“เสบียงพวกนี้เป็นภรรยาข้าเตรียมเอาไว้ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า พวกเจ้าอยากชมก็ชมนางเถอะ”ซูจิ่งสิงดึงกู้หว่านเยว่ออกมา ไม่ปิดบังการมีส่วนร่วมของกู้หว่านเยว่ฮั่นจิ่วและคนอื่นๆ ตกตะลึงทันที พวกเขารู้ว่ากู้หว่านเยว่มีความสามารถมาก แต่ก็ไม่เคยคิดว่านางจะมีความสามารถขนาดนี้เสบียงนับแสนล้านเหล่านี้ วางที่ใดไหนเล่าจะไม่เกิดความรู้สึก?ชิงเหลียนแสดงความชื่นชมทันที “ฮูหยิน ท่านเป็นแบบอย่างของคนรุ่นเราแล้วจริงๆ”หงเจาไม่พูดอะไร เพียงพยักหน้าเท่านั้นส่วนฮั่นจิ่วเป็นบุรุษ ไม่อาจพูดคำชมโต้งๆ ออกมาได้ แต่สายตาที่มองกู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความชื่นชมกู้หว่านเยว่ยิ้มให้ซูจิ่งสิง “นี่คือที่ที่พวกเราจะเก็บเสบียงเอาไว้ พวกเจ้าต้องจำที่นี่เอาไว้ให้แม่น จากนี้ไป พวกเจ้าจะต้องรับผิดชอบในการพาคนจากด้านล่างขึ้นมาขนส่งเสบียงไปยังเมืองตะวันไม่ตกดิน หากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้น ข้าจะลงโทษนะ”“ฮูหยินวางใจ พวกเราจะปกป้องเสบียงเหล่านี้ด้วยชีวิต ส่งมอบอาหารทั้งหลายไปยังเมืองตะวันไม่ตกดินอย่างปลอดภัยแน่นอนขอรับ!” พวกเขาเคยอยู่ในค่ายทหาร ย่อมรู้ซึ้งถึงความสำคัญของเสบียงอาหาร“ดี”เจียงเฟิ่งและลู่จิง กู้หว่านเยว่เคย
เขาคือผู้มีพระคุณต่อหลู่ซื่อ ซึ่งหลู่ซื่อเองก็ติดตามเขามานานนับสิบปีทว่าเมื่อได้รับการกล่าวเตือนจากเถาเอ๋อร์ มู่หรงอวี้ที่กำลังป่วยหนักก็เริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย กระทั่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงนี้หลู่ซื่อประมาทอยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังทำดินปืนหนึ่งเดียวของเขาหายไป นัยน์ตาของมู่หรงอวี้ก็ฉายแววเคร่งขรึมที่ยากจะคาดเดา และสั่งให้คนสะกดรอยตามหลู่ซื่อทันทีหลู่ซื่อรู้สึกแย่เกินกว่าที่จะรับได้ มู่หรงอวี้ไม่เชื่อใจเขา ทั้งยังอยากทำร้ายเขาแผ่นไม้ที่ถูกฟาดลงมาจำนวนสี่สิบครั้ง แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธ์ แต่ก็ทำให้เขาต้องนอนติดเตียงอย่างน้อยครึ่งเดือนนั้นหมายความว่าครึ่งเดือนนี้เขาจะไม่สามารถไปเยี่ยมลั่วยางได้เลยหลู่ซื่อเกิดความกังวลอยู่ในใจ จึงตัดสินใจว่าจะไปซื้ออาหารในตลาดนัดก่อน ตั้งใจว่าจะนำอาหารไปส่งให้ลั่วยางที่หมู่บ้านสือหาน แล้วค่อยกลับมารับไม้กระดานเหล่านั้นคนที่มู่หรงอวี้ส่งออกมาคอยติดตามอยู่รอบตัวของหลู่ซื่ออย่างเงียบ ๆ จนมาถึงหมู่บ้านสือหาน เมื่อเห็นลั่วยางที่ยังมีชีวิตอยู่จากกำแพงที่อยู่ถัดไป ก็พลันตื่นตกใจและนำเรื่องนี้กลับไปรายงานมู่หรงอวี้เถาเอ๋อร์ยิ้มเยาะด้วยน้ำ
