LOGINหลี่หลิงเฟิ่งคิดไม่ถึงว่าแค่กลับบ้านจะมีคนมารอรุมทุบตีมากมายขนาดนี้ ยังไม่รวมถึงบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลัง และที่แอบอยู่ตามทางเดิน พุ่มไม้ บนเรือนอีกนับสิบยี่สิบคน บรรยากาศคึกคักยิ่ง
ไม่เจอกันไม่กี่ปีคนเหล่านี้ยังคิดว่านางเป็นลูกพลับนิ่มให้ขยำเล่นตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอยู่อีกสินะ เมื่อมีคนอยากลอง นางจะไม่สนองคืนคงผิดต่อความตั้งใจของคนเบื้องหน้าแล้ว
นางอยากรู้นักใครจะเข้ามาคนแรก
หลายวันที่ผ่านมา หลี่หรูอี้นอนกระสับกระส่ายทุกคืน ใช้ชีวิตอย่างตื่นเต้นวาดหวังรอคอยวันที่หลี่หลิงเฟิ่งกลับมา
ตั้งแต่เล็กหลี่หลิงเฟิ่งแย่งความงามเป็นเอกกับนางมาตลอด หลี่หรูอี้ไม่อยากยอมรับความจริง เพราะเชื้อโสเภณีชั้นต่ำมันแรงเกินไป ใบหน้างดงามไร้ที่ติจึงประดับอยู่บนหน้านังตัวไร้ค่าทุกเมื่อเชื่อวัน
ผู้คนต่างยกย่องนางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลี่ แต่หากคนพวกนั้นได้เห็นความงามของนังตัวขยะนี่ อันดับหนึ่งยังจะมาถึงนางอีกหรือ
ที่นางเกลียดที่สุดคือใบหน้านั้น!
ไปอยู่บ้านนอกมาสามปี หลี่หรูอี้คิดไม่ออกเลยว่าผิวพรรณเมื่อโดนแดดจะหยาบกร้านแค่ไหน ผมแห้งไร้น้ำหนักกระเซอะกระเซิง สีผิวหมองคล้ำ อดอยากจนร่างผอมเหมือนกระดูกเดินได้แน่ๆ แล้วหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือผู้ใด ใช่หลี่หลิงเฟิ่งในจินตนาการของนางแน่หรือ!
มือทั้งสองกำเข้าหากันแน่น จ้องมองหลี่หลิงเฟิ่งดั่งศัตรูคู่อาฆาต นางเกลียด! เดียดฉันท์สตรีที่อาศัยแค่ความงามก็ครอบครองบุรุษให้ลุ่มหลงมัวเมาได้แล้ว
ต่อให้เป็นไม้ประดับแล้วอย่างไร สุดท้ายผู้ชายเหล่านั้นก็อดเหลือบมองหลายครั้งหลายคราไม่ได้อยู่ดี
“สตรีชุดแดงนางนั้นเป็นใคร ราวกับเทพธิดาลงมาจุติบนโลกมนุษย์” เหล่าข้ารับใช้กระซิบกระซาบอยู่ละแวกใกล้ๆ ไม่หยุด บ้างมองหลี่หลิงเฟิ่งด้วยประกายตาชื่นชม หลงใหล บ้างอิจฉา ไม่ต่างจากพวกคนนอกประตูจวน
“หุบปากให้หมด!” เป็นไปไม่ได้ หลี่หลิงเฟิ่งงดงามขนาดนี้ได้อย่างไร หลี่หรูอี้แทบอยากจะกรีดร้อง รอบด้านต่างก้มหน้างุดหุบปากด้วยความหวาดกลัว
ข้ารับใช้สองคนแอบอยู่ไม่ไกลยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อ เสียงเบาๆ ดังขึ้นชัดเจนท่ามกลางความเงียบ “ดูๆ ไปแล้วนางดูคล้ายคลึงคุณหนูห้ามากเลยนะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร ตัวไร้ค่านางนั้นอยู่บ้านนอกมานาน หากมีรูปโฉมเยี่ยงนี้ ข้าก็เป็นเทพธิดาแห่งแว่นแคว้นแล้ว”
“ฮ่าๆ ก็จริง แต่นางงดงามเป็นเอก ยากที่จะหาใครเทียมได้เช่นนี้ ข้าว่ายังงามกว่าคุณหนูสี่มากนัก”
“ชู่ว เบาๆ หน่อย ไม่เห็นหรือว่านางมากับใคร เห็นได้ชัดว่านางเป็นสตรีของคุณชายใหญ่แน่ๆ”
“ใครอยู่ตรงนั้น ลากสองคนนั้นออกไปโบยให้ตาย” หลี่หรูอี้ทนไม่ไหว มือสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่สบอารมณ์
“คุณหนูสี่โปรดไว้ชีวิตด้วย ไว้ชีวิตด้วย” เสียงร้องขอความเมตตาของสองบ่าวที่ถูกลากตัวออกไปเบาลงเรื่อยๆ จนลับสายตาไป
หลี่หลิงเฟิ่งนึกเวทนาหลี่หรูอี้ในใจ แม่นางน้อยเอ๋ย เจ้ายังเล็กนักถึงได้อิจฉาแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ งดงามแล้วมีประโยชน์อันใด ทำให้แข็งแกร่งขึ้นหรือไม่ มีแต่จะนำภัยมาสู่ตัว
ครู่หนึ่งหญิงสาวพลันรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กไร้สมองนางหนึ่ง
โจวชิงหรานยิ้มกระด้างออกมาแวบหนึ่ง เหลือบสายตาปรามหลี่หรูอี้ครั้งหนึ่ง แล้วปรับสีหน้าอ่อนโยนยามพูดออกมา “กลับมาก็ดีแล้ว เข้าไปข้างในกันเถิด แม่สั่งพ่อครัวทำอาหารไว้รอพวกเจ้าอยู่บนเรือน”
“ข้าขอโทษแทนน้องสี่ด้วย นางไม่รู้เลยทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าเจ้า เด็กคนนี้อะไรก็ดีไปหมด เว้นเสียแต่ขี้อิจฉาไปหน่อย ใครใช้ให้พี่ใหญ่พาหญิงงามกลับมาด้วยเล่า” น้ำเสียงอ่อนหวานดังขึ้นจากสตรีชุดสีฟ้าท่าทางสุขุม หลี่เหวินเหยา คุณหนูใหญ่ของตระกูล ลูกสาวคนเดียวของหลี่หมิง นายท่านรองตระกูลหลี่
หลี่หลิงเฟิ่งเพียงยิ้มตอบรับ สำหรับหญิงสาวที่มาจากต่างแดนอย่างนาง อายุสิบห้าปียังไม่บรรลุนิติภาวะเลยด้วยซ้ำ
“อย่าว่าแต่นางเลย เจ้าเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ ใครก็ไม่คิดว่าเจ้าโตขึ้นมาจะเป็นโฉมสะคราญหาตัวจับยากในใต้หล้า แม้แต่ข้าเห็นเจ้าครั้งแรกยังอดใจเต้นไม่ได้” สายตาหลี่เหวินเหยาอ่อนโยนอย่างยิ่ง ประโยคนี้ทางหนึ่งชื่นชมนาง อีกทางหนึ่งสร้างความอิจฉาริษยาให้หลี่หรูอี้แค้นเคืองนางมากขึ้น
คำพูดสวยหรู รอยยิ้มอ่อนหวาน แต่ข้างในรู้สึกอย่างไร คงมีแต่เจ้าตัวที่รู้ชัดแจ้ง
ดังคาด หลี่หรูอี้สุดจะทานทน แผดเสียงร้องลั่น “ท่านพี่พูดอันใด หญิงงามอะไรกัน ใครต่างก็รู้ว่านางเป็นแค่ตัวไร้ค่า!”
