ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อน
ฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา
“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง
“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก
“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ซูเมี่ยวจินรับคำ เธอกำลังคิดอยู่ว่าบนภูเขาจะมีของดีอะไรให้เก็บเกี่ยวอีก ส่วนเจ้าระบบก็โม้ไปเรื่อยว่าวันนี้มันจะพาเธอหาสมุนไพรล้ำค่าและสัตว์ป่าตัวใหญ่อีกครั้งให้ได้ ทำเอาซูเมี่ยวจินรำคาญหูไม่น้อย
หลังกินข้าวกันเสร็จ ซูเมี่ยวจินอาสาล้างถ้วยชามเอง เธอบอกให้ฉางเล่ยรีบเอากุญแจบ้านไปให้พ่อที่ไร่ จะได้รีบขึ้นเขา ไม่อย่างนั้นกว่าจะลงมาก็คงมืดค่ำอีก
ฉางเล่ยไปไร่ไม่นานก็กลับถึงบ้านอีกครั้ง เขารีบไปเอาตะกร้าสะพายหลังพร้อมกับหน้าไม้ประจำตัวแล้วไปหาซูเมี่ยวจินที่นั่งรออยู่แคร่หน้าบ้าน
“ไปกันเถอะ วันนี้ผมจะพาคุณไปดูกับดักที่ผมวางเอาไว้” ฉางเล่ยปิดล็อกบ้านแล้วจึงบอกซูเมี่ยวจิน
“ตกลงค่ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราดูแค่กับดักของคุณก็ได้ ฉันไม่อยากทำให้พ่อกับแม่เป็นห่วงน่ะ” ซูเมี่ยวจินรู้ดีว่ากว่าจะขึ้นเขาลงเขาต้องใช้เวลา เธอจึงอยากกลับมาก่อนที่พ่อแม่ของเขาจะเลิกงาน
ฉางเล่ยพยักหน้ารับคำและเดินเคียงข้างเธอไปยังภูเขาหลังหมู่บ้าน ดีที่บ้านของพวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านบ้านชาวบ้านที่สอดรู้สอดเห็นเวลาขึ้นเขา อีกทั้งหลายปีมานี้ ชาวบ้านไม่นิยมขึ้นเขาไปหาของป่ามากินเหมือนเมื่อก่อน เพราะส่วนใหญ่ต่างส่งลูกหลานไปเรียนและทำงานในอำเภอกันหมด
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฉางเล่ยก็พาซูเมี่ยวจินไปถึงกับดักที่เขาวางเอาไว้ ในกับดักมีกระต่ายป่าติดอยู่หนึ่งตัว สภาพของมันเริ่มอิดโรยมากแล้วเพราะขาดน้ำและอาหารหลังจากถูกกับดัก ถ้าเขามาช้ากว่านี้อีกหนึ่งวัน กระต่ายตัวนี้คงตายไปแล้ว
“โชคดีที่มันยังไม่ตาย เรารีบไปกับดักถัดไปเถอะครับ ผมจะได้พาสัตว์พวกนี้ไปดื่มน้ำก่อนค่อยเอากลับบ้านไปให้อาหารสักหน่อย ไม่อย่างนั้นคงขายได้ราคาต่ำ”
“ตกลงค่ะ คุณนำทางเลย” ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำ เธอมองกับดักที่เขาทำแล้วก็เห็นว่าเป็นเพียงกับดักไม้ธรรมดา หากว่าเขาใช้กับดักที่ขายทั่วไป ซูเมี่ยวจินคิดว่าเขาน่าจะได้สัตว์ป่ามากกว่านี้
ฉางเล่ยนำทางเก็บเหยื่อที่ติดกับดักไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเก็บสัตว์ทั้งหมดได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น วันนี้กับดักทั้งหมดของเขา 10 อัน มี 8 อันที่สัตว์ป่าติดอยู่ แต่ก็เป็นเพียงกระต่ายกับไก่ป่าไม่กี่ตัวเท่านั้น ส่วนกับดักสัตว์ใหญ่ของเขาสองอันก็ยังคงไม่มีสัตว์ตัวไหนตกลงไป ฉางเล่ยที่หวังจะได้สัตว์ใหญ่บ้างจึงหน้าเสียเล็กน้อย
“คุณทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะฉางเล่ย” ซูเมี่ยวจินถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าเขา
“ผมแค่เสียดายที่ไม่มีสัตว์ตัวใหญ่ติดกับดักน่ะครับ ไม่มีอะไร” ฉางเล่ยยิ้มแหยตอบ
“คุณไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ เราพาสัตว์พวกนี้ไปกินน้ำจะยังพอมีเวลาขึ้นเขาไปอีกหน่อยไหม ฉันจะพาคุณไปป่าอีกด้านที่ฉันไปครั้งก่อน”
“ตอนนี้บ่ายสามโมงแล้วครับ” ฉางเล่ยยังคงเดินไปลำธารบนภูเขาต่อเพื่อพาสัตว์ทั้งหมดไปกินน้ำให้มันพอมีเรี่ยวแรงขึ้นมาบ้าง
“อืม… ถ้าอย่างนั้นรีบไปกันเถอะค่ะ เผื่อว่าป่าด้านโน้นจะมีของดี ๆ ให้เราบ้าง” ซูเมี่ยวจินสั่งระบบให้ตรวจสอบดูสมุนไพรมาตลอดทางที่ฉางเล่ยนำไป แต่ก็ไม่พบว่าแถวนี้จะมีสมุนไพรล้ำค่าสักนิด เธอจึงอยากไปดูที่ป่าอีกด้านหนึ่ง
“ตกลงครับ” ฉางเล่ยเร่งฝีเท้าไม่นานก็พบลำธารที่มาประจำ เขารีบป้อนน้ำให้สัตว์ในตะกร้าสะพายหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงลุกขึ้นและบอกให้ซูเมี่ยวจินนำทางเขาไปยังป่าด้านตะวันออกที่เธอเคยไปมา ซูเมี่ยวจินพยักหน้ารับคำเขาและนำทางไปอย่างรวดเร็วกว่าที่ฉางเล่ยเดินเสียอีก
ฉางเล่ยเดินตามเธอไปติด ๆ เขาเพิ่งรู้ว่าซูเมี่ยวจินเดินเร็วมากเกือบเท่าความเร็วที่เขาเดินเร็วที่สุดเสียอีก เท่ากับว่าที่ผ่านมาเขาดูแคลนเธอเกินไปจึงได้เดินอย่างไม่ช้าไม่เร็วเพราะกลัวเธอตามเขาไม่ทัน
ระหว่างทางเดินไปยังป่าอีกด้าน ซูเมี่ยวจินยังคงทะเลาะกับระบบ เพราะมันไม่พบสมุนไพรล้ำค่าเสียที อีกทั้งสัตว์ใหญ่ก็ยังไม่มีให้เห็น ทางที่ผ่านมามีเพียงเห็ดป่าและผักป่าทั่วไปเท่านั้น
[ไร้ประโยชน์จริง ๆ เดินมาตั้งนานยังไม่เห็นแม้แต่เงาสมุนไพร]
[โธ่! เจ้านายครับ สมุนไพรไม่ใช่หัวผักกาดนะครับ คุณก็ลองเดินขึ้นเขาไปลึกอีกสักหน่อยสิครับ คุณก็รู้ว่าผมมีระยะค้นหาแค่ห้ากิโลเมตรน่ะ]
ระบบยังคงขอความเมตตาเจ้านายแสนดุของมัน เพราะก่อนหน้านี้เธอเล่นด่ามันเสียยาวโดยไม่ซ้ำคำเลย มันจะไปรู้ได้ยังไงว่าตรงไหนมีของดีให้เจ้านาย ตัวมันทำได้เพียงสำรวจรอบบริเวณที่เจ้านายเดินอยู่เท่านั้น
“เมี่ยวจิน คุณจะขึ้นเขาไปอีกเหรอครับ” ฉางเล่ยเห็นทิศทางที่เธอกำลังเดินไปก็นึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ แถวนี้ไม่มีสมุนไพรดี ๆ เลย ลองขึ้นไปอีกสักหน่อยกันเถอะ ถ้าไม่มีจริง ๆ ก็ค่อยลงเขากันเลย” ซูเมี่ยวจินหันไปตอบฉางเล่ยหลังด่าระบบเสร็จ
“ตกลงครับ คุณเดินระวังด้วยนะ ด้านบนป่าทึบมากกว่ากลางภูเขาที่เราอยู่ครับ”
“ตกลงค่ะ คุณก็ตามมาดี ๆ ด้วยนะ” ซูเมี่ยวจินยังคงเร่งเดินขึ้นเขาลึกขึ้นไปอีก
ซูเมี่ยวจินเดินจนแทบจะเป็นวิ่ง กระทั่งได้ยินเสียงระบบดังขึ้นในหัวเสียงดังจนเธอเกือบสะดุดล้มหัวทิ่ม
[จะร้องเสียงดังทำไมเนี่ย!!! ฉันตกใจหมด]
[อ่า… ขอโทษครับเจ้านาย ผมดีใจมากไปหน่อย เจ้านายเดินหน้าไปอีก 500 เมตร จะมีกวางป่ากำลังกินดินโป่งอยู่กลุ่มหนึ่งครับ]
[แน่ใจนะ?]
