Masukฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินพักผ่อนอยู่บ้านนานถึงสามวัน ก่อนที่ซูเมี่ยวจินจะบอกให้ฉางเล่ยไปทำงานเสียที เธอกลัวว่าที่บริษัทจะเกิดปัญหา
“เฮ้อ ผมไปก็ได้ครับ แต่คุณต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายดีนะครับ” ฉางเล่ยจำใจต้องแยกกับภรรยาวันนี้
“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณอย่ากังวลไปเลยน่า” ซูเมี่ยวจินตอบอย่างระอา
หลังทานมื้อเช้าที่พ่อครัวทำให้เสร็จ ฉางเล่ยก็ออกไปทำงานกับซวงหลินและเป่ยตี้ ซูเมี่ยวจินเดินกลับเข้าไปนั่งเล่นในห้องรับแขก เธอว่างจัดจนไม่รู้จะทำอะไรดี พอคิดว่าจะไปตัดหินดิบฆ่าเวลา เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอกลับดังขึ้น
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
“สวัสดีค่ะ” ซูเมี่ยวจินรับสายด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา เธอไม่รู้ว่าใครโทรมาแต่เช้า
“คุณซูครับ นายท่านผู้เฒ่าชุ่ยป่วยหนัก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลครับ” ชุ่ยฟ่านโทรบอกข่าวกับซูเมี่ยวจินตามคำสั่งของชุ่ยถง
“อะไรนะคะ!
ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินพักผ่อนอยู่บ้านนานถึงสามวัน ก่อนที่ซูเมี่ยวจินจะบอกให้ฉางเล่ยไปทำงานเสียที เธอกลัวว่าที่บริษัทจะเกิดปัญหา“เฮ้อ ผมไปก็ได้ครับ แต่คุณต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายดีนะครับ” ฉางเล่ยจำใจต้องแยกกับภรรยาวันนี้“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณอย่ากังวลไปเลยน่า” ซูเมี่ยวจินตอบอย่างระอาหลังทานมื้อเช้าที่พ่อครัวทำให้เสร็จ ฉางเล่ยก็ออกไปทำงานกับซวงหลินและเป่ยตี้ ซูเมี่ยวจินเดินกลับเข้าไปนั่งเล่นในห้องรับแขก เธอว่างจัดจนไม่รู้จะทำอะไรดี พอคิดว่าจะไปตัดหินดิบฆ่าเวลา เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอกลับดังขึ้นตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด“สวัสดีค่ะ” ซูเมี่ยวจินรับสายด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา เธอไม่รู้ว่าใครโทรมาแต่เช้า“คุณซูครับ นายท่านผู้เฒ่าชุ่ยป่วยหนัก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลครับ” ชุ่ยฟ่านโทรบอกข่าวกับซูเมี่ยวจินตามคำสั่งของชุ่ยถง“อะไรนะคะ!
“ถ้าไม่อยากตายก็หยุดมือซะ!” ต้วนมู่ชิงตะโกนบอกซูเมี่ยวจินเสียงดัง“ฮึ! กระจอก เก่งแต่ใช้อาวุธสินะแกน่ะ” ซูเมี่ยวจินกล่าวอย่างดูถูก“นังสารเลวเอ้ย!” ต้วนมู่ชิงอยากยิงกรอกปากซูเมี่ยวจินให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่มันไม่อยากให้เธอตายเร็วเกินไปนัก“ไอ้สวะ! แน่จริงก็เข้ามาตัวต่อตัวกับฉันสิ” ซูเมี่ยวจินมองอย่างท้าทาย“พวกแกมัวทำอะไรกันอยู่!!! รีบจัดการมันให้ฉันสิวะ” ต้วนมู่ชิงตะโกนบอกลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่อย่างโมโห“ครับ ๆ” เหล่าลิ่วล้อรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ร่างกายของพวกมันต่างบอบช้ำกันไปหมดแล้ว ใครจะคิดบ้างล่ะว่าผู้หญิงสูงโปร่งคนนี้จะมีเรี่ยวแรงอย่างกับช้างสารตัวหนึ่งซูเมี่ยวจินแสยะยิ้มร้ายออกมาทันที เมื่อเธอเห็นคนร้ายพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นไปทั่วบริเวณเหล่าบอดี้การ์ดท
กลุ่มคนร้ายเห็นว่าทางนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมา พวกมันรีบขับรถแซงขึ้นไปปาดหน้าจนทำให้รถของซูเมี่ยวจินเสียหลักและหยุดลงกลางถนนเอี๊ยด!!! ปัง! ปัง! ปัง!“หลบเร็ว!!!” ซูเมี่ยวจินตะโกนบอกบอดี้การ์ดทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าทันทีฟุ่บ! แกร๊ก! ปัง! ปัง!บอดี้การ์ดทั้งสองคู้ตัวลงไปให้ต่ำที่สุดและยกมือที่ปลดล็อกปืนขึ้นไปยิงสวนกับคนร้ายอย่างไม่กลัวว่าจะบาดเจ็บ“พวกคุณรีบลงจากรถก่อน อย่าให้ตัวเองบาดเจ็บ ฉันจะล่อพวกมันไปทางอื่น”ซูเมี่ยวจินสั่งอย่างรวดเร็ว เธอดูวิถีกระสุนของคนร้ายแล้วไม่เหมือนว่าพวกมันต้องการจะเอาชีวิตเธอเลยสักนิด ซูเมี่ยวจินจึงสันนิษฐานว่าคนร้ายคงต้องการจับตัวเธอไปมากกว่า เธอเองก็อยากรู้ว่ารังของพวกมันอยู่ที่ไหนเช่นกัน ซูเมี่ยวจินจึงคิดจะใช้ตัวเองเป็นตัวล่อ เพื่อให้คนของเธอตามไปถล่มพวกมันทีหลัง“นายหญิงระวังตัวด้วยนะครับ พวกเราจะไม่ปล่อยให้นา
หลังจากหลายปีผ่านมา ตระกูลต้วนที่ไม่มีต้วนมู่ชิงนั้นแทบจะไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นมาอยู่ในกลุ่มยี่สิบตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงได้เลย พวกเขาได้แต่หลบซ่อนตัวเพื่อรอคอยต้วนมู่ชิงที่ถูกจับเมื่อปีนั้น จากเหตุการณ์ยิงต่อสู้กับซูเมี่ยวจินจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดธุรกิจของตระกูลต้วนจากที่เคยมีทั้งบนดินและใต้ดินก็กลายเป็นมีใต้ดินอย่างเดียวแล้ว เพราะพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับตระกูลอื่น ๆ ได้ พวกเขาทำได้แค่ประคองธุรกิจสีเทาให้คงอยู่เท่านั้นขบวนรถหรูพร้อมกำลังคนกว่าสามสิบคนมาที่หน้าเรือนจำอย่างเอิกเกริก เมื่อต้วนมู่ชิงเดินออกมาพร้อมกระเป๋าใบหนึ่ง เสียงแสดงความเคารพก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณทันที“ยินดีต้อนรับนายท่านกลับบ้านครับ” ลิ่วล้อทั้งหลายที่มาเสนอหน้าวันนี้ตะโกนกันอย่างไม่กลัวเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะจับพวกเขาไปขัง“อืม… กลับไปคุยกันก่อน” ต้วนมู่ชิงโยนกระเป๋าให้หนึ่งในคนที่มารับเขา“เชิญนายท่านขึ้นรถครับ” ลู
งานเลี้ยงปีใหม่ที่ตระกูลฉางจัดในปีนี้สร้างความแปลกใหม่ให้กับทั้งสี่ตระกูลเป็นอย่างมาก รูปแบบงานจัดออกมาได้อย่างลงตัว อีกทั้งเด็ก ๆ ที่มาร่วมงานต่างได้เล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นของตระกูลฉางอย่างสนุกสนานด้วย“คุณฉาง ได้ข่าวว่าลูกชายคุณไปเรียนต่อต่างประเทศเหรอครับ ไม่ทราบที่นั่นการเรียนการสอนเป็นอย่างไรบ้างครับ” โจวหนานเซิงสนใจที่จะให้ลูกหลานไปเรียนจึงได้ลองถามกับฉางเล่ยขณะที่พวกเขายืนคุยกันอยู่ในสวน“เต๋อเป่าบอกว่าที่นั่นเรียนหนักกว่าที่นี่ครับ และส่วนใหญ่การสอนจะเป็นแบบเจาะลึก เน้นความเข้าใจมากกว่าการท่องจำครับ” ฉางเล่ยบอกเท่าที่ลูกชายส่งอีเมล์มาเล่าให้เขากับภรรยาฟัง“อ่า… แบบนี้ถ้าจะส่งลูกหลานไปเรียนก็คงต้องเตรียมตัวให้ดีสินะครับ” ชุ่ยถงพูด“คงต้องอย่างนั้นครับ เรื่องภาษาก็สำคัญเช่นกัน ถ้าอยากไปจริง ๆ ก็ให้เต๋อเป่าช่วยติดต่อหาที่เรียนให้ก็ได้นะครับ ยังไงเขาก็อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว” ฉางเล่ยยิ้มบอก
สามวันต่อมาซูเมี่ยวจิน ฉางเล่ยและลูกพี่ลูกน้องทั้งสี่คนเดินทางไปขึ้นเครื่องพร้อมกับบอดี้การ์ดติดตามอีกแปดคน เครื่องบินส่วนตัวของซูเมี่ยวจินมีขนาดใหญ่และจุคนได้มากถึงห้าสิบคนเลยทีเดียว นับว่าไม่เลวสำหรับเครื่องบินส่วนตัวในยุคสมัยนี้กัปตันและพนักงานต่างเตรียมพร้อมต้อนรับเจ้านายของพวกเขาที่โรงจอดเครื่องบินแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นรถยนต์หรูหลายคันแล่นเข้ามาจอดภายใน พวกเขาต่างก็ค้อมกายคำนับอย่างมีมารยาท“พวกคุณตามสบายเถอะ ตรวจสอบเครื่องก่อนขึ้นบินแล้วใช่ไหมคะ” ซูเมี่ยวจินถามเมื่อเดินไปถึงที่ที่พวกเขาเข้าแถวรออยู่“ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ เครื่องพร้อมขึ้นบินในสิบห้านาทีครับ” กัปตันตอบ“ดี ฉันซูเมี่ยวจิน เป็นเจ้าของเครื่องบินลำนี้ หวังว่าทุกคนจะทำงานให้ดี รับรองว่าฉันจะตอบแทนพวกคุณสำหรับการทำงานอย่างแน่นอน” ซูเมี่ยวจินบอก“ไม่ทราบว่านายหญิงมีสัมภาระ







