“ได้โปรดฮูหยินอย่าลังเลเลย ตอบรับข้าเถิด”ผู้อาวุโสโซว่หวางอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารับปากท่านก็ได้” กู้หว่านเยว่เก็บขลุ่ยและตำราโบราณอย่างจนปัญญา นางตอบตกลงได้ แต่หากนกหงส์เพลิงตัวนี้ไม่ใช่นกของนาง ก็อย่ามาโทษนางก็แล้วกัน“ดี ดี เช่นนี้ข้าก็วางใจ”เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสโซว่หวางกำลังจะสิ้นสุดวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว คำสั่งเสียมากมายที่เขาพยายามฝืนลั่นออกมาเมื่อครู่ทำให้สีหน้าของเขาผ่อนคลายลงบัดนี้เมื่อเห็นกู้หว่านเยว่รับสิ่งเหล่านี้ไป เขาไม่มีห่วงผู้มัดอีกแล้ว ทันใดนั้นเขาก็กระอักเลือดออกมา และล้มลงไปบนพื้น“ผู้อาวุโสโซว่หวาง!”กู้หว่านเยว่รีบรุดเข้าไปหา จากนั้นก็คว้าข้อมือของเขามาจับชีพจร“ผู้อาวุโสโซว่หวางจากไปแล้ว”อีกฝ่ายไร้ซึ่งลมหายใจ จิ้งจอกสีเทานอนหมอบอยู่ข้างกายของเขาพร้อมกับสะอื้นเบา ๆ มันรู้ว่าผู้เป็นนายจากโลกนี้ไปตลอดกาลกู้หว่านเยว่ทอดถอนใจ จากนั้นก็นำพาซูจิ่งสิงให้ก้มกราบหัวโขกดินคารวะผู้อาวุโสโซว่หวางสามครั้ง“น้องหญิง ไม่ต้องเศร้าไป เจ้าทำดีที่สุดแล้ว”ซูจิ่งสิงกล่าวปลอบใจนางเบา ๆ เขาเป็นห่วงกลัวว่ากู้หว่านเยว่จะโทษตัวเองถึงอย่างไรก็ไม่
กู้หว่านเยว่หลับตาลง พร้อมกับเป่าขลุ่ยอย่างตั้งใจทันทีที่เสียงขลุ่ยบรรเลง พลังแห่งการปลอบประโลมจิตใจก็แผ่ขยายออกมา“น้องหญิง ดูนั้น”ซูจิ่งสิงสูกดลมหายใจเบา ๆ “ดูเหมือนว่านกหงส์เพลิงจะตื่นแล้ว”กู้หว่านเยว่รีบมองไปตามคำบอกกล่าวของซูจิ่งสิง นกหงส์เพลิงหลากสีค่อย ๆ กางปีกอย่างช้า ๆ แสดงท่าทางเหมือนกับตื่นนอน“อย่าหยุดนะ” ซูจิ่งสิงกล่าวเตือน “ดูเหมือนมันจะได้ยินเสียงขลุ่ยของเจ้า ถึงได้ตื่น”“เจ้าค่ะ”กู้หว่านเยว่ยังคงเปล่าขลุ่ยในบทเพลงฝึกสัตว์ต่อไป การบรรเลงของนางทำให้นกหงส์เพลิงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นจากนั้นมันก็เริ่มกางปีกสีแดงเพลิง และหันไปมองกู้หว่านเยว่ต้องบอกว่า นกหงส์เพลิงมีรูปลักษณ์ค่อนข้างน่ากลัวดวงตาสีแดงเพลิงคู่หนึ่งเหมือนกับอัญมณี ในยามที่รูม่านตาสีดำนั้นจ้องมองผู้คน มันแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามที่รุนแรงไม่น้อยอีกทั้งนกหงส์เพลิงมีรูปร่างขนาดใหญ่ ในตอนที่มันหมอบอยู่ในมุมยังดูไม่ค่อยน่ากลัวนัก แต่พอมันยืนขึ้น ลำตัวของมันกินพื้นที่แทบจะครึ่งหนึ่งของห้วงมิติเลยทีเดียว“ท่านพี่ ระวัง”กู้หว่านเยว่คว้ามือของซูจิ่งสิง แม้ว่าผู้อาวุโสโซว่หวางจะยกนกหงส์เพลิงให้นางแล้ว แต่นกต