บรรยากาศรอบกายเงียบสนิท โจวชิงหรานจิตใจกระอักกระอ่วน รีบทักท้วงขึ้นมาทันที “อี้อี้! อย่าเสียมารยาท ต่อให้ฝึกพลังยุทธ์ไม่ได้ นางก็ยังเป็นน้องสาวของเจ้า”
ว่าแล้วก็หันมาส่งยิ้มอย่างช่วยไม่ได้มอบให้หลี่หลิงเฟิ่ง “พี่สาวของเจ้าเป็นคนวู่วาม พูดไม่คิด เจ้าเป็นน้องก็อย่าได้ถือสานางเลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หลิงเฟิ่งถึงกับไปไม่เป็น เสียงกลั้วหัวเราะของนางพาบรรยากาศอึมครึมเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวา ตั้งแต่เกิดมาหญิงสาวไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเก่งเท่าฮูหยินใหญ่เลยสักครั้ง “ท่านไม่เหนื่อยบ้างหรือ”
รอบข้างถึงกับงุนงงเมื่อเจอประโยคนี้เข้าไป หลี่เฟยหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกขบขัน หญิงสาวผู้นี้จะเล่นอันใดอีก สุดท้ายเป็นหลี่หรูอี้ทนสงสัยไม่ไหว โพล่งถามเสียงดัง “เหตุใดท่านแม่ของข้าต้องเหนื่อยเล่า หากนางเหนื่อยจริงก็เพราะมีคนอย่างเจ้ายืนอยู่รกหูรกตา” ยังอยากจะกลับมา ทำไมไม่ตายๆไปซะ ประโยคหลังถึงแม้ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ก็แสดงออกบนสีหน้าจนหมด
“จะไม่ให้นางเหนื่อยได้อย่างไร” หญิงสาวรู้สึกเอือมระอาเด็กคนนี้ยิ่งนัก มีสตรีอย่างนี้เป็นบุตรสาว หากในอนาคตหวังพึ่งพิง ชีวิตคงจบเห่ "เสแสร้งทุกเวลาขนาดนี้ ระวังหน้าจะเหี่ยวก่อนวัยนะเจ้าคะ”
“แค่ก” บุรุษชุดเทาหนึ่งเดียวในที่นี้ยืนเงียบอยู่นาน สายตาที่มีเพียงหลี่หลิงเฟิ่งตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้จึงเปล่งเสียงออกมา “ขออภัย” ก่อนปรับสีหน้านิ่งดังเดิม นัยน์ตาคมคู่นั้นไม่รู้คิดสิ่งใดอยู่
โจวชิงหรานสีหน้าดูไม่ได้ ประกายเย็นเยียบแผ่ซ่านเต็มดวงตา “เจ้าเป็นเพียงลูกอนุภรรยา ถึงกับพูดกับข้าอย่างนี้ เสียแรงที่ข้าหวังเอ็นดูเจ้าให้มากหน่อย แต่เจ้ามันเด็กเนรคุณ เลี้ยงไม่เชื่อง”
“เดิมทีพวกเราไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกัน ท่านเองก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของข้า จะเอ่ยถึงมิตรไมตรีอะไร ไม่คิดว่ามันน่าขันไปหน่อยหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยเสียงเข้ม ขาเรียวก้าวไปหยุดอยู่เบื้องหน้าหลี่หรูอี้
“ขยะอย่างแก ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น! จะอยู่หรือตายต้องดูว่าพวกข้าพยักหน้าหรือไม่!” ใบหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ของหลี่หรูอี้ปรากฏริ้วคลื่นโมโห หน้าตายับย่นไม่น่ามอง กระแทกเสียงไม่พอใจ
“อดีต ปัจจุบัน รวมถึงอนาคต มีตอนไหนบ้างที่พวกเจ้าหวังดีกับข้า แค่ปล่อยให้ข้าเกิดมาก็นับเป็นบุญคุณงั้นรึ” หญิงสาวเชิดหน้าเอ่ยเสียงเยาะ หัวเราะออกมาน้อยๆ “อย่ามาอ้างเรื่องมโนธรรม กตัญญูหน่อยเลย หากตัวเจ้าเองก็ยังไม่มี”
“เจ้านับเป็นตัวอะไร ตัวไร้ค่าอย่างเจ้าแม้แต่หมาแมวยังสำคัญกว่า ถือดีอันใดมาอวดเบ่งแถวนี้!” หลี่หรูอี้เต้นเร่าๆ อยากจะฆ่านางขยะปากเสียให้ตายไปเสีย
“อวดดีอย่างนี้ไงล่ะ” พลังสีแดงขุมหนึ่งตรงเข้ารัดคอหลี่หรูอี้ รวดเร็ว แม่นยำ กระทั่งคนทั้งหมดตั้งตัวไม่ทัน ไม่คาดคิดว่าอยู่ๆ หลี่หลิงเฟิ่งจะมีพลังยุทธ์ ไม่เพียงเท่านั้นนางยังกล้าลงมือทำร้ายหลี่หรูอี้ต่อหน้าทุกคน
"เพราะมีดีให้อวดอ้าง ข้าถึงได้อวดดี" น้ำเสียงเย้ยหยันส่งผลให้เลือดร้อนๆของหลี่หรูอี้เย็บเฉียบทันที นางถึงกลับตอบโต้กลับไปไม่ได้ นี่มันอะไรกัน
“อี้อี้!” โจวฮูหยินได้สติคนแรก แผดเสียงร้องตื่นตระหนก ปล่อยพลังยุทธ์สายสีเทาหมายสังหารหลี่หลิงเฟิ่ง
โครม!
“ใครกล้าลงมือ!” บุรุษชุดเทาที่สายตาติดตรึงอยู่บนร่างหลี่หลิงเฟิ่งมาตลอดขัดขวางการโจมตีโจวชิงหรานได้ทันท่วงที “หากอยากลองดี ท่านจะขยับอีกทีก็ย่อมได้”
หลี่หลิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองบุรุษชุดเทา บุรุษผู้นี้ช่วยนางหรือ เพราะเหตุใดเล่า
“เจ้าเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางรึ ทำไมข้าถึงไม่รู้มาก่อน” โจวชิงหรานตื่นตระหนกกับความจริงที่พุ่งเข้ามาฉับพลัน ดวงหน้าซีดเผือด อี้อี้ของนางเป็นผู้ฝึกพลังยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับกลางเช่นกัน แต่ความแข็งแกร่งของพวกนางสองคนเทียบกันไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
“ท่านป้า ท่านนี่ไม่ทันข่าวสารเอาเสียเลย เสี่ยวเฟิ่งของข้าเก่งกาจขนาดนี้ ไยลูกสาวของท่านถึงยังว่าร้ายนางอีก” น้ำเสียงเนิบนาบเบาสบายดังขัดความคิดโจวชิงหราน นางมองหลี่เจี้ยนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ น่าตายนัก! หลูหมิ่น เจ้าถึงกับกล้าปิดบังข้า
แปะ แปะ แปะ
“ช่างเป็นภาพครอบครัวสุขสันต์เสียจริง” หลี่เหวินเหยาส่งยิ้มเย้ยหยันไปทางหลี่เฟยหยาง “พี่ใหญ่ ท่านจะยืนอยู่วงนอกให้น้องรองเป็นบุรุษผู้กล้าช่วยสามงามจริงๆ น่ะหรือ”
น้องรอง? หลี่เจี้ยนน่ะรึ น้องชายหลี่เฟยหยาง หรือก็คือพี่ชายรองของนางที่เกิดจากอดีตฮูหยินคนก่อน หลี่เจี้ยน ไม่ใช่เสี่ยวเซียงบอกว่าเขาป่วยกระเสาะกระแสะใกล้ตายมาตั้งแต่เด็กหรอกรึ ไฉนชายที่ยืนอยู่ตรงนี้ถึงได้หล่อเหล่า รูปร่างเป็นล่ำเป็นสันต่างจากที่ได้ยินมานักเล่า
“ไม่ใช่กงการของข้า” หลี่เฟยหยางยักไหล่ขอไปที
หลี่หลิงเฟิ่งเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนัก “พี่รอง?”
“แฮ่ม น้องเล็ก จากไปแค่สามปีถึงกับจำพี่ชายคนนี้ไม่ได้เชียวรึ” ท่าทางสุขุมนุ่มลึก เก๊กหล่อนั่นคืออะไร ทำให้นางดูหรือ หน้าตางดงามพลันเหลอหลา
“เจ้า...อึก...เป็นพลังยุทธ์” หลี่หรูอี้ตาเบิกโพลงราวกับเห็นผี เป็นไปไม่ได้! ตัวไร้ค่าจะฝึกพลังยุทธ์ได้อย่างไร น้ำเสียงไม่ยิมยอมดังขึ้น “แพศยา! เจ้าแอบฝึกวิชานอกรีตมาใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้นด้วยสมองของเจ้าหรือจะมีปัญญาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ ไม่มีทาง!”
