ใช้เวลาไปอีกสองวันในการปัดกวาดเศษซากของครอบครัวอื่นเกอซูลี่ช่วยงานในวัง ควบคุมมารดาสนมขององค์ชายทั้งสามให้อยู่ในกำมือสามวันต่อมา เสี่ยวถ่านขึ้นนั่งตำแหน่งองค์หญิงรัชทายาทได้สำเร็จ โดยถือเอาอาการป่วยร้ายแรงของกษัตริย์ทูเจวี๋ยเป็นเหตุผล ในการเริ่มใช้อำนาจที่แท้จริงของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินสิ่งแรกที่นางทำ ก็คือการล้างมลทินให้ราชินีทูเจวี๋ยและตระกูลกู่ลี่กองกำลังที่เหลือของสกุลเหยลวี่ทั้งหมดอยู่ในกำมือของเสี่ยวถ่าน นางทำตามความต้องการของกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง สนับสนุนหุ่นเชิดผู้นำตระกูลในสกุลเหยลวี่อำนาจของเมืองอูถ่านผ่านการปฏิรูปครั้งใหญ่ ในที่สุดตระกูลกู่ลี่ก็ได้เห็นแสงอรุณแห่งความหวังในพื้นที่เนรเทศ ทุกคนในครอบครัวกำลังร่วมเฉลิมฉลองทว่าในขณะนี้ ณ ประตูเมืองอันห่างไกลแห่งหนึ่งของเมืองอูถ่าน เสี่ยวถ่านกำลังบอกลากู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง “อาจารย์ พวกท่านอยู่ต่ออีกสักพักไม่ได้หรือ?”ดวงตาของเสี่ยวถ่านแดงก่ำตอนนี้กู้หว่านเยว่เป็นญาติคนสุดท้ายของนางแล้ว แม้ว่าตระกูลกู่ลี่จะเป็นสกุลมารดาของนางด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เหมือนกัน และนางก็ต้องระวังว่าตระกูลกู่ลี่จะเข้มแข็งเกรียงไกร
“ต่อไปก็ใช่ว่าจะไม่ได้พบกันอีก เมื่อเราพบกันอีกครั้ง ข้าจะต้องเรียนรู้จากพี่เยียนให้เต็มที่แน่นอน”หมัดของซูจิ่งสิงปะทะกับหมัดของเยียนสือซานอย่างไร้ความหมาย สองสามีภรรยาพลิกตัวขึ้นบนหลังม้า“พวกเรากำลังจะไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปส่งแล้ว”หลังจากกล่าวคำอำลา ทั้งสองก็ขี่ม้าไปด้วยกัน มุ่งหน้าตะบึงออกนอกเมือง ไม่นานก็หายลับไปกับท้องฟ้ายามราตรีอันกว้างไกล“หว่านเยว่ ข้าจะไปหาเจ้า”เยียนอวิ๋นชูวางมือไว้บนหัวใจ ทำให้เสี่ยวถ่านส่ายหัวอย่างจนปัญญา ชายอีกคนแล้วที่หลงใหลได้ปลื้มในตัวอาจารย์ของนาง“ไป เราเข้าไปในวังกันก่อนเถอะ”เสี่ยวถ่านหันหลังกลับโดยเอามือไพล่หลัง ในวังยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอให้นางไปจัดการ สำหรับกษัตริย์ทูเจวี๋ย นางแจ้งออกไปภายนอกว่ากษัตริย์ทูเจวี๋ยป่วยหนัก แต่ในความเป็นจริงได้กักบริเวณกษัตริย์ทูเจวี๋ยไว้ให้อีกฝ่ายสารภาพผิดกับป้ายวิญญาณของมารดาของนาง ทั้งวันทั้งคืนจนกว่าชีวิตจะหาไม่นี่ถือเป็นการลงโทษของนางต่อกษัตริย์ทูเจวี๋ย หวังว่าวิญญาณของมารดาในสวรรค์จะได้สู่สุคติ“นายท่าน ฮูหยิน!”ทางด้านนี้กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงเพิ่งออกมาจากเมือง องครักษ์จันทราและพวกก็ตามมาทัน
“ไป”เมื่อซูจิ่งสิงเห็นใบหน้าของกู้หว่านเยว่แดงไปหมดเพราะความหนาวเย็น ก็รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก รีบเร่งหาเมืองเล็ก ๆ สักแห่งเพื่อหลบลมและหิมะเมื่อทั้งสองมาถึงเมืองเล็ก ๆ ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เนื่องจากฟ้ามืดเร็ว ในเวลานี้แทบทุกบ้านเรือนล้วนปิดประตู บนถนนก็ไม่มีผู้คนสัญจรมากนัก“ซี้ด แม้แต่วิญญาณสักตนก็ไม่มี”จะเห็นได้ว่า เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ล้าหลังและยากจนมากทั้งสองค้นหาจนทั่ว ในที่สุดก็พบโรงเตี๊ยมที่สร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายแห่งหนึ่ง“ยังมีห้องว่างไหม?”ซูจิ่งสิงช่วยปัดหิมะออกจากตัวกู้หว่านเยว่ ทั้งสองก้าวเข้าไปสอบถามเจ้าของเป็นหญิงวัยกลางคน นางจ้องมองทั้งสองครู่หนึ่ง เผยความประหลาดใจออกมาในแววตา พลางบ่นพึมพำ“ทำไมช่วงนี้มีคนต่างถิ่นมากันมากมาย มุ่งหน้าไปยังภูเขาน้ำแข็งนิลกันสินะ”กู้หว่านเยว่แววตาระยิบระยับ“เถ้าแก่ ท่านบอกว่าช่วงนี้มีคนต่างถิ่นมากันมากมาย เกิดอะไรขึ้นหรือ?”“หลายวันนี้มากันสองสามระลอกแล้ว ไม่ใช่คนจากเมืองน้ำแข็งนิลของเราเลย”เจ้าของก็ถือว่าใจดีเช่นกัน อธิบายให้ทั้งสองฟัง“ได้ยินมาว่าช่วงก่อนหน้านี้มีนายพรานคนหนึ่งเข้าไปในภูเขาน้ำแข็งนิล ป
“ฮ่า ๆ พี่ชาย ดอกน้ำแข็งนิลนี้เป็นสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋าของข้า ข้าแนะนำให้ท่านรีบยอมแพ้ แล้วไสหัวออกไปโดยเร็ว”หญิงที่เป็นหัวหน้าถือแส้ยาวไว้ในมือ พูดจาด้วยสีหน้าจองหองกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงสบสายตากัน เมื่อเห็นเครื่องแต่งกายของหญิงผู้นั้น รวมถึงผู้คนที่ติดตามอีกฝ่ายอยู่ข้างหลัง แต่ละคนดูเหมือนจะมีวิทยายุทธ์“ตัวตนของคนผู้นี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา ท่านรู้ไหมว่านางเป็นใคร?”ซูจิ่งสิงครุ่นคิดสักครู่แล้วกระซิบว่า “เหมือนจะเป็นศิษย์ของสำนักวั่นจง”“เราลองดูไปก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลัง”“ก็ดี”กู้หว่านเยว่พยักหน้า เนื่องจากสองคนนี้ไม่ได้มาหาพวกเขา อาจจะได้ยินข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากปากของพวกเขาก็ได้ ดังนั้นสองสามีภรรยาจึงไม่เลือกที่จะเข้าไปรบกวน แต่เดินไปที่โต๊ะตัวหนึ่งเงียบ ๆ แล้วนั่งลง คอยดูละครสนุก ๆ อยู่ไกล ๆฝั่งตรงข้ามหญิงชุดแดงคือชายชุดน้ำเงินคนหนึ่ง สีหน้าของคนผู้นี้ดูไม่ค่อยสบาย ขมวดคิ้วมองไปยังหญิงชุดแดง“น้องหญิง เราเป็นคนครอบครัวเดียวกันอยู่แล้ว ใครพบเจอของสิ่งนี้ก็สามารถนำกลับไปให้อาจารย์ได้ เหตุใดต้องคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ด้วย?”น้ำเสียงของเขาอ่อนโยน แต่หญิงชุดแดงระเ