ความรู้สึกคุ้ยเคยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้นางรู้สึกว่าทุกอย่างมันไม่ง่ายอย่างที่นางคิดไว้บางทีสาเหตุที่นางข้ามเวลามาที่นี่ อาจะไม่ใช่ความบังเอิญทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันไกลตัวของทั้งสองคนมาก เวลานี้เบาะแสที่พวกเขามีน้อยเกินไปจริง ๆ ทำได้แค่นำเรื่องนี้วางไว้ก่อน จากนั้นก็แก้ไขปัญหาของผู้อาวุโสโซว่หวางก่อน เมื่อเห็นนกหงส์เพลิงเชื่อใจตนเช่นนี้ กู้หว่านเยว่จึงเอื้อมมือออกไปลูบหัวของมันอย่างวางใจ“โฮก....”นกหงส์เพลิงส่งเสียงคำรามอย่างสบายใจ พร้อมกับใช้หัวคลอเคลียร์ฝ่ามือของนางเบา ๆ “ดูเหมือนมันจะเห็นเจ้าเป็นนายมันแล้ว”กู้หว่านเยว่ดูตื่นตกใจ ไม่รู้ว่านกหงส์เพลิงตัวนี้นิสัยเป็นยังไง มันจะฟังคำสั่งเข้าใจหรือไม่“ลุกขึ้น”นางออกคำสั่ง ในตอนนี้เองนกหงส์เพลิงที่นอดอย่างขี้เกียจอยู่บนพื้น“โฮก!”เมื่อได้ยินคำสั่งของนาง นกหงส์เพลิงก็ตอบสนองอย่างรวดเร็วโดยการลุกขึ้นอย่างไม่ลังเลและถือโอกาสแปรงขนของตัวเองที่ยุ่งเหยิงให้เรียบงดงาม“ท่านพี่ ท่านเห็นไหมว่ามันเข้าใจภาษาคน”เวลานี้ นัยน์ตาของกู้หว่านเยว่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกนางอยากเลี้ยงสัตว์เป็นของตัวเองมาโดยตลอด เพียงแต่น่าเส
นกหงส์เพลิงเงยหน้าขึ้นฟ้า จากนั้นก็คำรามเสียงทุ้มต่ำ“โฮก!”กู้หว่านเยว่แทบจะหลุดขำออกมา คว้าซูจิ่งสิงขึ้นมา ทั้งสองคนจึงนั่งอยู่บนหลังของนกอย่างสง่าผาเผย ทันทีที่ได้ยินเสียงนกหงส์เพลิงคำราม มันก็พุ่งออกจากห้องลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บินโฉบไปบนฟ้า เวลานี้ เทียนอวี๋กำลังเฝ้ารออย่างร้อนใจหลังจากที่นางส่งผู้อาวุโสโซว่หวางออกไป ไม่นานนางก็พบกับเรื่องไม่คาดฝัน อยู่ ๆ การเชื่อมจิตระหว่างตนกับผู้อาวุโสโซว่หวางก็ถูกตัดขาดจากกันไม่ว่านางจะสั่นกระดิ่งเงินในมืออย่างไร ก็หาการมีอยู่ของผู้อาวุโสโซว่หวางไม่เจอเรื่องนี้ทำให้เทียนอวี๋กระวนกระวายใจคาถาหุ่นเชิดของนางกล้าแกร่งมาก แทบจะไม่มีใครสามารถทำลายคาถาตัวนี้ได้หากผู้อาวุโสโซว่หวางตายไป เช่นนั้นก็ดี แต่หากคาถาหุ่นเชิดบนตัวของผู้อาวุโสโซว่หวางถูกทำลาย นั้นก็หมายความว่าข้างกายซูจิ่งสิงมีใครคนหนึ่งที่มีความสามารถครั้นอยู่ในหอบรรพบุรุษก่อนหน้านั้น เทียนอวี๋มั่นใจว่าเป็นซูจิ่งสิงเพียงแต่คนที่อยู่ข้างกายซูจิ่งสิง นางไม่มั่นใจว่าเป็นใครแต่ก็มั่นใจมากพอว่าเป็นสตรีผู้หนึ่ง“หรือว่าสตรีผู้นั้นคือนคนที่ทำลายคาถาหุ่นเชิดของข้าได้?”