“มีหรือไม่มี ข้าไม่รู้ แต่ที่รู้...” เสียงหัวเราะของหลี่หลิงเฟิ่งปั่นประสาทศัตรูได้ง่ายยิ่งนัก “ข้ามีปัญญาฆ่าเจ้าได้ก็แล้วกัน” ว่าแล้วแรงบีบคอพลันรัดแน่นจนหลี่หรูอี้หายใจติดขัด ดิ้นพล่านเหมือนหนูติดจั่น
“ตัวไร้ค่าหรือ” หลี่หลิงเฟิ่งแค่นหัวเราะ “มาดูกันว่าตัวไร้ค่าจะทรมานเจ้าอย่างไรบ้าง”
“ช่วย...ด้วย...ข้า...” ไม่อยากตาย เท้าทั้งสองข้างลอยขึ้นเหนือพื้นดิน เสียงตะกุกตะกักปนหวาดผวาพยายามเอื้อมมือไขว่คว้าหาที่ยึดสุดกำลัง
“หลี่หลิงเฟิ่ง! ปล่อยลูกข้าเดี๋ยวนี้” โจวชิงหรานแทบเสียสติเมื่อเห็นสภาพของหลี่หรูอี้ ลมหายใจลูกสาวเพียงคนเดียวแผ่วลงเรื่อยๆ ใบหน้าเริ่มเขียวคล้ำ นางสาดพลังยุทธ์ไปทั่วบริเวณไม่สนใจบ่าวรับใช้รอบข้าง เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นไม่ขาดสาย ทว่าคนทั้งสี่ที่ยืนอยู่กลับไม่เป็นอะไรเลย เกราะป้องกันสีฟ้าอ่อนๆ ล้อมรอบสองสาวเอาไว้ ขวางกั้นทุกคนไม่ให้ย่างกรายเข้ามา
“เป็นเพียงการละเล่นของพี่น้องที่ไม่ได้พบหน้ากันนาน ฮูหยินใหญ่ไม่จำเป็นต้องโมโห” น้ำเสียงเย็นชาไม่บ่งบอกอารมณ์ด้านหลังหญิงสาวดังขึ้น ในที่สุดหลี่เฟยหยางก็ไม่ทำตัวเป็นผู้ชมอีกต่อไป
“สารเลว หลี่หลิงเฟิ่งเป็นน้องของพวกเจ้า แล้วอี้อี้ไม่ใช่งั้นหรือ” โจวชิงหรานจ้องมองบุรุษทั้งสองอย่างโกรธแค้น ถ้าเกิดนางเข้มแข็งกว่านี้ รับรองได้ว่าหลี่เฟยหยางจะเป็นคนที่นางกำจัดคนแรกอย่างแน่นอน!
“ไม่อาจเทียบกันได้” บนโลกนี้ใครก็เทียบน้องสาวของเขาไม่ได้!
พลังยุทธ์สีน้ำเงินพุ่งมาสกัดพลังของหลี่หลิงเฟิ่งเอาไว้ หลี่หรูอี้ร่วงหล่นลงพื้น นั่งสูดเอาอากาศแรงๆ เข้าปอดหลายที หมดเรี่ยวแรงแม้กระทั่งเอ่ยวาจา น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความหวาดกลัว
หลี่หลิงเฟิ่งหยุดมือ หันหน้าไปมองที่มาของพลังดังกล่าว สายตาไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด “เหอะ ทักทายกันพอแล้วกระมัง อย่าลืมว่าพรุ่งนี้พวกเจ้ายังต้องเข้าพิธีปักปิ่น” หลี่เหวินเหยาเอ่ยขึ้นมาอย่างราบเรียบ
นางหัวเราะออกมาคำหนึ่ง “หลี่หลิงเฟิ่ง ต่อให้เจ้าโกรธแค้นนางขนาดนั้น ก็ไม่อาจลงมือทำร้ายพี่สาวตนเองได้ เพียงแค่เจ้ามีพลังยุทธ์เท่าหางอึ่ง ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไร้เทียมทาน หากนับตามจริงเจ้ามันก็แค่ปลายแถว มีพลังนิดหน่อย ตระกูลหลี่ยังไม่ถึงขั้นให้เจ้ามาถือดีได้”
“อย่าคิดว่ามีพี่ชายให้ท้าย แล้วจะไม่มีใครทำอันใดเจ้าได้ ตระกูลหลี่หาได้ขาดผู้เก่งกาจไม่ ขาดเจ้าไปคนหนึ่ง ก็ไม่มีผลกระทบอะไรกับพวกเราตระกูลหลี่” คำกล่าวนี้ไม่เพียงแค่ข่มขู่ แต่เป็นการเตือน หลี่หลิงเฟิ่งมองหลี่เหวินเหยาที่เดินห่างออกไปหลังจากกล่าวจบ นางหัวเราะเสียงเย็น หาได้ใส่ใจคำขู่พวกนี้ไม่
หญิงสาวรู้ขีดจำกัดพลังของตนเองดี นางรู้ว่าเวลาใดสามารถโอหัง อวดดีได้ ต่อให้เผชิญหน้าต่อพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่านางก็จะยังทำอยู่ดี นั่นเพราะการมีอยู่ของหลี่เฟยหยาง นางรู้ว่าเขาย่อมไม่ให้นางเป็นอันตรายเด็ดขาด
