“ข้ารู้แล้ว ขอบคุณเจ้าที่ยอมเล่าให้พวกเราฟัง”กู้หว่านเยว่มองเจียงม่านมากอีกทีหนึ่ง กลับไม่ดูเบาเพียงเพราะนางเป็นสตรีในโลกีย์“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เล่าความจริงให้พวกท่านฟัง นั่นเพราะข้าไม่สามารถแยกออกว่าพวกท่านเป็นมิตรหรือศัตรูกังวลพูดฐานะของคุณชายฮั่วออกไป จะนำมาซึ่งหายนะ”เจียงม่านคำนับกู้หว่านเยว่“ล่วงเกินไปที่ใด หวังว่าแม่นางจะให้อภัย”บัดนี้ได้เห็นกู้หว่านเยว่ออกมือช่วยเหลือฮั่วจี๋ด้วยตนเอง นางก็คือผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตฮั่วจี๋ปัดเศษดูแล้ว ภายภาคหน้าก็เป็นผู้มีบุญคุณของเจียงม่านนางเฉกเดียวกัน“ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนี้”กู้หว่านเยว่ยื่นอาหารแห้งให้นาง“ยังไม่ได้กินข้าวกระมัง รองท้องก่อนเถอะ”เจียงม่านเลียริมฝีปาก นับตั้งแต่หนีออกจากเมืองเหยา เพื่อป้องกันถูกคนพบเห็น นางเองก็ไม่กล้าพาฮั่วจี๋ไปยังที่ที่มีคนมากนางไม่กล้าไปแม้แต่โรงน้ำชาเพื่อจิบชา กลัวถูกคนรู้ฐานะนางไม่ได้กินข้าวมาสองวันแล้ว ได้เห็นอาหารแห้งตาก็ลุกวาว รีบรับอาหารแห้งไปด้วยสองมือ ขอบคุณกู้หว่านเยว่นับพันนับหมื่นครั้งทุกคนเดินไปราวระยะหนึ่ง ฮั่วจี๋ก็ฟื้นขึ้นมาหลังเขาฟื้นแล้ว หนานหยางอ๋องก็แสดงตัว พูดคุย
ฮั่วจี๋รู้สึกแค้นเคืองภายในใจเพียงเขาหลับตาลงหนึ่งข้าง เบื้องหน้าก็ปรากฏภาพศีรษะของบิดาและพี่ชายถูกห้อยอยู่หน้าประตูเมืองหากมิใช่เพราะฮ่องเต้ชั่วตัดสินใจผิดพลาด ไฉนเลยสกุลฮั่วของเขาจะตกลำบากมาถึงขั้นนี้ได้?“ก่อนกองโจรโจมตียึดครองเมืองสองสามวัน ท่านพ่อและพี่ชายได้รับข่าวมาแล้ว ตั้งใจเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ ขอความเมตตาจากฝ่าบาทเคลื่อนย้ายกำลังพลจากคูเมืองละแวกใกล้เคียงมาเพียงน่าเสียดาย ฝ่าบาทไม่สนใจพวกเราเลยแม้แต่น้อย”ฮั่วจี๋ย้อนนึกถึงความทรงจำทีละน้อย ภายในสายตาเปี่ยมไอแค้น“บิดาและพี่ชายไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงย้ายข้าออกมาก่อนเป็นอันดับแรก”ที่แท้ฮั่วจี๋ไปเลือกกำลังพลในวันนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่สกุลฮั่วสังเกตเห็นความผิดปกติตั้งแต่แรก ตั้งใจส่งเขาออกไป“ข้าไม่เต็มใจจากไป ท่านพ่อและท่านพี่สั่งให้คนตีข้าจนหมดสติตอนข้าฟื้นขึ้นมา ทั้งหมดก็สายไปแล้ว”อาจเพราะคนของสกุลฮั่วรู้ว่าไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้อีก ดังนั้นจึงต้องการเก็บสายเลือดสุดท้ายไว้ นี่ถึงส่งฮั่วจี๋ออกไป“หลานชาย”หนานหยางอ๋องถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ไม่รู้สมควรปลอบเยี่ยงไรนึกถึงตอนแรก เขาและเหล่าฮั่วสองคนต่อสู้เ