ถึงตอนนี้นางก็ได้เข้าใจแล้ว ก็ว่าอยู่ว่าทำไมช่วงนี้ไม่ว่านางจะทำสิ่งใดก็ดูไม่ราบรื่นไปเสียหมด ดูจากสถานการณ์ความเป็นจริง ที่แท้ก็เป็นเพราะซูจิ่งสิงนี่เอง“เราดูถูกซูจิ่งสิงเกินไปแล้ว รู้อย่างนี้น่าจะฆ่าเขาให้เสียรู้แล้วรู้รอด”เทียนอวี๋โกรธจนตัวสั่น แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่มองซูจิ่งสิงพากู้หว่านเยว่จากไปเท่านั้นกู้หว่านเยว่นั่งมองผืนโลกจากบนหลังนกหงส์เพลิงด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขและสบายใจหลังจากที่ออกจากหมู่บ้านโซว่หวางแล้ว กู้หว่านเยว่ก็ให้นกหงส์เพลิงโฉบลงไปยังพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน“โฮก!”นกหงส์เพลิงกระเง้ากระงอน หลังจากบินมาได้ช่วงเวลานหนึ่ง มันก็เหนื่อยกู้หว่านเยว่มองออกว่ามันเหนื่อยแล้ว จึงรีบให้นกหงส์เพลิงเข้าไปในห้วงมิติ ให้มันได้พักผ่อนอย่างดีในนั้นถึงอย่างไรนกตัวใหญ่เพียงนี้ หากนางไม่พามันเข้าไปในห้วงมิติ ก็คงไม่สะดวกพามันติดตามข้างกายไปด้วย“เรากลับกันก่อนเถอะ ไปรวมตัวกับทุกคน”ผู้อาวุโสโซว่หวางตายแล้ว จะต้องนำข่าวนี้ไปบอกคนของสกุลกงซุน“ไปกันเถอะ”ซูจิ่งสิงอุ้มกู้หว่านเยว่ จากนั้นก็ลอยตัวไปทางถ้ำภูเขาหลังจากที่ทั้งสองคนจากมาในช่วงเวลา
กงซุนเสว่น้ำตาไหลอาบเต็มสองแก้ม ก่อนจะโผเข้าไปหาผู้อาวุโสโซว่หวาง“ท่านพ่อ ทำไมท่านถึงทิ้งพวกเราไปเช่นนี้?”“ท่านพ่อจากพวกเราไปแล้วหรือ? ไม่ เป็นไปไม่ได้...”กงซุนฉิงพยายามลุกขึ้นจากเตียง นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยหยดน้ำตา กงซุนจ่างเย่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม“ให้ข้าได้สัมผัสท่านพ่อ....”มือของเขาแทบจะยกไม่ขึ้นแล้วกงซุนจ่างเย่รู้สึกร้อนผ่าวที่จมูก ก่อนจะสะอื้นจนตัวสั่นเทิ้มด้วยความเจ็บปวด“กงซุน” หมิงจูเข้ามากอดแขนของเขา “ตาของท่านจะร้องไห้ไม่ได้”ดวงตาของเขาเพิ่งเข้ารับการผ่าตัด น้ำตาจะทำให้ดวงตาของเขาอักเสบ“ข้าไร้ความสามารถ ข้าไร้ความสามารถจริง ๆ!”กงซุนจ่างเย่ฟุบอยู่บนรถเข็นเขาคิดมาตลอดว่าครอบครัวของเขาอยู่อย่างสงบสุข มีพ่อและพี่สาวคอยดูแลทุกอย่างหลายปีมานี้เขาแทบจะกลายเป็นลูกผู้ดีมีเงินไปโดยปริยายบัดนี้เขาช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง“พวกเจ้าอย่าร้องไห้ไปเลย คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองโดนคาถาหุ่นเชิด ยังไม่ได้รับการถอนคาถา อาการของคุณหนูห้าก็ยังไม่ดีขึ้น”ก่อนที่กู้หว่านเยว่จะขึ้นรถม้า นางได้พาคนเหล่านั้นออกมาแล้ว“พาคุณหนูใหญ่ คุณหนูรองและคุณหนูห้าขึ้นเตียงก่อนเถอะ”กงซุ
