LOGINหยางหยู่เฟยตั้งสติมองไปในความมืดแล้วก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาฉับพลัน นางจึงรีบปิดหน้าต่างลงดาลทั้งตรวจสอบประตูให้ดี ก่อนจะขึ้นเตียงนอนนางก้มลงพ่นลมจากปากดับเทียนที่หวิวไหวตามกระแสลมอ่อน ๆ ที่พัดเอื่อยเข้ามาตามช่องหน้าต่าง
นางลืมตาโพลงไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ในทันที เพราะไม่เคยเผชิญอันตรายด้านนอก เคยอยู่ในหมู่บ้านที่มีแต่ชาวบ้านป่าและชาวบ้านทั่วไปไม่ได้มีวิชาการต่อสู้อะไร ทำให้นางไม่เคยพบเห็นคนมีวรยุทธบ่อยนัก และไม่รู้ว่าเมื่อครู่คนชุดดำผู้นั้นต้องการสิ่งใดจากนางกันแน่
นางมั่นใจว่าเป็นคนไม่ผิด!
กว่าจะข่มตาหลับก็ล่วงเข้ายามโฉ่ว (ราวตี1-ตี3) ร่างกายที่อ่อนล้าถึงได้หลับสนิทลง ลมหายใจที่สม่ำเสมอ
ทำให้คนที่ซ่อนตัวในความมืดออกมาเหอจื่อหยางไม่ได้ต้องการทำให้นางตกใจ เพียงแต่เขาลืมซักถามให้แน่ชัดว่านางนอนที่ห้องใด จึงกระโดดลงจากหลังคามาใกล้บริเวณที่นางนั่งเหม่อลอยอยู่พอดี
สายตาของเขามองเห็นได้ในความมืด แม้ไม่ชัดเจนแต่แสงจันทร์หรุบหรู่สีเงินอ่อนยามโฉ่วสองเค่อ แทรกช่องเล็ก ๆ ตามกรอบหน้าต่าง ส่งให้เขายลใบหน้าของนางชัดเจนขึ้น
นางยังงามสง่าไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
ผิวหน้าขาวนวลดุจไข่มุกเคลือบไข ผิวกายที่เนียนละเอียดดุจแพรไหม ดวงหน้าโสภาน่าหมายปองไม่เรียกโฉมงามให้เรียกอันใด
นางไม่ควรเป็นเพียงแค่ชายาซื่อจื่อด้วยซ้ำ นางควรจะเป็นสตรีอันดับหนึ่งในใต้หล้า!
มือหยาบกระด้างของเหอจื่อหยางที่เคี่ยวกรำการศึกมาช้านาน ไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสนางแม้ปลายเส้นผม
นางงดงามราวกับตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่กลัวว่าหากไม่ระวังให้ดี ถ้าทำตกไปแล้วจะแตกจนไม่อาจสมานกลับมาดังเดิมได้‘ในเมื่อบุรุษผู้นั้นได้เจ้าไปครองโดยไม่ต้องออกแรงแต่กลับไม่รู้จักรักษา เช่นนั้นข้าจะซ่อนเจ้าไว้ให้ลึก จนเขา
ไม่อาจพบ’เสียงไก่ป่าที่ขับขาน ทำให้เสียงไก่ของหลานชาย
ตัวน้อยที่เจ้าตัวหวงนักหวงหนา ทั้งยังเลี้ยงเสียจนตัวอ้วนพีขันตามไปด้วย ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมีสีม่วงครามแห่งรุ่งอรุณกำลังมาเยือน ดังนั้นเขาควรไปเสียทีเพราะอีกไม่นาน คนจะตื่นขึ้นมาทำงานในตอนเช้าแล้วชายร่างสูงโปร่งราวแปดฉื่อในชุดสีดำทึบ เร้นกายหายจากห้องสามแม่ลูกราวกับสายลมรำเพยพัด
เช้ารุ่งขึ้นสายลมพัดจากหุบเขา หอบเอากลิ่นไอดินหลังฝนตกลอยมาตามลม ส่งให้คนที่ตื่นเช้าพลันรู้สึกสดชื่นไปด้วย แม้ว่าหยางหยู่เฟยจะนอนดึกเพราะมีเหตุการณ์แปลก ๆ เมื่อคืน แต่ทว่าเมื่อรอจนนานแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางจึงหลับไปด้วยความอ่อนล้า แต่ที่ต้องตื่นแต่เช้าก็เพราะว่ามีเสียงคนที่เดินพลุกพล่านในโรงพักม้า จึงปลุกให้นางตื่นพร้อมกับปลุกเจ้าสองแฝดขี้เซาให้ลุกจากที่นอน
“เผิงเอ๋อร์ หลงเอ๋อร์ ตื่นเร็วเข้าเถอะต้องเดินทางต่อแล้ว” เผิงเอ๋อร์ที่ส่ายหน้าไปมาราวกับฝันร้ายตะโกนขึ้นเมื่อเสียงมารดาเรียก แต่ทว่ายังไม่ลืมตา
“อย่า...อย่าฆ่าอิงเอ๋อร์ อย่า...เอาอิงเอ๋อร์ของข้าคืนมา”
“หลิงเผิง...ลืมตาเร็วเข้าฝันร้ายหรือลูก” เสียงอ่อนโยนปลุกลูกชาย ทั้งที่เมื่อก่อนนางเลี้ยงพวกเขาด้วยความหยาบกระด้างนัก ให้เขารู้จักความเข้มแข็ง หวังให้เขาเป็นนักฆ่าจึงไม่เคยใส่ใจความรู้สึกของพวกเขาสองคน
แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนไปแล้ว ความรู้สึกของลูกชายลูกสาวของนางต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง“ฮึก...ท่านแม่...มีคนจะฆ่าอิงเอ๋อร์ของข้า ฮึก...เขาน่ากลัวและใจร้ายมาก” เด็กน้อยเมื่อฝันเห็นแม่ไก่สุดที่รักต้องตายจึงร้องไห้โฮออกมาอย่างเสียใจ ยามเห็นน้ำตาบุตรชายทำให้นางเศร้าจริง ๆ
“ไม่มีใครฆ่าทั้งนั้น อิงเอ๋อร์ของเจ้าอยู่ที่ห้องท่านลุงกู่ ท่านลุงดูแลอย่างดี”
หลิงเผิงเหมือนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงรีบวิ่งออกไปห้องด้านข้างพบว่าท่านลุงกู่ตื่นและอาบน้ำแล้ว ส่วนไก่ของพวกเขายังอยู่ดี จึงรู้สึกปลอดโปร่งอารมณ์แจ่มใสขึ้น
เด็กน้อยจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ราวกับเป็นผู้ใหญ่ที่มีเรื่องให้ต้องคิดมาก“อาเผิงมาดูแม่ไก่เจ้ารึ”
“ข้าฝันไม่ดี จึงมาดูพวกมันสักหน่อย” หลิงเผิง
ยื่นมือป้อม ๆ เข้าไปในช่องไม้ไผ่สานเป็นเล้าขังไก่ แล้วลูบหัวมันทุกตัวกุ๊ก...กุ๊ก ๆ
เหล่าไก่ตัวอวบทั้งหลายเมื่อเห็นนายน้อยของตนเอง ก็ส่งเสียงกุ๊ก ๆ พร้อมกับไข่ออกมาอีกสามฟองด้วย ราวกับ
ดีใจที่เห็นหน้าของหลิงเผิง“เด็กดีของข้าเจ้าเก่งมากไข่อีกแล้ว เมื่อไปถึงบ้านใหม่ข้าจะให้ท่านแม่ตัดเสื้อให้พวกเจ้าใส่หน้าหนาวด้วย
ดีหรือไม่”ลุงกู่อดหัวเราะและเอ็นดูเจ้าเด็กน้อยนี่ไม่ได้ ยังมี
กะจิตกะใจห่วงไก่ของตนเองอีกเมื่อกลับมาถึงห้องก็พบว่าวันนี้มีโจ๊กหมูสับหม้อใหญ่และไข่ตุ๋นอีกสามถ้วย กลิ่นมันยั่วยวนชวนให้ท้องหิวเสียจริง
“ท่านแม่นี่ต้องเสียกี่อีแปะ” เขามองอาหารบนโต๊ะมากมายขนาดนี้แล้ว ทั้งยังมีซาลาเปาอีกสองเข่งลูกอวบ ๆ อีกด้วย
“บนโต๊ะไม่ต้องเสีย ซื้อแค่ซาลาเปา ส่วนของท่านลุงกู่อีกเดี๋ยวคงขึ้นมาส่ง เถ้าแก่ของร้านบอกว่าวันนี้แม่ทัพเหอสั่งให้เลี้ยงทั้งโรงพักม้า พวกเราจึงได้กินอิ่มท้องไปด้วย”
นางลงไปดูอาหารด้านล่างหลังจากปลุกหลงเอ๋อร์ พบเถ้าแก่โรงพักม้าพอดีและก็ได้รับรู้เรื่องที่แม่ทัพเหอ
ผู้แสนใจดีเลี้ยงอาหารเช้าให้กับทุกคนในโรงพักม้า นับว่าเขาเป็นคนมีน้ำใจ นางไม่เคยรู้จักเขาเป็นการส่วนตัว นี่นับเป็นเรื่องดีที่น่ายกย่อง พลันในใจของนางอดเปรียบเทียบกับอีกคนที่จำได้แต่ชื่อไม่ได้เขาผู้นั้นทั้งหูเบา โกรธง่าย ไร้เหตุผล ทั้งไม่เคย
ให้ความยุติธรรมกับนาง คงเห็นนางเป็นเพียงสตรีต่ำต้อย คนหนึ่ง หาใช่องค์หญิงสูงศักดิ์ในอดีตฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาของนางช่างมารดาเขาเถอะ คนดีก็แค่ชม คนไม่ดีก็แค่ด่า
เขาเห็นว่านางไร้ค่า เขามีค่าอะไรให้นางต้องจดจำเล่า!หลิงหลงอาบน้ำเสร็จแล้วจึงให้ท่านแม่หวีผมให้
ท่านแม่ทำผมนางประณีตขึ้น คันฉ่องทองเหลืองที่ประดับอยู่ตรงด้านข้างเตียงนอน ทำให้หลิงหลงอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้“ท่านแม่รักข้ามากขึ้นแล้วใช่หรือไม่ ตั้งแต่ท่านหายป่วยท่านก็ดีกับพวกเรานัก”
คำพูดนี้กระตุกใจมารดาผู้ไม่เอาไหนเช่นนาง เมื่อก่อนคิดแต่จะแก้แค้น คิดแต่จะให้สามีคืนกลับ แต่ไม่คิดถึงใจของลูกทั้งสองเลยสักนิด แต่เมื่อเห็นนางเงียบไปรอยยิ้มของเด็ก ๆ ก็เริ่มจืดจาง จนนางต้องยิ้มตอบพวกเขาจะได้เลิกกังวล
“เมื่อก่อนแม่เป็นคนโง่เขลา อะไรที่แม่ทำไม่ดีกับพวกเจ้าต่อไปจะไม่ทำอีก แม่จะเลี้ยงเจ้าให้ดีที่สุดรู้หรือไม่”
“ท่านแม่ไม่ใช่คนโง่” หลิงเผิงแย้งขึ้น
หลิงเผิงที่เมื่อได้ยินมารดาพูดว่ารักพวกเขาก็เกือบน้ำตาคลอ เขาอยากได้ยินคำนี้มานานแล้ว ท่านแม่ไม่เคยบอกรักพวกเขาเลย วัน ๆ นอกจากทำงานในบ้านกับปัดกวาดเช็ดถูก็นั่งเหม่อลอย จนบางทีพวกเขาก็อยากพูดคุยกับท่านแม่ให้มาก เขาสองพี่น้องจึงคอยช่วยงานเท่าที่จะช่วยได้เสมอ หวังเป็นเด็กดีให้ท่านแม่รัก
“ท่านแม่พวกเรารักท่านที่สุด”
น้ำตาของมารดาหลั่งรินอีกครั้ง โอบกอดลูก ๆ เอาไว้แน่น นี่สิถึงจะเป็นความรักที่แสนบริสุทธิ์ รักที่ไม่ต้องการ
สิ่งใดตอบแทน รักที่หวังอยากให้เขาเติบโต ไม่ใช่รักลวง ๆ แบบชายหญิงอย่างที่นางเคยพร่ำเพ้อโจ๊กหม้อใหญ่ถูกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่า เดิมจะให้ลูก ๆ กินกันก่อนแต่พวกเขาก็ยินดีจะรอนางอาบน้ำเสร็จค่อยกินพร้อมกัน ใบหน้าของหลิงเผิงและหลิงหลงเบิกบานอย่างเห็นได้ชัด ไม่อมทุกข์ไปกับนางเหมือนในความทรงจำเก่าก่อนอีกแล้ว
“ต่อไปพวกเราจะกินอิ่มนอนอุ่น แล้วก็มีความสุข
ใช่หรือไม่พี่ใหญ่” หลิงหลงพูดกับพี่ชาย“ใช่ต่อไปข้าจะช่วยท่านแม่หาเงินเองขอรับ ท่านจะได้ไม่เหนื่อย” หลิงเผิงพูดอย่างประจบมารดา ทำให้นางมีความสุขมาก พูดถึงเรื่องหาเงินเมื่อไปถึงเสี้ยนหยาง นางคงต้องหาอาชีพเลี้ยงตัวแล้วกระมัง เมื่อพวกเขาเติบใหญ่นางยังจะให้พวกเขาร่ำเรียนอีกด้วย จะได้ไม่ถูกเอาเปรียบ
“ต่อไปพวกเจ้ารู้แค่ว่าเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดา ท่านแม่เป็นแค่หญิงสกุลหยางเข้าใจหรือไม่” นางเลือกเอาชื่อของตนมาตั้งเป็นแซ่ ลูกทั้งสองก็ให้ใช้แซ่หยางเช่นกัน ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเยียนอีกต่อไป
นางก็แค่คนไร้ญาติที่มีลูกชายกับลูกสาวต้องดูแลเท่านั้น
การเดินทางของพวกนางดูราบรื่นยิ่งนัก จนนางเริ่มกังวล ตลอดเส้นทางแม้ว่าจะมีการตรวจทะเบียนครัวเรือนเป็นระยะ แต่เมื่อรถม้าของนางผ่านมาเหล่าทหารก็โบก
ให้ไปทันที โดยไม่แม้จะเปิดผ้าม่านมายลโฉมพวกนางแม่ลูก ราวกับพวกนางในรถม้าเป็นสิ่งของล้ำค่า ห้ามเปิดออกดูขณะที่ผ่านป่ารกทึบยังมีกองทหารลาดตระเวนผ่านมาอย่างบังเอิญและพารถม้าไปส่งยังจุดพักม้าที่ปลอดภัย คล้ายกับเสี้ยนหยางเป็นเมืองของกองทัพตระกูลเหอเสีย อย่างนั้น
เรื่องการเมืองนางไม่เคยก้าวก่าย จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วกองทัพตระกูลเหอมีกำลังพลเท่าไหร่กันแน่ แต่เหมือนทุกพื้นที่มีแต่ทหารดูแลเข้มงวด แต่กลับละเลยรถม้าของนางจนน่าสงสัย จะด้วยเพราะแม่ทัพเหอรู้ว่านางเดินทางมาก็ไม่น่าจะใช่ นางไม่ได้พบเขาหลังจากแต่งงานมันนานถึงห้าปีแล้ว ความสัมพันธ์ส่วนตัวก็ไม่มี เว้นเสียแต่ข่าวเสียหายระหว่างนางกับท่านแม่ทัพที่ไร้มูลความจริงเท่านั้น
“ท่านลุงกู่ปกติท่านมาเสี้ยนหยาง มีเหล่าทหารตลอดทางเช่นนี้หรือไม่”
“อาเฟยเจ้าไม่รู้อะไร เสี้ยนหยางเหมือนเมืองของแม่ทัพใหญ่เหอไปแล้ว หากฝ่าบาทประทานบรรดาศักดิ์อ๋องให้ ที่ดินศักดินานี้ก็อยู่ในการดูแลของท่านแม่ทัพ คุณูปราการแม่ทัพไม่ยิ่งหย่อนกว่าผู้ใด ออกรบแทนฝ่าบาทชนะเป็นร้อยศึก เหล่าทหารเข้มแข็งกล้าหาญ จนต่างแคว้นต้องยำเกรง”
เมื่อถามถึงการตรวจตราเข้มงวด จากคนที่รับจ้าง
ส่งคนไปยังเมืองต่าง ๆ กลับได้รับการชื่นชมท่านแม่ทัพเหอผู้นี้อีกแล้ว ภายในใจของนางชักหวั่นกลัวว่าจะเป็นกับดักหรือไม่ หากเป็นจริงนางจะขอร้องเขาสักครั้งว่าอย่าส่งนางกลับไปอีกในที่สุดการเดินทางห้าวันก็ถึงตัวเมืองเสี้ยนหยางอย่างปลอดภัย รถม้าแล่นเข้าไปในตัวเมืองแต่ทว่ากลับต้องหยุด เนื่องจากท่านแม่ทัพออกมาตรวจแถวทหารที่กำแพงเมือง รถม้าของนางจึงต้องหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะได้เข้าไปหลังจากนั้น
ท่ามกลางความคึกคักของเมืองเสี้ยนหยาง ทำให้
ลูก ๆ ทั้งสองของนางตื่นเต้นจนอดสอดส่ายสายตาไปมาไม่ได้ ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้มนั่นคือสิ่งที่นางต้องการบิดาชั่ว ๆ ของพวกเขาตั้งใจทิ้งเลือดเนื้อของตนเองไว้ที่สุสาน แต่นางจะพาให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นให้ได้
“พวกเราไปที่ว่าการอำเภอก่อนเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะไปซื้อบ้านสักหลังเอาที่ตั้งอยู่นอกเมืองสักหน่อย จะได้ไม่แพงมากอยู่กันแม่ลูกไม่ลำบากก็พอ”
“ได้สิ ไปกันข้าถามทหารที่ตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว เห็นเขาบอกว่าช่วงนี้มีคนขายบ้านชานเมืองย้ายมาในเมืองกันมาก น่าจะมีหลังที่ราคาไม่แพงนักลองดูเถอะ” ลุงกู่ถามมาเผื่อพวกนางแล้ว เขาจึงมุ่งตรงไปที่ว่าการอำเภอทันที
หยางหยู่เฟยแค่ขึ้นไปยังที่ว่าการ ก็มีเจ้าหน้าที่มารอต้อนรับอยู่แล้ว เมื่อบอกความประสงค์ของตนไป นางก็มีบ้านให้เลือกมากมายนัก ทั้งหลังใหญ่และมีที่กว้างราคาไม่แพง ทำให้นางยิ่งไม่เข้าใจว่าคนที่นี่ขายบ้านราคาถูกราวกับได้เปล่า หรือว่าเพราะเป็นพื้นที่ติดชายแดน
แต่เมื่อมาถึงชานเมืองบ้านที่นางลงนามซื้อและได้ทะเบียนครัวเรือนมาพร้อมกันเลยในครั้งเดียวนั้น กลับทำให้นางถึงกับตกตะลึง
“นี่หรือบ้านราคาถูกที่ข้าซื้อ!”
เสี้ยนหยางอ๋องหลบหน้าลูกสาวออกมา จนเมื่อได้เวลารับรางวัล เขาจึงต้องกลับมาประทานรางวัลให้ โดยผู้ชนะมีสุราชั้นดีสิบไห ไข่ไก่อีกหนึ่งร้อยฟอง เงินรางวัลยี่สิบตำลึง และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นทหารสังกัดกองทัพรักษาเมืองเสี้ยนหยางทันที “เก่งมาก นี่โจวอวิ๋นจือเป็นรองแม่ทัพ ให้เขาช่วยชี้แนะเจ้าเถิด” เด็กหนุ่มยืนปาดน้ำตา ในที่สุดก็มีหนทางรอดแล้ว บิดาของเขาเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน มารดาต้องลำบากหาเลี้ยงพี่น้องห้าคน เขาเป็นบุตรชายคนโต ไม่ค่อยรู้หนังสือไปค้าขายโดนหลอกเป็นประจำ ดังนั้นจึงอยากมารับราชการทหาร อย่างน้อยได้เรียนอักษรหาเงินให้ท่านแม่ก็ยังดี เขาคุกเข่าโขกศีรษะให้เสี้ยนหยางอ๋องสามครั้ง จากนั้นรับรางวัลแล้วรีบกลับบ้าน “โจวฝาน ให้ทหารพาเขากลับบ้าน มีตำลึงมาก ของเยอะเขาอาจจะถูกปล้นกลางทาง” หยางหยู่เฟยกำชับนั่นจึงทำให้เหอจื่อหยางมองเด็กหนุ่มผู้นี้ดี ๆ อีกหน และพบว่าเป็นจริงดังภรรยาว่า เขาแต่งตัวไม่ดีนัก แน่นอนว่าวันนี้มีผู้มาชมการแข่งขันมาก อาจมีคนอิจฉาและไม่หวังดีกับเขาอยู่บ้าง ดังนั้นมีคนไปส่งยอมจัดการได้ดี แต่ทว่าการประทานรางวัลทั้งหมดยังไม่จบเท่านั้
หลังจากนางรั้งสามีให้อยู่กับตัวเอง ก็คิดถึงอยากจ้างขอทานเหล่านั้นให้มาทำงานที่ในสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง และนางก็จะเปิดหอสุราเหอเหมยลู่และรับแรงงานอีกทาง “ท่านอ๋องเจ้าค่ะ ข้าจะเปิดหอสุรา รับคนงานพวกขอทาน พวกเขาจะได้ลืมตาอ้าปากได้” เสี้ยนหยางอ๋องที่กอดประคองภรรยาอยู่ในอ้อมกอด กดจมูกที่ขมับของนาง จากนั้นค่อยกล่าว “ชายาข้าช่างเป็นคนดีเสียจริง” “ใช่ข้าที่ไหนเจ้าคะ ลูกสาวท่านต่างหา เห็นอกเห็นใจขอทาน จนจะลงแข่งขี่ม้ายิงธนู ที่แอบไปให้รองแม่ทัพฝึกให้” ร้อยก็ไม่เชื่อพันก็ไม่เชื่อ ยอดฝีมืออยู่กับนางแล้ว ยังจะไปหาโจวอวิ๋นจือด้วยเหตุอันใด หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขารูปงาม “ลูกสาวเจ้าร้ายกาจ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองยิงธนูไม่เป็นก็ยังจะลงแข่ง คิดว่าข้าอย่างไรก็ต้องให้รางวัลนางสินะ” “ของเช่นนี้ย่อมตรึกตรองมาดีแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้สึกว่าสามีโดนสองแสบไถ่เงินจนครึ่งท้องแล้วกระมัง แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดไม่ดี อีกสองวันก็ถึงวันงานแข่งแล้ว นางสั่งให้เอาไหสุราหมักขึ้นมาขายเป็นของที่ระลึก นอกจากนี้ขนนกยูงบุรุษชายยังไปหาช่างนำมาทำต่างหูสวยงามขายในร้านเ
ฤดูหนาวผ่านไปสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิงเป็นรูปเป็นร่าง สองแฝดได้นำชื่อเข้าผังตระกูลเหอ และเป็นลูกชายและลูกสาวลำดับที่หนึ่งและสองของเขาอีกด้วย ทุกวันหลิงเผิงมักจะออกไปตรวจสวนปศุสัตว์เลี้ยงตระกูลเหอ ที่มีสัตว์แปลก ๆ มากมายพื้นที่ของปศุสัตว์แห่งนี้มีถึงหนึ่งร้อยหมู่ นอกจากไก่ไข่ที่เป็นของขึ้นชื่อจากปศุสัตว์ตระกูลเหอนี้ที่ผู้คนต่างแวะเวียนมาชื่นชม และซื้อกลับโดยสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเพราะต้นทุนบิดาจ่าย “ท่านพ่อ...ท่านพ่อ นกกระจอกเทศมีไข่อีกแล้ว ข้าจะได้ลูกนกกระจอกเทศเพิ่มแล้ว” เหอจื่อหยางที่กำลังกอดรัดภรรยาต้องขยับออก เมื่อลูกชายวิ่งมาเล่าเรื่องราวจากปศุสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ของเขา “เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ถ้อยคำชื่นชมแบบขอไปทีหลุดออกจากปาก โดยผู้ที่เป็นภรรยามองอย่างขบขัน “ข้าว่าพวกมันควรจะจัดแข่งขันกันดีหรือไม่” หลิงเผิงสังเกตมาสักพักแล้ว เขาเห็นว่ามันวิ่งรวดเร็วนัก หากจัดแข่งขันและให้ผู้ชมเสียตำลึงเข้ามานั่งดู ทั้งจัดที่สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีสุราและอาหารย่อมทำให้เกิดความสำราญ หยางหยู่เฟยเห็นว่าความคิดนี้
คฑาหรูอี้หนึ่งคู่ทำจากทองคำประดับด้วยหยกสีเขียวมรกตสว่างยามต้องแสง วางประดับอยู่ในเรือนของทั้งคู่ แน่นอนว่าเป็นของขวัญล้ำค่าจากเหอฮองเฮาที่อยากอวยพรให้ทั้งคู่สมความปรารถนา เหอจื่อหยางและหยาง-หยู่เฟยยืนมองของขวัญที่ทั้งคู่ชื่นชอบและเก็บเอาไว้ใกล้ ๆ วันนี้ครบสามวันแล้วหลังจากแต่งงานงาน การเดินทางกลับเสี้ยนหยางจึงเริ่มต้นขึ้น ข้าวของในจวนของเสี้ยนหยางอ๋องถูกคลุมเอาไว้ ส่วนที่จะเอาไปชายแดนก็ทยอยนำขึ้นรถม้าล่วงหน้าไปแล้วเป็นขบวนยาว ทหารของกองทัพเหอเข้ามาช่วยขนของจากเรือนเสี้ยนหยางอ๋อง และคุ้มกันออกจากเมืองหลวงอีกด้วย เพราะหีบสมบัติของพระชายาเสี้ยนหยางอ๋องมีมากมายนัก ทั้งยังเป็นของจากเยียนอ๋องที่มอบให้บุตรชายและบุตรสาวก็ไม่น้อยสักนิด เมื่อเวลาของการจากลามาถึง พวกเขาจึงต้องเตรียมตัวร่ำลาญาติหนึ่งเดียวของเหอจื่อหยาง นั่นก็คือฮองเฮา เพราะคนอื่นเขาไม่นับเป็นญาติเท่าใดนัก เนื่องจากไม่ใช่คนที่สนิทชิดเชื้อ “เสด็จป้าดูแลสุขภาพด้วย ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ” เหอฮองเฮาเลี้ยงเขามาตั้งแต่ตนเองยังไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ย่อมมีความผูกพันเป็นอันมาก วันนี้เขามาลานา
