LOGINหนึ่งสัปดาห์ต่อมา
วันนี้ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยมีนัดไปรับเอกสารร้านค้าที่มณฑล พวกเขาเดินทางกันหลังกินข้าวเช้าเสร็จ ในโกดังยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเหลืออยู่ พวกเขาจึงยังไม่คิดจะซื้อมาเติมในวันนี้
ทั้งสองเข้ามณฑลแล้วแวะซื้อเสื้อผ้าเพิ่มให้ทุกคนในบ้านที่ห้างใหญ่และกินมื้อเที่ยงกันในห้าง ฉางเล่ยถามระหว่างกินข้าวว่าเมื่อไหร่จะผ่าหินดิบที่ซื้อมา
“อืม… เอาเป็นพรุ่งนี้ดีไหมคะ กว่าเราจะกลับถึงบ้านแล้วเก็บของที่ซื้อมาคงใช้เวลามากสักหน่อย” ซูเมี่ยวจินมองถุงเสื้อผ้าที่ครั้งนี้เธอซื้อให้ทุกคนคนละห้าชุด ทำให้ต้องขนถุงเสื้อผ้ามากกว่าครั้งก่อนหลายเท่าเลยทีเดียว
“ตกลงครับ แล้วถ้าเราผ่าได้หยก คุณจะขายเลยหรือเปล่า”
“ต้องดูก่อนนะคะ เรายังมีเงินในบัตรอีกแปดแสนเลยนะ แล้วยังมีเห็ดหลินจือแดงที่ยังไม่ได้เอาออกไปขายอีกมาก”
“ผมคิดว่าเราน่าจะขายดีกว่านะครับ ไม่อย่างน
ฉางเล่ยกับซูเมี่ยวจินพักผ่อนอยู่บ้านนานถึงสามวัน ก่อนที่ซูเมี่ยวจินจะบอกให้ฉางเล่ยไปทำงานเสียที เธอกลัวว่าที่บริษัทจะเกิดปัญหา“เฮ้อ ผมไปก็ได้ครับ แต่คุณต้องพักผ่อนอยู่ที่บ้านจนกว่าจะหายดีนะครับ” ฉางเล่ยจำใจต้องแยกกับภรรยาวันนี้“ฉันรู้แล้วค่ะ คุณอย่ากังวลไปเลยน่า” ซูเมี่ยวจินตอบอย่างระอาหลังทานมื้อเช้าที่พ่อครัวทำให้เสร็จ ฉางเล่ยก็ออกไปทำงานกับซวงหลินและเป่ยตี้ ซูเมี่ยวจินเดินกลับเข้าไปนั่งเล่นในห้องรับแขก เธอว่างจัดจนไม่รู้จะทำอะไรดี พอคิดว่าจะไปตัดหินดิบฆ่าเวลา เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอกลับดังขึ้นตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด“สวัสดีค่ะ” ซูเมี่ยวจินรับสายด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา เธอไม่รู้ว่าใครโทรมาแต่เช้า“คุณซูครับ นายท่านผู้เฒ่าชุ่ยป่วยหนัก ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลครับ” ชุ่ยฟ่านโทรบอกข่าวกับซูเมี่ยวจินตามคำสั่งของชุ่ยถง“อะไรนะคะ!
“ถ้าไม่อยากตายก็หยุดมือซะ!” ต้วนมู่ชิงตะโกนบอกซูเมี่ยวจินเสียงดัง“ฮึ! กระจอก เก่งแต่ใช้อาวุธสินะแกน่ะ” ซูเมี่ยวจินกล่าวอย่างดูถูก“นังสารเลวเอ้ย!” ต้วนมู่ชิงอยากยิงกรอกปากซูเมี่ยวจินให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่มันไม่อยากให้เธอตายเร็วเกินไปนัก“ไอ้สวะ! แน่จริงก็เข้ามาตัวต่อตัวกับฉันสิ” ซูเมี่ยวจินมองอย่างท้าทาย“พวกแกมัวทำอะไรกันอยู่!!! รีบจัดการมันให้ฉันสิวะ” ต้วนมู่ชิงตะโกนบอกลูกน้องที่นอนโอดครวญอยู่อย่างโมโห“ครับ ๆ” เหล่าลิ่วล้อรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ร่างกายของพวกมันต่างบอบช้ำกันไปหมดแล้ว ใครจะคิดบ้างล่ะว่าผู้หญิงสูงโปร่งคนนี้จะมีเรี่ยวแรงอย่างกับช้างสารตัวหนึ่งซูเมี่ยวจินแสยะยิ้มร้ายออกมาทันที เมื่อเธอเห็นคนร้ายพุ่งเข้ามาหาอีกครั้ง เสียงการต่อสู้ก็ดังขึ้นไปทั่วบริเวณเหล่าบอดี้การ์ดท
กลุ่มคนร้ายเห็นว่าทางนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมา พวกมันรีบขับรถแซงขึ้นไปปาดหน้าจนทำให้รถของซูเมี่ยวจินเสียหลักและหยุดลงกลางถนนเอี๊ยด!!! ปัง! ปัง! ปัง!“หลบเร็ว!!!” ซูเมี่ยวจินตะโกนบอกบอดี้การ์ดทั้งสองที่อยู่ด้านหน้าทันทีฟุ่บ! แกร๊ก! ปัง! ปัง!บอดี้การ์ดทั้งสองคู้ตัวลงไปให้ต่ำที่สุดและยกมือที่ปลดล็อกปืนขึ้นไปยิงสวนกับคนร้ายอย่างไม่กลัวว่าจะบาดเจ็บ“พวกคุณรีบลงจากรถก่อน อย่าให้ตัวเองบาดเจ็บ ฉันจะล่อพวกมันไปทางอื่น”ซูเมี่ยวจินสั่งอย่างรวดเร็ว เธอดูวิถีกระสุนของคนร้ายแล้วไม่เหมือนว่าพวกมันต้องการจะเอาชีวิตเธอเลยสักนิด ซูเมี่ยวจินจึงสันนิษฐานว่าคนร้ายคงต้องการจับตัวเธอไปมากกว่า เธอเองก็อยากรู้ว่ารังของพวกมันอยู่ที่ไหนเช่นกัน ซูเมี่ยวจินจึงคิดจะใช้ตัวเองเป็นตัวล่อ เพื่อให้คนของเธอตามไปถล่มพวกมันทีหลัง“นายหญิงระวังตัวด้วยนะครับ พวกเราจะไม่ปล่อยให้นา
หลังจากหลายปีผ่านมา ตระกูลต้วนที่ไม่มีต้วนมู่ชิงนั้นแทบจะไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นมาอยู่ในกลุ่มยี่สิบตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงได้เลย พวกเขาได้แต่หลบซ่อนตัวเพื่อรอคอยต้วนมู่ชิงที่ถูกจับเมื่อปีนั้น จากเหตุการณ์ยิงต่อสู้กับซูเมี่ยวจินจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอดธุรกิจของตระกูลต้วนจากที่เคยมีทั้งบนดินและใต้ดินก็กลายเป็นมีใต้ดินอย่างเดียวแล้ว เพราะพวกเขาไม่สามารถแข่งขันกับตระกูลอื่น ๆ ได้ พวกเขาทำได้แค่ประคองธุรกิจสีเทาให้คงอยู่เท่านั้นขบวนรถหรูพร้อมกำลังคนกว่าสามสิบคนมาที่หน้าเรือนจำอย่างเอิกเกริก เมื่อต้วนมู่ชิงเดินออกมาพร้อมกระเป๋าใบหนึ่ง เสียงแสดงความเคารพก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณทันที“ยินดีต้อนรับนายท่านกลับบ้านครับ” ลิ่วล้อทั้งหลายที่มาเสนอหน้าวันนี้ตะโกนกันอย่างไม่กลัวเกรงว่าเจ้าหน้าที่จะจับพวกเขาไปขัง“อืม… กลับไปคุยกันก่อน” ต้วนมู่ชิงโยนกระเป๋าให้หนึ่งในคนที่มารับเขา“เชิญนายท่านขึ้นรถครับ” ลู
งานเลี้ยงปีใหม่ที่ตระกูลฉางจัดในปีนี้สร้างความแปลกใหม่ให้กับทั้งสี่ตระกูลเป็นอย่างมาก รูปแบบงานจัดออกมาได้อย่างลงตัว อีกทั้งเด็ก ๆ ที่มาร่วมงานต่างได้เล่นเครื่องเล่นในสนามเด็กเล่นของตระกูลฉางอย่างสนุกสนานด้วย“คุณฉาง ได้ข่าวว่าลูกชายคุณไปเรียนต่อต่างประเทศเหรอครับ ไม่ทราบที่นั่นการเรียนการสอนเป็นอย่างไรบ้างครับ” โจวหนานเซิงสนใจที่จะให้ลูกหลานไปเรียนจึงได้ลองถามกับฉางเล่ยขณะที่พวกเขายืนคุยกันอยู่ในสวน“เต๋อเป่าบอกว่าที่นั่นเรียนหนักกว่าที่นี่ครับ และส่วนใหญ่การสอนจะเป็นแบบเจาะลึก เน้นความเข้าใจมากกว่าการท่องจำครับ” ฉางเล่ยบอกเท่าที่ลูกชายส่งอีเมล์มาเล่าให้เขากับภรรยาฟัง“อ่า… แบบนี้ถ้าจะส่งลูกหลานไปเรียนก็คงต้องเตรียมตัวให้ดีสินะครับ” ชุ่ยถงพูด“คงต้องอย่างนั้นครับ เรื่องภาษาก็สำคัญเช่นกัน ถ้าอยากไปจริง ๆ ก็ให้เต๋อเป่าช่วยติดต่อหาที่เรียนให้ก็ได้นะครับ ยังไงเขาก็อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว” ฉางเล่ยยิ้มบอก
สามวันต่อมาซูเมี่ยวจิน ฉางเล่ยและลูกพี่ลูกน้องทั้งสี่คนเดินทางไปขึ้นเครื่องพร้อมกับบอดี้การ์ดติดตามอีกแปดคน เครื่องบินส่วนตัวของซูเมี่ยวจินมีขนาดใหญ่และจุคนได้มากถึงห้าสิบคนเลยทีเดียว นับว่าไม่เลวสำหรับเครื่องบินส่วนตัวในยุคสมัยนี้กัปตันและพนักงานต่างเตรียมพร้อมต้อนรับเจ้านายของพวกเขาที่โรงจอดเครื่องบินแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นรถยนต์หรูหลายคันแล่นเข้ามาจอดภายใน พวกเขาต่างก็ค้อมกายคำนับอย่างมีมารยาท“พวกคุณตามสบายเถอะ ตรวจสอบเครื่องก่อนขึ้นบินแล้วใช่ไหมคะ” ซูเมี่ยวจินถามเมื่อเดินไปถึงที่ที่พวกเขาเข้าแถวรออยู่“ตรวจสอบเรียบร้อยแล้วครับ เครื่องพร้อมขึ้นบินในสิบห้านาทีครับ” กัปตันตอบ“ดี ฉันซูเมี่ยวจิน เป็นเจ้าของเครื่องบินลำนี้ หวังว่าทุกคนจะทำงานให้ดี รับรองว่าฉันจะตอบแทนพวกคุณสำหรับการทำงานอย่างแน่นอน” ซูเมี่ยวจินบอก“ไม่ทราบว่านายหญิงมีสัมภาระ