LOGINตลอดเส้นทางหยางหยู่เฟยเปิดม่านที่ปิดหน้าต่างเพื่อบังแสงและฝุ่นที่ฟุ้งกระจายขณะรถม้าวิ่ง แต่กลับเห็นว่าการสัญจรตลอดทางมีเหล่าทหารอยู่เป็นระยะ จนอดถามท่านลุงกู่ให้คลายสงสัยไม่ได้
“ท่านลุงเจ้าคะ ข้าไม่รู้ว่าเสี้ยนหยางสำคัญอย่างไร เหตุใดทหารจึงมีตลอดเส้นทาง”
ท่านลุงกู่ยิ้มให้อย่างใจดี แล้วก็ตอบเท่าที่ตัวเองพอรู้มาบ้างเล็กน้อย จากการรับจ้างไปส่งคนต่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง
“เมืองเสี้ยนหยางนับเป็นเมืองในความรับผิดชอบของกองทัพตระกูลเหอ แม่ทัพเหอได้รับหน้าที่ดูแลชายแดนเพราะเสี้ยนหยางเป็นดินแดนที่แทรกกลางอยู่ระหว่างสองแคว้น ทิศเหนือติดกับแคว้นฉี ทิศใต้ติดกับแคว้นจิ้น ดังนั้นทหารรักษาแคว้นจึงอยู่ที่นี่หลายแสนคน ยามไม่มีศึกก็อารักขาชาวบ้านตลอดเส้นทางเพื่อความปลอดภัย ยามมีศึกก็ต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวอันตรายช่างน่ายกย่องยิ่งนัก”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ ข้าเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้”
หยางหยู่เฟยโลกแคบ นางรู้จักเพียงเมืองหลวง
อยู่แต่ในวังกับแต่งไปเรือนเยียนอ๋องซื่อจื่อ การได้ออกมาเช่นนี้นับว่าได้เปิดโลกทัศน์ของนางอย่างยิ่งการเป็นองค์หญิงอยู่อย่างเงียบสงบใครว่าจะไม่มีภัย นางไม่ทำร้ายผู้ใดแต่ไม่ใช่ผู้อื่นที่ไม่ริษยานางจะคิดเหมือนนาง การได้เป็นสตรีของซื่อจื่ออันดับหนึ่งนางประมาทเกินไป เคยคิดว่านางโชคดีกว่าองค์หญิงที่กำเนิดกับสนมชั้นปลายแถวมาก แต่เมื่อย้อนคิดไปนางกลับอิจฉาสตรีเหล่านั้นที่ได้สามีทั่วไป แต่กลับได้รับความรักใคร่ทะนุถนอมพวกนางเป็นอย่างดี
เยียนเหรินเป็นญาติกับฮองเฮา เพราะท่านหญิงเหอเหวินอี๋เป็นญาติสนิทกับฮองเฮาองค์ปัจจุบัน ‘เหอเยียนถิง’ ว่ากันว่าฮองเฮาทรงรักแม่ทัพใหญ่ ‘เหอจื่อหยาง’ผู้นี้ นอกจากหลานชายของพระองค์จะเก่งในด้านการรบแล้ว รูปร่างหน้าตาก็ไม่เป็นสองรองใคร ถึงขนาดเล่าลือกันว่า หากแม่ทัพเหอเป็นอันดับสองแล้ว ผู้ที่เป็นอันดับหนึ่งจะถูกฮองเฮาทรงส่งคนไปสังหารทันที
ดูเหมือนความสัมพันธ์ของตระกูลเยียนกับตระกูล เหอไม่ธรรมดาเสียแล้ว แต่นางเป็นลูกหลานตระกูลหวังมารดาเป็นบุตรสาวคนโตของชายาผู้เฒ่าหวังในอดีต
แต่กลับถูกคนตระกูลเยียนให้ร้าย มันเพราะอะไรกัน! หรือแท้ที่จริงแล้วหวงตานตานมีฐานะอื่นที่นางไม่รู้นอกจากเป็นนางกำนัลแม้นางจะจำหน้าสามีไม่ได้แล้ว และไม่คิดล้างแค้นเอาคืน แต่ว่านางต้องสืบให้ได้ว่าผู้ไม่ประสงค์ดีกับนางต้องการทำลายนางด้วยเหตุอันใด และแม่ทัพเหออาจเป็นสะพานให้นางหาคำตอบนี้ได้
ห้าปีผ่านไปแล้วนางคิดว่าสามีก็คงลืมเลือนนางเช่นกัน และแม่ทัพเหอจื่อหยางที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับนางโดยตรงก็คงจดจำนางไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากจัดการอะไรเรียบร้อยแล้ว นางจะลองหาวิธีเข้าใกล้แม่ทัพเหอดูสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อสืบบางเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง
คิดจนเหนื่อยบวกกับเส้นทางที่รถม้าผ่านก็โยกไปมา ทำให้นางเริ่มอ่อนเพลียจึงดึงลูกสาวและลูกชายมากอดเอาไว้แล้วหลับไปด้วยกัน
การเดินทางวันแรกผ่านไปด้วยดี ถึงจุดพักม้าใกล้ค่ำพอดีกับที่นางตื่นขึ้นหลังรถม้าจอดสนิท
“ถึงที่ใดแล้วเจ้าคะท่านลุงกู่” เสียงที่อ่อนล้าจากการเดินทางไกลครั้งแรกทำให้ท่านลุงกู่ยิ้มให้ พร้อมตอบคำถาม
“อำเภอชิงหัวแล้ว มีจุดพักม้าหลายจุด แต่จุดนี้คนพักน้อยที่สุดมีห้องว่างให้พวกเราได้พักผ่อน และมีน้ำอุ่นให้อาบ แพงกว่าจุดอื่นสิบอีแปะ แต่สบายกว่ามาก” ท่านลุงกู่แนะนำเพิ่มอีกนิดหน่อย ย่อมทำให้การเดินทางไม่เหน็ดเหนื่อยมาก และหยางหยู่เฟยก็เห็นด้วย หากพักที่อื่นไม่มีน้ำให้อาบมิสู้เพิ่มเงินอีกเล็กน้อย แต่สะดวกสบายกว่าหรอกหรือ
“เช่นนั้นรบกวนท่านลุงยกของให้ข้าหน่อยเจ้าค่ะ
ไก่ของหลิงเผิงยังต้องให้อาหาร ส่วนข้าจะไปเช่าห้องสองห้อง”เนื่องจากการเดินทางนางจะเป็นผู้รับผิดชอบค่ากินกับที่พักให้ ส่วนท่านลุงกู่จะเป็นคนขับรถม้าพานางไปยังจุดหมายอย่างปลอดภัย เป็นข้อตกลงระหว่างกันโดยเสียค่าจ้างห้าตำลึงเงิน
หยางหยู่เฟยเรียกลูกชายและลูกสาวให้เดินตาม
ลงมา หลิงเผิงขยี้ตาแล้วก็จับมือน้องสาวที่ยังสะลึมสะลือกลัวจะเดินชนเสาเข้าเสียก่อน แล้วตามท่านแม่ไปมองสำรวจรอบ ๆ พบว่ามีเหล่าคนที่ท่านแม่บอกว่าเป็นทหารนั่งกันอยู่ตามโต๊ะดื่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เขาหิวก็จริงแต่ต้องอดทน เพราะต้องรอให้ท่านแม่จัดการเรื่อง
ที่พักก่อนเมื่อได้กุญแจห้องพักแล้วหลิงเผิงรับอาสานำไปให้ท่านลุงกู่ก่อน แล้วเขาจะตามขึ้นไปทีหลัง เพราะว่าเขารู้สึกเป็นห่วงเจ้าพวกแม่ไก่ของเขา
