Share

ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า
ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า
Author: หวางลี่อิง/มงกุฏดาว

บทที่ 1 สุสานตระกูลเยียน

last update Last Updated: 2025-12-15 23:23:37

“สตรีไร้ยางอาย!!”

         เสียงด่าทอในมโนสำนึก ทำให้ร่างที่อ่อนล้าโรยแรงจากอาการป่วยย่ำแย่ลง นางส่ายหัวไปมาพร้อมกับยกมือผลักไสในความมืดมิดจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า หมอกสีขาวปกคลุมจนต้องยกมือปัดไปมาให้มันจางลง แต่ทว่ากลับยิ่งหนาขึ้น พร้อมกับความเยือกเย็นราวกับถูกแช่แข็งในภูเขาหิมะพันปีอันหนาวเหน็บ

         “ท่านแม่...ท่านแม่ตื่นสิ...ตื่นก่อน” เสียงเด็กหญิงพลันทำให้นางที่กำลังดิ้นรนหยุดนิ่งสงบลง นางเงี่ยหูฟังอีกหนว่าเสียงที่เรียกนั้นคือเสียงของผู้ใดกัน

         “พี่ใหญ่...ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” หลิงหลงถามพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง ที่นั่งชะโงกหน้าเอามืออังหน้าผากท่านแม่แล้วยกอีกมื้อป้อม ๆ อังที่หน้าผากตัวเองใบหน้าครุ่นคิดจนคิ้วขมวดเป็นปมแน่น

         “ตัวไม่ร้อนเหมือนเมื่อครู่แล้ว” แม้ในใจหลิงเผิง

จะหวาดกลัว แต่เขาต้องเข้มแข็งเพื่อน้องสาวคนเดียวของเขา เขาไม่อยากเห็นน้องสาวร้องไห้อีกแล้ว

         เสียงพี่น้องคุยกันทำให้หยางหยู่เฟยขมวดคิ้ว แม้จะพยายามหาทางออกจากกลุ่มหมอกควันหนาทึบนี้ แต่ก็หาทางออกไม่พบ จนเมื่อมีเสียงหนึ่งที่แว่วดังเข้ามากระทบโสตประสาทการได้ยินของนาง

         ลืมความรัก ลืมความแค้น ลืมว่าใครเคยร้ายกับเจ้า ใช้ชีวิตของเจ้าที่เหลือจากนี้ให้ดีก็พอ

         “ใคร...นั่นเสียงใคร” หยางหยู่เฟยตะโกนใส่ในความมืด ที่นางมองไม่เห็นร่างเงาของผู้ใดเลย มีแต่เสียงสะท้อนคล้ายกับระฆังดังหง่างเหง่ง วังเวงราวกับเป็นเสียงเพรียกจากนรก...

         "ท่านแม่...ข้าหลิงเผิงบุตรชายของท่าน" หลิงเผิง

ยกมือที่เย็นชืดของมารดาทาบที่แก้มป่องของตนเอง แม้จะพยายามเข้มแข็งไม่ให้น้ำตาหลั่งลงมาเท่าใด แต่เขาก็ยังเป็นเพียงเด็กสี่หนาวที่ต้องการมารดา แม้บิดาของเขาจะไม่มี

ก็ตาม

         นางคือความอบอุ่นเดียวที่ทำให้เขาทนทุกการดูถูกของลูกชาวบ้าน ในหมู่บ้านใกล้สุสานตระกูลเยียน เขายอมให้คนหยามเกียรติ แต่จะไม่ทนหากมารดาหนึ่งเดียวของตนต้องจากไป

         “ลูก...ลูก...ลูก ฮึก!” หลังจากนางเดินวนจนหมุนรอบตัวแล้วเกิดแรงเหวี่ยงมหาศาล ผลักนางขึ้นมาจากความมืดมิด ดวงตาที่เคยหลับค่อย ๆ ปรือขึ้นมองสิ่งรอบกาย จากนั้นนางจึงเห็นว่ามีเด็กสองคนที่อยู่ข้าง ๆ โดยมีเด็กชายและหญิง ใบหน้าพวกเขามอมแมมเล็กน้อย คล้ายกับยังไม่ได้อาบน้ำ

         “ท่านแม่ฟื้นแล้ว”

         เสียงตื่นเต้นดีใจของหลิงหลงดังขึ้น พร้อมกับน้ำตาที่หยดแหมะที่มือของนาง นางมองซ้ายขวาเพื่อตั้งสติพลันเรื่องราวชาติที่ผ่านมา เป็นเหมือนความฝันอันยาวนานของนาง ก็ค่อย ๆ หลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำ จนทำให้นางรู้สึกเวียนหัว

         ลูก...ลูกยังอยู่กับนาง ลูกคือสิ่งเดียวที่เหลืออยู่

ในชีวิต ลูกคือความหวังเดียวของนาง

         ดวงตาที่พร่าเลือนจากหยาดน้ำใส ๆ ทำให้มองเด็กทั้งสองไม่ชัดนัก นางดึงทั้งคู่เข้ามากอดพร้อมกับภาพที่เห็นพวกเขาถูกบิดาไร้คุณธรรมสังหารกับมือ

         แต่นางจำหน้าเขาผู้นั้นไม่ได้ ความทรงจำของนางเห็นเพียงลาดไหล่กว้าง ความสูงราวแปดฉื่อ กับหยาดน้ำตาหนึ่งหยดที่ไหลตรงปลายคาง...

         ‘ข้าจำใบหน้าเขาไม่ได้สินะ นี่หรือโอกาสที่นางได้รับอีกครั้ง เช่นนั้นนางของแก้ไขชีวิตของนางด้วยตนเองเถิด’

         ผ่านมาสามวันแล้ว นางนั่งคิดทบทวนหลังกล่อมให้ลูกชายลูกสาวนอนกลางวัน ตัวตนของนางคือองค์หญิงผู้กำเนิดในครรภ์กุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้ ‘ฮันจงตี้’ โดยมีมารดาคือ ‘หวังจื่อ’ กุ้ยเฟยที่มาจากตระกูลหวัง แต่หลังจากเสด็จพ่อสิ้นพระชนม์ ก็เกิดการแย่งชิงบัลลังก์กันขึ้น

         พี่น้องของนางล้วนถูกส่งตัวแตกแยกออกไป ผู้ที่เป็นชายโดนขับให้อยู่ไกลจากเมืองหลวง ไม่ให้กลับมาอีกตลอดชั่วชีวิต ป้องกันการก่อกบฏซ้ำแย่งบัลลังก์คืนจากเสด็จอาของนาง เหล่าสตรีหากไม่สมรสไปต่างแคว้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ ก็ส่งไปแต่งงานกับตระกูลเล็กใหญ่แล้วแต่เสด็จอาของนางจะจัดการ

         นางที่เป็นองค์หญิงซึ่งกำเนิดจากกุ้ยเฟย จึงได้รับเกียรติอยู่เล็กน้อย ให้แต่งเข้าตระกูลเยียนของเยียนอ๋อง

โดยบุตรชายหนึ่งเดียวนามว่าเยียนอ๋องซื่อจื่อหรือเยียน-

เหรินเข้าพิธีกับนางแต่โดยดีไม่ขัดขืน

         ความสัมพันธ์ของตระกูลเยียนนางรับรู้ดีว่าเยียนอ๋องต้องการเอาใจเสด็จอาของนางที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ จึงรับพระราชทานสมรส แต่ทว่าท่านหญิงเหอมารดาของเยียน-

เหรินไม่คิดแค่เอาใจฮ่องเต้เท่านั้น นางมีเชื้อสายตระกูลหวังที่มั่นคงมายาวนาน หวังเชื่อมสัมพันธ์เพื่อส่งให้บุตรชายเป็นใหญ่ในราชสำนักภายหน้า

         ท่านหญิงเหอต้องการให้นางท้องจึงทำทุกวิถีทางเพื่อให้นางและเยียนเหรินเข้าใจกัน แต่นางเป็นสตรีก็ไม่อาจถามถึงความไม่พอใจได้ เพราะเกรงจะทำให้เขาขุ่นเคืองมากขึ้น ได้แต่เป็นชายาที่ดีตั้งใจดูแลเรือนรอคอยสามีกลับบ้านทุกเมื่อเชื่อวัน

         นางแต่งเข้ามามีสาวใช้ที่ไว้เนื้อเชื่อใจเพียงคนเดียว คือ ‘หวงตานตาน’ ดังนั้นมีเรื่องอันใดนางจะเล่าให้หวงตาน-ตานฟังทั้งหมด แต่นางก็จิตใจดีเกินไปและใจอ่อนไว้ใจ

