ซูเมี่ยวจินที่กำลังทำความรู้จักกับแขกในหมู่บ้านอยู่ได้ยินก็หันขวับไปมองสามตัวปัญหาของหมู่บ้านทันที เธอกล่าวขอตัวอย่างสุภาพ ก่อนจะปล่อยมือที่ฉางเล่ยจับเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้ออก และเดินดุ่ม ๆ เข้าหาทั้งสามคนอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ฟิ้ว!!! ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!
“โอ้ย!!! ฆ่าคนแล้ว ๆ นังสารเลว กล้าทำร้ายพวกเราได้ยังไง ฉันจะแจ้งความ” แม่เฒ่าฮัวที่เพิ่งหล่นตุ้บลงกับพื้นจนเอวเคล็ดตะโกนเสียงดังเมื่อถูกเตะจนร่างกระเด็นออกจากลานบ้านตระกูลฉาง
“ใช่ ๆ ผู้ใหญ่บ้าน แม่ทัพน้อย พวกคุณต้องให้ความเป็นธรรมกับเรานะ” ป้าฟางตะโกนขึ้นต่อทันที เธอเจ็บปวดไม่ต่างจากแม่เฒ่าฮัวนัก
“อูย… สะใภ้บ้านฉางรังแกคนเกินไปจริง ๆ ทุกคนดูสิว่าเธอร้ายกาจแค่ไหน” ป้าซิงร้องโอดโอยไม่ต่างจากสองคนก่อนหน้านี้
คนที่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้สติขึ้นมาทันที เมื่อครู่พวกเขาเบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าสาวจะดุถึงขนาดนี้ แม้แต่ผู้ใหญ่บ้านกับแม่ทัพน้อยซึ่งเป็นผู้มีอำนาจในหมู่บ้านยังถึงกับทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นยืนกันแทบไม่ทันฉางเล่ยเองก็รีบเดินไปหาซูเมี่ยวจินอย่างเป็นห่วง เขากลัวว่าเสื้อผ้าของเธอจะฉีกขาดจากการเตะเมื่อครู่จึงตรวจสอบดูอย่างละเอียด พอเห็นว่าชุดไม่มีอะไรเสียหายอย่างที่กังวล ฉางเล่ยถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ญาติผู้ใหญ่ของฉางเล่ยทั้งสองตระกูลก็ลุกขึ้นมายืนด้านหลังบ่าวสาวเพื่อคอยสนับสนุนหากว่าผู้ใหญ่บ้านกับแม่ทัพน้อยคิดจะรังแกคนตระกูลฉาง
“อาจารย์ซูใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ ครั้งนี้พวกเธอตั้งใจมาก่อกวนงานแต่งงานของคุณ ผมจะให้ความเป็นธรรมกับคุณแน่นอนครับ” ผู้ใหญ่บ้านปาดเหงื่อเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของซูเมี่ยวจินส่งมาให้เขา
“เรื่องนี้พวกเธอเป็นคนผิดจริง อาจารย์ซูไม่ต้องกังวล ผมจะให้คนไปเรียกลูกน้องมาจับพวกเธอไปดำเนินคดีเองครับ ได้ข่าวว่าสามคนนี้ก่อเรื่องในหมู่บ้านบ่อยครั้ง ครั้งนี้ผมคงต้องลงโทษพวกเธอไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสักหน่อย” แม่ทัพน้อยเอ่ยเสริมขึ้นมาอีกคนหนึ่ง เขาได้ยินเรื่องที่ผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังมาก่อนจึงเข้าข้างซูเมี่ยวจิน
“แม่ทัพน้อยจะมาลงโทษพวกเราได้ยังไงกันคะ ทั้งที่เธอเป็นคนทำร้ายร่างกายเราต่อหน้าต่อตาพวกคุณนะ ฉันไม่ยอม!” แม่เฒ่าฮัวพอได้ยินคำตัดสินของแม่ทัพน้อยก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที เธอเจ็บตัวไม่พอ นี่ยังจะต้องถูกลงโทษอีก
“จริงด้วย ๆ พวกคุณจะรังแกกันมากไปแล้วนะ หรือว่าแม่ทัพน้อยได้รับเงินจากเธอถึงได้ลำเอียงมากขนาดนี้” ป้าฟางจอมมโนกล่าวหาแม่ทัพน้อยเสียงดัง
“อูย… พวกคุณต้องให้ความเป็นธรรมกับพวกเราสิ ทำร้ายคนต้องชดใช้นะ พวกเราเจ็บตัวขนาดนี้ อย่างน้อยก็ต้องได้เงินคนละหนึ่งร้อยหยวนเป็นค่ารักษาสิ” ป้าซิงเห็นโอกาสทำเงินจึงพูดออกมาอย่างไม่อาย