[แน่ใจสิครับ เจ้านายไม่ยืมหน้าไม้ของนายท่านก่อนเหรอครับ]
[อืม… ฉันจะยืมเขามาลองดูก่อนก็แล้วกัน ถ้าไม่เจอกวางสักตัว นายระวังตัวให้ดี]
[ทราบแล้วครับเจ้านาย อย่าดุนักเลยครับ ผมกลัวจะแย่แล้ว]
“ฉางเล่ยคะ ฉันขอยืมหน้าไม้ของคุณหน่อยสิคะ” ซูเมี่ยวจินยื่นมือไปด้านหน้าฉางเล่ยเพื่อขอยืมหน้าไม้ประจำตัวของเขา
“คุณเห็นอะไรเหรอครับ?” ฉางเล่ยถึงจะสงสัยแต่ก็ส่งหน้าไม้ให้เธอแต่โดยดี
“ฉันรู้สึกว่าข้างหน้าน่าจะมีสัตว์ใหญ่ให้เราล่าน่ะค่ะ เราเดินกันเบาหน่อยนะ”
“ตกลงครับ ผมจะเดินเบา ๆ” ฉางเล่ยไม่รู้ว่าสัตว์ใหญ่ที่เธอว่าจะเป็นอะไร เขาได้แต่หวังในใจว่าคงไม่ใช่เสือร้ายอะไรเทือกนั้นหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะล่อมันไปแล้วให้เธอวิ่งหนีไปก่อน
ซูเมี่ยวจินเดินไม่นานก็มองเห็นฝูงกวางห้าหกตัวก้มกินดินโป่งอย่างที่ระบบบอกก่อนหน้านี้จริง ๆ เธอจ้องมองด้วยแววตาระยิบระยับอย่างพอใจ ถึงแม้จะล่าได้แค่ตัวเดียวเพราะอุปกรณ์ไม่เอื้ออำนวย แต่ด้วยความชำนาญในการใช้อาวุธของเธอ ซูเมี่ยวจินมั่นใจว่าเธอจะสามารถยิงเข้าจุดตายของกวางได้อย่างแม่นยำ
เฟี้ยว!!! ฉึก!!! ตุบ!!!
กวางโชคร้ายตัวหนึ่งถูกยิงเจาะกลางหว่างคิ้วอย่างแม่นยำ มันไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องโหยหวนก็ขาดใจตายไป ส่วนกวางตัวอื่น ๆ เห็นเข้าก็วิ่งกระเจิดกระเจิงออกจากหลุมดินโป่งตรงหน้าไปตัวละทิศละทาง
“โอ้! เจ้าสาวของฉางเล่ยสวยมากจริง ๆ” เสียงลุงใหญ่บ้านฉางที่ตั้งสติได้เป็นคนแรกอดจะชมเสียงดังไม่ได้“ใช่ ๆ เจ้าสามได้ลูกสะใภ้สวยจริง ๆ” พี่ชายหลิวเอ้อหลิงที่เห็นหลานสะใภ้เอ่ยเสริมขึ้นมาเสียงดังเช่นเดียวกัน“พวกลุงอย่าแกล้งภรรยาผมสิครับ ดูสิ เธอทำตัวไม่ถูกแล้ว” ฉางเล่ยยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจที่ตัวเองกำลังจะแต่งงานกับคนสวยตรงหน้า เขารู้ดีว่าสีหน้าของซูเมี่ยวจินตอนนี้คงกำลังเขินอายอยู่ ไม่อย่างนั้นแก้มของเธอคงไม่แดงก่ำขึ้นมาจนลามไปถึงคออย่างที่เขากำลังเห็นเป็นแน่“ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะคุณลุง” ซูเมี่ยวจินได้ยินฉางเล่ยพูดขึ้น เธอจึงสงบจิตใจตอบกลับผู้อาวุโสอย่างนอบน้อม สายตาคมดุของเธอมองเจ้าบ่าวที่วันนี้หล่อมากในสายตาเธอก็อดที่จะมองเขาสักหลายทีไม่ได้เช่นกันเหล่าผู้อาวุโสเห็นเจ้าบ่าวเจ้าสาวแอบมองกันไปมาก็รีบผลักพวกเขาให้ไปรอต้อนรับแขกที่ลานหน้าบ้าน ฉางเล่ยที่ตั้งตัวได้ก่อนจึงจับมือซูเมี่ยวจินเดินออกไปตามคำสั่งของผู้ใ
หลังกินข้าวเสร็จ ฉางชิงหยูอาสาไปเชิญเพื่อนบ้านที่สนิทกันและยืมโต๊ะเก้าอี้มาไว้ใช้ในงานแต่งงานวันพรุ่งนี้ หลิวเอ้อหลิงบอกให้ฉางเล่ยไปขอซื้อไก่จากเพื่อนบ้านพวกนั้นมาสักหลายตัวเพื่อทำอาหารขึ้นโต๊ะในงานแต่งงาน หลังจากดูแล้วว่ายังขาดเมนูไก่ไปหนึ่งอย่าง สองพ่อลูกจึงออกจากบ้านไปด้วยกันหลิวเอ้อหลิงกับซูเมี่ยวจินจึงช่วยกันตกแต่งบ้านต่อ เหลืออีกเพียงนิดหน่อยก็ตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้บ้านฉางเต็มไปด้วยกระดาษและผ้าสีแดงเต็มไปหมด ในห้องนอนของฉางเล่ยเองก็ถูกติดกระดาษเอาไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เปลี่ยนผ้าปูเป็นสีแดงมงคล หลิวเอ้อหลิงรอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าจึงจะเข้าไปเปลี่ยนให้ลูก ๆ“แม่คะ ฉันติดเสร็จหมดแล้วค่ะ จะให้ทำอะไรต่อคะ” ซูเมี่ยวจินถามขึ้น“ไม่มีอะไรแล้วจ๊ะ เราไปปั้นแป้งเตรียมทำบัวลอยวันพรุ่งนี้กันดีไหม” หลิวเอ้อหลิงนึกถึงขนมบัวลอยที่บ่าวสาวต้องกินในวันแต่งงานขึ้นมาได้ เธอไม่อยากเสียเวลาเตรียมของพรุ่งนี้จึงคิดจะทำเอาไว้ก่อน“ได้ค่ะแม่&r
“เชิญคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชายด้านในเลยครับ” เจ้าของร้านผายมือเชิญอย่างนอบน้อม ต่างจากครั้งก่อนที่พวกเขามาขายโสมราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ“ขอบคุณครับ/ค่ะ” ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินเห็นเถ้าแก่ทำแบบนี้เลยไม่อยากเสียมารยาท“พวกคุณนั่งก่อนครับ วันนี้จะมาขายเขากวางในมือนั่นหรือเปล่าครับ” เถ้าแก่ถามด้วยแววตาเป็นประกายระยิบระยับ เพราะเขากำลังจะได้ของดีมาขายอีกแล้ว“ใช่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณรับซื้อยังไงคะเถ้าแก่” ซูเมี่ยวจินถามตรง ๆ เธอไม่เคยขายเขากวางมาก่อนจึงไม่รู้ว่าราคาตลาดเป็นอย่างไร“เขากวางสดขายราคาเป็นขีดครับคุณผู้หญิง เขากวางของคุณใหญ่ขนาดนี้น่าจะได้ราคาสูงมากทีเดียว หลายปีแล้วที่ร้านขายยาไม่มีเขากวางขายครับ” เถ้าแก่บอกตรง ๆ เพื่อที่เขาจะได้รับซื้อเขากวางและนำไปขายทำกำไรต่อเหมือนเคย“ขีดละเท่าไหร่หรือคะเถ้าแก่ ถ้าราคาต่ำไป ฉันจะได้เก็บเอาไว้ก่อน” ซูเมี่ยวจินไม่คิดว่า
ฉางเล่ยถึงกับทึ่งในฝีมือการใช้หน้าไม้ของซูเมี่ยวจิน แต่เขาไม่มีเวลาสงสัยมากนักเมื่อเธอบอกให้เขารีบเข้าไปกลบเลือดกวางที่ตาย เพื่อป้องกันไม่ให้หมาป่าหรือสัตว์ดุร้ายตัวอื่นตามกลิ่นเลือดมาซูเมี่ยวจินมองหาไม้ใหญ่และเถาวัลย์เพื่อใช้มัดกวาง ดีที่ป่าตรงนี้มีทุกอย่างที่เธอต้องการ ซูเมี่ยวจินใช้เวลาไม่นานก็นำของทั้งหมดไปจัดการมัดกวางเอาไว้“ช่วยฉันแบกมันลงจากเขากันเถอะค่ะ ตอนนี้กี่โมงแล้วคะ” ซูเมี่ยวจินยังคงกลัวว่าจะกลับบ้านค่ำมืดเกินไป“สี่โมงเย็นพอดีครับ” ฉางเล่ยยกไม้ที่มีกวางถูกมัดอยู่ขึ้นพาดไหล่อย่างไม่หนักแรง“เรารีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยเอามันไปขายในอำเภอนะคะ”“ตกลงครับ ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะใช้จักรยานหรือรถยนต์ไปในอำเภอดีครับ”“ฉันว่าเอาสามล้อของพ่อไปดีกว่าค่ะ ฉันไม่อยากให้ชาวบ้านเห็นรถยนต์เราเร็วนัก ยังไงวันแต่งงานก็ต้องเอารถออกไปจอดหน้าบ้านอย
ทั้งสองกลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงนิดหน่อย หลังจากเก็บเนื้อและผักแช่ไว้ในบ่อน้ำหลังบ้านแล้ว ซูเมี่ยวจินก็ไปอุ่นอาหารรอฉางเล่ยที่กำลังเอาสามล้อไปคืนพ่อที่ไร่ เธอคิดว่าช่วงบ่ายไม่มีอะไรทำ จึงอยากชวนฉางเล่ยขึ้นเขาไปล่าสัตว์ หาสมุนไพรดูสักหน่อย เผื่อว่าจะโชคดีได้เงินอีกสักก้อนฉางเล่ยกลับมากินข้าวพร้อมซูเมี่ยวจินในเวลาไม่นานนัก ระหว่างที่กำลังกินมื้อเที่ยงกันอยู่ ซูเมี่ยวจินก็ชวนฉางเล่ยขึ้นเขา“คุณแน่ใจเหรอว่าจะขึ้นเขาบ่ายนี้” ฉางเล่ยเลิกคิ้วขึ้นอย่างงุนงง“ใช่ค่ะ ยังไงบ่ายนี้พวกเราก็ไม่มีอะไรทำ คุณไม่ได้ไปดูกับดักสัตว์หลายวันแล้ว เผื่อว่าจะได้สัตว์ไปขายในอำเภอพรุ่งนี้สักตัวสองตัวก็ยังดีนะคะ” ซูเมี่ยวจินบอก“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จ ผมจะเอากุญแจบ้านไปให้พ่อก่อน คุณรอผมที่บ้านนะครับ ผมไปไม่นาน” ฉางเล่ยพยักหน้าตอบรับ เขาลืมไปเลยว่าวางกับดักสัตว์เอาไว้หลายวันแล้ว เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องงานแต่งงานจึงไม่ได้ขึ้นไปดู
ฉางชิงหยูกับหลิวเอ้อหลิงไปถึงบ้านหลิวในเวลาไม่นาน สองเฒ่าชราที่อายุน้อยกว่าพ่อเฒ่าฉางหลายปีออกมาต้อนรับลูกเขยกับลูกสาวด้วยความดีใจ พอรู้ว่าหลานชายกำลังจะแต่งงาน ทั้งสองก็ดีใจมาก“พวกเราจะไปแน่นอนเอ้อหลิง พ่อกับแม่จะให้พี่ใหญ่เธอพาไปเอง ตั้งแต่หลาน ๆ ไปทำงานในอำเภอ พวกเราก็สบายขึ้นมาก จักรยานที่บ้านก็มีถึงสองคัน ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พวกเราจะไปกันตั้งแต่เช้ามืดเลย” แม่หลิวรีบบอกพร้อมรอยยิ้มชรา“ใช่ ๆ นานแล้วที่บ้านเราไม่มีงานมงคล” พ่อหลิวเองก็ดีใจไม่น้อยที่หลานชายกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที ทั้งที่อายุก็ไม่น้อยแล้ว“ถ้าพ่อแม่ไม่อยากตื่นเช้านัก พวกเราปั่นจักรยานมารับพวกคุณได้นะคะ” หลิวเอ้อหลิงไม่อยากทำให้พ่อแม่ลำบาก เธอจึงหันไปมองสามี“ใช่ครับ ผมปั่นสามล้อมารับดีไหมครับ พ่อกับแม่จะได้นั่งกันสบายหน่อย”“ไฮ้! ไม่เป็นไร ๆ พวกเราชอบนั่งพ่วงหลังจักรยานของเสี่ยวเค่อมากกว่า” พ่อเ