คนง่าย จนไม่รู้ว่าสาวใช้ของนางกำลังหักหลัง

         นางก็ไม่เคยดูแคลนหวงตานตานเลยสักครั้ง ไม่รู้ว่ามูลเหตุครั้งนี้เกิดเพราะเหตุใดกัน และนั่นคือสิ่งที่นางอยากรู้ที่สุด

         ต่อมาคือจดหมายที่ทำจากกระดาษชวนจื่อ กระดาษที่ใช้ภายในกองทัพมาอยู่ในห้องนางได้อย่างไร อีกทั้งถ้อยคำน่าเกลียดเหล่านั้นอีก นางเคยพบแม่ทัพเหออยู่ครั้งหนึ่ง

ก็ตอนแต่งงาน แล้วมีงานเลี้ยงในจวนตระกูลเยียน แต่เป็นงานเลี้ยงแบ่งแยกชายหญิง นางไม่เคยทักหรือพูดคุยสักคำ ทั้งท่านแม่ทัพก็ดูสุขุมไม่แสดงความเจ้าชู้กับสตรีใดออกมาให้เห็น

         ที่สำคัญกว่าอื่นใดคือ ‘เขาคือญาติฝ่ายมารดาของสามี’ ดังนั้นมีเหตุผลอันใดที่คนใส่ร้ายพุ่งเป้าไปยังแม่ทัพเหอและนาง โอกาสและความเป็นไปได้แทบเป็นศูนย์ แต่คนที่เป็นสามีไม่รู้เกิดมาไร้สมองตรึกตรองหรืออย่างไร เชื่อเพียงเศษกระดาษกับคำโป้ปดของบ่าวคนหนึ่ง แล้วก็ส่งนางมายังสุสานร้างของตระกูลเยียนเพื่อดับโทสะในใจ

         ‘เหอะ...พูดไปก็เจ็บใจเปล่า ๆ ไม่สู้หลังจากนี้ นางจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกชายและลูกสาวหรอกรึ’

         องค์หญิงหยางหยู่เฟยเช่นนางเคยหวังว่าวันหนึ่งเขาจะกลับมารับนางและบอกว่าเข้าใจผิด นางยินดีอภัยและกลับไปเป็นภรรยาของเขา อยู่เลี้ยงดูบุตรชายและบุตรสาวให้เขาอย่างดี

         แต่รอมาจนห้าปี บัดนี้ลูกสาวและลูกชายของนางเติบโตขึ้นแล้ว แต่ครั้งนี้นางจะไม่เดินกลับทางเก่าที่เส้นทางเต็มไปด้วยขวากหนาม มีจุดหมายคือปากเหวมีความตายรออยู่เบื้องหน้า และมีนรกเป็นที่สิ้นสุดอีกแล้ว

         “สุสานตระกูลเยียนหาใช่สุสานบิดาของข้า ช่างมารดามันเถอะ! ใครอยากเฝ้าก็เฝ้า อยากอยู่ก็อยู่ ข้ากับลูกจะไป”

         เมื่อทบทวนเรื่องทุกอย่างดีแล้ว นางจึงหยิบไม้กับถ่านขึ้นมาวาดแผนที่ในหัวที่เคยแอบไปเล่นในห้องทรงอักษรของเสด็จพ่อ นางจำได้ว่าแคว้นชิ่งประกอบด้วยสี่เมืองหลัก คือ ฉางอัน เสี้ยนหยาง ไท่สุ่ย และลั่วหยาง โดยมีสามเมืองติดทะเล มีเพียงเสี้ยนหยางเมืองเดียวที่ไม่ติดทะเล เมื่อคิดอย่างรอบครอบ ฉางอันคือเมืองหลวงการเดินทางจากเหนือลงใต้ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ทั้งแรงและเงินจำนวนมาก

         นางมีตั๋วและเงินเพียงสองร้อยตำลึง ที่ตอนถูกทำโทษนั้นมีติดกายอยู่ในถุงหอม ซึ่งเป็นของที่มารดาทำให้ แล้วมารดาก็ใส่ตั๋วแลกเงินไว้ให้นางด้วยเผื่อยามฉุกเฉิน

แต่ก่อนไม่เคยคิดว่าองค์หญิงเช่นนางจะตกต่ำต้องใช้ตั๋วแลกเงินนี้สักครั้งจนเกือบลืมไปแล้ว นางใช้มันแลกเงินมาดูแลลูกตลอดห้าปีหมดไปเกือบครึ่ง แต่ก็ยังเหลืออีกร้อยกว่าตำลึง เพราะใช้กับยารักษาโรคเป็นส่วนมาก จึงทำให้ใช้ออกไปไม่น้อย

         ร้อยตำลึงกว่า ๆ ที่เหลือนี้ยังไม่รวมใช้ตั้งตัวให้กับตัวเอง ดังนั้นเมืองเสี้ยนหยางที่เป็นเมืองรองน่าจะเป็นเมืองที่พวกนางแม่ลูกจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน

         หลังตื่นนอนตอนบ่ายหลิงเผิงก็สะพายตะกร้าสานขึ้นหลัง เขาจะไปเก็บฟืนรอบ ๆ ป่าให้ท่านแม่ แต่หยางหยู่-เฟยเห็นจึงห้ามเขาเอาไว้

         “หลิงเผิงนั่นเจ้าจะไปที่ใด”

         “เก็บฟืนขอรับท่านแม่ ท่านเพิ่งฟื้นไข้ให้ข้าทำงานช่วยท่านเถิด”

         หยางหยู่เฟยเห็นความไร้เดียงสาและความเข้มแข็งในแววตาของเด็กน้อยผู้นี้ นางไม่รู้ว่าตอนนั้นคิดได้อย่างไร

ที่เลี้ยงดูพวกเขาให้เป็นจอมวายร้ายคิดฆ่าบิดาตัวเอง

เพื่อล้างแค้นให้กับนาง

         “เจ้าเป็นเด็กดีของแม่นัก มานี่เถอะไม่ต้องไปเก็บแล้วฟืน มาช่วยแม่เก็บของพวกเราจะไปจากที่นี่พรุ่งนี้”

         หลิงเผิงคิดว่าตัวเองหูฝาด นี่ท่านแม่พูดจริงหรือหลอกให้เขาดีใจกันแน่ เขารังเกียจที่สุดการนอนอยู่ใกล้สุสาน เด็กคนอื่นในหมู่บ้านรอบสุสานชอบคิดว่าเขาเป็นพวกภูตผีมักล้อเขาเสมอ แม้เจ็บปวดใจแต่เขาอดกลั้นมาตลอด

ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับท่านแม่

         มาวันนี้เหมือนฝันของหลิงเผิงจะเป็นจริง

         “ท่านแม่...เราจะไปจากที่นี่ได้หรือขอรับ ท่านไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่” หลิงเผิงวิ่งไปกอดขามารดา ตนเองสูงเพียงเลยเข่าของนางมาเท่านั้น พร้อมกับน้ำตาแห่งความดีใจหลั่งออกมา

         คนเป็นแม่อย่างนางอดสงสารลูกไม่ได้ เพราะความหวังในจิตใจเพียงเล็ก ๆ มันสร้างบาดแผลให้กับลูกชายของนาง นางหวังให้สามีหายโกรธนาง ทั้งที่นางไร้ความผิด

         ‘นางรักเขาหรือ’

         เหอะ...มันน่าสมเพชจริง ๆ รักบุรุษชั่วช้าผู้นั้นได้อย่างไร เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็อยากฆ่านางกับลูกให้ตายอยู่ดี บัดนี้ใบหน้าของเขานางก็ลืมเลือนไปแล้ว มีอะไรให้ต้องอาวรณ์อยู่ที่นี่อีกเล่า

         “ใช่ เราจะไปเริ่มต้นชีวิตกันใหม่ อยู่ด้วยกันแม่ลูก

ที่เสี้ยนหยาง”

         ชั่วชีวิตนางอยู่แต่เมืองหลวงฉางอัน ไม่เคยไปที่ใดเลยนอกจากสุสานตระกูลเยียน ครั้งนี้นางจะไปเมืองอื่นเป็นครั้งแรก หวังว่าชีวิตใหม่ของนางจะมอบอะไรดี ๆ ให้นางบ้าง

         หลิงหลงที่ตื่นนอนทีหลังเพิ่งรับรู้จากพี่ชายก็กระโดดดีใจ นางกลัวที่จะอยู่ที่นี่ นางไม่อยากนอนใกล้กับหลุมศพเหล่านี้ นางอยากมีบ้านสักหลังอยู่กับท่านแม่กินข้าวพร้อมหน้า นางหวังเพียงเท่านั้นจริง ๆ

         รุ่งขึ้นรถม้าที่นางตัดใจไปจ้างมา ก็มารับพวกนางสามแม่ลูก หลิงเผิงจับเอาไก่ใส่เล้าไปด้วย เขาเอาข้าวไปหลอกล่อมันมาจากชายป่า ทุกวันได้กินไข่จากแม่ไก่เหล่านี้ทำให้เขาเติบโต ตอนนี้เขาจะย้ายไปเมืองอื่นก็จะนำมันไปด้วย

         ท้ายรถมีข้าวของสามแม่ลูกหนึ่งหีบกับไก่อีกสามตัวภายในรถม้ามีสามแม่ลูกนั่งอยู่ โดยท่านลุงที่จ้างไปส่งนั้นเป็นท่านลุงใจดีที่มีรถม้ารับส่งคน ทำให้ภายในใจหลิงเผิงรู้สึกดีนัก

         ‘เขารอวันนี้มานาน’

         “อาเฟย เจ้าอยู่ที่นี่มาก็หลายปี ไปต่างเมืองครั้งแรกจะไม่เป็นไรหรือ” ท่านลุงกู่ถามพวกนางแม่ลูกอย่างเป็นห่วง

         “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าอยากให้ลูก ๆ เติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีสักหน่อย หากข้ามีกำลังมากพออยากให้เขาได้ร่ำเรียนมีความรู้” อดีตนางเป็นองค์หญิง แต่ไม่มีใครรู้ฐานะของนาง ทุกคนรู้เพียงนางเป็นคนที่ตระกูลเยียนส่งมาเฝ้าสุสานเท่านั้น

         “เช่นนั้นก็อวยพรพวกเจ้าให้โชคดี เดินทางจากที่นี่ไปก็น่าจะราวห้าวัน ข้าจะเลือกเส้นทางหลวงจะได้ไม่เป็นอันตราย”

         การเดินทางไปต่างเมืองควรเดินทางเป็นขบวนใหญ่ นางลืมข้อนี้ไปจริง ๆ เพราะอาจจะมีโจรชุกชุมได้ แต่หากเป็นถนนหลวงนางก็เบาใจ เพราะอดีตเสด็จพ่อของนางได้เคยวางกำลังทหารดูแลราษฎรไว้ตลอดเส้นทาง ทำให้การสัญจรไร้โจรปล้นฆ่า ทำให้เหล่าคาราวานพ่อค้าและคนเดินทางปลอดภัย

         แต่เมื่อถึงด่านตรวจระหว่างเมืองฉางอันเขตติดต่อของเสี้ยนหยางจำต้องตรวจทะเบียนครัวเรือน นางไม่เคยเดินทางด้วยตนเองมาก่อนจึงไม่รู้ว่าต้องมีด้วย

         “อาเฟยข้างหน้ามีตรวจทะเบียนครัวเรือนแล้ว เจ้ามีหรือไม่”

         “ท่านลุงกู่ทำอย่างไรดี ข้าไม่ได้เตรียมมาด้วยเจ้าค่ะ” นางไปขอเอกสารที่อำเภอไม่ได้ หาไม่ตระกูลเยียนก็จะรู้ว่านางยังรอดชีวิต ทั้งมีลูกสองคนที่ใบหน้าราวกับบิดาถอดออกมา ไม่แน่ว่านางกับลูกอาจไม่ปลอดภัย

         “เช่นนั้นก็แย่แล้ว” ลุงกู่ปาดเหงื่อพูดอย่างจนใจ

         ป้ายผ่านขององค์ชายองค์หญิงมีติดตัวด้วยกันทุกคน และนางก็ยังเก็บเอาไว้เสมอ จากตอนแรกคิดว่าชีวิตนี้ไม่ต้องใช้มันแล้ว แต่คราวนี้เห็นที่ต้องใช้

         นางดึงป้ายที่ติดอยู่ที่เอวมาถือเอาไว้ จากนั้นเปิดรถม้าให้คนตรวจค้นพร้อมกับยื่นให้ทหารผู้ตรวจ ภาวนาว่าอย่าเพิ่งยกเลิกป้ายผ่านทางนี้เลยนะ

         ทหารมองป้ายกับมองนางสองแม่ลูกแล้วก็โค้งเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยพวกนางออกไป ทำให้หยางหยู่เฟย โล่งอก เอาไว้เมื่อถึงเมืองเสี้ยนหยางได้ที่อยู่เป็นหลักแหล่งนางจะไปขอทะเบียนครัวเรือนด้วยตนเอง

         คล้อยหลังรถม้าผ่านไป นกพิราบสื่อสารก็ส่งไปยังกองทัพตระกูลเหอ คนที่ได้รับจดหมายคลี่ออกแล้วอ่านอักษรเพียงไม่กี่ตัวแล้วจุดไฟเผาทิ้งเสีย

         “เมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะปกป้องเจ้าให้เอง!”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   ตอนพิเศษ 3 รับคนหอสุราเหอเหมยลู่

    เสี้ยนหยางอ๋องหลบหน้าลูกสาวออกมา จนเมื่อได้เวลารับรางวัล เขาจึงต้องกลับมาประทานรางวัลให้ โดยผู้ชนะมีสุราชั้นดีสิบไห ไข่ไก่อีกหนึ่งร้อยฟอง เงินรางวัลยี่สิบตำลึง และได้รับขึ้นทะเบียนเป็นทหารสังกัดกองทัพรักษาเมืองเสี้ยนหยางทันที “เก่งมาก นี่โจวอวิ๋นจือเป็นรองแม่ทัพ ให้เขาช่วยชี้แนะเจ้าเถิด” เด็กหนุ่มยืนปาดน้ำตา ในที่สุดก็มีหนทางรอดแล้ว บิดาของเขาเพิ่งเสียชีวิตไม่นาน มารดาต้องลำบากหาเลี้ยงพี่น้องห้าคน เขาเป็นบุตรชายคนโต ไม่ค่อยรู้หนังสือไปค้าขายโดนหลอกเป็นประจำ ดังนั้นจึงอยากมารับราชการทหาร อย่างน้อยได้เรียนอักษรหาเงินให้ท่านแม่ก็ยังดี เขาคุกเข่าโขกศีรษะให้เสี้ยนหยางอ๋องสามครั้ง จากนั้นรับรางวัลแล้วรีบกลับบ้าน “โจวฝาน ให้ทหารพาเขากลับบ้าน มีตำลึงมาก ของเยอะเขาอาจจะถูกปล้นกลางทาง” หยางหยู่เฟยกำชับนั่นจึงทำให้เหอจื่อหยางมองเด็กหนุ่มผู้นี้ดี ๆ อีกหน และพบว่าเป็นจริงดังภรรยาว่า เขาแต่งตัวไม่ดีนัก แน่นอนว่าวันนี้มีผู้มาชมการแข่งขันมาก อาจมีคนอิจฉาและไม่หวังดีกับเขาอยู่บ้าง ดังนั้นมีคนไปส่งยอมจัดการได้ดี แต่ทว่าการประทานรางวัลทั้งหมดยังไม่จบเท่านั้

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   ตอนพิเศษ 2 เขาควรชนะ

    หลังจากนางรั้งสามีให้อยู่กับตัวเอง ก็คิดถึงอยากจ้างขอทานเหล่านั้นให้มาทำงานที่ในสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง และนางก็จะเปิดหอสุราเหอเหมยลู่และรับแรงงานอีกทาง “ท่านอ๋องเจ้าค่ะ ข้าจะเปิดหอสุรา รับคนงานพวกขอทาน พวกเขาจะได้ลืมตาอ้าปากได้” เสี้ยนหยางอ๋องที่กอดประคองภรรยาอยู่ในอ้อมกอด กดจมูกที่ขมับของนาง จากนั้นค่อยกล่าว “ชายาข้าช่างเป็นคนดีเสียจริง” “ใช่ข้าที่ไหนเจ้าคะ ลูกสาวท่านต่างหา เห็นอกเห็นใจขอทาน จนจะลงแข่งขี่ม้ายิงธนู ที่แอบไปให้รองแม่ทัพฝึกให้” ร้อยก็ไม่เชื่อพันก็ไม่เชื่อ ยอดฝีมืออยู่กับนางแล้ว ยังจะไปหาโจวอวิ๋นจือด้วยเหตุอันใด หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าเขารูปงาม “ลูกสาวเจ้าร้ายกาจ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองยิงธนูไม่เป็นก็ยังจะลงแข่ง คิดว่าข้าอย่างไรก็ต้องให้รางวัลนางสินะ” “ของเช่นนี้ย่อมตรึกตรองมาดีแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้สึกว่าสามีโดนสองแสบไถ่เงินจนครึ่งท้องแล้วกระมัง แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดไม่ดี อีกสองวันก็ถึงวันงานแข่งแล้ว นางสั่งให้เอาไหสุราหมักขึ้นมาขายเป็นของที่ระลึก นอกจากนี้ขนนกยูงบุรุษชายยังไปหาช่างนำมาทำต่างหูสวยงามขายในร้านเ

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   ตอนพิเศษ 1 สวนปศุสัตว์เหอหลิงเผิง

    ฤดูหนาวผ่านไปสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิงเป็นรูปเป็นร่าง สองแฝดได้นำชื่อเข้าผังตระกูลเหอ และเป็นลูกชายและลูกสาวลำดับที่หนึ่งและสองของเขาอีกด้วย ทุกวันหลิงเผิงมักจะออกไปตรวจสวนปศุสัตว์เลี้ยงตระกูลเหอ ที่มีสัตว์แปลก ๆ มากมายพื้นที่ของปศุสัตว์แห่งนี้มีถึงหนึ่งร้อยหมู่ นอกจากไก่ไข่ที่เป็นของขึ้นชื่อจากปศุสัตว์ตระกูลเหอนี้ที่ผู้คนต่างแวะเวียนมาชื่นชม และซื้อกลับโดยสวนปศุสัตว์ของหลิงเผิง สามารถทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำเพราะต้นทุนบิดาจ่าย “ท่านพ่อ...ท่านพ่อ นกกระจอกเทศมีไข่อีกแล้ว ข้าจะได้ลูกนกกระจอกเทศเพิ่มแล้ว” เหอจื่อหยางที่กำลังกอดรัดภรรยาต้องขยับออก เมื่อลูกชายวิ่งมาเล่าเรื่องราวจากปศุสัตว์ที่เลี้ยงเอาไว้ของเขา “เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ถ้อยคำชื่นชมแบบขอไปทีหลุดออกจากปาก โดยผู้ที่เป็นภรรยามองอย่างขบขัน “ข้าว่าพวกมันควรจะจัดแข่งขันกันดีหรือไม่” หลิงเผิงสังเกตมาสักพักแล้ว เขาเห็นว่ามันวิ่งรวดเร็วนัก หากจัดแข่งขันและให้ผู้ชมเสียตำลึงเข้ามานั่งดู ทั้งจัดที่สำหรับผู้ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว มีสุราและอาหารย่อมทำให้เกิดความสำราญ หยางหยู่เฟยเห็นว่าความคิดนี้

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   บทที่ 32 บทส่งท้าย

    คฑาหรูอี้หนึ่งคู่ทำจากทองคำประดับด้วยหยกสีเขียวมรกตสว่างยามต้องแสง วางประดับอยู่ในเรือนของทั้งคู่ แน่นอนว่าเป็นของขวัญล้ำค่าจากเหอฮองเฮาที่อยากอวยพรให้ทั้งคู่สมความปรารถนา เหอจื่อหยางและหยาง-หยู่เฟยยืนมองของขวัญที่ทั้งคู่ชื่นชอบและเก็บเอาไว้ใกล้ ๆ วันนี้ครบสามวันแล้วหลังจากแต่งงานงาน การเดินทางกลับเสี้ยนหยางจึงเริ่มต้นขึ้น ข้าวของในจวนของเสี้ยนหยางอ๋องถูกคลุมเอาไว้ ส่วนที่จะเอาไปชายแดนก็ทยอยนำขึ้นรถม้าล่วงหน้าไปแล้วเป็นขบวนยาว ทหารของกองทัพเหอเข้ามาช่วยขนของจากเรือนเสี้ยนหยางอ๋อง และคุ้มกันออกจากเมืองหลวงอีกด้วย เพราะหีบสมบัติของพระชายาเสี้ยนหยางอ๋องมีมากมายนัก ทั้งยังเป็นของจากเยียนอ๋องที่มอบให้บุตรชายและบุตรสาวก็ไม่น้อยสักนิด เมื่อเวลาของการจากลามาถึง พวกเขาจึงต้องเตรียมตัวร่ำลาญาติหนึ่งเดียวของเหอจื่อหยาง นั่นก็คือฮองเฮา เพราะคนอื่นเขาไม่นับเป็นญาติเท่าใดนัก เนื่องจากไม่ใช่คนที่สนิทชิดเชื้อ “เสด็จป้าดูแลสุขภาพด้วย ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านบ่อย ๆ” เหอฮองเฮาเลี้ยงเขามาตั้งแต่ตนเองยังไม่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮา ย่อมมีความผูกพันเป็นอันมาก วันนี้เขามาลานา

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   บทที่ 31 เป็นของข้าตลอดไป

