“หนานหลีม่าน?”กู้หว่านเยว่เบิกตาโต รีบพุ่งเข้ามาตรงประตู แล้วถีบประตูออก เมื่อนางเห็นสภาพด้านใน ดวงตานางเพ่งมอง จากนั้นหันไปตะโกนบอกซูจิ่งสิง“ท่านพี่ ท่านอย่าเข้ามา!”ซูจิ่งสิงหดขากลับไป ฟังคำสั่งของกู้หว่านเยว่ ไม่ได้เดินไปข้างหน้าต่อแต่เขาได้กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งออกมาจากในห้องแล้วเขาคาดเดาถึงบางอย่าง เดินวนไปมาในลานบ้านด้วยสีหน้าหนักหน่วง“หนานหลีม่าน เจ้า เจ้าทำเช่นนี้ทำไม?”กู้หว่านเยว่ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว ดึงตัวหนานหลีม่านที่จมอยู่ในกองเลือดขึ้นมาช่วงล่างของนางเต็มไปด้วยเลือดนางถึงกับทำคลอดให้ตัวเอง!“ข้า หน้าที่ของข้าเสร็จสิ้นแล้ว”หนานหลีม่านหายใจอย่างอิดโรย ดวงตาจ้องมองหลังคา“นี่ นี่เป็นมารหัวขนของมู่หรงถิง ข้าเก็บไว้ไม่ได้เด็ดขาด”กู้หว่านเยว่เงียบงัน“พระชายา เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าทำได้แล้ว มู่หรงถิงรักข้ามาก เจ้า เจ้านำเด็กในอ่างเลือดไปมอบให้เขา เขาจะรับปากเจ้าแน่นอนและขอร้องเจ้า ให้รับปากข้าเรื่องหนึ่ง”กู้หว่านเยว่ไม่อาจปฏิเสธนางได้ “เจ้าว่ามา”“เสี่ยวเหอ เป็นนางกำนัลที่ข้ารับมาเลี้ยงดู นาง นางเป็นผู้บริสุทธิ์”“คุณหนู” เสี่ยวเหอคุกเข่าบนพื้น
“ซูจิ่งสิงเอ๋ยซูจิ่งสิง เจ้าบอกว่าตัวเองเป็นคนดี เป็นแบบอย่างของคนมีคุณธรรมไม่ใช่หรือ ลงมือกับสตรีเป็นวีรบุรุษประสาอะไร?”เขาพยายามอดกลั้นความห่วงใยที่มีต่อหนานหลีม่าน ไม่อยากถูกทั้งสองควบคุม“ท่านลองดูสิว่านี่คือสิ่งใด?”กู้หว่านเยว่โบกมือ สั่งให้ชิงเหลียนยกอ่างเลือดใบนั้นเข้ามา“นี่มัน”มู่หรงถิงนึกถึงบางอย่าง สองมือสั่นเทาขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นทันใด ดวงตาแดงก่ำมองไปที่สองสามีภรรยา“เราจะฆ่าพวกเจ้า!”“เราจะฆ่าพวกเจ้า!”“น้องหญิงระวัง” ซูจิ่งสิงรีบโอบเอวของกู้หว่านเยว่ แล้วพานางเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างมู่หรงถิงโผเข้าหาความว่างเปล่า ล้มลงบนพื้นอย่างแรงสายตากินเลือดกินเนื้อของเขาจ้องมองทั้งสอง“พวกเจ้าสองคนมันสารเลว มีความโกรธแค้นชิงชังใด ให้มาลงที่ข้า เหตุใดจึงลงมือกับนาง จิตใจช่างอำมหิตยิ่งนัก!”เขารู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในอ่างเลือดใบนั้นคือสิ่งใดเขาเกลียดชังสุดขีดไม่เคยเกลียดซูจิ่สิงเท่าวินาทีนี้มาก่อน“เจ้าเป็นคนดีวีรุบุรุษประสาอะไร ถึงได้ลงมือกับสตรี?”ซูจิ่งสิงมองเขาคลุ้มคลั่งอย่างเย็นชา“ตอนนั้นที่เจ้าลงมือกับมารดาของข้า เคยคิดบ้างหรือไม่ว่านางคือหญิงท้อง และในท้องน
“พวกเจ้าได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว”“ปล่อยนางซะ”กู้หว่านเยว่เก็บหนังสือรับสารภาพความผิดไว้ แล้วมองมู่หรงถิง “นางตายแล้ว”“อะไรนะ?”มู่หรงถิงเบิกตากว้าง ราวกับยามนี้เพิ่งรู้สึกตัว มองทั้งสองคนอย่างโกรธแค้นมาก“พวกเจ้ากล้าหลอกลวงเราหรือ?”“พวกเจ้าสังหารนางแล้ว แต่กลับหลอกให้เราเขียนหนังสือรับสารภาพความผิดซูจิ่งสิง กู้หว่านเยว่ ทำไมบนโลกนี้ถึงได้มีคนที่เลวทรามต่ำช้าอย่างพวกเจ้า?นางเป็นเพียงสตรีคนหนึ่งเท่านั้น นางคือผู้บริสุทธิ์”เขาราวกับคนเสียสติ ควบคุมยากยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีกกู้หว่านเยว่มองเขา “หนานหลีม่านเป็นผู้บริสุทธิ์จริง คนในสกุลหนานหลีก็บริสุทธิ์เช่นกัน”มู่หรงถิงชะงักไปเล็กน้อย“บอกความจริงกับท่านก็ได้ พวกเราไม่ได้ฆ่านางและเด็กคนนี้ และพวกเราไม่ได้นำเด็กออกจากท้องนาง แต่นางเป็นคนเอาเด็กออกมาด้วยตัวเอง”กู้หว่านเยว่เดินไปตรงหน้ามู่หรงถิง แล้วบอกความจริงกับเขาทีละคำ“ไม่ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”มู่หรงถิงไม่มีทางยอมรับได้ จึงจ้องกู้หว่านเยว่อย่างเคียดแค้น“นี่ต้องเป็นคำโกหกของเจ้า เจ้าฆ่านางแต่ไม่กล้ายอมรับ ดังนั้นจึงใช้คำโกหกเหล่านี้มาปิดบัง”“นางอยู่
ไม่นานซูจิ่งสิงพาโจวเหล่ามาด้วย“พระชายา หนังสือรับสารภาพความผิดล่ะ” โจวเหล่าถามอย่างรีบร้อนกู้หว่านเยว่หยิบหนังสือรับสารภาพความผิดออกมา ยื่นให้โจวเหล่า “อยู่นี่”โจวเหล่าอ่านอย่างละเอียด น้ำตาคลอเบ้าพยักหน้า “ดี ดี ในที่สุดการตายของอดีตรัชทายาทก็กระจ่างสักที”ตอนนั้นอดีตรัชทายาทและพระชายารัชทายาทเดินทางลงใต้ มู่หรงถิงจ้างวานโจรสลัด ให้พวกเขาลอบโจมตีเรือของอดีตรัชทายาทอีกทั้งยังติดสินบนขุนนางในท้องที่ ทำให้การช่วยเหลือล่าช้าสุดท้าย ทำให้อดีตรัชทายาทและพระชายารัชทายาทต้องตายในแม่น้ำที่เย็นเยือก“โจวเหล่า” ซูจิ่งสิงอารมณ์อ่อนไหวโจวเหล่าเงยหน้ามองทั้งสองคน “ท่านอ๋อง พระชายา ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือต้องประกาศให้ใต้หล้ารับรู้หนังสือรับสารภาพความผิด ให้ราษฎรทั่วหล้ารับรู้ถึงความชั่วของฮ่องเต้”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเข้ม “ข้าจะสั่งคนไปจัดการเดี๋ยวนี้”เหมือนกับหนังสือรับสารภาพความผิดของหลี่กวงถิงในตอนนั้น หนังสือรับสารภาพความผิดของมู่หรงถิงถูกส่งไปที่ต่างๆ ทั่วแผ่นดินชั่วขณะนั้น ราชสำนักสั่นคลอน“ฝ่าบาทถูกจับแล้ว!”“ที่แท้รัชทายาทองค์ก่อน ตายด้วยน้ำมือฝ่าบาทหรือ”“อดีตฮ่องเต้
“เหลียงถงอวี้งดงามจนล่มเมือง อยากเห็นสักครั้งให้เป็นบุญตา” ทหารอีกคนกล่าวด้วยสีหน้าคาดหวังพอคำพูดหลุดจากปาก หัวก็ถูกคนเขกอย่างแรง“ไม่อยากอยู่แล้วหรือเจ้า เจ้านึกว่าเจ้าเป็นแม่ทัพหรือ ท่านอ๋องของพวกเราเคยมีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามเข้าเมืองไปเสพโลกีย์ เจ้ายังกล้าไปหรือ!”“แม่ทัพฟู่ไปได้ ทำไมพวกเราจะไปบ้างไม่ได้?” ทหารไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด“เขาเป็นใครแล้วเจ้าเป็นใคร? หยุด หยุด หยุด เลิกพูดได้แล้ว ระวังใครได้ยินเข้าจะเอาชีวิตน้อยๆ ของเจ้า!”หางตาของทั้งสองเห็นกู้หว่านเยว่พาชิงเหลียนเดินมา จึงรีบหุบปากกู้หว่านเยว่มองพวกเขาแวบหนึ่ง แล้วเดินผ่านทั้งสองคนไป“ชิงเหลียน เมื่อครู่พวกเขาพูดอะไรกัน เหลียงถงอวี้อะไร?”ชิงเหลียนส่ายหน้า “บ่าวก็ไม่ทราบ อีกเดี๋ยว บ่าวจะไปสืบดูในเมืองเจ้าค่ะ”ฉู่เฟิงที่อยู่ข้างกันหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น“เหลียงถงอวี้ ท่านก็ไม่รู้จักหรือ?”“เจ้ารู้จักหรือ?” กู้หว่านเยว่เลิกคิ้วมองอีกฝ่ายฉู่ฟังรีบพยักหน้า “นางเป็นหญิงอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในเมือง กำเนิดในหอนางโลม ได้ยินว่าปีนี้อายุสิบหก ทว่างดงามล่มเมืองราวบุปผา ใช่สิ นางยังไม่ถูกประมูลพรหมจรรย์เลย”ชิงเหลียนกลอ
“อ่อ ใช่แล้ว ท่านอ๋องไม่รู้จักเหลียงถงอวี้อะไรนั่นหรอก ยิ่งไม่รู้จักหอเทียนเซียง”ซูจิ่งสิง: ขอบคุณเจ้ามาก มีผู้ใต้บัญชาอย่างเจ้าเป็นบุญของข้ายิ่งนัก อย่าอธิบายเลย ยิ่งพูดก็ยิ่งผิด“ออกไป”ซูจิ่งสิงพูดออกมาหนึ่งคำอย่างเหลืออดฉู่เฟิงรีบคำนับเสียงดัง รีบลุกขึ้นแล้วลากชิงเหลียนหายออกไปทันที“น้องหญิง เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่อย่างที่เขาพูด”ซูจิ่งสิงเดินมาตรงหน้ากู้หว่านเยว่แล้วขอร้อง“ข้าส่งเขาไปสืบเรื่องหอเทียนเซียง ไปสืบเรื่องของเหลียงถงอวี้นั่นจริงแต่นั่นไม่ใช่เพราะข้าสนใจหอเทียนเซียง แต่เพราะข้าได้ข่าวมาว่าโจวเสี้ยนกับเหลียงถงอวี้นั่นเคยมีอดีตร่วมกันช่วงหนึ่ง”ซูจิ่งสิงอธิบายไปด้วย พลางก่นด่าในใจไปด้วยทำไมเขาถึงได้มีผู้ใต้บัญชาที่วุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำเช่นนี้ ทั้งที่เป็นเรื่องง่ายดายมาก แค่อธิบายให้กู้หว่านเยว่ฟังดีๆ ก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ?ปากของเขา เอาแต่พูดปาวๆ ไม่หยุด แต่ต่อหน้ากู้หว่านเยว่ยิ่งพูดให้เขาผิดมากขึ้นเรื่อยๆกู้หว่านเยว่มองเขาด้วยใบหน้าอมยิ้ม แต่ไม่พูดสิ่งใด“น้องหญิง ข้าไม่ได้ไปสถานที่อย่างนั้นจริงนะ เจ้าต้องเชื่อข้านะ”ซูจิ่งสิงร้อนใจ อ
เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกแต่ไม่กล้าส่งคนไปหอเทียนเซียงเป็นครั้งที่สองแล้ว“เรื่องนี้ไม่เร่งรีบ ตอนนี้ข้ามีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญกว่านั้นต้องหารือกับท่าน”กู้หว่านเยว่เอ่ยเสียงเข้ม นึกถึงจุดประสงค์ที่นางมาแม่ทัพโจวกับแม่ทัพน้อยโจวอยู่ในมือพวกนางแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะยอมสวามิภักดิ์หรือไม่ ล้วนไม่เป็นอันตรายตอนนี้มีอีกคนหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่า“เจ้าว่ามา”สีหน้าซูจิ่งสิงจริงจังขึ้นทันทีกู้หว่านเยว่กล่าว “เรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงหนานเจียง”นางบอกเล่าคำพูดของเสี่ยวเหอ ให้ซูจิ่งสิงฟังทั้งหมด“อย่าให้องค์หญิงหนานเจียงกลับไปถึงหนานเจียงเด็ดขาด ต้องคุมตัวนางไว้ในมือ”“เข้าใจแล้ว”ซูจิ่งสิงพยักหน้า เข้าใจความกังวลของกู้หว่านเยว่ดีกองทัพหนานเจียงแทบจะแพ้ราบคาบให้กองทัพเจดีย์หนิงกู่ของพวกเขา ไม่มีใครรู้ว่าหลังจากองค์หญิงหนานเจียงกลับไปถึง จะบอกอะไรกับฮองเฮาหนานเจียงเขาโบกมือ เรียกคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามา“ฉู่เฟิง ตอนนี้เจ้ารีบพากำลังคนออกไปหนึ่งหน่วย มุ่งหน้าไปจับตัวองค์หญิงหนานเจียง”กู้หว่านเยว่ลุกขึ้น “ข้าไปพร้อมกับเจ้าดีกว่า แค่เจ้าคนเดียวหาไม่พบหรอกว่านางอยู่ที่ใด”หนอนกู่ต
“ก็ได้ ถ้าเช่นนั้นไปกันเถอะ”เฟิ่งหมิงกวงฝืนใจเห็นด้วยคนกลุ่มหนึ่งพากันเข้าไปในตำบลเล็ก จากนั้นหาบ้านชาวนาหลังหนึ่ง ให้คนต้มน้ำให้เฟิ่งหมิงกวง“องค์หญิง พวกเรามีเวลาแค่หนึ่งชั่วยาม ท่านต้องรีบหน่อย”ผู้ใต้บัญชาเอ่ยเตือนเสียงค่อย“รู้แล้ว น่ารำคาญเหลือเกิน”เฟิ่งหมิงกวงโยนขวดให้หนึ่งใบ“ปล่อยแมงมุมพันขาออกมา”แมงมุมพันขาสามารถอำพรางตัว เมื่อใดที่มีกลิ่นอายของศัตรูเข้าใกล้ มันจะส่งสัญญาณ“ขอรับ”ผู้ใต้บัญชารีบรับไป ถือขวดใบนั้นออกจากห้อง แล้วปล่อยแมงมุมพันขาออกมา“ของดีของยัยเฟิ่งหมิงกวง มีไม่น้อยเชียว” ในมิติสีเสียงหยอกล้อเสียงหนึ่งดังขึ้นหากเฟิ่งหมิงกวงได้ยินเสียงนี้ คงตกใจจนตายแน่นอนขณะนี้ผู้เป็นนายของเสียงนี้ อยู่ภายในห้อง“นายหญิง แมงมุมพันขาถือเป็นของดี เลี้ยงให้รอดได้ยากมาก อีกเดี๋ยวท่านจับมาสักหน่อย แล้วเอาไปไว้ในมิติ ถือเป็นของสะสมได้”ระบบเอ่ยเตือนอย่างหวังดีกู้หว่านเยว่พยักหน้า “ไม่รีบร้อน รอให้ข้าจับเฟิ่งหมิงกวงได้ก่อนค่อยว่ากัน”ที่แท้กู้หว่านเยว่หาเบาะแสของเฟิ่งหมิงกวงได้นานแล้ว และคอยติดตามอยู่ด้านหลังตลอดที่ไม่ได้ปรากฏตัวตั้งแต่แรก เพราะกังวลว่าข้าง
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้