“ท่านลุงกู่กุญแจห้องขอรับ” หลิงเผิงยื่นกุญแจให้พร้อมกับนั่งยอง ๆ ดูเจ้าพวกไก่ของเขา พบว่ามันยังแข็งแรงดีและยังมีไข่ในเล้าไม้ไผ่สานอีกสามฟองด้วย
“วันนี้มันไข่ด้วยขอรับ ข้านึกว่ามันจะตกใจจนไม่ไข่เสียแล้ว” หลิงเผิงเป็นเด็กจิตใจดีเขารักพวกสัตว์มาก
แต่ก่อนอยากเลี้ยงสุนัขสักตัว แต่พบว่าท่านแม่จะต้องลำบากเพิ่มขึ้น เขาจึงเอาข้าวไปล่อพวกแม่ไก่มาแทน อย่างน้อยเลี้ยงไก่พวกนี้ก็ยังมีไข่กิน เขายังสามารถขุดพวกไส้เดือนดินกับหญ้าและผลไม้ป่าให้มันกินได้“ไก่ของเจ้าอ้วนนัก” ลุงกู่ชื่นชมไก่ตัวอวบของหลิงเผิง
“ข้าดูแลมันอย่างดีขอรับ” หลิงเผิงบอกด้วยรอยยิ้มอย่างภูมิใจเขาชอบเลี้ยงพวกมันมาก และเป็นสิ่งแรกที่เขาช่วยเหลือมารดาได้ ยามไร้ข้าวสารหุง ยังมีไข่ต้มกินกันคนละฟองก็คลายหิวไปได้มาก
“ไปเถอะรีบไปอาบน้ำ จะได้กินข้าวแล้วนอน
ไก่พวกนี้ลุงจะเอาขึ้นไปด้วยหาอะไรรองให้มัน กลัวว่าคนครัวจะจับมันไปต้มน้ำแกงเสียก่อนเพราะมันตัวใหญ่”การเดินทางแม้มีทหารตลอดเส้นทาง แต่ไม่ได้หมายความว่าสิ่งของที่พกติดตัวมาจะไม่ได้หายไป และนั้นเป็นของที่สำคัญย่อมต้องเก็บรักษาติดตัวเอาไว้
“ขอบคุณขอรับ” หลิงเผิงคิดว่าดีมาก ได้นำมันขึ้นไปด้วยเขาก็สบายใจ แต่เมื่อเดินเข้าไปในโรงเตี้ยมของที่พักม้า กลับเห็นเหล่าทหารเดินเข้ามาหาพวกเขา
“นั่นนักเดินทางใช่หรือไม่ พวกเรามาจากกองทัพตระกูลเหอจะดูแลทรัพย์สินทุกคนให้เอง ไม่ต้องเอาขึ้นไปหรอก” เหล่าทหารที่ได้รับการกำชับอย่างดี ของทุกชิ้นของรถม้าคนนี้ห้ามหายแม้แต่อย่างเดียว พวกเขาจึงอารักขามาเงียบ ๆ ตลอดทาง
หลิงเผิงมองตาขวางทั้งไม่ไว้ใจ เพราะไก่ของเขาอ้วนพีแบบนี้ หากตื่นมาเหลือแต่ขนจะทำอย่างไร
“ขอบคุณขอรับแต่พวกเราดูแลกันได้” หลิงเผิง
ไม่รู้จักพวกเขาจะไว้ใจได้อย่างไร เขารีบผลักท่านลุงกู่ขึ้นแล้วระวังหลังให้ราวกับไก่นี้ทำจากทองคำเหล่าทหารกำลังจะเอ่ยต่อแต่มีทหารผู้หนึ่งยกกระบี่ห้ามไว้แล้วก็ส่ายหน้า หากทำให้พวกเขาตกใจพวกเราอาจจะไร้เงาหัว
หลิงเผิงจัดการเจ้าพวกแม่ไก่ตัวอวบเสร็จ จึงเข้ามาสมทบกับท่านแม่ในห้อง พบว่าท่านแม่กำลังอาบน้ำให้น้องสาวและหวีผมให้นางใหม่ เขาจึงเดินมาบอกท่านแม่
“ท่านแม่ขอรับเมื่อครู่เหล่าทหารพวกนั้นบอกว่า
จะดูแลทรัพย์สินให้ขอรับ แต่ข้าไม่ไว้ใจจึงให้ท่านลุงกู่เอาไก่ของข้าขึ้นมาบนห้อง กลัวว่ารุ่งเช้าจะเหลือแต่ขน”หยางหยู่เฟยใจหายวูบ นางมาครั้งนี้คาดว่าไม่มีใครตั้งตัว คงไม่ใช่ตระกูลเยียนส่งคนตามนางมาหรอกกระมัง แต่ทว่าเหล่าทหารของตระกูลเหอ ตระกูลเยียนไม่น่าจะมือยาวมีสิทธิ์ขาดในการสั่งการได้ นอกเสียจากจะเป็นแม่ทัพเหอ คิดได้ดังนั้นนางค่อยสบายได้สักครู่ แต่นางต้องระวังเอาไว้ไม่ยอมให้ใครทำอันตรายนางและลูก ๆ เด็ดขาด
เยียนอ๋องซื่อจื่อถือศักดิ์ศรีเป็นเรื่องใหญ่ นางถูกให้ร้ายว่าแอบส่งจดหมายให้แม่ทัพเหอ ดังนั้นหากนางอยู่ในพื้นที่อารักขาของแม่ทัพเหอนางน่าจะปลอดภัย เหมือนยืมมือศัตรูฆ่าศัตรู
“เช่นนั้นไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวรีบกินข้าวแล้วจะได้นอนกัน”
“ท่านแม่อิงเอ๋อร์ อิงหลิว อิงผิน ไข่ให้ข้าสามฟองท่านเอาไปทำอาหารเถิดจะได้ประหยัด” หลิงเผิงหยิบไข่ที่เก็บมาส่งให้ท่านแม่ แค่กินไข่เขาก็รู้สึกดีมากแล้วไม่ต้องมีเนื้อก็ได้
“เก่งมากลูกแม่เอาเถอะแม่จะเอาไข่นี้ทำอาหารให้พวกเรากิน” หยางหยู่เฟยอยู่อย่างประหยัดมาหลายปี
ทำให้นิสัยประหยัดนี้ส่งถึงลูกชายคนเก่งของนาง ต่อไปเมื่อได้บ้านหลังใหม่นางจะทำคอกไก่ให้เหล่าแม่ไก่ของลูกชายอย่างดี“พี่ใหญ่แม่ไก่ของท่านเก่งที่สุด ไข่ให้ท่านทุกวัน” หลิงหลงชื่นชมพี่ใหญ่ของตนเองมาก เพราะพี่ใหญ่เก่งกาจและกล้าต่อปากกับเด็กคนอื่นในหมู่บ้านแทนนางอีกด้วย
“แน่นอนหลงเอ๋อร์” หลิงเผิงลูบหัวน้องสาวแล้วก็รีบไปอาบน้ำ เขาแต่งตัวเป็นแล้วไม่ต้องให้ท่านแม่ช่วย ดังนั้นจึงอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกับจัดการซักเสื้อผ้าของตนเองให้สะอาด แล้วตากเอาไว้ที่ราวแขวนผ้า
หยางหยู่เฟยยังไม่อาบน้ำ แต่ลงไปยืมห้องครัวทำอาหารให้กับลูก ๆ และนาง ส่วนอาหารของท่านลุงกู่นางจ่ายให้เสี่ยวเอ้อร์ยกขึ้นมาให้ท่านลุงกู่ถึงห้อง
ข้าวสวยร้อน ๆ ที่นางซื้อในโรงพักม้ากับไข่เจียว
หอม ๆ หั่นหัวหอมในครัวใส่เล็กน้อยส่งกลิ่นยั่วยวนนัก เด็ก ๆ กินข้าวกันหมดถ้วยและนางก็ด้วยเช่นกัน หลังจากดื่มน้ำแล้วเหล่าเด็ก ๆ ก็นอนพักบนเตียง ส่วนนางก็ได้เวลาอาบน้ำของตนเองแล้ว น้ำไม่อุ่นเท่าไหร่แล้วแต่นางอาบได้ เพราะช่วยฤดูใบไม้ผลิเป็นช่วงหน้าร้อนที่ชาวบ้านเพาะปลูกกัน อากาศจะร้อนอบอ้าวในตอนกลางวัน การอาบน้ำเย็นจึงช่วยให้นางสดชื่นไม่น้อยขณะที่กำลังแช่ตัวในอ่างน้ำที่เย็นชืดไปแล้ว นางก็คิดทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อีกครั้ง การผ่านทางของนางตั้งแต่ต้นทางจนถึงอำเภอชิงหัวตลอดทางมีแต่ทหารตระกูลเหอเต็มไปหมด หากไม่เพราะนางมีเรื่องอื้อฉาวที่ปกปิดเพียงจวนเยียนอ๋องชื่อจื่อ นางคงนึกว่าตระกูลเยียนคงส่งคนมาติดตามนางไปแล้ว แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ตกว่าเหตุการณ์นี้มันปกติหรือไม่ปกติกันแน่
ยามจื่อเรือนซื่อจื่อตระกูลเยียน
ร่างหนึ่งกำลังนั่งอ่านรายงานด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ห้าปีแล้วที่เรือนซื่อจื่อไม่มีสตรีไว้ประดับเรือน ไม่ว่าจะเป็นชายาอ๋องซื่อจื่อหรือสตรีอุ่นเตียง ล้วนถูกเยียนอ๋อง-ซื่อจื่อไล่ออกไปจนหมด ทงานที่ทำโดยสตรีมีเพียงสาวใช้ที่ทำงานในเรือนครัว ซักล้าง และเย็บปัก
หลังจากเกิดเรื่องคราวนั้น เยียนอ๋องซื่อจื่อเอาแต่เก็บตัวเงียบ ไม่สังสรรค์หรือออกงานหากไม่จำเป็นเกี่ยวกับราชวงศ์และฝ่าบาท รวมทั้งคนนอกไม่มีใครล่วงรู้เรื่องอื้อฉาวขององค์หญิงสูงศักดิ์ ที่แต่งมาเป็นชายาเยียนอ๋อง-ซื่อจื่อตระกูลเยียน
“เรียนซื่อจื่อ คนดูแลของเราไปตรวจสอบที่สุสาน พบว่าองค์หญิงมีลูกแฝดสองคนใบหน้าเหมือนซื่อจื่อราวกับถอดกันมาขอรับ” เยว่ตงองครักษ์คนสนิทของเยียนอ๋อง-ซื่อจื่อรายงานอย่างระมัดระวัง หลังจากซื่อจื่อให้ตัดขาดจากองค์หญิง ไม่รู้นึกเช่นไรถึงให้คนไปตรวจสอบดูอีกครั้ง
“นางมีลูก...งั้นเหรอ” เยียนเหรินรู้สึกอึดอัด หัวใจถูกบีบคั้นอย่างหนักราวกับมีศิลานิลมาทับเอาไว้บนอก
ห้าปีก่อนนางโดนลงโทษโดยที่เขาไม่รู้ว่านางตั้งครรภ์ก็คิดว่าตนเองใจร้ายแล้ว แต่เมื่อสืบความในกองทัพดูแล้ว เหอจื่อหยางไม่มีความเคลื่อนไหวสิ่งใดเลย และไม่ส่งคนไปช่วยเหลือนางที่สุสานตระกูลเยียนดังที่คาดไว้แต่แรก นั่นผิดวิสัยคนเป็นชู้รักกัน จึงให้คนสืบเสาะเรื่องของนางอีกครั้ง ว่าคนโหดเหี้ยมเช่นเหอจื่อหยางจะทิ้งคนรักได้ลงคอ หรือแค่ต้องการหักหน้าเขากันแน่ แต่ทุกอย่างว่างเปล่าราวกับไม่มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เคราะห์ที่เขาไม่บุ่มบ่ามทำเรื่องให้ใหญ่ตั้งแต่แรก หาไม่ต้องหมิ่นเกียรติฮองเฮาเป็นแน่ เพราะเหอจื่อหยางคือหลานรัก ผิดกับตนนัก
“จะเป็นได้หรือไม่ขอรับ ว่าจดหมายที่พบในคืนนั้นเป็นจดหมายปลอม” เยว่ตงกล่าวพร้อมสังเกตสีหน้าของผู้เป็นนายไปด้วย จากเดิมที่เคร่งขรึมอยู่แล้ว คราวนี้กลับกลายเป็นดำทะมึน คล้ายกับมีสีของหมึกเขียนเปื้อนใบหน้านัก
“เจ้าว่าจดหมายปลอมงั้นรึ”
เพล้ง!
ค่ำคืนดึกสงัดมีเสียงถ้วยชากระเบื้องเคลือบกระทบพื้น ทำให้เหล่าบ่าวชายรับใช้ที่ยืนยามอยู่รอบเรือนซื่อจื่อสะดุ้งโหยง ไม่กล้าหลับตาทั้งสอดส่ายสายตาเสาะหาที่มาของเสียง
ครึ่งคืนผ่านไปพระจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือฟากฟ้า เทียนเล่มหนึ่งในที่พักม้าอำเภอชิงหัวถูกจุด แสงเทียนไหวตามแรงลมที่พัดเข้ามา โดยมีสตรีใบหน้างดงามราวกับเทพธิดานั่งอยู่ตรงหน้าต่างด้านบนชั้นสองโรงพักม้า
หยางหยู่เฟยคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ความทรงจำทุกอย่างในชาติภพที่ผ่านมา ทำให้นางอยากทบทวนเรื่องราวให้ชัดเจน เสียงที่สั่งก่อนที่นางจะฟื้นคือให้ลืมรักลืมแค้น นางก็ลืมจริง ๆ ใบหน้าสามีนึกเท่าไหร่นางก็นึกไม่ออก เห็นเป็นเพียงภาพเงาดำเลือนรางเท่านั้น แต่ขณะที่นางนั่งเหม่ออยู่นั้นก็เห็นเงาดำพาดผ่านไป
ฟึ่บ!!!
“ฮึก...อะไร...อะไรกัน”
เสี้ยนหยางอ๋องหลบหน้าลูกสาวออกมา จนเมื่อได้เวลารับรางวัล เขาจึงต้องกลับมาประทานรางวัลให้ โดยผู้ชนะมีสุราชั้นดีสิบไห ไข่ไก่อีกหนึ่งร้อยฟอง เงินรางวัลยี่สิบตำลึง และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นทหารสังกัดกองทัพรักษาเมืองเสี้ยนหยางทันที “เก่งมาก นี่โจวอวิ๋นจือเป็นรองแม่ทัพ ให้เขาช่วยชี้แนะเจ้าเถิด” เด็กหนุ่มยืนปาดน้ำตา ในที่สุดก็มีหนทางรอดแล้ว บิดาของเขาเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน มารดาต้องลำบากหาเลี้ยงพี่น้องห้าคน เขาเป็นบุตรชายคนโต ไม่ค่อยรู้หนังสือไปค้าขายโดนหลอกเป็นประจำ ดังนั้นจึงอยากมารับราชการทหาร อย่างน้อยได้เรียนอักษรหาเงินให้ท่านแม่ก็ยังดี เขาคุกเข่าโขกศีรษะให้เสี้ยนหยางอ๋องสามครั้ง จากนั้นรับรางวัลแล้วรีบกลับบ้าน “โจวฝาน ให้ทหารพาเขากลับบ้าน มีตำลึงมาก ของเยอะเขาอาจจะถูกปล้นกลางทาง” หยางหยู่เฟยกำชับนั่นจึงทำให้เหอจื่อหยางมองเด็กหนุ่มผู้นี้ดี ๆ อีกหน และพบว่าเป็นจริงดังภรรยาว่า เขาแต่งตัวไม่ดีนัก แน่นอนว่าวันนี้มีผู้มาชมการแข่งขันมาก อาจมีคนอิจฉาและไม่หวังดีกับเขาอยู่บ้าง ดังนั้นมีคนไปส่งยอมจัดการได้ดี แต่ทว่าการประทานรางวัลทั้งหมดยังไม่จบเท่านั้
หลังจากนางรั้งสามีให้อยู่กับตัวเอง ก็คิดถึงอยากจ้างขอทานเหล่านั้นให้มาทำงานที่ในสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง และนางก็จะเปิดหอสุราเหอเหมยลู่และรับแรงงานอีกทาง “ท่านอ๋องเจ้าค่ะ ข้าจะเปิดหอสุรา รับคนงานพวกขอทาน พวกเขาจะได้ลืมตาอ้าปากได้” เสี้ยนหยางอ๋องที่กอดประคองภรรยาอยู่ในอ้อมกอด กดจมูกที่ขมับของนาง จากนั้นค่อยกล่าว “ชายาข้าช่างเป็นคนดีเสียจริง” “ใช่ข้าที่ไหนเจ้าคะ ลูกสาวท่านต่างหา เห็นอกเห็นใจขอทาน จนจะลงแข่งขี่ม้ายิงธนู ที่แอบไปให้รองแม่ทัพฝึกให้” ร้อยก็ไม่เชื่อพันก็ไม่เชื่อ ยอดฝีมืออยู่กับนางแล้ว ยังจะไปหาโจวอวิ๋นจือด้วยเหตุอันใด หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขารูปงาม “ลูกสาวเจ้าร้ายกาจ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองยิงธนูไม่เป็นก็ยังจะลงแข่ง คิดว่าข้าอย่างไรก็ต้องให้รางวัลนางสินะ” “ของเช่นนี้ย่อมตรึกตรองมาดีแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้สึกว่าสามีโดนสองแสบไถ่เงินจนครึ่งท้องแล้วกระมัง แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดไม่ดี อีกสองวันก็ถึงวันงานแข่งแล้ว นางสั่งให้เอาไหสุราหมักขึ้นมาขายเป็นของที่ระลึก นอกจากนี้ขนนกยูงบุรุษชายยังไปหาช่างนำมาทำต่างหูสวยงามขายในร้านเ
ฤดูหนาวผ่านไปสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิงเป็นรูปเป็นร่าง สองแฝดได้นำชื่อเข้าผังตระกูลเหอ และเป็นลูกชายและลูกสาวลำดับที่หนึ่งและสองของเขาอีกด้วย ทุกวันหลิงเผิงมักจะออกไปตรวจสวนปศุสัตว์เลี้ยงตระกูลเหอ ที่มีสัตว์แปลก ๆ มากมายพื้นที่ของปศุสัตว์แห่งนี้มีถึงหนึ่งร้อยหมู่ นอกจากไก่ไข่ที่เป็นของขึ้นชื่อจากปศุสัตว์ตระกูลเหอนี้ที่ผู้คนต่างแวะเวียนมาชื่นชม และซื้อกลับโดยสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเพราะต้นทุนบิดาจ่าย “ท่านพ่อ...ท่านพ่อ นกกระจอกเทศมีไข่อีกแล้ว ข้าจะได้ลูกนกกระจอกเทศเพิ่มแล้ว” เหอจื่อหยางที่กำลังกอดรัดภรรยาต้องขยับออก เมื่อลูกชายวิ่งมาเล่าเรื่องราวจากปศุสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ของเขา “เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ถ้อยคำชื่นชมแบบขอไปทีหลุดออกจากปาก โดยผู้ที่เป็นภรรยามองอย่างขบขัน “ข้าว่าพวกมันควรจะจัดแข่งขันกันดีหรือไม่” หลิงเผิงสังเกตมาสักพักแล้ว เขาเห็นว่ามันวิ่งรวดเร็วนัก หากจัดแข่งขันและให้ผู้ชมเสียตำลึงเข้ามานั่งดู ทั้งจัดที่สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีสุราและอาหารย่อมทำให้เกิดความสำราญ หยางหยู่เฟยเห็นว่าความคิดนี้
คฑาหรูอี้หนึ่งคู่ทำจากทองคำประดับด้วยหยกสีเขียวมรกตสว่างยามต้องแสง วางประดับอยู่ในเรือนของทั้งคู่ แน่นอนว่าเป็นของขวัญล้ำค่าจากเหอฮองเฮาที่อยากอวยพรให้ทั้งคู่สมความปรารถนา เหอจื่อหยางและหยาง-หยู่เฟยยืนมองของขวัญที่ทั้งคู่ชื่นชอบและเก็บเอาไว้ใกล้ ๆ วันนี้ครบสามวันแล้วหลังจากแต่งงานงาน การเดินทางกลับเสี้ยนหยางจึงเริ่มต้นขึ้น ข้าวของในจวนของเสี้ยนหยางอ๋องถูกคลุมเอาไว้ ส่วนที่จะเอาไปชายแดนก็ทยอยนำขึ้นรถม้าล่วงหน้าไปแล้วเป็นขบวนยาว ทหารของกองทัพเหอเข้ามาช่วยขนของจากเรือนเสี้ยนหยางอ๋อง และคุ้มกันออกจากเมืองหลวงอีกด้วย เพราะหีบสมบัติของพระชายาเสี้ยนหยางอ๋องมีมากมายนัก ทั้งยังเป็นของจากเยียนอ๋องที่มอบให้บุตรชายและบุตรสาวก็ไม่น้อยสักนิด เมื่อเวลาของการจากลามาถึง พวกเขาจึงต้องเตรียมตัวร่ำลาญาติหนึ่งเดียวของเหอจื่อหยาง นั่นก็คือฮองเฮา เพราะคนอื่นเขาไม่นับเป็นญาติเท่าใดนัก เนื่องจากไม่ใช่คนที่สนิทชิดเชื้อ “เสด็จป้าดูแลสุขภาพด้วย ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ” เหอฮองเฮาเลี้ยงเขามาตั้งแต่ตนเองยังไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ย่อมมีความผูกพันเป็นอันมาก วันนี้เขามาลานา
หลังจากเทศกาลจงหยวนผ่านไป มีการจัดงานเทศกาลโคมไฟเป็นพิเศษในปีนี้ เนื่องจากฮองเฮามีรับสั่งเพราะว่าอยากอยู่ชมโคมไฟกับหลานรัก ก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปอยู่เสี้ยนหยาง เนื่องจากกรมพิธีการรับหน้าที่จัดงาน คล้ายกับเฉลิมฉลองที่บ้านเมืองปลอดภัยจากกบฏอีกด้วยจึงคึกคักมาก ทุกที่ตั้งแต่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงในวังล้วนประดับประดาโคมไฟสีต่าง ๆ ไว้จนเต็มท้องถนน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็ก ๆ ส่วนสองแฝดพี่น้องนั้น เหอจื่อหยางที่อยู่ในช่วงพักผ่อนก่อนแต่งงานพานางและลูก ๆ เที่ยวชมการจัดงานเทศกาลโคมไฟ สองสามีภรรยาเดินจับมือกัน พร้อมกับที่พวกเขาจูงมือลูก ๆ คนละฝั่ง ผู้คนออกมาเดินเล่นคึกคัก แม้วันนี้จะเป็นวันก่อนเทศกาล เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าไปชมโคมไฟร่วมกับฮองเฮาในวัง จึงถือโอกาสพานางกับลูกทั้งสองมาดูด้วยกัน “สวยหรือไม่” เขาหันมาถามนางด้วยรอยยิ้ม “สวยเจ้าค่ะ” หยางหยู่เฟยตอบกลับเขา ตอนเด็กนางมาเที่ยวเทศกาลโคมไฟได้สองปีเท่านั้นก็ถูกจับแต่งงานแล้ว ก่อนหน้านั้นเป็นองค์หญิงที่ถูกขังอยู่แต่ในวังไม่มีอิสรเสรี หากไม่ได้หนีออกมาเที่ยวเล่นเอง วันนี้ได้มีสามีอีกครั้งแล
“สาบานได้ว่าข้าไม่เคย ไม่เคยจริง ๆ เจ้าคือคนแรก” นางใบหน้าง้ำงอ แม้ว่าจะอธิบายหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ทว่ายังยืนยันคำเดิม คือไม่เชื่อเพราะเขาดันปากสว่างรู้ตื้นลึกหนาบาง “บุรุษในกองทัพยากนักเชื่อถือ” อยู่ดี ๆ นางก็คิดไปถึงตอนที่ยังอยู่เสี้ยนหยาง นางไปหาเขาที่กองทัพแล้วพบว่าองค์หญิงตานชิงกำลังยั่วยวนเขา ทำให้นางพาลมาโกรธเอาตอนนี้ด้วย “ตอนข้าเห็นท่านในกองทัพ มีสตรีเข้าไปยั่วยวนท่านถึงในกระโจม ยกแข้งแหกขาขึ้นสูง ท่านมองไม่กะพริบตา” เหอจื่อหยางสาบานว่าชาตินี้มองเพียงแต่หยางหยู่-เฟยผู้เดียว ไม่เคยคิดเกินเลยกับสตรีอื่นเลยสักนิด แล้วสตรีที่ไปยั่วยวนเขา...เห็นจะมีคนเดียวกระมัง “นั่นเป็นตานชิง นางดื้อมาที่ด่านปาต้าหลิ่ง แถมยังเอาเรื่องในกองทัพไปพูด ข้าให้ข้อหากบฏนางไปแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง” เขาเร่งร้อนอธิบายเพราะไม่อยากให้นางโกรธด้วยไม่อยากนอนคนเดียว อีกอย่างตานชิงที่จริงเหมือนสำคัญ แต่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ฝ่าบาทเพียงอยากมีเชื้อพระวงศ์อยู่ในวัง จึงอุปโลกน์นางขึ้นเป็นองค์หญิงเท่านั้น “แล้วก่อนหน้านี้เล่า ไม่เห็นใช่







