อนหวานดั่งระฆังเงิน ทว่าในห้วงลึกของถ้อยคำกลับมีความเยียบเย็นที่ทำให้ผู้ฟังขนลุก “ข้ามิเคยยัดเยียดตนเข้าสู่ที่ที่ผู้คนไม่ต้อนรับ ข้าเพียงทำตามวิถีที่ควรจะเป็น หากพวกท่านมิอาจวางใจ ข้าย่อมไม่อยู่ให้เป็นภาระใจผู้ใด” แม้ถ้อยคำจะฟังดูอ่อนโยนสงบเสงี่ยม ทว่าแรงสะท้อนกลับตึงเครียดเ
ปัง!เสียงเปิดประตูดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับเสียงฝีเท้าเร่งรีบที่ก้าวเข้ามาในห้อง"เกิดอะไรขึ้น!?" เสียงอันทรงอำนาจของบุรุษวัยกลางคนดังขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นก็พบว่าชายวัยกลางคนที่แต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหรากำลังมองนางด้วยสายตาคมกริบ ด้านหลังของเขามีชายชราผู้อาวุโสหลายคนยืนเรียงราย สีหน้าทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสงสัยและวิตกกังวล"ท่านพ่อ!" ผู้อาวุโสเป่ยรีบคารวะชายผู้นั้น "นางผู้นี้เป็นหมอที่สามารถตรวจพบพิษของเฉินหลง และตอนนี้กำลังรักษาเขาอยู่ขอรับ""พิษรึ" ประมุขเป่ยขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ "เจ้ากำลังจะบอกว่าเฉินหลงถูกพิษ ไม่ใช่ต้องคำสาปอย่างที่เราคิดมาโดยตลอดรึ"หลี่หลิงเฟิ่งไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยานั้น นางจ้องประมุขเป่ยด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง "ถูกต้อง"บรรยากาศในห้องหนักอึ้งขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสหลายคนหันมองหน้ากันอย่างลังเล ทว่าเมื่อเห็นโม่จื่อหลิงในห้องก็ไม่กล้าปริปากเสียมารยาทต่อหลี่หลิงเฟิ่ง"หากเป็นเช่นนั้น หมายความว่าที่ผ่านมามีคนจงใจปกปิดเรื่องนี้" ผู้อาวุโสเป่ยคนหนึ่งกล่าวขึ้นหลี่หลิงเฟิ่งตอบ "ข้าไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ข้