“ท่านอ๋อง ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอท่านเสียที!”ทันทีที่เหล่าพลทหารสกุลซูหลายสิบคนเจอกับซูจิ่งสิงก็ทยอยกันคุกเข่าลงไปบนพื้น และคำนับศีรษะโขกพื้นดินต่อหน้าซูจิ่งสิงด้วยน้ำตาคลอเบ้าคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะได้เจอกับท่านอ๋องในช่วงชีวิตของเขา“ทุกคนลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ใช่ท่านอ๋อง ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าเช่นนี้อีก”ซูจิ่งสิงมองคนที่อยู่ใต้อาณัติอย่างจงรักภักดีเหล่านี้อย่างซาบซึ้งอยู่ในใจพลทหารสกุลซูที่อยู่หน้าสุดรีบกล่าว “เช่นนั้นพวกเราเรียกท่านว่าคุณชายนะขอรับ ท่านอ๋องที่ฮ่องเต้ชั่วผู้นั้นแต่งตั้ง หากไม่อยากได้ก็ช่างเถิด!”ซูจิ่งสิงพยักหน้า จากนั้นก็กล่าวแนะนำกู้หว่านเยว่ให้พลทหารเหล่านั้นรู้จัก “นี่คือภรรยาของข้า พวกเจ้าจงเรียกนางว่าฮูหยิน”ทุกคนต่างรู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่ซูจิ่งสิงมีชีวิตรอดมาถึงเจดีย์หนิงกู่ได้ ต้องขอบคุณการช่วยเหลือของกู้หว่านเยว่ยามอยู่ต่อหน้ากู้หว่านเยว่ จึงค่อนข้างสุภาพเป็นพิเศษ กระทั่งรีบทำความเคารพนาง“ข้าน้อยขอคารวะฮูหยิน”“รีบลุกขึ้นเถิด”เมื่อเห็นพลทหารสกุลซูที่เต็มไปด้วยความจงรักภักดีเหล่านี้ กู้หว่านเยว่ก็ทนเห็นพวกเขาคุกเข่าอยู่บนพื้นน้ำแข็งที่เย็นเยียบไม่ได
ทั้งสองคนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หมายความว่ามู่หรงอวี้รู้แล้วว่าลั่วยางยังมีชีวิตอยู่ จึงส่งนักฆ่ามาฆ่าลั่วยางทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าหลู่ซื่ออยู่ที่ไหน เมื่อเห็นนักฆ่าเหล่านั้นกำลังจะทำร้ายลั่วยาง กู้หว่านเยว่ก็รีบกระโดดลงมาจากหลังคา หยิบธนูขึ้นมาง้างและยิงปลิดชีพนักฆ่าหนึ่งในนั้นทันทีสองคนที่เหลือรีบหันกลับมา เมื่อพวกเขาเห็นว่าผู้มาเยือนคือกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิง สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป ทยอยกันพุ่งเข้ามาฆ่าพวกเขา“น้องหญิง ถอยไป”ซูจิ่งสิงกล่าวเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็ชักดาบออกมาเผชิญหน้ากับนักฆ่าเหล่านั้น ไม่นานบุรุษชุดดำสองคนนั้นก็ถูกปลิดชีพ“ขอบคุณพวกเจ้าที่ช่วยชีวิตข้า” เมื่อเห็นว่านักฆ่าทั้งสามคนทยอยล้มลงไปบนพื้น ลั่วยางก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก หลังจากได้สติกลับมาก็รีบกล่าวขอบคุณทั้งสองคนกู้หว่านเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้าไม่รู้จักพวกข้าหรือ?”“ข้ารู้จักพวกเจ้าด้วยหรือ?” ครานี้ถึงตาลั่วยางงุนงงบ้างซูจิ่งสิงกล่าวถาม “เจ้าชื่ออะไร?”ต่อหน้าคนทั้งสองที่ช่วยชีวิตตน ลั่วยางไม่มีอะไรต้องปิดบัง และกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าชื่อยางเหมียว”ในตอนนี้เองกู้หว่านเยว่และซูจิ
นางหยางและซูจิ้งกำลังช่วยดูแลคนของหนานหยางอ๋อง เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงกลับมา ทั้งสองก็รีบเข้ามาต้อนรับ“หว่านเยว่ จิ่งสิง ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมาแล้ว บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่?”กู้หว่านเยว่หมุนตัวหนึ่งรอบพร้อมกับรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราไม่ได้บาดเจ็บ”จากนั้นก็เล่าสถานการณ์ของเมืองตะวันไม่ตกดินให้ทั้งสองคนฟัง“จิ่นเอ๋อร์เจ้าเด็กน้อยนั่นอยากจะอยู่ที่เมืองตะวันไม่ตกดิน พวกเราจึงปล่อยให้นางอยู่ที่นั่น”หลังจากฟังจบ นางหยางกลับไม่รู้สึกกังวล “จิ่นเอ๋อร์มีนิสัยเอาแต่ใจ แต่ถ้ามีใต้เท้าฟู่อยู่ ต้องควบคุมนางได้แน่”ไม่แปลกใจเลยที่เขากล่าวกันว่าแม่ยายรักลูกเขยเหมือนกับที่รักลูกสาวของตนเองนางหยางคิดจะจับคู่ซูจิ่นเอ๋อร์และฟู่หลานเหิงมานานแล้ว เมื่อเห็นพวกเขาอยู่ด้วยกัน นางย่อมรู้สึกมีความสุขเป็นธรรมดาซูจิ่งสิงนึกถึงจุดประสงค์ที่มาในครั้งนี้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าและหว่านเยว่ต้องไปที่เมืองอวี้ จะต้องออกเดินทางเดี๋ยวนี้แล้ว”จวนหลี่โหวอยู่ที่เมืองอวี้ หากต้องการช่วยหลี่เฉินอันแย่งชิงตำแหน่งโหว ต้องไปเมืองอวี้ให้เร็วที่สุดเท่าที
กู้หว่านเยว่ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบปรับสีหน้ากลับมาอย่างรวดเร็ว การแสดงอารมณ์มากเกินไปต่อหน้าผู้ป่วยไม่ใช่เรื่องดี“พระชายาทรงเป็นสตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันหรือ?”“สตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตัน สตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันคืออะไร?” ในต้าฉีมีหมอหญิงไม่กี่คน และยิ่งมีน้อยคนที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคสตรีพระชายาหนานหยางส่ายหัว “ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องสตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันอะไร แต่ตั้งแต่เด็ก ท่านแม่ก็บอกข้าว่า ข้าแตกต่างจากคนอื่น พูดไปก็ไม่กลัวเจ้าหัวเราะหรอก ด้วยสภาพแบบนี้ของข้า แม้แต่จะแต่งงานก็ยังยาก ถ้าข้ายังไม่ได้แต่งงานออกไป คงจะทำให้พี่น้องในครอบครัวพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย เพราะพี่สาวท่านอ๋องจึงเห็นใจข้า และให้ที่พักพิงแก่ข้า” กู้หว่านเยว่รู้เรื่องนี้ พี่สาวของพระชายาหนานหยางคือพระชายาองค์ก่อนที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว“ท่านไม่ต้องกังวล ให้ข้าลองคิดดูก่อน” กู้หว่านเยว่พูดปลอบใจนางสตรีที่มีภาวะช่องคลอดตีบตันแต่กำเนิดก็ใช่ว่าจะไม่สามารถรักษาได้เลยทีเดียว หากเป็นเพียงปัญหาในการเจริญเติบโตของปากช่องคลอด แต่ภายในและมดลูกยังสมบูรณ์ ก็สามารถทำการผ่าตัดได้หลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว ไม่เพียงแต่
ชายคนนั้นพยักหน้า “ใช่แล้ว ตั้งแต่ท่านหลี่โหวเป็นอัมพาต ฮูหยินท่านโหวก็ดูแลท่านอย่างใกล้ชิด แล้วยังไปตามพระมาสวดมนต์ขอพรให้ท่านหลี่โหวอีก ช่างเป็นภรรยาที่ดีจริง ๆ ”“เหอะ ๆ... ”หลี่เฉินอันหัวเราะอย่างประชดประชันชายคนนั้นโมโห “นี่เจ้าหัวเราะอะไร? คำพูดของข้ามันตลกมากหรือไร?”เห็นว่าทั้งสองคนกำลังจะทะเลาะกันอีกแล้ว กู้หว่านเยว่ก็รีบดึงหลี่เฉินอันออกไป“อาจารย์หญิง ท่านพ่อของข้าเป็นอัมพาต ต้องเป็นฝีมือของสวีหลานแน่ ๆ ”นี่มันบังเอิญเกินไปหน่อย กู้หว่านเยว่และซูจิ่งสิงมองหน้ากัน ทั้งสองคนรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เดิมทีตั้งใจจะพาหลี่เฉินอันกลับจวนโหวโดยตรง แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจวนโหวคงตกอยู่ในมือของสวีหลานทั้งหมดแล้วถ้าพวกเขากลับไปทั้งแบบนี้ ก็เหมือนเอาตัวเองไปให้สวีหลานจัดการง่าย ๆ “ท่านหลี่โหวเป็นอัมพาตแล้ว สกุลหลี่ก็ต้องมีผู้อาวุโส มีผู้อาวุโสคนไหนที่เจ้าไว้ใจได้บ้างหรือไม่?”“มี ท่านผู้อาวุโสลำดับสอง เขารักและเอ็นดูข้ามาตลอด”หลี่เฉินอันรีบตอบ“เช่นนั้นผู้อาวุโสท่านนั้นอยู่ที่ไหน?”“อยู่ที่จวนหลี่ในตรอกอวี่ฮวา”สกุลหลี่อยู่ในเมืองอวี้อย่างน้อยก็ร้อยปีแล้ว คนในสกุลมีมากมายนับ
แต่ที่จริงแล้ว นางใช้โอกาสกลับไปบ้านเกิดเพื่อใส่ชื่อในบันทึกลำดับเครือญาติ แล้วกำจัดนางเกิ่งให้สิ้นซากต้องรู้ว่าหากนางเกิ่งเสียชีวิต หลี่เฉินอันก็จะไม่มีแม่แท้ ๆ เหลือเพียงสวีหลานผู้เป็นแม่เลี้ยง และสวีหลานก็ไม่เพียงแต่กำจัดอนุภรรยาเกิ่งได้เท่านั้น ยังได้ลูกชายมาคนหนึ่งมาฟรี ๆ อีกด้วย“เดิมทีสวีหลานไม่ได้อยากจะฆ่าข้า แต่ข้าไปเห็นความผิดของนางเข้า นางจึงอยากปิดปากข้า เลยลงมือกับข้า”สายตาของหลี่เฉินอันฉายแววหวาดกลัว โชคดีที่วันนั้นเขาไปเข้าห้องน้ำแล้วเห็นเหตุการณ์ไม่เช่นนั้น เกรงว่าจะยอมรับศัตรูเป็นแม่ และถือว่าสวีหลานเป็นผู้มีพระคุณ!ผู้อาวุโสลำดับสองครุ่นคิด สวีหลานเป็นคนที่สร้างภาพลักษณ์ได้ดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่เฉินอันพูดเอง ทุกคนคงไม่สงสัยเลยแต่เมื่อหลี่เฉินอันพูดเช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะมีจุดน่าสงสัยอยู่เหมือนกันสุดท้าย ผู้อาวุโสลำดับสองก็ตัดสินใจเข้าข้างหลี่เฉินอัน ถึงอย่างไรหลี่เฉินอันก็เป็นคนสกุลหลี่ ส่วนสวีหลานเป็นเพียงคนนอกตระกูล และยังไม่มีลูกด้วยหลังจากตัดสินใจแล้ว ผู้อาวุโสลำดับสองก็จัดที่พักให้กับหลี่เฉินอันทันที“จริง ๆ แล้ว เจ้ากลับมาได้จังหวะพอดี ท่านโหวเป็นอั