เหิงสุยสุ่ยคว้าแส้ยาวขึ้นมา พันหางแส้รอบถ้วยชา แล้วโยนใส่ตัวเหิงเทียนอวี้“น้องหญิง อย่าก่อเรื่องวุ่นวาย”เหิงเทียนอวี้มองดูด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายแต่เขาก้าวไปทางซ้ายโดยไม่ได้สนใจ หลบหลีกถ้วยชาใบนั้นได้อย่างคาดไม่ถึง“ทักษะการต่อสู้ของคนผู้นี้ไม่กระจอกเลย”กู้หว่านเยว่กระซิบกับซูจิ่งสิง ลมหายใจอุ่น ๆ ทำให้ใบหูของเขาจักจี้เล็กน้อยเนื่องจากในเวลานี้พวกเขากำลังยืนดูอยู่ข้างหลังเหิงเทียนอวี้อย่างเมามันเหิงเทียนอวี้หลีกออกไปทางด้านหนึ่ง ถ้วยชาใบนั้นจึงพุ่งเข้ามาหาสองสามีภรรยาเป็นเรื่องปกติ“น้องหญิง เจ้าทำให้ผู้บริสุทธิ์โดนลูกหลงแล้ว!”ใบหน้าของเหิงเทียนอวี้ซีดเผือด ในขณะที่เหิงสุยสุ่ยมีสีหน้าเฉยเมยนางไม่เคยเห็นความเป็นความตายของคนรอบข้างอยู่ในสายตาขณะที่ซูจิ่งสิงกำลังคิดว่าถ้วยชาจะกระแทกตัวทั้งสอง เขาก็โอบเอวของกู้หว่านเยว่ พร้อมกับกระแทกฝ่ามือออกไปพลังฝ่ามือที่แข็งแกร่งกระแทกถ้วยชาให้กระเด็นกลับไปทันที“โอ๊ย!”เหิงสุยสุ่ยสะดุ้งโหยง ชักแส้ยาวไปทางถ้วยชาโดยสัญชาตญาณ แต่กำลังภายในที่อยู่ในถ้วยชานั้นกลับมีมหาศาล สั่นสะเทือนแส้จนหลุดออกจากมือ“ช่วยด้วย!”ถ้วยชากระแทกไหล่ของ
ตราบใดที่โรงเตี๊ยมไม่พังทลาย ก็ไม่เป็นไร“ข้าว่าหากพวกท่านต้องการตีกัน ก็ออกไปตีกันข้างนอก”เจ้าของเอ่ยเตือน เห็นว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วย“เถ้าแก่ไม่ต้องกังวล จะไม่ทำให้ข้าวของของพวกท่านเสียหายหรอก”กู้หว่านเยว่ยิ้มแย้มแจ่มใส กวัดแกว่งแส้ยาว พันรอบตัวเหิงสุยสุ่ยไว้ แล้วโยนนางออกจากโรงเตี๊ยมเสียเลย“โอ๊ย!”เหิงสุยสุ่ยตกลงไปบนพื้นหิมะ ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาถ้าไม่ใช่เพราะหิมะด้านนอกหนาพอสมควร ตอนนี้นางคงร่วงกระแทกตายไปแล้ว“อย่าฆ่าข้าเลย”เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่ตามติดออกมา ในที่สุดนางก็รู้สึกกลัว“พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร? ข้าเป็นศิษย์น้องเล็กที่เป็นที่รักของสำนักวั่นจง ถ้าพวกเจ้าสังหารข้า อาจารย์ของข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”เหิงสุยสุ่ยตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่นองครักษ์ที่ตามหลังนางมา รีบเข้ามาขัดขวางกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงแม้ว่าคนเหล่านี้จะไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของทั้งสองคน แต่การพัวพันของพวกเขาก็ทำให้เหิงสุยสุ่ยมีโอกาสหลบหนีได้เห็นเพียงเหิงสุยสุ่ยยันกายลุกขึ้น แล้ววิ่งหนีออกไปข้างนอกราวกับเหาะเหิน“คิดจะหนีหรือ? ฝันไปเถอะ”กู้หว่านเยว่วางแผนที่จะไล่ตามให้ทัน แต