หลังจากเทศกาลจงหยวนผ่านไป มีการจัดงานเทศกาลโคมไฟเป็นพิเศษในปีนี้ เนื่องจากฮองเฮามีรับสั่งเพราะว่าอยากอยู่ชมโคมไฟกับหลานรัก ก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปอยู่เสี้ยนหยาง เนื่องจากกรมพิธีการรับหน้าที่จัดงาน คล้ายกับเฉลิมฉลองที่บ้านเมืองปลอดภัยจากกบฏอีกด้วยจึงคึกคักมาก ทุกที่ตั้งแต่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงในวังล้วนประดับประดาโคมไฟสีต่าง ๆ ไว้จนเต็มท้องถนน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็ก ๆ ส่วนสองแฝดพี่น้องนั้น เหอจื่อหยางที่อยู่ในช่วงพักผ่อนก่อนแต่งงานพานางและลูก ๆ เที่ยวชมการจัดงานเทศกาลโคมไฟ สองสามีภรรยาเดินจับมือกัน พร้อมกับที่พวกเขาจูงมือลูก ๆ คนละฝั่ง ผู้คนออกมาเดินเล่นคึกคัก แม้วันนี้จะเป็นวันก่อนเทศกาล เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าไปชมโคมไฟร่วมกับฮองเฮาในวัง จึงถือโอกาสพานางกับลูกทั้งสองมาดูด้วยกัน “สวยหรือไม่” เขาหันมาถามนางด้วยรอยยิ้ม “สวยเจ้าค่ะ” หยางหยู่เฟยตอบกลับเขา ตอนเด็กนางมาเที่ยวเทศกาลโคมไฟได้สองปีเท่านั้นก็ถูกจับแต่งงานแล้ว ก่อนหน้านั้นเป็นองค์หญิงที่ถูกขังอยู่แต่ในวังไม่มีอิสรเสรี หากไม่ได้หนีออกมาเที่ยวเล่นเอง วันนี้ได้มีสามีอีกครั้งแล
“สาบานได้ว่าข้าไม่เคย ไม่เคยจริง ๆ เจ้าคือคนแรก” นางใบหน้าง้ำงอ แม้ว่าจะอธิบายหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ทว่ายังยืนยันคำเดิม คือไม่เชื่อเพราะเขาดันปากสว่างรู้ตื้นลึกหนาบาง “บุรุษในกองทัพยากนักเชื่อถือ” อยู่ดี ๆ นางก็คิดไปถึงตอนที่ยังอยู่เสี้ยนหยาง นางไปหาเขาที่กองทัพแล้วพบว่าองค์หญิงตานชิงกำลังยั่วยวนเขา ทำให้นางพาลมาโกรธเอาตอนนี้ด้วย “ตอนข้าเห็นท่านในกองทัพ มีสตรีเข้าไปยั่วยวนท่านถึงในกระโจม ยกแข้งแหกขาขึ้นสูง ท่านมองไม่กะพริบตา” เหอจื่อหยางสาบานว่าชาตินี้มองเพียงแต่หยางหยู่-เฟยผู้เดียว ไม่เคยคิดเกินเลยกับสตรีอื่นเลยสักนิด แล้วสตรีที่ไปยั่วยวนเขา...เห็นจะมีคนเดียวกระมัง “นั่นเป็นตานชิง นางดื้อมาที่ด่านปาต้าหลิ่ง แถมยังเอาเรื่องในกองทัพไปพูด ข้าให้ข้อหากบฏนางไปแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง” เขาเร่งร้อนอธิบายเพราะไม่อยากให้นางโกรธด้วยไม่อยากนอนคนเดียว อีกอย่างตานชิงที่จริงเหมือนสำคัญ แต่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ฝ่าบาทเพียงอยากมีเชื้อพระวงศ์อยู่ในวัง จึงอุปโลกน์นางขึ้นเป็นองค์หญิงเท่านั้น “แล้วก่อนหน้านี้เล่า ไม่เห็นใช่