เพราะนั่นคือความไว้ใจและรู้ใจ ไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา
หลี่หลิงเฟิ่งก้าวมายืนตรงหน้าหลี่หรูอี้ ก้มหน้างดงามลงสบตากับใบหน้าที่เคยใสซื่อ หน้าพริ้มเพราเผยรอยยิ้มเยี่ยงโพธิสัตว์ลงมาโปรด หากแต่คล้ายนางมารในสายตาของหลี่หรูอี้ จนร่างทั้งร่างของหญิงสาวสั่นสะท้านขดตัวกลมเข้าหากันแน่น
หลี่หลิงเฟิ่งกระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน “รู้หรือไม่อะไรที่เรียกว่ารนหาที่ตาย”
มือสวยลูบไล้เบาๆ บนหน้าหลี่หรูอี้ “นี่แหละที่เรียกว่ารนหาที่ตาย”
สามร่างบินฝ่าความมืดลึกลงไปอีกหลายพันลี้ดำดิ่งลงมาถึงใจกลางส่วนลึก เบื้องหน้าทั้งสามคือโลกอีกใบ ดินแดนซ่อนอยู่ใต้ผืนพิภพเหวินเจิ้งกวาดตามองรอบตัวตาแทบถลน “ที่นี่คือรังของมันจริงหรือ”โม่เจี้ยนหมิงอุทานด้วยความตื่นเต้น “สมกับเป็นมังกรหมื่นปี อู้ฟู่ไม่เบา สมบัติของมันรวมกันรวยเท่าแคว้นๆ นึงได้เลยนะ พี่สะใภ้ข้าขอกลับคำ ท่านเป็นดาวนำโชคกลับชาติมาเกิดของแท้ ข้าเข้ามาเสี่ยงโชควาสนาตั้งหลายครั้ง ยังไม่เท่ากับที่มากับท่านครั้งเดียวเลยขอรับ”โม่เจี้ยนหมิงเก็บอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจไปกว่าเขาว่าตอนนี้มีความสุขแค่ไหน ดูวิมานพวกนี้สิวิบวับแสบตาไปหมด ทองคำ ทองคำทั้งนั้น!ไม่ทันขาดคำ ร่างสองร่างกลิ้งหลุนๆ ออกมาจากตัวของหลี่หลิงเฟิ่ง เจ้าเก่าเจ้าเดิม จอมแทะทั้งสองกร้วม กร้วมเสียงกัดแทะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง คราวนี้หลี่หลิงเฟิ่งไม่ห้ามเนื่องด้วยนางรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์เยี่ยงนี้ต้องเกิดขึ้น เสี่ยวไป๋นั้นไม่ต้องพูดถึง เจ้าตัวนี้ชอบลับฟันตนเองเป็นประจำ แต่เพื่อนร่วมวงที่ชอบนอนขี้เกียจอย่างเสี่ยวจูจูไวกว่ามันมาก อาหารอันโอชะมาถึงหน้าประตู เป็นใครก็อดใจไม่ไหวแน่นอนนางไม่สนใจทองคำพวกนี้เพราะในม
หลังศึกมังกรดินผ่านไปหลายวัน หิมะยังไม่หยุดตก หลี่หลิงเฟิ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ในการฟื้นฟูพลังและรักษาบาดแผล นางนั่งขัดสมาธิ หายใจเป็นจังหวะช้า ร่างกายเหมือนกลับมาสงบ แต่พลังในมิติมายายังปั่นป่วนอยู่บ้างในขณะที่นางสงบนิ่ง เสียงครางอื้ออึงดังขึ้นจากด้านหลัง “อือ...เจ็บชะมัด อย่างกับถูกฟาดด้วยภูเขา เดี๋ยวก่อน! นี่ข้ายังไม่ตายรึ จำได้ว่าตอนสุดท้ายโดนหางมังกรฟาดเข้าเต็มๆ”“เสียดาย” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำตาไม่ลืม “ข้าเริ่มคิดว่าความสงบจะอยู่ได้นานหน่อย”“ฮ่าๆ พวกเรายังมีชีวิตอยู่ พวกเรารอดแล้ว!” เสียงของโม่เจี้ยนหมิงแหบพร่า เหมือนคนฝันร้ายกลับมาหายใจอีกครั้ง พลางสำรวจตัวเองและรอบข้างอย่างดีอกดีใจเหวินเจิ้งที่นอนพิงผนังฝั่งหนึ่งเริ่มขยับ “เกิดอะไรขึ้น...มังกรดินล่ะ”หญิงสาวลืมตาช้า ๆ เปลือกตาสีซีดไหววูบ “เสียงสวดกลืนลงท้องไปแล้ว”เงียบทั้งถ้ำพลันไร้เสียง มีเพียงลมหายใจหนัก ๆ ของสองชายหนุ่มที่เพิ่งฟื้นโม่เจี้ยนหมิงกลืนน้ำลาย “เสียงสวดนั้นอีกแล้ว?”
เสียงระเบิดของเปลวเพลิงปะทะกับแรงสั่นสะเทือนจากธาตุดินดังสะท้อนก้องไปทั่วผืนหิมะโลกสีขาวโพลนที่เคยเงียบงัน กลับกลายเป็นสนามรบระหว่างมนุษย์สามคนกับอสูรหมื่นปีหิมะละลายกลายเป็นไอร้อนในชั่วลมหายใจเดียว ลมหนาวที่เคยปกคลุมทั่วฟ้าถูกแรงกดดันจากใต้ดินกวาดหายจนหมดสิ้นโม่เจี้ยนหมิงตะโกน “ข้าจะเปิดช่องขวา!”ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวสายลม กระบี่ในมือหมุนวนก่อเกิดแรงกดอากาศเป็นเกลียว เหวินเจิ้งใช้กำลังผลักพลังยุทธ์เข้าฝ่ามือ ทุบพลังธาตุดินที่กระแทกเข้ามาแตกกระจาย“อย่าใช้แรงปะทะโดยตรง ไม่อย่างนั้นเจ้าจะเสียเปรียบ” เสียงของหลี่หลิงเฟิ่งดังขึ้นเรียบเย็น นางเหยียบพื้นหิมะแล้วทะยานขึ้นกลางอากาศ เส้นไหมแดงร้อยเส้นแตกตัวเป็นประกายเพลิง สะท้อนเข้ากับแสงของฟ้าหิมะจนเหมือนมีพระอาทิตย์อีกดวงลุกขึ้นตรงหน้าแต่ทว่าพลังที่พวกนางปล่อยออกไปนั้น กลับถูกบางสิ่งใต้พื้นดูดซับราวทะเลกลืนสายฝนแรงสั่นสะเทือนขนาดมหึมาแผ่ซ่านทั่วผืนปฐพี พื้นดินแตกออกเป็นเส้นรอยแผล ลาวาสีทองปนดำพวยพุ่งขึ้นมาพร้อมเสียงคำรามที่ทำให้ฟ้าสะเทือนจากใจกลางของความมืดนั้น ร่างยักษ์มหึมาผุดขึ้นจากดิน เกล็ดของมันมีลวดลายเหมือนรอยหินลาวา แต
กว่าสิบเดือนที่พวกนางเดินทางเข้าสู่ป่าต้องห้ามจนเข้าสู่ช่วงเหมันต์ ในช่วงห้าเดือนหลังนี้ หิมะเริ่มตกทำให้ทั่วทั้งดินแดนกลายเป็นสีขาวโพลน ทั้งสามได้ปักหลักฝึกยุทธ์อยู่ ณ ริมขอบค่ายกลที่โอบล้อมสัตว์อสูรไว้ภายใน ตอนนี้ทั้งสามคนรุดหน้าไปมากโม่เจี้ยนหมิงและเหวินเจิ้งตัดสินใจทำลายค่ายกลอีกครั้ง ตลอดหลายเดือนผ่านมาเช่นนี้ ค่ายกลพลังอสูรกลับไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเนื่องจากอยู่มานาน อะไรที่ควรสัมผัสได้ล้วนรับรู้ได้หมด ตัวอันตรายใต้ดินนั่นเริ่มจะทนไม่ไหวอยากขึ้นหาพวกเขาเต็มแก่ ทั้งสามตึงเครียดยิ่งนักแม้ตอนนี้พลังยุทธ์จะเพิ่มขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังไม่พอต่อกรกับมัน ทว่าไม่มีทางเลือก สัตว์อสูรที่ถูกกักขังในค่ายกลเริ่มจะยืนหยัดไม่ไหวอีกต่อไป ขณะที่ยังไม่พร้อมพวกเขาจำเป็นต้องลงมือเพียงแต่ ตลอดเวลานั้นสิ่งที่อยู่ใต้ดินยังคงเฝ้ามองพวกเขาอยู่เงียบ ๆ รอเวลาตะปบเหยื่อ“เหยื่ออันโอชะของข้า อยากตายก่อนเวลาเช่นนั้นหรือ” เสียงแหบพร่าเปี่ยมอำนาจดังก้องเข้าโสตประสาตของทุกคน ก่อนแผ่นดินเริ่มสั่นไหว จนพวกนางต้องเหาะเหินหลบขึ้นกลางอากาศ เงาดำมหึมาครอบคลุมบริเวณแถบนี้
ในที่ซึ่งเงียบเกินไป บางครั้งเสียงของความเงียบก็ดังกว่าทุกสิ่ง เงียบจนอื้ออึงในโสตประสาท ราวกับโลกกลืนกินเสียงทั้งหมดไปจนหมดสิ้นเหวินเจิ้งตามมาด้านหลัง เขากระชับอาวุธที่พาดอยู่บนหลังไว้แน่น เสียงโลหะดังเคล้ากับลมหายใจที่สม่ำเสมอของโม่เจี้ยนหมิง ผู้เดินล้อมท้ายขบวนทั้งสามไม่ได้พูดกันสักคำ ราวกับรู้โดยสัญชาตญาณว่าคำพูดที่เล็ดลอดจะถูกบางสิ่งที่ซ่อนตัวอยู่ได้ยินอย่างชัดเจนระยะหนึ่ง หลี่หลิงเฟิ่งหยุดเท้า ดวงตาของนางกะพริบวูบหนึ่ง แสงแดงหม่นสะท้อนในม่านตากำลังรอการจุดประกาย“รู้สึกจะเป็นข้างหน้านี้” เสียงของนางเบาจนแทบกลืนไปกับลมหายใจโม่เจี้ยนหมิงชะงัก กระบี่ในมือตวัดลงมาตั้งรับโดยสัญชาตญาณ “ท่านรู้สึกได้?”นางไม่ตอบ แต่ค้อมตัวลงแตะปลายนิ้วกับพื้น แผ่นดินที่เย็นชื้นสะท้อนแรงสั่นแผ่วกลับมาราวหัวใจของสัตว์ยักษ์ที่เต้นอยู่ลึกลงไปใต้รากไม้ ไอพลังบางอย่างแผ่ออกจากจุดนั้น ไม่ใช่พลังของผู้ฝึกยุทธ์ หากแต่เป็นลมหายใจของสิ่งมีชีวิตตนอื่น ที่สูงส่งกว่ามนุษย์อย่างหาที่สุดมิได้หลี่หลิงเฟิ่งแผ่กระแสจิต คลื่นพ
ทั้งคู่เคลื่อนตัวฝ่าร่องเขาที่โล่งจนเห็นท้องฟ้าผืนดินที่เคยปกคลุมด้วยหมอกตอนนี้แห้งแตกระแหง กลิ่นคาวเลือดยังติดอยู่ในอากาศ ลมพัดฝุ่นคลุ้งขึ้นมาพร้อมเสียงระเบิดพลังยุทธ์แว่วไกลตูม!เสียงปะทะกันดัง ตามด้วยเสียงร้องคำรามของใครบางคน หลี่หลิงเฟิ่งหยุดชะงัก เงี่ยหูฟัง “มีการต่อสู้ข้างหน้า”โม่เจี้ยนหมิงชักกระบี่ขึ้น “พวกเงาโลหิตแน่ ข้าจำวิธีการของพวกมันได้”เขาหันไปมองหน้านาง “จะอ้อมหรือเข้าไปช่วย”หญิงสาวเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเรียบ “เข้าไป”กลุ่มคนห้าหกคนกำลังสู้กับกลุ่มเงาโลหิตอีกฝั่ง กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้ง ดินใต้เท้าเปียกแฉะด้วยพลังยุทธ์ที่แตกกระจายชายร่างสูงในชุดดำที่เป็นหัวหน้าเงาโลหิตกำลังฟาดอาวุธใส่ชายอีกคนที่บาดเจ็บหนัก เขาเป็นหนึ่งในคนของสำนักพันธสาน เสื้อคลุมฉีกขาด แขนขวาไหม้เกรียมโม่เจี้ยนหมิงมองอยู่จากเนิน“พวกนั้นเป็นศิษย์ของหุบเขาชาง ดูนั่นมีตราโลหะอยู่บนคอเสื้อเด่นชัดมาก น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสำนักใหญ่พวกนั้น อย่างนั้นข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้แล้ว ถ้







