จื่อเหยาลุกพรวดขึ้นนั่ง หัวใจเต้นถี่ระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก ความหวาดกลัวเข้าจับขั้วหัวใจอย่างที่นางไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แต่ก็เพียงชั่วครู่เดียว ก่อนที่สติของแพทย์นิติเวชจะเข้าควบคุมทุกความคิด นางหลับตาลง สูดลมหายใจลึก แล้วเร่งประมวลภาพในหัวอย่างรวดเร็ว
(ศพจมน้ำ...เสียชีวิตได้ไม่นาน...ร่องรอยบางอย่างที่ลำคอบ่งชี้ถึงการต่อสู้ และอาจเป็นสาเหตุของการขาดอากาศหายใจ...จุดเกิดเหตุอยู่ที่บ่อน้ำท้ายเรือน...)
ความคิดจากร่างเดิมกับความรู้สึกในฐานะจื่อเหยาในยามนี้กำลังปะทะกันวุ่นวายยุ่งเหยิงในอก นางรู้ดีว่าความเกลียดชังที่มีต่อป้าจางผู้หญิงใจร้ายที่คอยรังแกและเบียดเบียนผู้อื่นกำลังแผดเผาอยู่ในใจ ทว่าฐานะของนางในตอนนี้ไม่ใช่เพียงเด็กหญิงธรรมดา แต่คือแพทย์...และนักสืบ
ความตายทุกกรณี...ต้องมีคำตอบ ไม่ว่าผู้ตายจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว นางไม่มีวันยอมให้ฆาตกรลอยนวลไปได้
นี่ไม่ใช่การช่วยวิญญาณของป้าจาง...หากแต่คือการยืนหยัดเพื่อหลักการและความยุติธรรมที่นางยึดถือมาตลอดชีวิตและที่สำคัญที่สุดนี่คือโอกาส
โอกาสที่จะพิสูจน์ให้ทุกคนในเรือนแห่งนี้ได้เห็น...ว่าคุณหนูหรงจื่อเหยาคนนี้มิใช่เด็กสาวโง่เง่าที่ปล่อยให้อารมณ์ครอบงำอีกต่อไป
นางนั่งนิ่งในความมืด ความง่วงงุนเลือนหายจนหมดสิ้น เหลือเพียงความเยือกเย็นและสมาธิที่แน่วแน่...รอคอยเสียงกรีดร้องที่จะดังขึ้นในยามรุ่งอรุณ
และแล้วสิ่งที่นางรอคอยก็มาถึง...เสียงกรีดร้องอันแหลมสูงของบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งดังขึ้นในยามเช้าตรู่...ได้ทำลายความเงียบสงบของเรือนเมฆาคล้อยจนหมดสิ้น
บรรยากาศที่เคยเฉื่อยชาเนิบนาบพลันแปรเปลี่ยนเป็นความโกลาหลวุ่นวายในทันที เสียงฝีเท้าจำนวนมากวิ่งสับสนอลหม่านและเสียงร้องเอะอะโวยวายดังขึ้นจากทุกทิศทาง
เสี่ยวชุนที่เพิ่งจะเดินออกไปด้านนอกได้ไม่นานนัก นางก็ได้รีบวิ่งกลับเข้ามาในห้องพักด้วยอาการตื่นตระหนก ใบหน้าของเด็กหญิงซีดเผือด ตัวสั่นงันงก
"คุณหนู! แย่แล้วเจ้าค่ะ! แย่แล้ว! ป้าจาง...ป้าจางนาง..." เด็กสาวตัวน้อยรีบวิ่งเข้ามาในห้องอย่างลนลาน เสียงหอบแฮก ๆ และถ้อยคำตะกุกตะกักบ่งบอกถึงความตื่นตระหนกอย่างถึงที่สุด
ทว่า...แทนที่นางจะได้เห็นภาพคุณหนูของตนตกใจจนหน้าซีดเซียวอย่างทุกครา จื่อเหยากลับนั่งนิ่งอยู่บนแคร่ไม้แววตาของนางเยือกเย็นและว่างเปล่าราวกับว่านางได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้อยู่ก่อนแล้ว
"นางตายแล้วใช่หรือไม่" จื่อเหยาถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
เสี่ยวชุนเบิกตากว้าง อ้าปากค้างด้วยความตกใจ "คุณหนูทราบได้อย่างไรเจ้าคะ?"
"ไม่ต้องถามมากความ...เจ้าพาข้าไปดูเหตุการณ์ห่าง ๆ หน่อย" จื่อเหยากล่าว ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางสงบที่ผิดวิสัยเดิมของตน ทำเอาเสี่ยวชุนรู้สึกขนลุกเลยทีเดียว แต่นางก็ยอมเดินนำทางไปแต่โดยดี
ในตอนนี้ภาพที่ลานท้ายเรือนเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย บ่าวรับใช้หลายสิบคนมุงดูอยู่ที่ขอบบ่อน้ำเก่าด้วยสีหน้าหวาดกลัวและอยากรู้อยากเห็น
ร่างที่ไร้วิญญาณของนางจางถูกบ่าวชายร่างกำยำสองคนช่วยกันดึงขึ้นมาวางบนพื้นหญ้า สภาพศพนั้นช่างน่าอนาถยิ่งนัก ร่างกายอืดขึ้นเล็กน้อย ผิวซีดขาวราวกับกระดาษ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลงจ้องมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่า
ไม่นานนักพ่อบ้านสวีผู้ดูแลเรือนพักแห่งนี้ ซึ่งเป็นคนสนิทของเหมยลี่ฮูหยินอีกคนก็รีบวิ่งกระหืดกระหอบมาถึงที่เกิดเหตุ ชายวัยกลางคนใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกด้วยสีหน้ารังเกียจ พลางมองสำรวจศพจากระยะไกล
"เฮ้อ! ช่างเป็นเรื่องอัปมงคลเสียจริง!" เขาบ่นอุบ "เมื่อคืนคงจะเมามายแล้วซุ่มซ่ามเดินพลัดตกลงไปเองกระมัง! พวกเจ้ารีบเอาเสื่อมาห่อศพแล้วนำไปจัดการฝังเสียให้เรียบร้อย อย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปสร้างความเสื่อมเสีย เข้าใจไหม"
แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ขยับ ก็มีบ่าวรับใช้คนหนึ่งวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามารายงาน "เรียนพ่อบ้านสวี! เรื่องนี้ปิดไม่มิดแล้วขอรับ! มีชาวบ้านที่มาส่งผักตอนเช้าเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี ตอนนี้เรื่องได้แพร่กระจายไปถึงในหมู่บ้านแล้วขอรับ!"
หลังพ่อบ้านสวีได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเจ้าตัวก็ถอดสีในทันที "ว่ากระไรนะ!" เขารู้ดีว่าหากทางการรู้ว่ามีคนตายผิดแปลกเช่นนี้ในความดูแลของตนเอง จะต้องเกิดเรื่องยุ่งยากตามมาอย่างแน่นอน
เขาจึงรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างเร่งด่วน "ในเมื่อเป็นเช่นนี้...ข้าจะให้คนไปแจ้งทางการที่ว่าการอำเภอเอง! นี่เป็นการตายไม่ธรรมดา เราต้องสืบหาความจริง!" เขาประกาศเสียงดังเพื่อให้ตนเองดูเป็นคนมีความรับผิดชอบ
ขณะที่รอทางการมาถึง พ่อบ้านสวีก็แสร้งทำเป็นสืบสวนหาข่าว เขาปรายตามองไปรอบด้านแล้วถามเสียงดังว่า
"พวกเจ้ารู้หรือไม่ ว่าช่วงนี้นางจางมีเรื่องระหองระแหงกับผู้ใดบ้างเป็นพิเศษ?"
บ่าวไพร่ต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่แล้วเสี่ยวชิวบ่าวคนหนึ่ง ก็รีบฉวยโอกาสนี้สร้างความดีความชอบ นางก้าวออกมาแล้วกล่าวว่า
"เรียนพ่อบ้านสวี...ก็มีแต่คุณหนูใหญ่เท่านั้นแหละเจ้าค่ะที่ดูจะไม่พอใจป้าจางเรื่องอาหารการกินอยู่บ่อยครั้ง"
คำพูดนั้นทำให้ทุกคนหันไปมองทางห้องพักของจื่อเหยาเป็นทางเดียว พ่อบ้านสวีพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ ราวกับว่านี่คือคำตอบที่เขาคาดหวังไว้อยู่แล้ว โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าจื่อเหยากับบ่าวของนางก็ได้ยินคำพูดนี้เช่นกัน
เสี่ยวชุนทำท่าจะพุ่งตัวออกไป แต่ว่ามือของจื่อเหยาได้จับต้นแขนของนางเอาไว้เสียก่อน "พวกเรากลับกันเถอะ"
"แต่ว่า" บ่าวตัวน้อยกำลังจะแย้ง "เชื่อข้า" น้ำเสียงราบเรียบกับสีหน้าที่นิ่งสงบของคุณหนูของตน ทำให้บ่าวตัวน้อยกลืนคำโต้แย้งกลับลงคอโดยไม่รู้ตัว
เวลาผ่านไปไม่นาน นายอำเภอหวังพร้อมด้วยมือปราบสองนายก็เดินทางมาถึงเรือนเมฆาคล้อย พ่อบ้านสวีรีบเข้าไปรายงานสถานการณ์ทันที และไม่ลืมที่จะยื่นห่อผ้าเล็ก ๆ ส่งให้เขาอย่างลับ ๆ
"เรียนนายอำเภอหวัง" พ่อบ้านสวีกระซิบ "นอกจากเรื่องที่นางจางเคยมีปากเสียงกับคุณหนูใหญ่แล้ว บ่าวรับใช้ยังไปพบปิ่นปักผมของคุณหนูใหญ่ตกอยู่ในพงหญ้าข้างบ่อน้ำอีกด้วยขอรับ..."
นายอำเภอหวังรับห่อผ้ามาคลี่ดู เห็นเป็นปิ่นไม้ธรรมดาอันหนึ่ง เขากำมันไว้ในมือก่อนจะพยักหน้าช้า ๆ แววตาฉายความหมายที่พ่อบ้านสวีเข้าใจดี
ก่อนที่เขาจะทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุอย่างผิวเผินตามธรรมเนียม และเดินตรงมายังห้องพักของจื่อเหยา
"คารวะคุณหนูใหญ่" เขากล่าวโดยปราศจากความเคารพ "ข้าคือนายอำเภอหวัง มาเพื่อสืบคดีการตายของนางจาง...มีคนให้การว่าคุณหนูมีความขุ่นเคืองกับผู้ตาย ไม่ทราบว่าเป็นความจริงหรือไม่?"
จื่อเหยานั่งนิ่งอยู่บนแคร่ไม้ นางมองนายอำเภอหวังด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก "ไม่ทราบว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับการตายของนางหรือเจ้าคะ?"
"เกี่ยวสิ!" นายอำเภอหวังกล่าวเสียงเข้มขึ้น "เพราะมันคือแรงจูงใจ! และที่สำคัญมากกว่านั้น..." เขาคลี่มือออกเผยให้เห็นปิ่นไม้อันเก่าที่วางอยู่บนฝ่ามือ
"เราพบปิ่นปักผมอันนี้ของเจ้า ตกอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ! ตอนนี้ทั้งพยานและหลักฐานต่างก็บ่งชี้มาที่ตัวเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไรอีก!"
เสี่ยวชุนหน้าซีดเผือดทันทีที่เห็นปิ่นอันนั้น เพราะมันเป็นปิ่นที่คุณหนูของนางทำหายไปเมื่อหลายวันก่อน!
บรรยากาศในห้องพลันกดดันขึ้นมา แต่ทว่าจื่อเหยาทำเพียงแค่คลี่ยิ้มออกมา...และมันเป็นรอยยิ้มที่เย็นเยียบจนน่า ขนลุก
"ท่านนายอำเภอ" จื่อเหยาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจนและมั่นคงอย่างน่าประหลาด "ปิ่นอันนี้เป็นของข้าจริง แต่มันหายไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้ว การที่มันไปตกอยู่ข้างบ่อน้ำในคืนเกิดเหตุพอดี...ท่านไม่คิดว่ามันบังเอิญ เกินไปหน่อยหรือเจ้าคะ?"
นางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของเจ้าหน้าที่วัยกลางคนตรงหน้า "ก่อนที่ท่านจะใช้ปิ่นอันเดียวมาตัดสินความผิดข้า...ท่านได้ชันสูตรศพเพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริงแล้วหรือยัง"
นายอำเภอหวังขมวดคิ้ว ก่อนที่คำถามของจื่อเหยาจะตามมาอีกเป็นชุด "ท่านได้ตรวจดูร่องรอยบนร่างกายของนางอย่างละเอียดแล้วหรือไม่? ท่านได้ตรวจสอบบริเวณรอบบ่อน้ำเพื่อหาหลักฐานอื่นแล้วหรือยัง? การสืบคดีเริ่มต้นจากศพและหลักฐาน ไม่ใช่คำซุบซิบนินทา หรือสิ่งของเพียงผิวเผินที่ใครก็ไม่รู้อาจนำมาวางไว้...มิใช่หรือเจ้าคะ?"
ซึ่งคำถามของนางราวกับลูกธนูที่ยิงเข้าใส่หน้านายอำเภอหวังเข้าอย่างจัง เขาอ้าปากค้าง พูดไม่ออกไปชั่วขณะ...เนื่องจากเจ้าตัวไม่เคยคาดคิดว่าจะถูกเด็กหญิงอายุเพียงสิบสามปีสั่งสอนเรื่องการสืบคดี!
หลังจากตั้งสติได้ เขาก็รู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง "นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าทำงานไม่เป็นเช่นนั้นหรือ!" เขาตวาดกลบเกลื่อน "ดี! ในเมื่อเจ้าอวดดีนัก ข้าจะให้เวลาเจ้าสามวัน! หากภายในสามวันเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ ข้าจะจับกุมเจ้าในฐานะผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งทันที!"
เมื่อนายอำเภอหวังและคนอื่น ๆ จากไปแล้ว ความเงียบอันน่าอึดอัดก็เข้ามาแทนที่
[ติ๊ง!]
[คำเตือน! โฮสต์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในคดีฆาตกรรม! หากไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้ภายใน 3 วัน จะถูกทางการควบคุมตัว!] [ภารกิจย่อยใหม่: ความจริงก้นบ่อ] [เป้าหมาย: พิสูจน์ความบริสุทธิ์และค้นหาฆาตกรตัวจริง] [รางวัล: 50 แต้มไขความจริง ชื่อเสียง +20 ค่าความยำเกรงในเรือนเมฆาคล้อย +30]
จื่อเหยามองหน้าต่างระบบที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าด้วยแววตาแน่วแน่...การหาความจริงแข่งกับเวลาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว