Home / รักโบราณ / ชายาอสรพิษ / ศัตรูในที่มืด 3

Share

ศัตรูในที่มืด 3

last update Last Updated: 2024-12-25 19:28:00

โลหิตสดๆ ไหลออกมาจากไหล่ซ้ายของสตรีชุดแดง รอยกรีดลึกเป็นทางยาวประมาณเจ็ดชุ่น* หลี่หลิงเฟิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวข่มความเจ็บปวด รับพลังโจมตีทั้งหมดผ่านมือขวา ลำตัวถอยร่นจนสุดขอบเรือน สมกับเป็นสัตว์อสูรหายาก พละกำลังของมันแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นกำเนิดใหม่ระดับสูง

หลูหวั่นชิง ลืมตาขึ้น มองหลี่หลิงเฟิ่งที่ยืนสู้กับหมูป่าหางทองอย่างตะลึงงัน ลืมความเจ็บปวดจากการโดนพลังยุทธ์ที่กันนางออกมานอนกองอยู่บนพื้น นางหมายจะเข้าไปช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง ใครเลยจะคิดว่า...

“นาง...นางเป็นพลังยุทธ์” นี่...คำเล่าลือหลายสิบปีเป็นเรื่องหลอกลวงหรือ นางหาใช่ตัวไร้ค่า แต่เป็นผู้มากด้วยพรสวรรค์ต่างหาก!

เสียงเซ็งแซ่ดังกระหึ่มทั่วห้องโถง ในที่นี้ไม่มีใครใจคอสงบสักคน เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว

หมูป่าหางทองคำรามดังขึ้น เจ้าพวกมนุษย์น่าตาย กล้าลอบกัดข้า กระแสไฟฟ้าปลายหางแผ่ลามทั่วทิศ ทั่วทั้งห้องโกลาหลหนีตายกันถ้วนหน้า ห้องโถงที่เคยวิจิตรงดงามพังลงไม่เหลือซาก เสาหลักยึดโครงหลังคาหักลงทีละต้น เวลานี้บริเวณใกล้หลี่หลิงเฟิ่งเหลือเพียงแม่ลูกตระกูลหลู และหลี่เหวินเหยาเท่านั้น ส่วนสองแม่ลูกตัวต้นเรื่องหนีเอาตัวรอดไปนานแล้ว

“พวกเจ้าอย่ามาเกะกะเป็นภาระข้า” กล่าวบอกสองแม่ลูกบนพื้นก่อนจะถีบตัวขึ้นกลางอากาศ ลูกไฟนับร้อยลอยละลิ่วไปตามกระแสไฟฟ้า บางลูกถึงกับเผาไหม้ขนของมัน เนื้อตัวโล่งเตียนเป็นกระหย่อมแลดูน่าเกลียด เปลวเพลิงลุกไหม้ข้าวของในห้องอย่างรวดเร็ว

ฮว่าง

เจ้าหมูป่าส่ายสะบัดอย่างคลุ้มคลั่ง กรงเล็บปัดป้องลูกไฟให้พ้นตัว ประกายสังหารแผ่ออกมา ปากของมันอ้ากว้างจนน้ำลายยืดหยดลงบนพื้น จากหยดเล็กๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ฮูหยินหลูตาเบิกโพลง ดึงรังหลูหวั่นชิงสุดแรงทว่าร่างกายของหญิงสาวกลับไม่ขยับตาม สติของนางไม่อยู่กับตัวตั้งแต่วิ่งเข้ามาขวางหลี่หลิงเฟิ่งครั้งแรกแล้ว

“หนีเร็ว!” หลูฮูหยินตะโกนสุดเสียง เจ้านี่เป็นตัวอะไรกันแน่ มันสามารถสร้างสายฟ้าเองได้ หากว่า...

ไม่ทันได้คิดอันใด คลื่นยักษ์ลอยเข้ามาหาพวกนางอย่างรวดเร็ว แสงสีขาววูบวาบรับกับเสียงเปรี๊ยะรอบคลื่นมหึมา ความเงียบกดดันให้ความคิดฟุ้งซ่าน หลี่หลิงเฟิ่งพลันคิด ถ้านางหลุดเข้าไปในคลื่นยังษ์นั้น ร่างกายคงไม่ทันตอบสนองอันใดก็คงถูกย่างจนไหม้เกรียมไปก่อน

ร้ายกาจ!

หลี่หลิงเฟิ่งแทบกรีดร้อง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าตอนนี้นางดีใจมากแค่ไหน รอยยิ้มกว้างเผยออกให้ได้ยลเป็นครั้งแรก 

ประสบการณ์!

หญิงสาวไม่สนใจอาการบาดเจ็บบนแขนซ้าย พุ่งตัวเข้าหาคลื่นที่กำลังขลับเคลื่อนมาด้วยความเร็วสูสีกัน พลังยุทธ์สีแดงพลันเปลี่ยนรูปร่างคล้ายกับลาวาไหลบนพื้น โอบล้อมขวางกันนางกับหนึ่งสัตว์อสูรเอาไว้จากบุคคลอื่น

หลี่เหวินเหยาคอยสังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง ใบหน้าเรียบนิ่งไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใด จับจ้องการต่อสู้อย่างเฉยชา หากแต่ก็ไม่ยอมตีตัวจากไป

ครั้นหลี่เจี้ยนมาถึง ภาพเหตุการณ์ทำเอาเขาชะงักงัน ช็อกค้างอยู่เป็นนาน น้องเล็กถึงกับ ถึงกับ...

ไม่ต้องบอกก็รู้ รีบพุ่งตัวออกหมายจะช่วยหลี่หลิงเฟิ่งที่ตกอยู่ในอันตราย แต่ต้องชะงักค้างกลางอากาศเพราะพลังสีเทาที่สกัดกั้นเขาเอาไว้ เส้นเลือดบนใบหน้าปูดโปนด้วยความโมโหสุดขีด

“หลี่เหวินเหยา เจ้าทำบ้าอะไร!” สายลมก่อตัวเป็นคลื่นพายุขวางกั้นไว้อีกชั้นหนึ่ง จนไม่สามารถมองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าชัดเจน

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ไม่เห็นหรือว่าน้องเล็กตกอยู่ในอันตราย หลบไป อย่ามาขวางทางข้า” พลังสีฟ้าทำลายพายุหมุนลงอย่างรวดเร็ว พุ่งตัวออกไปเบื้องหน้าอีกครั้ง

“อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ” น้ำเสียงเย็นเยียบหลุดรอดจากริมฝีปากหลี่เหวินเหยา สีหน้าเย็นชาต่างจากทุกครั้ง เคลื่อนตัวมาขวางหลี่เจี้ยนเอาไว้

“หลบไป ไม่ช่วยก็อย่ามาเกะกะ” หลี่เจี้ยนยกมือตั้งท่าจะผลัก ทว่า เพียงขยับมือเล็กน้อย พลังยุทธ์สีฟ้าในมือก็พุ่งตรงเข้ากลางอกหลี่เหวินเหยาทันที

“เจ้าควรเปลี่ยนลูกเล่นใหม่ๆ เสียบ้าง” พลังยุทธ์ห่างจากอกหลี่เหวินเหยาเพียงหนึ่งคืบกระทบเข้ากับกระแสพลังสีเทาที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวนาง ก่อนจะสลายหายไป

หลี่เจี้ยนใบหน้าหนักอึ้ง พลังคุกคามกดดันทำให้เขาต้องเสียเวลาตั้งรับ มองหลี่เหวินเหยาอย่างเคียดแค้น หากจะช่วยหลี่หลิงเฟิ่ง เห็นทีเขาต้องผ่านด่านนางไปก่อน

หลูหวั่นชิงเองพลอยถูกพลังจากสองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมรวมระดับต้นกดดันจนไม่อาจขยับตัว ทำได้เพียงเอาใจช่วยชายหนุ่มอยู่เงียบๆ

ทางด้านหลี่หลิงเฟิ่งราวตัดขาดจากโลกภายนอกไปนานแล้ว ต่อสู้กับหมูป่าหางทองมาพักใหญ่ ต่างก็ได้แผลกันเต็มตัว เลือดจากแผลที่โดนกรีดทั้งเล็กทั้งใหญ่ไหลซึม จนชุดของนางเปียกชุ่ม เหม็นคาวไปด้วยเลือด

หมูป่าหางทองสภาพย่ำแย่ไม่ต่างกัน เดิมทีมันเองก็ได้รับมาเจ็บมาก่อน สู้มานานขนาดนี้พละกำลังเริ่มถดถอย ตัวมันก็เริ่มไม่ไหวเช่นกัน ตามเนื้อโกร๋นไม่มีขนสักเส้น อัปลักษณ์เหลือแสน ทุกอย่างเป็นเพราะสตรีนางนี้ทั้งสิ้น

แต่ต่อให้มันต้องการกำจัดทิ้งแค่ไหน ก็ไม่อาจเข้าใกล้ผู้หญิงบ้านี่ได้เลยสักครั้ง มากสุดแค่ได้แผลจากกรงเล็บของมันเพียงเล็กน้อย

หลี่หลิงเฟิ่งเองก็หน้าซีดขาวเพราะเสียเลือดมากไปเช่นกัน ผ่านไปหลายเค่อก็สยบเจ้าหมูป่าตัวนี้ไม่ได้ ไม่ได้การ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป นางต้องตายในอุ้งเท้าของมันเป็นแน่

หลี่หลิงเฟิ่งรวบรวมกระแสจิตพลางพูดโน้มน้าว “เจ้าตัวน้อย ข้ารักษาบาดแผลของเจ้าได้นะ”

เสียงคำรามต่ำยังดังอย่างต่อเนื่อง “แค่เจ้ามาอยู่กับข้า เจ้าก็จะปลอดภัย”

ฮว่าง

สายฟ้าฟาดฟันลงมาอีกครั้ง หลี่หลิงเฟิ่งปล่อยพลังยุทธ์ออกไปปัดป้อง ยังคงพูดต่อไป “เจ้าคงทุกข์ทรมานจากมันไม่น้อยสินะ พลังเจ้าถดถอยก็เพราะถูกพิษ ข้ารักษาได้นะ เจ้าว่าอย่างไร”

กรงเล็บสองข้างยังคงกางระแวดระวังนางอยู่ แต่เสียงคำรามหายไปแล้ว หลี่หลิงเฟิ่งพลันใจชื้น พูดอีกครา “เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าไม่บังคับเจ้า ข้าจะรักษาเจ้าจนหายดี แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้องอยู่กับข้าหนึ่งเดือน” สายฟ้าก่อตัวขึ้นบนหัวนางทันที หลี่หลิงเฟิ่งรีบพูดออกมา “ข้าไม่ชอบบังคับใคร ถึงวันนั้น หากเจ้าอยากไปก็แค่จากไป แค่ในหนึ่งเดือนนี้เจ้าต้องคู่ซ้อมต่อสู้กับข้าทุกวัน เมื่อครบหนึ่งเดือนข้าจะไม่รั้งเจ้าไว้”

ฮว่าง

‘เจ้าพูดจริงหรือ เจ้ารักษาข้าได้แน่นะ ไม่บังคับข้าแน่นะ’ เสียงแหบพร่าดังขึ้นเบาหวิว ฟังดูอ่อนแรงยิ่ง

หลี่หลิงเฟิ่งสะดุ้งเฮือก ตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มันสื่อสารกับนางได้ หญิงสาวสูดหายใจลึก ก่อนกล่าวเสียงหนักแน่น “ใช่ เมื่อครบสัญญา เจ้าไม่จำเป็นต้องรั้งอยู่ข้างกายข้า”

หญิงสาวถอนใจอย่างโล่งอก ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมเจ้าตัวแสบได้

เมื่อหลี่หลิงเฟิ่งสลายเขตขวางกั้น ภาพเบื้องหน้าทำเอานางลืมความเจ็บปวดเมื่อยล้าทันที หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี ปล่อยพลังสีฟ้าเทาปะทะกันจนห้องโถงพังครืนลงมาไม่เหลือซาก

หากคนอื่นไม่เห็นซากศพหมูป่าหางทองต้องเกิดความสงสัยมากเป็นแน่ นางจะทำอย่างไรดี เอาวะ มารยาพื้นฐานที่สตรีทุกคนต้องมี 

“พี่รอง” หลี่หลิงเฟิ่งทรุดฮวบลงพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง หญิงสาวเสียเลือดไปมาก ฝืนทนต่อไม่ไหว เปลือกตาปิดลงช้าๆ

ร่างสองร่างชะงักงันหันตามเสียงเรียก หลี่เจี้ยนไม่สนใจหลี่เหวินเหยาให้เสียเวลา ถลาตัวช้อนศีรษะมนก่อนที่จะตกกระทบกับพื้น “น้องเล็ก เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าง่วง” น้ำเสียงสะลึมสะลือเปร่งออกมา ฝืนเปิดเปลือกตาหนักอึ้งมองหลี่เจี้ยน แอบร้องโอดครวญในใจ อยากจะหยิบยาออกมาจากมิติใจจะขาด

ครั้นสำรวจตามตัวก็พบกับแผลฉกรรจ์บริเวณไหล่และรอยแผลขีดข่วนตามตัว ในใจให้เจ็บปวดเหลือแสน ทำเอาชายหนุ่มร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก

ร่างสูงอุ้มหลี่หลิงเฟิ่งขึ้นมา รีบเร่งเดินออกไปหน้าลานกว้าง น้ำเสียงทรงพลังสะท้อนก้องทั่วจวน “เตรียมรถม้า!”

สายตาหลี่เจี้ยนไร้แววสุขุมเหมือนก่อน สีหน้าราวกับจะฆ่าใครก็ตามที่เข้ามาใกล้ กวาดตามองฝูงชนที่ยืนหลบอยู่ด้านนอก ก่อนจะสบตาเข้ากับโจวชิงหรานและหลี่หรูอี้ เขาแค่หัวเราะครั้งหนึ่ง ก่อนถอนสายตาไปมองหลี่เหวินเหยาที่บัดนี้มายืนอยู่ข้างหลี่จ้ง เนิ่นนานก่อนรอยยิ้มหยันจะผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูป

หลี่หลิงเฟิ่งได้รับบาดเจ็บ เสี่ยงอันตรายขนาดนี้ คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสายเลือดเดียวกันกับต้องการให้นางตาย ประเสริฐ!

“ตายจริง ลูกห้า ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” โจวชิงหรานบีบน้ำตาเดินมาหาหลี่หลิงเฟิ่ง “แม่ไม่ดีเอง ปล่อยหมูป่าหางทองออกมา หมายจะให้มันเป็นของขวัญอี้อี้ แต่ไม่คิดว่า...” มือยื่นออกหมายจะจับตัวหลี่หลิงเฟิ่ง

หลี่เจี้ยนเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง น้ำเสียงเรียบนิ่ง “หากท่านเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริง เหตุใดจึงไร้รอยขีดข่วนอยู่ตรงนี้เล่า”

“เหอะ ในใจคิดสิ่งใด ก็อย่ามัวเสแสร้งอยู่อีกเลย” หลี่เจี้ยนหัวเราะเย็น “ข้าว่าท่านอยากให้นางตายเสียมากกว่า”

“หลี่เจี้ยน ข้าไม่เคยสั่งไม่เคยสอนให้เจ้ากล่าวาจาเช่นนี้กับมารดา” หลี่จ้งอับอายขายหน้ายิ่งนัก ใบหน้าแดงเถือกด้วยความโกรธ

“แม่ข้าตายไปนานแล้ว” ชายหนุ่มไม่สะทกสะท้าน ไม่แม้แต่จะเหลือบมองผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อด้วยซ้ำ

นางสารเลวหลี่หลิงเฟิ่ง นางถึงกับเอาชนะหมูป่าหาทอง หลี่หรูอี้ดิ้นเร่าๆ เหตุใดนางแพศยาถึงดวงแข็งเช่นนี้ “หลี่หลิงเฟิ่ง เห็นอยู่ว่าเจ้าไม่ตาย จะสำออยทำเป็นอ่อนแอให้ใครดู” ไม่ใช่พี่หญิงใหญ่บอกว่า...สายตาหลี่หรูอี้เหลือบมองหลี่เหวินเหยา

“เจ้าอยากให้ข้าตายนักรึ” น้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังขึ้น ร่างในอ้อมกอดหลี่เจี้ยนซีดขาวไร้สีเลือด มองดูแล้วช่างน่าสงสาร “ตั้งแต่เล็กเจ้าก็คอยแต่รังแกข้า ข้าไม่เคยพูดอันใด เรื่องวันนี้ใช่เจ้าจงใจหรือไม่ ข้ายิ่งไม่อยากรู้”

หลี่หลิงเฟิ่งหลับตากล่าวต่อ “บ้านหลังนี้ นอกจากพี่ใหญ่กับพี่รอง มีใครบ้างไม่อยากให้ข้าตาย”

ใช่แล้ว มีใครบ้างหวังดีกับนางจริงๆ 

เสียงฮือฮา ดังขึ้นเป็นระลอก คำพูดของหลี่หลิงเฟิ่งเปรียบเสมือนระเบิดเวลา รอวันครบกำหนด จากนั้นระเบิดพวกเขาจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่เหลือชิ้นดี เรื่องเน่าเฟะของตระกูลหลี่คงกระจรกระจายต่อจากนี้ไปทั่วทุกมุมของแผ่นดิน

“เจ้าเอาอันใดมาพูด ที่เลี้ยงเจ้ามาจนเติบใหญ่ทุกวันนี้ ยังกล้าบอกว่าตระกูลหลี่ของข้าแล้งน้ำใจงั้นรึ” หลี่จ้งโกรธเกรี้ยวแทบยืนไม่ไหว อยากจะเข้าไปอุดปากนางเด็กคนนี้เต็มที

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาละเลยลูกคนนี้เพราะความไม่เอาไหนของนาง แต่เขาไม่กล้าพอคิดอยากจะให้นางตาย ถึงอย่างไร ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นบุตรีของเขา แถมยัง...แค่คิดหลี่จ้งก็เย็นเยือกอยู่ในใจ

“ครอบครัวอันใดกัน นอกจากพวกข้าสองพี่น้อง จวนแห่งนี้ใครบ้างนับนางเป็นคุณหนูห้า!” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า เขาทนมานานพอแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะน้องเล็ก มีหรือเขาจะกลับมาเหยียบที่นี่อีก หลี่เจี้ยนมองทั้งสี่คนรอบหนึ่ง แค่นเสียงเย้ยหยันออกมา “ใครๆ ก็บอกว่านางเป็นตัวไร้ค่า พวกเจ้าต่างหากที่ไร้ค่า จิตใจสกปรก”

หลี่เจี้ยนเดินไปยังรถม้า ขณะเดินผ่านหลี่จ้ง ร่างสูงพลันหยุดชะงัก “เจ้าเมืองหลี่ ทางที่ดี ท่านควรหาคำอธิบายเรื่องนี้แก่พี่ใหญ่ให้ชัดเจน” แม้แต่พ่อเขายังไม่เรียก! หลี่จ้งหน้าซีดเผือดลงทันที

ณ หอแพทย์โอสถ

อาณาจักรหลิวเฟิงขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งรวมยอดฝีมือด้านโอสถ ว่ากันว่าเหล่านักหลอมโอสถรวมตัวกันอยู่แคว้นจวินซึ่งอยู่ใกล้กับที่ตั้งสำนักแพทย์โอสถ

หากพูดถึงผู้มีอิธิพลสูงสุดนอกจากแคว้นใหญ่ทั้งสี่ ยังนับรวมสำนักแพทย์โอสถที่ตั้งตนเป็นเอกเทศอยู่บนหุบเขาป่าทมิฬกาล นอกจากนี้สำนักแพทย์โอสถจัดตั้งสาขาย่อยไปทั่วทุกหัวมุมเมือง แผ่ขยายความรู้ด้านโอสถและเฟ้นหายอดฝีมือเข้าร่วมสำนัก ทุกๆ ต้นปีเหล่าศิษย์สำนักสาขาย่อยจะคัดเลือกศิษย์ที่โดดเด่นเดินทางไปประลองความสามารถด้านการหลอมยา หากผ่านด่านจะได้รับเลือกเป็นศิษย์ของสำนักแพทย์โอสถอย่างเป็นทางการ และถูกขนานนามว่าเป็นนักหลอมโอสถอย่างแท้จริง

หอแพทย์โอสถแห่งนี้ก็เช่นกัน พลุกพล่านไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านโอสถ เนื่องด้วยเมืองหลี่เป็นเมืองสำคัญอันดับหนึ่งของแคว้นหลิวอวิ๋น หอแพทย์แห่งนี้ไม่เพียงมีศิษย์ประจำการมากกว่าสิบคน ยังมีแพทย์ฝีมือดีดูแลอยู่อีกด้วย ไม่กี่วันก่อนศิษย์เอกของนักหลอมโอสถระดับชั้นอาวุโสหูซานเพิ่งกลับมา หอแพทย์โอสถจึงคึกคักเป็นพิเศษ

หลี่เจี้ยนพยุงหลี่หลิงเฟิ่งลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง แหวกทางให้นางเดินไปตลอดทาง “หลีกทางหน่อย หลีกทางหน่อย”

“คุณชายรองหลี่ สบายดีหรือไม่” ครั้นเห็นบุตรชายคนรองของท่านเจ้าเมืองมาเยือน บุรุษอาภรณ์สีเทาบนอกเสื้อปักสัญลักษณ์ใบไม้สองแฉกไขว้กัน รีบร้อนเดินมาต้อนรับ ใบหน้าอบอุ่นใจดียิ้มกว้างราวกับพบสหายเก่า

“ผู้ดูแลถง ได้ยินว่าผู้อาวุโสหวังพำนักอยู่ที่นี่ รบกวนให้ท่านมารักษาอาการน้องสาวของข้าได้หรือไม่” หลี่เจี้ยนคุ้นเคยกับที่นี่ดี เพราะสุขภาพร่างกายของเขาอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ต้องรักษาเป็นเวลาหลายปี หอแพทย์โอสถเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเขาเลยก็ว่าได้ เพียงแต่หลังจากอายุครบสิบปีเขาจำเป็นต้องเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหลวงและติดตามหลี่เฟยหยาง วันนี้จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้กลับมาเยือน

ผู้ดูแลถงนิ่วหน้า น้ำเสียงยังคงนอบน้อมเช่นเดิม “ขออภัยคุณชายรองหลี่ ถึงพวกเราจะสนิทสนมกันมาช้านาน แต่ข้าไม่อาจฝ่าฝืนกฏของหอแพทย์ได้ ผู้อาวุโสหวังเพียงแค่พำนักชั่วคราวเท่านั้น ไม่ประสงค์พบผู้ใด”

หลี่หลิงเฟิ่งมองชายอาภรณ์ชุดเทาเงียบๆ ตั้งแต่เดินเข้ามานางเห็นชุดแต่งกายลักษณะนี้หลายคน ทุกคนดูเหมือนจะเป็นผู้ที่มีตำแหน่งในหอแพทย์ หญิงสาวพยักหน้าในใจ สรุปเอาเองอย่างเงียบๆ คล้ายกับชุดเครื่องแบบประจำองค์กรในยุคปัจจุบันหรือไม่หนอ

“อาการของคุณหนูท่านนี้ให้หมอท่านอื่นตรวจจะดีกว่า” หลี่เจี้ยนเองก็ไม่อยากทำให้สหายเก่าลำบากใจ เขาเข้าใจกฎเกณฑ์หอแพทย์อยู่บ้าง คนระดับนั้นไหนเลยจะให้ใครเข้าพบได้ง่าย

ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาอย่างที่ท่านว่าละกัน แค่รักษานางให้ดีก็พอ ขอบคุณท่านมาก”

“เชิญพวกท่านทั้งสองตามข้ามาทางนี้” หลี่ถงผายมือเดินนำขึ้นไปยังชั้นสอง หอแพทย์แห่งนี้นับว่าใหญ่โตพอสมควร ที่นี่มีทั้งหมดสามชั้น ชั้นแรกเป็นแหล่งชุมนุมและขายสมุนไพร ขายยาลูกกลอน ชั้นสองน่าจะมีไว้สำหรับรักษาผู้ป่วย ส่วนชั้นสุดท้ายนั้นนางไม่รู้

“พวกท่านนั่งรอในห้องสักครู่ ข้าจะไปตามท่านหมอเหยามา” ถงลี่ยิ้มแย้มครั้งสุดท้ายก็ก้าวเดินออกไปจากห้อง

“ช้าก่อน” หลี่หลิงเฟิ่งส่งเสียงเรียก “ผู้อาวุโสหวังที่พวกท่านกล่าวถึง ชื่อหวังซีหรือไม่”

“คุณหนูท่านนี้รู้จักผู้อาวุโสหวังหรือ” ถงลี่แปลกใจ น้อยคนนักที่จะรู้ชื่อศิษย์เอกของท่านอาจารย์หูซาน ด้วยหวังซีเป็นคนเงียบขรึม ค่อนข้างเก็บตัว

หลี่หลิงเฟิ่งพยักหน้าสำทับ “รบกวนท่านแจ้งเขาสักคำหนึ่ง คุณหนูห้าตระกูลหลี่ หลี่หลิงเฟิ่ง ต้องการพบ”

อ้อ คุณหนูห้าแห่งจวนเจ้าเมืองนี่เอง ชื่อของนางเป็นที่กล่าวขานกันในช่วงนี้ หากแต่ก็ไม่ใช่ชื่อเสียงในทางที่ดีนัก ถงลี่ยืนกุมมือแนบกลางลำตัว รอยยิ้มนอบน้อมยังคงประดับบนริมฝีปากไม่เสื่อมคลาย เขาทำงานกับผู้คนมานานปี พอจะมองออกว่าแม่นางผู้นี้หาได้เป็นอย่างที่เล่าลือ

“ข้าจะลองแจ้งแก่ผู้อาวุโสหวังสักครั้ง แต่ข้าไม่รับรองว่าผู้อาวุโสจะยอมพบท่านหรือเปล่า” เอาเถิด แม่นางน้อยผู้นี้จะรู้จักหวังซีเป็นการส่วนตัวจริงหรือไม่ ก็ช่างเถอะ ครั้งนี้จะถือซะว่าเห็นแก่หลี่เจี้ยนแล้วกัน

“เขาต้องพบแน่” หลี่หลิงเฟิ่งพูดยิ้มๆ เอนตัวนั่งบนเก้าอี้นุ่มด้วยท่าทีสบายๆ

ภายในห้องห้องหนึ่ง

หวังซีผู้ไม่รับแขกบัดนี้นั่งหน้าเครียดมองขวดบรรจุโลหิตสีแดงในมือ เบื้องหน้าเขาปรากฏบุรุษชุดเทาอีกคนหน้าตาวิตกกังวลไม่แพ้กัน

“เรื่องร้ายแรงขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่รีบแจ้งเสียแต่เนิ่นๆ” น้ำเสียงน่าเกรงขามดังขึ้นครั้งแรกจากชายหนุ่ม ตำหนิบุรุษวัยกลางคนชุดเทา “จนบัดนี้ผ่านมาร่วมเดือน หากข้าไม่มาเองจะรู้เรื่องเมื่อไหร่”

“ศิษย์พี่โปรดอภัย” ชายวัยกลางคนเพียงวิตกกังวล กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “สองเดือนก่อนข้าส่งคนไปแจ้งพวกท่านตั้งแต่ได้รับจดหมายจากสำนักใหญ่ ไม่คิดว่าพวกท่านจะยังไม่ได้รับข่าว”

“จนถึงบัดนี้ ก็ยังมิมีผู้ใดระบุพิษชนิดนี้ได้” ชายวัยกลางถอนหายใจ ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “ถ้าปล่อยไว้นานกว่านี้ ข้ากลัวว่าจะไม่ทันการ”

“อาจารย์ทุกท่านยังหมดหนทาง พวกเราคงหมดหวังแล้ว” ขณะที่ทั้งสองเคร่งเครียดกันอยู่ เสียงฝีเท้าเร่งรีบคู่หนึ่งสะท้อนก้องอยู่หน้าประตู ไม่นานก็ถูกผลักออก ถงลี่เร่งรีบเดินเข้ามา

“ผู้อาวุโสหวัง ท่านหมอเหยา” ถงลี่คำนับอย่างนอบน้อม

“ถงลี่ ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาต ยังไม่ออกไปอีก” ถงลี่พลันหวั่นกลัว คุกเข่าลงพื้นตัวสั่นงันงก

“มีเรื่องอันใด” ถึงแม้จะไม่ชอบใจที่มีคนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวโดยพลการ แต่ถงลี่ก็ถือเป็นคนเก่าแก่ เขาไม่อยากจะถือสาหาความอีกฝ่ายมากนัก

“คือว่า...” น้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ ดังขึ้น “มีเรื่องอะไรก็พูดมาเร็วๆ” เหยาจี้ฮึดฮัดไม่สบอารมณ์

“คือว่า...คุณหนูท่านหนึ่งต้องการพบผู้อาวุโสหวังขอรับ นางยังบอกอีกว่ารู้จักกับผู้...”

“ไม่พบ! จะใครก็ไม่พบใครทั้งนั้น ข้าบอกแล้วไม่ใช่รึว่าให้ปฏิเสธไปให้หมด เหตุใดเจ้าจึงไม่ทำตามที่ข้าสั่ง ออกไป ออกไป!” เหยาจี้ตัดบทถงลี่ โบกมือไล่ 

ผู้ดูแลถงก้มหน้างุด พลางก่นด่าตนเองในใจที่ยอมรับปากง่ายๆ เพราะเห็นแก่มิตรภาพ เห็นได้ชัดว่าหลี่หลิงเฟิ่งโกหกมดเท็จ

ถงลี่ลุกยืนคำนับ กำลังจะถอยร่นออกไป หวังซีพลันถามเสียงดัง “เจ้าบอกว่าเป็นแม่นางรึ”

“ขอรับ” ขาทั้งสองข้างยังสั่นด้วยหวาดกลัว เป็นครั้งแรกที่เขาโดนผู้อาวุโสหวังตวาด เขากลัวจนฉี่จะราดอยู่แล้ว

ช้าก่อน เขาไม่เคยเห็นหวังซีมีปฏิกิยากับสตรีนางใดมาก่อนในชีวิต ทำไมครั้งนี้ถึงดูสนใจนักเล่า

“ศิษย์พี่ หรือท่านมีแม่นางมาติดพันเสียแล้ว” เหยาจี้พลันลุกขึ้นยืน กระตือรือร้นขึ้นมาทันที

“เหลวไหล!” หวังซีหันตะเบ็งเสียงลั่น

“นาง...นางคือคุณหนูห้าจวนเจ้าเมืองหลี่ขอรับ” ถงลี่ตอบอย่างระมัดระวัง มือหยาบกร้านยกขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก

“หลี่หลิงเฟิ่งรึ” เหยาจี้เหลือบมองหวังซีด้วยใบหน้าแปลกประหลาด รสนิยมศิษย์พี่ออกจะพิลึกไปหน่อยกระมัง ตัวไร้ค่าแห่งแว่นแคว้น เขาย่อมรู้จักชื่อเสียงของนางมาบ้าง ไม่คาดคิดว่าสตรีของศิษย์พี่ร่วมสำนักจะเป็นหญิงไร้ค่าแห่งยุค

สีหน้าหวังซีพลันซีดเผือด เอ่ยตำหนิถงลี่ “ทำไมไม่บอกแต่แรก” สิ้นเสียงก็ไม่เห็นชายหนุ่มอยู่ในห้องแล้ว

บ้าหรือ เกิดให้นางมารรอนานแล้วหงุดหงิดขึ้นมา เขาไม่ต้องซวยไปหลายวันหรอกรึ

ถงลี่ตะลึงงันครู่หนึ่ง จากนั้นกุลีกุจอวิ่งตามออกไป ตะโกนเสียงดังไปทั่วทั้งชั้น “นางอยู่ชั้นสอง ห้องริมขวาสุดขอรับ!”

โธ่ ท่านรีบไป ข้าไม่ว่า แต่ท่านรู้หรือว่าแม่นางน้อยอยู่ที่ไหน

ถงลี่อยากจะร่ำไห้ เขารู้สึกเหมือนช่วงนี้สั่งสมบุญน้อยเกินไป ภายในไม่กี่ชั่วยามก็ทำเอาตาแก่อย่างเขาตกอกตกใจไปหลายรอบ

*เจ็ดชุ่น ประมาณ เจ็ดนิ้ว

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ชายาอสรพิษ   วิชามารสังเวยชีวิต

    หลี่หลิงเฟิ่งวาดแผนที่ จนกระทั่งร่างชายผอมเดินโซเซออกจากห้องเวรด้วยกลิ่นเหล้าติดตัว หลี่หลิงเฟิ่งย่อกายต่ำ ติดตามชายผอมไป ทิศทางของเขาไม่ใช่ที่พัก ชายผอมเดินลึกเข้าไปในค่าย ทางเดินที่ควรเป็นเขตร้างยามกลับสว่างจ้าจากแสงไฟ เมื่อเดินผ่านอาคารสามหลัง ทั่วบริเวณเริ่มไร้เสียงผู้คน มีเพียงลมเย็นพัดผนังดังฟืด ฟืด จนรู้สึกคล้ายเสียงครางแผ่วที่มองไม่เห็น ในที่สุด ชายผอมก็หยุดหน้าประตูไม้หลังหนึ่ง อาคารนี้ภายนอกเหมือนศาลาฝึกยุทธ์ธรรมดา แต่ผนังสั่นตลอดเวลาเขาผลักประตูก้าวเข้าไป หลี่หลิงเฟิ่งอาศัยจังหวะนั้นลอบเล็ดลอดเข้าตามอย่างแนบเนียนสิ่งที่เห็นทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง ภายในอาคารกว้างนี้มีผู้ฝึกกว่าห้าสิบคน นั่งเรียงเป็นแถวตั้งแต่ใกล้ประตูเรื่อยไปถึงแท่นหินใหญ่กลางห้องครืด ครืด ทุกคนนั่งหลับตา เร่งพลังจนเสียงดังออกมาจากกระดูก และสิ่งที่น่าตกใจคือ... ดวงตาสองข้างล้วนแดงฉาน!หลี่หลิงเฟิ่งเคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์กำลังบ่มเพาะมามาก แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อนเลยพลังที่พวกเขาดูดซับเข้าร่างไม่ใช่จากไอปรานตามธรรมชาติ แต

  • ชายาอสรพิษ   ท่าใหญ่ที่แปลกไป

    เสียงกรนเบาของพวกโจรในห้องเวรยังดังลอยมาเรื่อย ๆ หลี่หลิงเฟิ่งยังเคลื่อนตัวบนคานไม้หลีกเลี่ยงอย่างแนบเนียนที่สุด ก่อนจะหยุดห้องหนึ่งเริ่มวาดแผนที่ สักพักมีสองคนเข้ามานั่งดื่มเหล้าสนทนา นางวาดไปพลางแอบฟังไปพลาง“เจ้าว่าหัวหน้าสามคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่” เสียงชายผอมเอ่ยขึ้นหลังดื่มไปอีกอึก ความอยากรู้เริ่มสุมจนทนไม่ไหวหน้าบากหัวเราะหึในลำคอ “เจ้าเพิ่งมาใหม่ อยากรู้นักก็ฟังไว้ แต่เก็บลิ้นเจ้าให้ดี ไม่งั้นมีหวังโดนโบยจนหลังเปิด”ชายผอมรีบพยักหน้า “รับรองได้ ข้าไม่พูดให้ใครฟังหรอก”หน้าบากว่าต่อเสียงต่ำ “ในค่ายเราน่ะ มีหัวหน้าใหญ่สามคน”หลี่หลิงเฟิ่งขยับตัว ข้อมูลตรงกับสิ่งที่นางเดาไว้ไม่มีผิด“หัวหน้าใหญ่คนแรก คนเจอเขาน้อยจนนับนิ้วได้ กระทั่งข้าที่อยู่มานานยังไม่เคยเห็น ตอนนี้ลือว่ากำลังทำภารกิจอยู่ข้างนอก แต่อันที่จริงอยู่หรือไม่อยู่ในค่ายก็ไม่รู้ อีกอย่างคำสั่งหลักๆ ล้วนมาจากเขาทั้งนั้น”ชายผอมกลืนน้ำลาย “แล้วหัวหน้าคนที่สองกับคนที่สามล่ะ”หน้าบากส่ายหน้าเบา ๆ “พี่รองนิสัยร้อน อารมณ์ขึ้นง่าย ชอบแก้ปัญหาโผงผาง ช่วงก่อนยังเห็นอยู่ แต่พักหลังไม่รู้หายหัวไปไหน แต่น่าจะยังอยู่ในค่าย”หน้าบาก

  • ชายาอสรพิษ   สำรวจค่าย

    หลี่หลิงเฟิ่งหยุดยืนบนคานไม้สูง ด้านล่างเป็นลานกว้างมีเวรยามเดินตรวจเป็นช่วง ๆ“เราจะหนีตอนที่พวกมันยังไม่ทันรู้ตัวดีหรือไม่นะ” หลี่หลิงเฟิ่งคิดแวบหนึ่ง ก่อนส่ายหน้านางอุตส่าห์ลอบเข้ามาได้โดยไม่ถูกจับได้ นับว่าเป็นความโชคดีระดับสวรรค์เปิดทาง หากพลาดโอกาส ครั้งหน้าอยากจะกลับมาตรวจสอบอีก ก็เป็นไปไม่ได้แล้วหลี่หลิงเฟิ่งแตะปลายผ้าคลุมล่องหน ของวิเศษถ้าใช้อย่างถูกจังหวะ ประโยชน์ย่อมมหาศาล แต่ถ้าใช้ผิดเวลา คงกลายเป็นหลุมฝังศพตัวเองภายในชั่วเสี้ยวเดียวยามด้านล่างเหล่านั้น พลังมิได้แข็งแกร่งมาก ตราบใดที่นางซ่อนตัวแนบเนียน พวกนั้นไม่มีผู้ใดจับสัมผัสนางได้แน่มากสุด ก็เพียงผู้ฝึกขั้นสูงบางคนเท่านั้น แต่เท่าที่เห็นจากการสังเกตมาตลอดคืน ตอนนี้ยังไม่มีตัวตนอันตรายระดับนั้นผ่านเข้ามาในเขตหน้าเลยปลอดภัยพอสมควร แต่ไม่อาจประมาทหลี่หลิงเฟิ่งมองลานกว้างที่เรียงรายไปด้วยกระท่อมและอาคารหลายสิบหลัง เหยื่อหลายร้อยคนถูกขังไว้ภายในเหมือนฝูงปศุสัตว์รอวันเชือดผู้ฝึกยุทธ์ที่หายตัวไปในดินแดนช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ต้นตออยู่ที่น

  • ชายาอสรพิษ   ตีเนียนเข้าซ่องโจร

    เกร้ง เกร้งเขย่าไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม รถม้าก็หยุด เสียงลากโซ่ดัง แล้วประตูเหล็กก็ถูกเปิดออกหลี่หลิงเฟิ่งยังคงทำทีสลบ ปล่อยให้มือสากของสองคนลากนางลงจากรถม้าเหมือนหีบศพหลี่หลิงเฟิ่งยันกายลุกขึ้นเมื่อเสียงฝีเท้าเดินห่างออกไปเรื่อย ๆนางหายใจแผ่วเบา ก่อนจะเหลือบไปรอบด้าน แล้วหรี่ลงในห้องนี้ ไม่ได้มีแค่นางใต้แสงตะเกียงน้ำมันที่สว่างบ้างดับบ้าง คนยี่สิบกว่าร่างนั่งพิงกำแพงกระจัดกระจาย หลายคนมีโซ่ตรวนรัดข้อมือ ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะสลบไสล ที่สำคัญ ทั้งหมดไม่มีพลังยุทธ์เหลืออยู่แม้แต่น้อย“ยาสะกดพลัง” หลี่หลิงเฟิ่งพึมพำ ลอบถอนหายใจเย็นเหยื่อพวกนี้ไม่ได้มีเฉพาะในห้อง แต่จากที่ผ่านมา น่าจะมีห้องติดกับนางมากกว่ายี่สิบห้อง รวมกันแล้วเหยื่อเป็นร้อยแน่หลี่หลิงเฟิ่งกำหมัดแน่น ซ่องโจรนี่ ชั่วช้านักในจังหวะที่นางกำลังจะสำรวจต่อ สายตาสะดุดเข้ากับเงาร่างหนึ่งตรงมุมอับของห้อง ร่างผอมบาง ผมยุ่งเหยิง ร่างกายสั่นเป็นระยะ จมูกมีคราบยาขาวแห้งเกาะอยู่ ดวงตาเลื่อนลอยเหมือนจำใครไม่ได้ทั้งสิ้นหลี่เจี้ยน ขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรยาที่ถูกป้อนให้เขา ต้องไม่ธรรมดา ไม่เพียงสะกดพลังยุทธ์ แต่ยังทำให้สติพร่าเบลอ จิต

  • ชายาอสรพิษ   ลักพาตัว

    รอยแยกมิติปิดลงอย่างสมบูรณ์ แต่ความคลุ้มคลั่งของเขตระดับห้ายังสะท้อนก้องในหูหลี่หลิงเฟิ่งอยู่ นางมองไปรอบข้าง พบว่ากลับมายังที่เดิมใกล้รังมังกรดิน แต่อากาศเบื้องหน้าโปร่งใส สดชื่นกว่ามากนางยืนปรับลมหายใจครู่หนึ่ง ก่อนกลิ่นอันคุ้นเคยพุ่งเข้าหานางราวลูกศร“ “พี่สะใภ้!”เสียงมาก่อนตัว ร้อนรนจนคนทั้งคณะสะดุ้งถอยมองแทบพร้อมกัน โม่เจี้ยนหมิงพุ่งเข้ามา เสื้อตัวคลุมพลิ้วไหวตามแรงลม ดวงตาที่ปกติเรียบเฉยกลับสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัวในวินาทีแรก และโล่งอกในวินาทีถัดมาเขาหยุดตรงหน้านาง พรูลมหายใจหนัก สายตาคมกวาดสำรวจตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างไม่ละวาง“ไม่มีเลือด ไม่มีบาดแผล ไร้รอยขีดข่วน ดียิ่งนัก” พี่สะใภ้ยังอยู่ครบสามสิบสอง เขาก็ไม่ต้องกลัวถูกพี่รองถลกหนังภายภาคหน้าแล้ว“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งที่อยู่ด้านหลังกล่าวเสียงโล่งอกไม่ต่างกันหลี่หลิงเฟิ่งย่นคิ้วเล็กน้อย ก่อนสายตาจะเลื่อนไปพบใบหน้าเล็กของเด็กสาวคนหนึ่ง เป่ยฮวาซิน นางแทบกลั้นหายใจเมื่อเห็นโฉมหน้านางดวงตาเด็กสาวสว่า

  • ชายาอสรพิษ   กลับคืนถิ่น

    อสูรฝูงแรกถูกกำจัดในไม่ช้า เหลือเพียงลมหอบสะท้านของคนทั้งสองคณะ แต่แรงสั่นของพื้นยังดำเนินต่อ แถมหนักกว่าเดิมหลายเท่า ชัดเจนเหลือเกินว่าอีกฝูงกำลังพุ่งทะลุเข้ามาเป็นคลื่นที่สองใครบางคนกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยเสียงสั่น“มาอีกฝูงรึ”หลี่หลิงเฟิ่งหลุบตาลง เกรงว่าไม่ใช่แค่ฝูงเดียวนางเหลือบตามองเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง คราวนี้เขาหลบตาแทบไม่ทัน ความคิดหนึ่งแล่นในหัวหลี่หลิงเฟิ่งเจ้าหนู ดึงสัตว์อสูรมาซ้ำอีก คิดจะสังหารทุกคนที่นี่ทั้งหมดริมฝีปากนางยกยิ้มเหี้ยม จนคนมองหนาวถึงไขสันหลัง“ศิษย์พี่ ท่านว่าสัตว์อสูรพวกนี้แปลก ๆ หรือไม่” นางกระซิบ มีเพียงเยี่ยเหล่าโถวที่ยืนใกล้ที่สุดได้ยินเยี่ยเหล่าโถวเหลือบตามามอง กึ่งสงสัยกึ่งไม่แปลกใจเพราะเขารู้ดี ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ ไม่เคยกลัวปัญหา ทว่า ชอบหาเรื่องใส่ตัว ทุกที่ที่ไป“ไม่นี่ เจ้าพบสิ่งใดหรือ”ไม่ทันได้ตอบกลับ พื้นดินสั่นหนักขึ้นเรื่อย ๆ เงาอสูรตัวใหม่แลบออกจากหมอกมืดด้านหน้า เหมือนกำลังจะกลืนทั้งคณะลงในคราวเดียวส

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status