ผู้อาวุโสโซว่หวางเคยกล่าวไว้ เพราะสกุลกงซุนนั้นมีนกหงส์เพลิง จึงสามารถสั่งสัตว์ร้ายได้ดูท่าทางนกหงส์เพลิงตัวนี้จะร้ายการจริง ๆกู้หว่านเยว่เล่นกับนกหงส์เพลิงครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดตำราควบคุมสัตว์ร้ายทุกหน้าของตำราควบคุมสัตว์ร้ายมีบทเพลงที่แตกต่างกัน ซึ่งบทเพลงเหล่านี้มีรูปแบบการสั่งสัตว์ที่แตกต่างกันกู้หว่านเยว่เปิดดูบทเพลงหนึ่งในนั้น เป็นบทเพลงที่สามารถควบคุมนักรบหมาป่าได้ จึงเรียนวิธีการเป่าหลังจากเป่าบทเพลงนี้แล้ว ร่างตัวของนางก็หลงใหลอยู่ในม่านบทเพลงนั้นไม่รู้ว่านานแค่ไหน กระทั่งกู้หว่านเยว่สามารถเป่าเพลงนี้ออกมาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ นางถึงวางขลุ่ยลง“ท่านพี่” กู้หว่านเยว่ออกมาจาห้วงมิติ แวบแรกที่เห็นซูจิ่งสิงที่หลับตาเก็บแรง นางจึงเข้าไปเรียกเขาเบา ๆ ซูจิ่งสิงรีบลืมตาทันที “มีอะไรหรือ?”“ฝึกได้พอสมควรแล้ว เหลือแต่ทดสอบจริง”กู้หว่านเยว่นึกถึงนักรบหมาป่าที่อยู่ด้านล่างกำแพงเหล่านั้น และกล่าวว่า“วันนี้ข้าเหนื่อยมาก เราพักกันก่อนเถิด ไว้พรุ่งนี้วางแผนเสร็จก็ค่อยลองดู”“ก็ได้” ซูจิ่งสิงมองกู้หว่านเยว่ที่มีดวงตาแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด“ตาแดงหมดแล้ว รีบพักผ่อนเถิด”กู้ห
เมิ่งเหยียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย“แน่นอนอยู่แล้ว”กงซุนซวงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่เจียงเป็นคนของท่านพ่อข้า เจอกับพวกเราพี่น้องบ่อย ๆ ”นางเห็นเมิ่งเหยียนเกล้าผมแบบสตรีที่แต่งงานแล้ว จึงเอ่ยขึ้นด้วยความหวังดี “ท่านไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีข้าอยู่ก็พอแล้ว”“...อืม”เมิ่งเหยียนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอได้ยินคำเรียกขานว่าเมิ่งฮูหยินนั่น ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ“เจ้าดูแลนางให้ดี ๆ ข้าออกไปก่อน”นางแทบจะหนีออกมาจากห้องนั้นเลยทีเดียว“แปลก เมิ่งฮูหยินเป็นอะไรไป?” กงซุนซวงไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเมิ่งเหยียนนักในความคิดของนาง เมิ่งเหยียนก็เหมือนกับลั่วยางและคนอื่น ๆ เป็นคนใจดีที่ช่วยส่งน้องเจ็ดกลับมา“พี่ใหญ่เจียง ท่านว่าท่านช่างโง่เง่าเสียจริง”กงซุนซวงมองเจียงหลินที่อยู่บนเตียง ดวงตาของนางแดงก่ำราวกับจะร้องไห้“วันนั้นท่านหนีไปได้แท้ ๆ แต่สุดท้ายกลับถูกพวกนั้นจับได้เพราะข้า”“พี่ใหญ่เจียง ข้ารู้ว่าในใจของท่านมีข้า ข้าก็...”กงซุนซวงบิดผ้าให้แห้งน้ำ แล้วเช็ดมือให้เจียงหลินต่อด้านนอกประตู เมิ่งเหยียนได้ยินประโยคสุดท้าย น
“พี่หญิง บางทีท่านอาจจะรู้สึกว่าข้ารักตัวกลัวตาย แต่ในใจกลับรู้สึกว่าหนานเจียงไม่มีที่ยืนสำหรับพวกเราแล้วบางทีสิ่งที่ข้าทำอาจช่วยทำให้สกุลชวีมีทางรอด”“ทางรอด?”เมื่อชวีอวี้ได้ยินคำพูดนี้ รอยยิ้มเย้ยหยันก็ปรากฏขึ้นที่ใบหน้า“สกุลชวีของเราไม่มีทางรอดแล้ว”นางมองไปทางชวีเฟิง“คิดว่าตอนที่เจ้าเพิ่งเข้ามาก็เห็นแล้ว ข้างนอกล้วนเป็นคนของสกุลวู ฮองเฮาอยากให้พวกเราตาย สกุลวูก็อยากให้พวกเราตาย พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว”ในแววตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ราวกับว่าเคยผ่านความเป็นความตายมาแล้วชวีเฟิงนึกถึงอะไรบางอย่างกะทันหัน“พี่ชวีหลิงล่ะ?”