“อ๊ะๆๆๆ!”วูเมิ่งร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวด ถ้าหากไม่ได้โดนมัดไว้ เขาคงเจ็บจนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นแล้ว“เขียนบนพื้น”กู้หว่านเยว่ยื่นน้ำชาให้เขาหนึ่งถ้วยน้ำตาของวูเมิ่งแทบจะแห้งแล้ว แม้ห้องปรุงพิษของพวกเขาก็มักจะสอบสวนผู้อื่นเช่นนี้แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนสอบสวน“ข้าเขียน ข้าเขียน”เขารีบทำปากพูด พลางยื่นมือสองข้างที่โดนมัดเข้าด้วยกันออกไป ใช้นิ้วชี้จุ่มลงไปในน้ำชาเดิมทีอยากฉวยโอกาสดีดยาพิษในซอกเล็บออกมา กลับพบว่าโดนกู้หว่านเยว่ค้นตัวจนไม่เหลืออะไรเลย แม้แต่ยาพิษในซอกเล็บก็โดนขูดออกมาแล้วเขากัดฟันแน่น ใช้ดวงตาที่เป็นประกายจ้องกู้หว่านเยว่เขาชอบผู้หญิงสวย ผู้หญิงที่เก่งกาจ เขายิ่งชอบ‘ชวีอวี้’ เก่งกาจเช่นนี้ เขาชอบสุดๆรอเขามีโอกาส เขาจะสยบนางแน่นอน“เขียน” กู้หว่านเยว่สั่งอย่างใจเย็นเหลือเวลาไม่มากแล้ว ชวีเฟิงกล้าร้องหนึ่งชั่วยาม แต่ใช้ว่าวูเมิ่งจะทำได้นานเช่นนี้“คุกใต้ดินห้องปรุงพิษ” วูเมิ่งเขียนลงบนพื้นกู้หว่านเยว่ประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าอยู่ในมือของเจ้าไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงอยู่ที่ห้องปรุงพิษ?”แววร้อนตัวแลบผ่านดวงตาวูเมิ่งเขาเขียน “ไม่พูดเช่นนี้ เจ้าจะยอมแต่งง
“ให้ตายเถอะ!”ชวีเฟิงยังไม่ทันได้ใช้ศิลปะการต่อสู้เลย ก็เห็นเขาโดนกู้หว่านเยว่ผลักจนล้มลง จึงอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านทำอะไรกับเขา?”“เปล่านี่ แค่ทำให้เขาสลบ จะได้สอบสวนง่ายขึ้น”กู้หว่านเยว่พูดอย่างสบายๆนางเป็นไปที่ตรงหน้าวูเมิ่ง ค้นตามร่างกายเขาครู่หนึ่ง พบอาวุธลับและยาพิษมากมาย“แหม โชคดีที่ทำให้เขาสลบก่อน ของพวกนี้สามารถทำให้พวกเราเสียเวลาพักใหญ่เลย”“ของพวกนี้มันอะไร?” ชวีเฟิงมองขวดเหล่านั้นอย่างงงงวย“นี่คือยาพิษที่ฆ่าคนได้ในพริบตา”“น้ำยาทำลายศพ ความหมายตามชื่อเลย มีฤทธิ์กัดกร่อนสูงมาก”“ไห่ถังเจ็ดดาว ไร้สีไร้รส ผู้ที่ถูกพิษจะหมดสติทันที ตายอยู่ในความฝัน อีกทั้งยังเป็นฝันดีด้วย ตอนตายยังยิ้มอยู่เลย”“อันนี้…”“เดี๋ยวก่อน เลิกพูดได้แล้ว!”กู้หว่านเยว่ยังจะพูดต่อ ชวีเฟิงรีบห้ามนาง “ของพวกนี้ก็น่ากลัวมากแล้ว ขืนฟังต่อไป ข้ากลัวว่าข้าจะฝันร้ายทำไมเขาถึงพกยาพิษมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวตัวเองโดนพิษของตัวเองเลยหรือ”“เขาเป็นคนของห้องปรุงพิษ เจอยาพิษป้องกันตัวบนตัวเขาก็เป็นเรื่องปกติ”กู้หว่านเยว่เก็บยาพิษเหล่านั้นเข้าไปในมิติอย่างใจเย็นหลังจากนั้น นางเดินไปที่ประตู ม
“อวี้เอ๋อร์ ข้ามารับเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงล็อคประตูล่ะ? เป็นเจ้าสาวก็เลยเขินอย่างนั้นหรือ?”เสียงของผู้ชายดังมาจากข้างนอกความเกลียดชังปรากฏขึ้นบนใบหน้าชวีอวี้“วูเมิ่งมาแล้ว”“เจ้ารีบไปซ่อนตัวเร็วเข้า”กู้หว่านเยว่รีบกล่าวออกคำสั่ง ชวีอวี้พยักหน้า ออกจากห้องเวลานี้เป็นไปไม่ได้แล้ว นางกวาดมองโดยรอบ แล้วรีบไปหลบที่ใต้เตียงชวีเฟิงจะเข้าไปเปิดประตูกู้หว่านเยว่กล่าวเตือน “จำไว้ ไม่ว่าเวลาใดก็อย่าเปิดเผยตัวตน หากทนไม่ไหวจริงๆ ก็นึกถึงแค้นบัญชีเลือดของครอบครัวเจ้า”“เข้าใจแล้ว”ชวีเฟิงข่มอารมณ์แล้วพยักหน้าหลังจากเขามองกู้หว่านเยว่อย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง จึงจะเดินไปเปิดประตูเขากับวูเมิ่งเคยเจอกัน กลัวว่าอีกฝ่ายจะจับได้ ดังนั้นหลังจากเปิดประตูก็รีบก้มหน้า โชคดีที่ความสนใจของวูเมิ่งไม่ได้อยู่ที่เขา“อวี้เอ๋อร์”สายตาของวูเมิ่งราวกับติดอยู่กับตัว ‘ชวีอวี้’ เขาเดินไปที่ตรงหน้านาง แล้วจ้องนางอย่างหลงใหล“วันนี้เจ้าสวยจริงๆ สวยจนข้าไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง”สีหน้าวูเมิ่งเต็มไปด้วยความลุ่มหลงเขายื่นมือออกไป หวังจะจับแก้มของ ‘ชวีอวี้’“ไสหัวไป!”‘ชวีอวี้’ หันหน้าหนีอย่างความรังเกียจ
กู้หว่านเยว่เผยอปาก นี่คือสิ่งที่นางอยากได้ยิน“อยากให้ข้าช่วยให้สกุลชวีผ่านมรสุมครั้งนี้ มันไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ว่าต่อจากนี้เจ้าต้องฟังข้า”กู้หว่านเยว่มีเจตนาที่ชัดเจน เห็นได้ชัดว่านางคิดแผนรับมือไว้ตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว“ท่านพูดมาได้เลย”ชวีเฟิงรีบลุกขึ้น“ให้พี่หญิงของเจ้าถอนชุดแต่งงานกับมงกุฎหงส์ลงมาก่อน”กู้หว่านเยว่ออกคำสั่ง“เจ้าหาข้ออ้างเรียกสาวใช้ที่อยู่หน้าประตูเข้ามา หลังจากตีนางสลบ ถอดเสื้อชั้นนอกของนางออก แล้วสวมบนตัวเจ้า”กู้หว่านเยว่สั่งอย่างเป็นระเบียบ ชวีเฟิงมองไปทางชวีอวี้ พยักหน้าเบาๆ“พี่หญิง ทำตามที่นางบอก”“...ได้”ชวีอวี้คิดแล้วคิดอีก ท้ายที่สุดก็ยังเลือกเชื่อกู้หว่านเยว่ อย่างไรก็ตามสีหน้ากู้หว่านเยว่ดูเรียบเฉยมาก ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมนางเรียบถอดชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ลงมาวางบนโต๊ะ“หลังจากนั้นล่ะ?”“หลังจากนั้นข้าจะปลอมตัวเป็นเจ้าสาว แต่งเขาบ้านวูเมิ่งแทนเจ้า”กู้หว่านเยว่ฉีกหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก ชวีอวี้จึงจะพบว่าที่แท้นางเป็นผู้หญิงด้วยความประหลาดใจกู้หว่านเยว่สวมชุดแต่งงานและมงกุฎหงส์ โชคดีที่การสวมใส่มงกุฎหงส์ของเมี่ยวเ
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป