หรือว่า...“พวก... พวกเจ้า” เยว่หลินมองหาคำตอบที่ต้องการจากใบหน้าเยว่อวิ๋น ในใจภาวนาอย่างสุดซึ้ง ขอให้ความคิดนี้ของตนไม่เป็นความจริง ทว่าเสียงใสที่ได้ฟังก็เปรียบเหมือนน้ำเย็นจัดทีเทราดศีรษะเขา“เสด็จพ่อปราดเปรื่อง อย่างที่ท่านคิดนั่นแหละ” คำเรียกขานที่ราวกับประชดไม่ได้ทำให้คนตรงหน้าเยว่อวิ๋นรู้สึกตั
ได้ยินประโยคสุดท้าย มุมปากเยว่อวิ๋นแสยะเป็นรอยยิ้มทันที นางไม่ได้ตอบวาจากลับไปแม้แต่คำเดียว ทว่าเลือกจะปักท่อนไม้ที่เหลือเพียงครึ่งในมือไปยังต้นขาของคนที่เรียกตัวเองว่าบิดาเต็มแรง“อ๊าก!”ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เยว่หลินถึงกับดิ้นทุรนทุราย เยว่อวิ๋นก้มลงมองคนบนพื้น ในดวงตาที่มีริ้วแดงเฉยชาราวกับไม่
ชื่อที่ถูกเปล่งออกมายังไม่ทันจะกล่าวจนจบดี เจ้าของเงาร่างผอมที่เมื่อครู่ยังเอียงคอส่งยิ้มเยือกเย็นให้แก่เยว่หลิน ก็พุ่งทะยานเข้าจู่โจมเขาเสียแล้วพลั่ก!เสียงหนักๆ ดังขึ้นเมื่อเยว่หลินยกแขนขวาของตนขึ้นป้องกันฝ่าเท้าของอีกฝ่าย ก่อนจะผงะถอยหลังไปอย่างไม่อาจควบคุม หากจะบอกว่าเมื่อครู่เขาสามารถป้องกันกา
สิบกว่าปีก่อน ตอนที่ทุกคนคิดว่าเขาตายไปแล้ว นางต้องเลี้ยงบุตรสาวพร้อมรับภาระทำงานทุกอย่างในบ้านยามนั้นนางไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบากตอนรู้ว่าพี่สะใภ้ใหญ่คิดจะขายบุตรสาวให้กับชายชราวัยคราวปู่ นางตัดสินใจแยกจากบุตรสาว วางแผนยืมมือแม่สามีส่งอีกฝ่ายไปบ้านเซี่ย นางก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองลำบากอะไรแต่ยามนี้เม
เพราะมีเหตุการณ์เรื่องมือสังหาร ทำให้ชาวบ้านแตกตื่นไม่ไว้ใจความปลอดภัย หลังจากที่ประชุมลงความเห็นกันแล้ว ทุกคนจึงเห็นด้วยให้มีการจัดตั้งเวรยามในตอนกลางคืนหลิวอิงแม้มาพักอยู่ได้ไม่นาน ทว่าเพราะนางเป็นมารดาของเยว่อวิ๋น ทุกคนจึงพากันพยายามผูกสัมพันธ์ด้วย ทำให้นางพอรู้เรื่องราวในหมู่บ้านอยู่บ้าง เรื่อง
อันที่จริงการกระทำที่เรียกได้ว่ารักษาตัวรอดของฉางซิ่วมิใช่เรื่องแปลกอะไร ทั้งยังมีให้เห็นมามากมายจากผู้คนในเมืองหลวง ถึงจะมีนิสัยใจร้อนมุทะลุ แต่หลีหรานก็ไม่ได้โง่งมเสียจนไม่รู้อะไรเป็นอะไร นางจึงเดาเจตนาหลบหน้าตนของอีกฝ่ายออกในทันทีเพียงแต่หลีหรานคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ด้วยนิสัยต้นหญ้าเหนือกำ