เขาเป็นคู่หมั้นของพี่หญิง เหตุใดจึงไม่เห็นเขาปรากฏตัว และพี่หญิงก็ไม่ได้พูดถึงเขาเลยจู่ๆ เขาก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี“พี่หญิง พี่ชวีหลิงล่ะ?”จนกระทั่งเวลานี้เอง ในที่สุดร่างกายของชวีอวี้ก็สั่นอย่างไม่สามารถควบคุม นางปิดหน้า หยดน้ำตาไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว “ตายแล้ว เขาตายแล้ว”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ จิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ถึงว่าชวีอวี้จะแต่งงานกับวูเมิ่ง ชวีหลิงไม่เคยปรากฏตัวเลย“วูเมิ่งฆ่าเขาหรือ?”ชวีเฟิง
กู้หว่านเยว่ยกกระเบื้องแผ่นหนึ่งขึ้น แล้วมองเข้าไปในห้อง“เป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีเฟิงกล่าวถาม“ในห้องมีแค่คุณหนูใหญ่สกุลชวีคนเดียว ไม่เห็นพ่อแม่เจ้า”หลังจากกู้หว่านเยว่สำรวจดูอย่างละเอียด สายตาไปตกที่ใบหน้าชวีอวี้ หน้าตางดงาม มีเสน่ห์แบบคนต่างแดน นางเป็นหญิงงามจริงๆ ด้วย ไม่แปลกใจเลยที่วูเมิ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อแต่งงานกับนางเดี๋ยวก่อน กู้หว่านเยว่เห็นชวีอวี้ล้วงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อกะทันหัน“เหมือนว่าพี่หญิงเจ้าจะฆ่าตัวตาย”“อะไรนะ!”ชวีเฟิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์แล้ว กระโดดลงจากคานโดยตรง แล้วปีนเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่อยู่ด้านหลังการเคลื่อนไหวนี้ทำให้ยามในเรือนรู้ตัวทันที“ใคร?”มียามสองคนมาตรวจดู และเจอเข้ากับกู้หว่านเยว่ที่ตามหลังมาพอดี“โทษที”พลันกู้หว่านเยว่ยกมือขว้างผงพิษออกไป ทำให้ยามสองคนนี้หมดสติโดยตรง“พี่หญิง ท่านกำลังทำอะไร?” ชวีเฟิงมาถึงตรงหน้าชวีอวี้แล้ว เขาแย่งมีดสั้นมาด้วยมือเปล่าโดยไม่สนใจความคม“เจ้า?”ชวีอวี้ตกใจ เนื่องจากชวีเฟิงในเวลานี้กำลังปลอมตัว ดังนั้นชั่วขณะนางจึงจำไม่ได้กระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ในที่สุดก็รู้แล้วว่าคนตรงหน้าก็คือชวีเฟิงน
“ท่านพ่อกับท่านแม่ล่ะ พวกเขาถูกปล่อยออกมาแล้วหรือ?”“ยังเจ้าค่ะ ทางสกุลวูบอกว่ารอท่านแต่งเข้าไปแล้ว พวกเขาจึงจะปล่อยนายท่านกับฮูหยินออกมา”คนรับใช้พูดพลางกำหมัดแน่นเพื่อบีบให้คุณหนูใหญ่แต่งงานกับคุณชายใหญ่สกุลวู พวกเขาถึงกับจับนายท่านกับฮูหยินไป“วันนี้เป็นวันมงคลของข้า แต่พวกเขายังขังพ่อแม่ของข้าไว้ในคุก และยังไม่ให้พวกเขามาร่วมงานแต่งของข้า นี่มันงานแต่งแบบไหนกัน”รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏที่มุมปากชวีอวี้“คุณหนูใหญ่…”“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ออกไปก่อนเถอะ ข้าอยากอยู่ที่นี่เงียบๆ สักพัก”ชวีอวี้หลับตา ท่าทางดูอ่อนล้ามาก ราวกับไม่อยากเอ่ยปากพูดอีกแม้แต่คำเดียวคนรับใช้มองนางอย่างระมัดระวังแวบหนึ่ง รู้เช่นกันว่าตอนนี้นางไม่สบายใจ ไม่อยากพูดอะไรมากอีก กลัวว่าสภาพจิตใจของชวีอวี้จะยิ่งหดหู่ด้วยเหตุนี้จึงหมุนกายเดินออกไป และปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง“ที่นี่หรือ?”นอกประตูของสกุลชวีในเวลานี้ กู้หว่านเยว่มองดูคฤหาสน์ที่แขวนผ้าสีแดงและโคมไฟสีแดงเต็มไปหมด มีความสงสัยปรากฏขึ้นในแววตา“ใช่ ที่นี่แหละ”ชวีเฟิงกำหมัดแน่น สีหน้ายิ่งดูน่าเกลียดหลังจากเข้าเมือง ระหว่างทางก็ได้ยินผู้คน
ชวีเฟิงหัวเราะเยาะ “สกุลวูเชี่ยวชาญแมงป่องพิษ เพราะช่วยฮองเฮาเพาะเลี้ยงราชาแมงป่องพิษ ดังนั้นเฮาฮองจึงให้ความสำคัญมากเดิมทีตระกูลของพวกเขารั้งท้ายสุดในห้าตระกูลใหญ่ แต่ตอนนี้สกุลชวีของเราเข้ามาแทนที่ ได้กระโดดขึ้นไปเป็นผู้นำห้าตระกูลใหญ่และสาเหตุที่ฮองเฮาจะเล่นงานสกุลชวีของเรา ก็เป็นเพราะสกุลวู”ที่แท้คุณหนูใหญ่สกุลชวีที่วูเมิ่งคุณชายใหญ่สกุลวูชอบก็คือชวีอวี้พี่สาวแท้ๆ ของชวีเฟิงแต่ชวีอวี้มีคนในใจนานแล้ว ซึ่งเป็นคนในตระกูลสกุลชวีก็ให้ทั้งสองหมั้นหมายกันนานแล้ว ย่อมไม่มีทางตอบตกลงวูเมิ่ง“วูเมิ่งคนนี้มักจะวนเวียนอยู่ในบ่อนพนันหรือซ่องโสเภณี เขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องปรุงพิษ จิตใจอำมหิตไร้ความปรานี เชี่ยวชาญการใช้ยาพิษ เพื่อบรรลุเป้าหมายไม่เลือกวิธีการ ครั้งหนึ่งเคยมีคนจากหมู่บ้านหนึ่งล่วงเกินเขา เขาถึงกับวางยาพิษฆ่าคนทั้งหมู่บ้าน หลังจากเกิดเรื่องก็สั่งให้คนปิดเรื่องนี้เพียงแต่ตอนนั้นสกุลชวีของเราพอจะมีอิทธิพลอยู่บ้าง ดังนั้นจึงรู้เรื่องนี้อย่างลับๆคนต่ำช้าที่จิตใจอำมหิตและเห็นชีวิตของคนเป็นผักปลาอย่างเขา อย่าว่าแต่พี่หญิงไม่ชอบเขาเลย สกุลชวีของเราก็ไม่มีทางให้พี่หญิงแต
กู้หว่านเยว่พยักหน้า เดิมทีนางเองก็ไม่ได้คิดจะอยู่ในเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่แล้ว แค่อยากเข้าไปพักผ่อน แวะกินอาหารเช้าแล้วค่อยเดินทางต่อก็เท่านั้น ภารกิจก็ต้องทำ ข้าวก็ต้องกิน“ไป เราเข้าไปดูก่อนเถอะ”กู้หว่านเยว่ขี่ม้ามาถึงหน้าประตูเมือง จากนั้นก็มองพิจารณาชื่อของเมืองแห่งนี้“เมืองโยวหุน”นางกระตุกมุมปาก ชื่อของเมืองนี้ฟังดูแปลกยิ่งนัก หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นเมืองผีในระหว่างนั้นขนตามตัวก็พากันลุกซู กู้หว่านเยว่กลงจากหลังม้า และเดินเข้าไปในเมืองโยวหุนผู้คนที่สัญจรในเมืองแห่งนี้มีจำนวนมากนางในตอนนี้แต่งตัวเป็นคนหนานเจียงแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ดึงดูดสายตาของใครทั้งสองคนเดินมานั่งอยู่หน้าแผงลอยแห่งหนึ่งรอบตัวของพวกนางมีคนหนานเจียงที่กำลังกินอาหารกันอยู่ไม่น้อย กินไปพลางพูดคุยไปพลาง กู้หว่านเยว่ตั้งใจฟังอยู่ครู่หนึ่งพบว่าไม่มีใครสนใจสงครามระหว่างต้าฉีกับหนานเจียงเลยสักคนชวีเฟิงกล่าวอธิบายเสียงต่ำ “หนานเจียงไม่มีสงครามมาหลายร้อยปีแล้ว และไม่เคยมีศัตรูจากข้างนอกเข้ามายุ่งย่าม ดังนั้นชาวบ้านจึงไร้ความรู้สึกกันนานแล้ว คิดว่าสงครามไม่มีทางมาถึงหนานเจียงได้อย่างแน่นอน ที่นี่จะต้องเป