    หลังจากเทศกาลจงหยวนผ่านไป มีการจัดงานเทศกาลโคมไฟเป็นพิเศษในปีนี้ เนื่องจากฮองเฮามีรับสั่งเพราะว่าอยากอยู่ชมโคมไฟกับหลานรัก ก่อนที่พวกเขาจะย้ายไปอยู่เสี้ยนหยาง เนื่องจากกรมพิธีการรับหน้าที่จัดงาน คล้ายกับเฉลิมฉลองที่บ้านเมืองปลอดภัยจากกบฏอีกด้วยจึงคึกคักมาก ทุกที่ตั้งแต่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมืองจนถึงในวังล้วนประดับประดาโคมไฟสีต่าง ๆ ไว้จนเต็มท้องถนน สร้างความตื่นตาตื่นใจให้เด็ก ๆ ส่วนสองแฝดพี่น้องนั้น เหอจื่อหยางที่อยู่ในช่วงพักผ่อนก่อนแต่งงานพานางและลูก ๆ เที่ยวชมการจัดงานเทศกาลโคมไฟ สองสามีภรรยาเดินจับมือกัน พร้อมกับที่พวกเขาจูงมือลูก ๆ คนละฝั่ง ผู้คนออกมาเดินเล่นคึกคัก แม้วันนี้จะเป็นวันก่อนเทศกาล เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องเข้าไปชมโคมไฟร่วมกับฮองเฮาในวัง จึงถือโอกาสพานางกับลูกทั้งสองมาดูด้วยกัน “สวยหรือไม่” เขาหันมาถามนางด้วยรอยยิ้ม “สวยเจ้าค่ะ” หยางหยู่เฟยตอบกลับเขา ตอนเด็กนางมาเที่ยวเทศกาลโคมไฟได้สองปีเท่านั้นก็ถูกจับแต่งงานแล้ว ก่อนหน้านั้นเป็นองค์หญิงที่ถูกขังอยู่แต่ในวังไม่มีอิสรเสรี หากไม่ได้หนีออกมาเที่ยวเล่นเอง วันนี้ได้มีสามีอีกครั้งแล

  • ช่างมารดามันเถอะใครเฝ้าก็เฝ้า   บทที่ 30 ข้ายอมแพ้แล้ว

    “สาบานได้ว่าข้าไม่เคย ไม่เคยจริง ๆ เจ้าคือคนแรก” นางใบหน้าง้ำงอ แม้ว่าจะอธิบายหลายครั้งแล้วก็ตาม แต่ทว่ายังยืนยันคำเดิม คือไม่เชื่อเพราะเขาดันปากสว่างรู้ตื้นลึกหนาบาง “บุรุษในกองทัพยากนักเชื่อถือ” อยู่ดี ๆ นางก็คิดไปถึงตอนที่ยังอยู่เสี้ยนหยาง นางไปหาเขาที่กองทัพแล้วพบว่าองค์หญิงตานชิงกำลังยั่วยวนเขา ทำให้นางพาลมาโกรธเอาตอนนี้ด้วย “ตอนข้าเห็นท่านในกองทัพ มีสตรีเข้าไปยั่วยวนท่านถึงในกระโจม ยกแข้งแหกขาขึ้นสูง ท่านมองไม่กะพริบตา” เหอจื่อหยางสาบานว่าชาตินี้มองเพียงแต่หยางหยู่-เฟยผู้เดียว ไม่เคยคิดเกินเลยกับสตรีอื่นเลยสักนิด แล้วสตรีที่ไปยั่วยวนเขา...เห็นจะมีคนเดียวกระมัง “นั่นเป็นตานชิง นางดื้อมาที่ด่านปาต้าหลิ่ง แถมยังเอาเรื่องในกองทัพไปพูด ข้าให้ข้อหากบฏนางไปแล้ว เจ้าพอใจหรือยัง” เขาเร่งร้อนอธิบายเพราะไม่อยากให้นางโกรธด้วยไม่อยากนอนคนเดียว อีกอย่างตานชิงที่จริงเหมือนสำคัญ แต่เป็นเพียงหมากตัวหนึ่งก็เท่านั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไร ฝ่าบาทเพียงอยากมีเชื้อพระวงศ์อยู่ในวัง จึงอุปโลกน์นางขึ้นเป็นองค์หญิงเท่านั้น “แล้วก่อนหน้านี้เล่า ไม่เห็นใช่

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status