“พี่น้องสกุลฮั่ว เจ้าไม่เป็นไรนะ?” กู้หว่านเยว่เดินมาตรงหน้าฮั่วจี๋ แต่อีกฝ่ายยังอยู่บนหลังของหวังปี้ ไม่มีแรงลงมา“คารวะพระชายา”ฮั่วจี๋ใช้หางตาเหลือบมองกู้หว่านเยว่แวบหนึ่งท้องฟ้ามืดสลัว เขาเองก็มองไม่ชัดว่าหน้าตากู้หว่านเยว่เป็นอย่างไรแต่ว่าเขาเพิ่งเคยเห็นหญิงสาวลอบโจมตีสนามรบพร้อมกองทัพยามวิกาลเป็นครั้งแรก ในใจจึงรู้สึกนับถือมาก คำพูดที่พูดกับกู้หว่านเยว่จึงเคารพมาก“พระชายาโปรดอภัย ข้าน้อยไม่อาจลงไปคารวะด้วยตัวเอง”“แค่พิธีเท่านั้น รักษาตัวสำคัญกว่า”กู้หว่านเยว่เป็นคนในยุคปัจจุบัน จึงไม่ใส่ใจพิธีรีตองมากนักอีกอย่างพวกนางกำลังเร่งเดินทาง ไม่จำเป็นต้องให้ฮั่วจี๋ลงจากหลังหวังปี้ เพียงเพื่อทำความเคารพเท่านั้นฮั่วจี๋คุยกับกู้หว่านเยว่เพียงไม่กี่คำ พลันหลับตาลงอย่างอึดอัดบิดาและพี่ชายเพิ่งเสียชีวิต ประชาชนชาวเมืองเหยาตกอยู่ในอันตราย เขาเป็นแม่ทัพน้อยแห่งเมืองเหยา จึงไม่มีแก่ใจพูดคุยกับใครเมื่อนึกถึงกลุ่มโจรเหล่านั้นในเมืองเหยา ที่เข้ามาปล้นชิงฉุดคร่าทำให้หมัดของฮั่วจี๋ กำแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิมเขาโกรธมาก!สกุลฮั่วเฝ้ารักษาเมืองเหยามาตลอดชีวิตราษฎรเมืองเหยาคือครอบ
เขาโกรธจนกำหมัดแน่นเพื่อให้ทหารระบายความแค้น ก่อนและหลังโจมตีเมือง บางกองทัพจะฆ่าล้างบางชาวบ้านหนึ่งเพื่อข่มขวัญผู้คนที่อยู่ในเมืองสองเพื่อให้เหล่าทหารผ่อนคลายเพียงแต่หนางหยางอ๋องและซูจิ่งสิงปกครองอย่างเข้มงวด ไม่เคยปล่อยให้เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น“พวกเราไปก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ทนดูไม่ได้อีกต่อไป จึงเก็บสายตากลับมาเงียบๆตั้งแต่โบราณผู้ที่ทุกข์ร้อนในศึกสงครามก็คือชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ขณะที่ทั้งสองเตรียมจากไป จู่ๆ ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังแผ่วเบามาจากถนนสายเล็กด้านข้าง“ทางนั้นเหมือนจะมีคน”หวังปี้รีบหันมองทันที“ไป พวกเราไปดูสักหน่อย” กู้หว่านเยว่ลากหวังปี้เข้าไปตรวจดูด้วยกัน ปรากฏว่าเห็นคนสองคนล้มอยู่ในพงหญ้าบนตัวทั้งสองคนเต็มไปด้วยเลือด บนตัวมีบาดแผลจากดาบไม่น้อย“น้องเล็ก ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขาน่าจะเป็นคนของสำนักคุ้มภัย”หวังปี้เปลี่ยนสรรพนามอย่างระวัง กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดินไปหาคนที่ขอความช่วยเหลือนางรู้สึกว่าเสียงของคนผู้นี้คุ้นหูอยู่บ้างพอดีกับที่ชายผู้นั้นเห็นว่ามีคนเข้ามา จึงรีบมองไปทางพวกกู้หว่านเยว่เมื่อทั้งสองสบตากัน ต่างชะงักไปทันใด กู้หว่าน
ไม่ว่าเขาจะเรียกร้องอย่างไร หัวหน้าสำนักคุ้มภัยหวังก็เหมือนคนนอนหลับ ไม่มีการตอบสนองสักนิด“จางเอ้อร์ หักห้ามใจเถอะ”หวังปี้ถอนหายใจ พร้อมเอ่ยเตือนเขาเข้าใจอาการคลุ้มคลั่งในยามนี้ของจางเอ้อร์ดี เพียงแต่ คนตายไม่อาจฟื้นคืน“ข้าผิดคำพูดแล้ว”ในใจจางเอ้อร์เสียใจอย่างที่สุดเขาเคยรับปากหัวหน้าสำนักคุ้มภัยหวังว่าจะช่วยเขา“ข้าจะทำแผลให้ท่านก่อน”กู้หว่านเยว่นำขวดยาและผ้าพันแผลที่ติดตัวมา ทำแผลให้จางเอ้อร์“ขอบคุณแม่นางกู้”จางเอ้อร์น้ำตาร่วงต่อให้ในใจจะเสียใจเพียงใด เขาก็รู้ว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงบาดแผลบนตัวจางเอ้อร์ค่อนข้างลึก กู้หว่านเยว่ทำแผลได้เพียงเบื้องต้น เพื่อไม่ให้บาดแผลอักเสบ“ท่านลุกขึ้นยืนได้หรือไม่?”หลังทำแผลเสร็จ กู้หว่านเยว่สอบถามนางและหวังปี้ต้องเข้าไปสืบข่าวในเมืองเหยา จึงดูแลจางเอ้อร์เป็นเวลานานไม่ได้“ข้า ข้าพอยืนได้”หลังกินยาของกู้หว่านเยว่เข้าไป เรี่ยวแรงของจางเอ้อร์ฟื้นฟูขึ้นมาบ้าง“ยืนได้ก็ดีแล้ว ใช่สิ สำนักคุ้มภัยของพวกท่านพบเจอเรื่องใดหรือ ถึงได้ล้มตายกันหมดเช่นนี้?”กู้หว่านเยว่สอบถาม เมื่อครู่ระหว่างทำแผลให้จางเอ้อร์ นางมองสำรวจโดยรอบพ
แต่นึกไม่ถึงว่าทำดีไม่ได้ดี ความเมตตานี้กลับถูกคนชั่วหลอกใช้หลังจากเอ้อร์คำนับเสร็จ ก็ยันตัวลุกขึ้นยืนกู้หว่านเยว่ตรวจดูอาการของเขาสักครู่“ข้ากับแม่ทัพหวังยังมีธุระต่อ เกรงว่าคงอยู่ดูแลเจ้าที่นี่ไม่ได้ ที่นี่มีเงินถึงหนึ่ง เจ้ารับไป แล้วหาที่รักษาตัวเถอะ”กู้หว่านเยว่นำก้อนเงินเล็กถุงหนึ่งยื่นให้จางเอ้อร์จางเอ้อร์เห็นถุงก้อนเงินเล็กขอบตาแดงไปหมด มองกู้หว่านเยว่ด้วยสายตาตื้นตันในยามนั้นการทำดีตอนเนรเทศ วันนี้ถือว่ามีส่วนช่วยเขาอย่างใหญ่หลวง“แม่นางกู้”แต่ว่าเขาไม่ได้ยื่นมือไปรับถุงก้อนเงินเล็กมา“พวกท่านจะไปเมืองเหยาหรือ?”กู้หว่านเยว่สบตากับหวังปี้แวบหนึ่ง เนื่องจากจางเอ้อร์ไม่ใช่คนเลว ดังนั้นทั้งสองจึงไม่ปิดบัง แต่ว่าทัพใหญ่ของหนางหยางอ๋องตั้งค่ายอยู่ในภูเขาเหยา ทั้งสองไม่ได้เปิดเผยให้รู้“ถูกต้อง พวกเราสองคนต้องไปทำธุระในเมืองเหยา”“พาข้าไปด้วยได้หรือไม่?” จางเอ้อร์ถามหยั่งเชิงคราวนี้กู้หว่านเยว่ไม่ลังเล ส่ายหน้าทันที“ท่านคงยังไม่รู้สถานการณ์ในเมืองเหยา เมืองเหยาถูกพวกโจรโจมตีแล้ว ตอนนี้พวกโจรกำลังฆ่าคนไปทั่วเมือง คนทั่วไปเมื่อเข้าไปก็จะไม่ได้ออกมาอีกอีกอย่าง