นางอยากรู้ว่าราชินีหนานเจียงผู้นี้กำลังจะทำอะไรลับหลังนางกันแน่ ตั้งใจจะใช้ห้องปรุงพิษแห่งนั้นทำสิ่งที่น่าประหลาดใจอะไรอยู่กันแน่พิษ หากใช้มันจริง ๆ ความรุนแรงก็ไม่ต่างกับดินปืนเลยเวลานี้เกาเจี้ยนเพิ่งได้เข้าใจ “ท่านจะปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนชุดดำเหล่านั้นอย่างนั้นหรือ?”“ถูกต้อง”กู้หว่านเยว่พยักหน้า นางทำหน้ากากหนังคนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว“ในเมื่อเจ้าและอวิ๋นมู่ร่วมมือกันแล้ว ต่อไปข้าคงฝากฝังเจ้าได้อย่างวางใจ ข้าขอเก็บของสักครู่แล้วจะออกเดินทางทันที”กู้หว่านเยว่ดูรีบร้อนมากเรื่องนี้จะช้าไม่ได้“ขอรับ”เกาเจี้ยนคงพูดอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ผิดหวังความไว้วางใจของพระมเหสีไปแล้ว แต่นางก็ยังยกกองกำลังแนวหน้าให้เขาดูแลทั้งหมด!กู้หว่านเยว่คว้าป้ายอาญาสิทธิ์ของหกคนนั้น ก่อนจะควบม้ามุ่งหน้าไปกับทิศทางของหนานเจียงพร้อมกับชวีเฟิง“หวังว่าหว่านเยว่จะกลับมาอย่างปลอดภัย”อวิ๋นมู่มองไปยังทิศทางที่กู้หว่านเยว่จากไป แววตาเป็นห่วงยังคงจ้องมองอย่างนั้นอยู่เนิ่นนานเกาเจี้ยนจึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ถ้าเป็นห่วง เมื่อครู่ใยไม่โน้มน้าวกับข้าเล่า เป็นห่วงตอนนี้จะได้อะไรขึ้นมา”อวิ๋นมู่คลี่ยิ้ม
“แบบนี้ไม่ได้นะขอรับ พระมเหสี การเดินทางครั้งนี้อันตรายมาก ก่อนจะออกเดินทาง ข้าสัญญาต่อฝ่าบาทว่าจะต้องปกป้องท่านอย่างดีที่สุดหากเขารู้ว่าข้าให้ท่านเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพัง เขาจะไม่ตัดหัวของข้าเลยหรือ?”เกาเจี้ยนร้อนใจมาก เหตุใดกู้หว่านเยว่ถึงได้มีความคิดที่เหลวไหลและกล้าหาญถึงเพียงนี้ เขายังไม่อยากตายกู้หว่านเยว่ยกมือเท้าคางพลางคลี่ยิ้ม“ไม่ได้จะไปเพียงลำพังเสียหน่อย นี่ ข้าให้ชวีเฟิงไปกับข้าด้วย”“เขา?” เขาเนี่ยนะ?เกาเจี้ยนส่ายหน้าทันที“พระมเหสี ได้โปรดท่านคิดทบทวนดี ๆ เถิด”ทว่าแม้แต่ซูจิ่งสิงก็ยังโน้มน้าวกู้หว่านเยว่ไม่ได้ นับประสาอะไรกับเกาเจี้ยน“เรื่องนี้ว่าไปตามนี้ก่อนแล้วกัน กว่าฟ้าจะสว่างยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยาม ข้าง่วงแล้ว ขอพักสักหน่อย เจ้าออกไปจุดพลุส่งสัญญาณเถอะ รอให้คนของอวิ๋นมู่มาถึงแล้วค่อยมาปลุกข้า”เมื่อกู้หว่านเยว่กล่าวจบ ก็เข้าไปในกระโจมที่อยู่ถัดไปอื้อ ไม่ใช่ว่านางอยากเปลี่ยนกระโจมหรอก ความจริงคือกลิ่นเท้าในกระโจมของเกาเจี้ยนแรงเกินไปต่างหาก!พรุ่งนี้ต้องหาผงดับกลิ่นเท้ามาให้เขาสักห่อ รักษากลิ่นเท้าของเขาให้หาย“พระมเหสี!”เกาเจี้ยนไล่ตามม
มิน่าล่ะในระหว่างการสอบสวนเมื่อครู่ นางมองเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเขาพยายามจะใช้พิษไม่ต่ำกว่าห้าครั้งนั้นได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ภายใต้ความจนปัญญานางทำได้แค่กดจุดทั่วร่างกายของคนเหล่านี้ไว้ เหลือเพียงปากของพวกเขาที่ยังสามารถพูดได้“ชวีเฟิง เจ้าสมควรตาย”เมื่อคนชุดดำเห็นชวีเฟิงขายความลับของหนานเจียงจนหมดเกลี้ยง ดวงตาก็พลันเบิกกว้างอย่างโกรธเคือง และสบถเป็นภาษาถิ่น“หุบปาก”ครั้นกู้หว่านเยว่ได้ยินเสียงโวยวาย ก็ขว้างเข็มเล่มหนึ่งออกไปปักลิ้นของคนผู้นั้นอย่างหมดความอดทน“อ๊าก!”เขาส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนาออกมาคนชุดดำคนอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทยอยกันตัวสั่นงันงก รีบปิดปากทันที“เอาละ ตอนนี้เจ้าพูดต่อได้แล้ว” กู้หว่านเยว่หันไปมองชวีเฟิงชวีเฟิงตัวสั่นงันงกนางมารยังไงก็คือนางมารอยู่วันยังค่ำ น่ากลัวเหมือนกับในความทรงจำจริง ๆเขากลืนน้ำลายอึกใหญ่“ว่ากันว่า ในห้องปรุงพิษมีคนอยู่มากกว่าสามสิบคน ทุกคนอาศัยลวดลายบนแขนมาระบุสถานะ”กู้หว่านเยว่โบกมือไปมาเกาเจี้ยนตั้งสติแล้วรีบเดินขึ้นหน้า ถกแขนเสื้อของคนชุดดำทั้งหกคนขึ้น เผยให้เห็นแขนข้างภายใต้ร่มผ้าเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ บนแขนของคนชุด
“ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยากฆ่าพวกเจ้า ก็แค่บังเอิญโดนข้าจับได้เสียก่อน”“พระมเหสี ข้าเอง”เกาเจี้ยนจะกล้าให้กู้หว่านเยว่ลงมือเองได้อย่างไร เขารีบรุดหน้าเข้าไปคว้าเชือกป่านจากมือของนาง แล้วจับคนชุดดำทั้งห้าคนลากไปมัดเอาไว้ด้วยกัน“จริงสิ ใต้ต้นไม้ใหญ่ฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ยังมีคนชุดดำที่โดนข้าฟาดสลบอีกหนึ่งคน เจ้าส่งคนไปลากเขามามัดไว้ด้วยกันเถอะ”จะปล่อยให้คนชุดดำมีโอกาสรอดกลับไปรายงานเจ้านายของมันแม้แต่คนเดียวไม่ได้“พระมเหสีโปรดวางใจ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”เกาเจี้ยนรีบพุ่งตัวออกจากค่าย ทันทีที่ออกไป จู่ ๆ หนังตาก็กระตุกมิน่าล่ะกู้หว่านเยว่จึงสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทหารลาดตระเวนนอกค่ายแห่งนี้พากันล้มลงไปบนพื้นและหลับไปเสียงกรนของทุกคนดังสนั่น และมีน้ำลายไหลยืดจากมุมปาก ทหารลาดตระเวนปกติที่ไหนจะเป็นเช่นนี้? “รีบลุกขึ้นได้แล้ว นอนอะไรกันนักหนา หลับสบายกันขนาดนี้จนไม่รู้ว่าค่ายของตัวเองถูกทำลายไปแล้ว”เกาเจี้ยนเดินขึ้นหน้า ยกเท้าเตะทหารสองนายตรงหน้า“ท่านแม่ทัพ เกิดอะไรขึ้น?”“ข้าหลับได้อย่างไร?”ทหารสองคนมีสีหน้างัวเงีย รีบคุกเข่าขอความเมตตาจากเกาเจี้ยน“ท่านแม่ทัพได้โปรดไว้