หิมะบนยอดเขาถล่มลงมาสักพักก่อนจะหยุดลงหลังจากที่หิมะถล่มหยุดลง พื้นดินใต้เท้าของพวกเขาก็หยุดสั่นไหวเช่นกัน“ไป ๆ ๆ เข้าไปในโรงเตี๊ยมกันเถอะ อย่ามัวตากลมหนาวอยู่ข้างนอกเลย”เจ้าของโบกมือ กู้หว่านเยว่อยู่ข้างนอกก็รู้สึกหนาวเย็นเช่นกัน จึงรีบจูงมือซูจิ่งสิงเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยกัน“ท่านทั้งสอง!”แววตาของเหิงเทียนอวี้ระยิบระยับเล็กน้อย ก้าวไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน“ท่านทั้งสองดูไม่เหมือนชาวเมืองน้ำแข็งนิลเลย พวกท่านก็มาจากต่างถิ่น เพื่อตามหาดอกน้ำแข็งนิลเช่นกันหรือ?”เขาไม่อ้อมค้อม รอยยิ้มอันอ่อนโยนที่เผยขึ้นมาบนใบหน้าขณะที่กำลังพูดคุยกันนั้น เห็นแล้วรู้สึกผ่อนคลายทีเดียวทว่าเนื่องจากพวกเขามาตามหาดอกน้ำแข็งนิล ก็ถือได้ว่ามีความเป็นปฏิปักษ์ ดังนั้นกู้หว่านเยว่จึงไม่ได้สนใจเขาในทันทีเหิงเทียนอวี้สองสามีภรรยามองเขาอย่างเย็นชา เผยให้เห็นรอยยิ้มเจื่อน ๆ“ทั้งสองท่านอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้หมายความอย่างอื่น”เขาเอ่ยเสียงเบา“หากทั้งสองท่านกำลังมองหาดอกน้ำแข็งนิล บางทีพวกเราอาจร่วมมือกันได้ข้าต้องการเพียงกลีบดอกน้ำแข็งนิลครึ่งเดียว ส่วนที่เหลือเป็นของพวกท่าน”กู้หว่านเยว่มองเขาด้วย
“ชายหญิงคู่นั้นมีวิทยายุทธ์หรือไม่ หน้าตาเป็นอย่างไร?”“ฝ่ายชายดูอ่อนแอมาก ไอแคก ๆ ไม่หยุด ฝ่ายหญิงดูมีอายุประมาณสิบห้าปี หน้าตาร่าเริง คอยาวมาก”ดวงตาของเหิงเทียนอวี้เป็นประกาย“อ้อ ใช่แล้ว ข้าดูเหมือนจะได้ยินชายผู้นั้นเรียกนางว่านังหนูจิ่น”นังหนูจิ่น! จิ่นเอ๋อร์!แม้ว่าสีหน้าของกู้หว่านเยว่จะยังไร้อารมณ์ใด ๆ แต่ในใจลึก ๆ กลับตื่นเต้นเป็นที่สุดได้มาโดยไม่เสียแรงใด ๆ ไม่นึกว่าพวกเขาจะได้ข่าวของซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงในเมืองน้ำแข็งนิลแม้ว่าจะไม่สามารถระบุตัวตนของชายผมขาวได้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำร้ายซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิง คงไม่ใช่คนเลวอะไร“ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน?”กู้หว่านเยว่รีบถาม แววตาของเหิงเทียนอวี้วิบวับเล็กน้อย ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล“ดูเหมือนฮูหยินจะสนใจพวกเขาเป็นพิเศษ?”กู้หว่านเยว่ถอนหายใจอย่างเย็นชา“ฟังจากคำอธิบายของท่าน เด็กชายวิทยายุทธ์แก่กล้าของพวกเขาเข้ามาในภูเขาน้ำแข็งนิล จะไม่แย่งชิงดอกน้ำแข็งนิลกับข้า”นางแสร้งทำเป็นว่ามีแววโหดร้ายแวบขึ้นในดวงตา“แทนที่เมื่อถึงเวลานั้น ทั้งสองฝ่ายจะต้องแย่งชิงกัน สู้จัดการพวกเขาในเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้