ก่อนจากมา กู้หว่านเยว่ยัดเงินใส่มือของจางเอ้อร์“ตอนนี้อยู่ข้างนอก อีกทั้งท่านยังบาดเจ็บ มีเงินอยู่กับตัวดีกว่าไม่ดี รับไว้เถอะ”“แม่นางกู้ บรรพบุรุษของข้าจางเอ้อร์ทำบุญด้วยอะไร ถึงได้มารู้จักกับท่าน”จางเอ้อร์ชั่งน้ำหนักเงินที่อยู่ในมือซึ่งน้ำหนักค่อนข้างมาก น้ำเสียงสะอื้น แล้วมองทั้งสองจากไป“พระชายา เหลือเวลาไม่มากแล้ว พวกเรารีบไปเมืองเหยากันเถอะ”หวังปี้เอ่ยเตือน ในไม่ช้าทั้งสองคนมาถึงนอกเมืองเหยาขณะนี้ภายในเมืองเหยาเงียบสงัดบนถนนเต็มไปด้วยศพที่นอนเกลื่อนกลาด ในอากาศกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง เลือดไหลมาบรรจบกันดุจแม่น้ำสายเล็กแล้วไหลลงสู่คูเมือง จนทำให้แม่น้ำกลายเป็นสีแดงฉานร้านรวงสองข้างทางถูกปล้นจนว่างเปล่า ถูกทำลายบ้าง ถูกเผาบ้างภายในจวนเจ้าเมือง มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง กอดกันร้องไห้ส่วนมากพวกนางเป็นหญิงชาวบ้านในเมืองถูกโจรจับมาไว้ในจวน เพื่อให้พวกมันย่ำยี“ข้าอยากกลับบ้าน...”“ท่านพ่อท่านแม่ตายแล้ว พี่น้องก็ตายหมดแล้ว”“พวกเรายังมีบ้านหรือ?”“ไม่มี ไม่มีบ้านแล้ว ไม่มีบ้านอีกต่อไปแล้ว...”จากนั้นเสียงร้องไห้ดังขึ้นระงมขณะนี้ นอกประตูมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามากะทันหันแ
เดิมทีหญิงสาวนึกว่าตัวเองจะได้รับการช่วยเหลือ แต่ไม่คิดว่ากลับเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน“เจ้า”สวีซื่อฉวนอยากก้าวไปข้างหน้า แต่ถูกคนของถูเอ้อร์ขวางไว้“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”คนข้างหลังเขาก็ร้อนใจเช่นกัน เมื่อเห็นว่ากำลังจะตีกับถูเอ้อร์ จู่ๆ สวีซื่อฉวนเอ่ยขึ้น “ถอยให้หมด พวกเราไป”“หัวหน้ารอง...” หลายคนไม่พอใจ“ไป”สวีซื่อฉวนหันมองใบหน้าคนชั่วได้ใจของถูเอ้อร์แวบหนึ่ง แล้วกำหมัดแน่น พาคนของตัวเองจากไปอย่างเงียบเชียบ“ถุย คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้ารองจริงๆ หรือ”ถูเอ้อร์ถุยน้ำลายใส่แผ่นหลังเขาที่จากไป แล้วลากหญิงสาวที่เหลือออกไปหลังจากพวกเขาไปหมดแล้ว บนหลังคามีคนกระโดดลงมาสองคนซึ่งก็คือกู้หว่านเยว่กับหวังปี้ที่ดูอยู่เมื่อครู่“ดูท่าภายในของโจรพวกนี้ ก็ไม่ได้สามัคคีกันมากนัก”หวังปี้กล่าวพร้อมถอนหายใจ“ก่อนหน้านี้ทุกคนอยู่บนเขา เรียกท่านพี่ใหญ่ เรียกข้าพี่รอง เรียกขานกันดุจพี่น้องตอนนี้ยึดเมืองเหยาได้แล้ว จึงคิดอยากเป็นใหญ่ จะยอมแบ่งอำนาจได้หรือ”หวังปี้บ่นพร้อมส่ายหน้า กู้หว่านเยว่เพียงเม้มปากยิ้ม“นี่ก็พอดีเลยไม่ใช่หรือ จะได้ยุยงให้พวกเขาแตกคอกัน”นางดึงหวังปี้ “ไป พวกเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้