“ฮึ! ที่แท้ก็มาก่อกวนเพราะอยากได้เงินกันนี่เอง” ชาวบ้านที่ได้ยินป้าซิงพูดต่างพากันดูถูกพวกเธอที่กล้ามาหาเรื่อง
“นั่นสินะ หน้าด้านหน้าทนจริง ๆ เจ้าของงานเขาไม่ได้เชิญเสียหน่อย แต่กลับมาก่อเรื่องให้เสียอารมณ์ เป็นฉัน ฉันก็ทนไม่ได้เหมือนกัน” ชาวบ้านอีกคนกล่าวเสริม
“ผู้ใหญ่บ้าน ส่งคนไปเรียกลูกน้องผมมาควบคุมตัวพวกเธอไปขังไว้ที่กองพลก่อนเถอะ ไม่อย่างนั้นจะเสียฤกษ์งานแต่งของอาจารย์ซู” แม่ทัพน้อยหันไปบอกผู้ใหญ่บ้าน
“ได้ครับ แม่ทัพน้อย” ผู้ใหญ่บ้านรับคำแล้วหันไปบอกชาวบ้านคนหนึ่งให้วิ่งไปที่กองพลเพื่อตามคนมาสักหลายคน
แม่เฒ่าฮัว ป้าซิงและป้าฟางพอเห็นว่าคำพูดพวกเธอไม่มีผลอะไรกับการตัดสินใจของแม่ทัพน้อย ทั้งสามจึงคิดจะหนีกลับบ้านไปซ่อนตัวก่อน จนใจที่ชาวบ้านหลายคนไม่ยอมให้พวกเธอหนีไปง่าย ๆ
“คิดจะหนีอย่างงั้นเหรอ! ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก” ชาวบ้านหลายคนที่ล้อมพวกเธอไว้เอ่ยขึ้นอย่างไม่ยินยอม หลายครั้งแล้วที่สามคนนี้ชอบกล่าวหาว่าร้ายคนในหมู่บ้าน พวกเขาใช่ว่าจะไม่เคยถูกทั้งสามรังแก ครั้งนี้พวกเขาจึงไม่มีใครยอมให้คนร้ายหนีไปอย่างลอยนวลได้อีก
“พวกคุณไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่มัดพวกเธอไว้แล้วกลับไปนั่งกันก็พอ ฉันไม่อยากให้ขยะพวกนี้ทำให้ทุกคนต้องเสียเวลาดื่มกิน” ซูเมี่ยวจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา เธอยังโกรธไม่หายที่ยัยป้าปากพล่อยพวกนี้พูดก่อนหน้า
“ภรรยาใจเย็น ๆ ผมจะไปเอาเชือกมาให้นะครับ” ฉางเล่ยลูบไหล่เจ้าสาว
“อืม… รบกวนด้วยนะคะสามี” ซูเมี่ยวจินสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์และรับคำฉางเล่ย เธอรู้ดีว่าเขาไม่อยากให้เธออารมณ์เสีย แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อสามคนนี้คอยแต่จะมาหาเรื่องเธอไม่หยุด
ญาติ ๆ ของฉางเล่ยเห็นว่าแม่ทัพน้อยตัดสินใจได้ดี พวกเขาจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เจ้าสาวไม่ถูกลงโทษตามที่คาดเดาเอาไว้ก่อนหน้านี้
ฉางเล่ยนำเชือกมาถึงในเวลาไม่นาน ลูกพี่ลูกน้องของเขาอย่างฉางหลิวซิงกับฉางหลิวหยางรับมาและเข้าไปมัดคนชั่วร้ายทั้งสามติดกันราวกับบ๊ะจ่าง พวกเขาไม่อยากให้ฉางเล่ยต้องติดเชื้อเสนียดจึงได้อาสาจัดการเอง โดยมีเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลสนับสนุนเสียงดัง
ผู้ใหญ่บ้านกับแม่ทัพน้อยเห็นความสามัคคีของคนตระกูลฉางและตระกูลหลิวต่อหน้าก็ถึงกับถอนหายใจที่ตัดสินใจลงโทษคนพวกนั้นได้ไม่ผิด ไม่อย่างนั้นคนพวกนี้จะต้องประท้วงพวกเขาจนเสียหน้าต่อหน้าคนในหมู่บ้านเป็นแน่
ชาวบ้านที่มามุงดูอยู่หน้าประตูรั้ว พอเห็นสามป้าถูกมัดเอาไว้และถูกชาวบ้านคุมตัวอยู่ก็รีบแยกย้ายกันทันที พวกเขากลัวถูกหางเลขไปด้วยจึงรีบกลับบ้าน ส่วนแม่เฒ่าฮัว ป้าซิงและป้าฟางถึงแม้จะถูกมัดไว้ก็ยังคงไม่หยุดด่าทอเสียงดัง ทำให้ซูเมี่ยวจินต้องเดินเข้าไปง้างเท้าเตรียมจัดการพวกเธออีกรอบ
“ถ้ายังไม่หุบปากเน่า ๆ นั่น ฉันจะทำให้ฟันพวกคุณหลุดออกมาทั้งปาก” ซูเมี่ยวจินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาจนทุกคนที่ได้ยินขนลุกซู่อย่างหวาดกลัวแทน
“ภรรยา ไม่ต้องลงมือเองหรอกครับ ผมจัดการแทนดีไหม” ฉางเล่ยเดินเข้าไปจับมือซูเมี่ยวจินเอาไว้อย่างเป็นห่วง เขาไม่อยากให้เธอต้องแปดเปื้อนกับคนแบบนี้
“คนพวกนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา สามี คุณใจดีเกินไปแล้วนะคะ” ซูเมี่ยวจินรู้ดีว่าอย่างมากฉางเล่ยก็คงหาผ้ามาปิดปากพวกเธอเท่านั้น
“น้องสะใภ้ทำตามที่อาเล่ยบอกเถอะ เรื่องนี้ปล่อยพวกพี่ชายจัดการเอง” บรรดาญาติฝ่ายชายของตระกูลฉางและตระกูลหลิวบอกซูเมี่ยวจินเสียงดัง ทุกคนต่างเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่สามป้าถูกมัดอยู่อย่างเอาเรื่อง
“เมี่ยวจินลูก ไปดูแลแขกกับอาเล่ยเถอะ ปล่อยให้พวกพี่ ๆ จัดการแทนดีกว่านะ ใกล้จะได้ฤกษ์ทำพิธีแล้วนะลูก” หลิวเอ้อหลิงมาเกลี้ยกล่อมอีกคน
“เฮ้อ! ตกลงค่ะแม่ รบกวนพวกพี่ชายด้วยนะคะ” ซูเมี่ยวจินได้แต่ต้องหันหลังกลับเข้าไปในลานบ้านพร้อมฉางเล่ย เธอรู้ดีว่าแม่สามีไม่อยากให้วันดี ๆ แบบนี้ต้องเสียหายเพราะคนปากพล่อยอย่างสามป้าในหมู่บ้าน
“น้องสะใภ้ไม่ต้องกังวล พวกเราจะรอคนของแม่ทัพน้อยมาและสั่งสอนพวกเธอไม่ให้พูดมากอีก” เหล่าพี่ชายทั้งหลายตบอกปุ ๆ เพื่อให้เจ้าสาวมั่นใจว่าทุกคนจะปกป้องไม่ให้งานแต่งงานของตระกูลต้องแปดเปื้อนอีก
ซูเมี่ยวจินยิ้มบางเมื่อเห็นท่าทางจริงจังของพวกเขา เธอไม่คิดมาก่อนว่าการมีญาติมากมายจะดีแบบนี้ นับว่าการแต่งงานงานกับฉางเล่ยในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีจริง ๆ ระบบที่อยู่ในตัวของเธอยังชื่นชมบรรดาญาติพี่น้องของฉางเล่ยให้เธอฟังจนชักจะรำคาญขึ้นมาตะหงิด ๆ เธอจึงบอกให้ระบบหุบปากไปเสีย ไม่อย่างนั้นภารกิจหลักที่ระบบให้มา เธอจะยืดเวลาออกไปเรื่อย ๆ ยังไงตอนนี้เธอก็มีเงินหลายพันหยวนอยู่แล้ว ระบบกลัวว่าระดับขั้นของมันจะไม่กระเตื้องจึงต้องรีบเงียบเสียงไปตามคำสั่งของเจ้านายผู้ดุร้ายทันที
ซูเมี่ยวจินที่กำลังทำความรู้จักกับแขกในหมู่บ้านอยู่ได้ยินก็หันขวับไปมองสามตัวปัญหาของหมู่บ้านทันที เธอกล่าวขอตัวอย่างสุภาพ ก่อนจะปล่อยมือที่ฉางเล่ยจับเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้ออก และเดินดุ่ม ๆ เข้าหาทั้งสามคนอย่างรวดเร็วเปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! ฟิ้ว!!! ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ!“โอ้ย!!! ฆ่าคนแล้ว ๆ นังสารเลว กล้าทำร้ายพวกเราได้ยังไง ฉันจะแจ้งความ” แม่เฒ่าฮัวที่เพิ่งหล่นตุ้บลงกับพื้นจนเอวเคล็ดตะโกนเสียงดังเมื่อถูกเตะจนร่างกระเด็นออกจากลานบ้านตระกูลฉาง“ใช่ ๆ ผู้ใหญ่บ้าน แม่ทัพน้อย พวกคุณต้องให้ความเป็นธรรมกับเรานะ” ป้าฟางตะโกนขึ้นต่อทันที เธอเจ็บปวดไม่ต่างจากแม่เฒ่าฮัวนัก“อูย… สะใภ้บ้านฉางรังแกคนเกินไปจริง ๆ ทุกคนดูสิว่าเธอร้ายกาจแค่ไหน” ป้าซิงร้องโอดโอยไม่ต่างจากสองคนก่อนหน้านี้คนที่เห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้สติขึ้นมาทันที เมื่อครู่พวกเขาเบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าเจ้าสาวจะดุถึงขนาดนี้ แม้แต่ผู้ให
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู