Share

ท่าเรือ

last update Last Updated: 2025-07-11 01:21:30

หลังจากกินข้าวเสร็จ เสี่ยวหนานก็เตรียมตัวจะไปดูที่ขายของ แม่โจวเห็นว่าเสี่ยวหนานจะผ่านบ้านซูจึงจับปลาที่ขังอยู่ในกะละมังให้เสี่ยวหนานเอาไปฝากบ้านซูด้วย

"เสี่ยวหนาน เอาปลาพวกนี้ไปฝากพ่อแม่ที่บ้านด้วยนะลูก"

แม่โจวยิ้มละไมพลางหยิบปลาสดขึ้นมาใส่ถุงยื่นให้ลูกสะใภ้

"ขอบคุณค่ะแม่ งั้นหนูไปก่อนนะคะ"

"ไปเถอะลูก ถ้าสือซานกลับมาจากเรือ แม่จะบอกให้พี่เขารีบตามไป"

"ค่ะแม่ แล้วหน่วนหน่วนสนใจจะไปหาคุณยายกับแม่ไหม?"

เสี่ยวหนานหันไปถามหนูน้อยซินหน่วนที่กำลังนั่งมองเธออยู่เงียบ ๆ บ้านโจวมีคนน้อย แถมยังมีช่วงอายุที่ต่างกัน หน่วนหน่วนเลยไม่มีเพื่อนเล่นสักเท่าไหร่

"หน่วนหน่วนไปได้เหรอคะ จะไม่รบกวนแม่จ๋าใช่ไหม?"

"ไม่รบกวนแน่นอน เมื่อวานหน่วนหน่วนเห็นใช่ไหมว่าที่บ้านซูมีพี่อันเจ๋ออยู่ที่นั่น หนูอยากไปเล่นกับพี่เขาไหม?"

"ไปค่า"

หลังจากตกลงกันได้เสี่ยวหนานกับหน่วนหน่วนก็เดินไปที่บ้านซู พร้อมกับปลาสด ๆ ของฝากจากแม่โจว เดินไปไม่นานทั้งคู่ก็ถึงหน้าบ้านซู

"เสี่ยวหนาน หน่วนหน่วน เข้ามาก่อนลูก" แม่ซูที่นั่งชำแหละปลาตัวเล็ก ๆ ตากแดดอยู่หน้าบ้าน

"คุณยายสวัสดีค่ะ"

"พ่อกับพี่ใหญ่ไปทำงานแล้วเหรอแม่?" เสี่ยวหนานหันซ้ายหันขวาแต่ก็ไม่เห็นใครนอกจากอันเจ๋อจึงเอ่ยถาม

"ไปแล้วลูก วันนี้ไปรับจ้างเข็นปลาที่ท่าเรือเล็ก" 

ท่าเรือเล็กคือท่าเรือประมงของชาวเมืองเยี่ยนเทียน แต่ไม่ใช่ท่าเรือใหญ่ที่บรรทุกสินค้าข้ามฝั่งไปที่ฮ่องกงและส่งออกไปต่างประเทศ

"อันเจ๋อมาเล่นเป็นเพื่อนน้องหน่อย อีกเดี๋ยวอาจะเข้าเมือง แล้วอาจะซื้อขนมมาฝากนะ"

"ครับอาเสี่ยวหนาน"

เสี่ยวหนานลูบหัวหลานชายวัย 7 ขวบ อันเจ๋อเป็นเด็กดีและเชื่อฟัง ถึงพี่สะใภ้จะพูดกับเธอไม่ดี แต่ก็เข้าใจได้ ทั้งหมดก็เพราะถูกเธอนำเงินที่มีในบ้าน ทั้งข้าวของ ทั้งอาหาร เธอก็ขนไปให้หานเจาจนหมด เฮ้อ! ไร้ความคิดจริง ๆ

"สือซานตามมาโน่นแล้ว อ้าว ทำไมเอาจักรยานมาด้วยล่ะ พวกลูกจะเข้าเมืองกันเหรอเสี่ยวหนาน"

แม่ซูเอ่ยถามลูกสาวเมื่อเห็นลูกเขยปั่นจักรยานลงเนินมาแต่ไกล

"หนูว่าจะเข้าไปดูที่ขายกับข้าวค่ะแม่ ดีกว่าอยู่เฉย ๆ"

"จะดีเหรอลูก พ่อแม่สามีจะไม่ว่าเหรอถ้าลูกออกไปทำงานแบบนั้น แล้วใครจะดูแลงานที่บ้าน?"

แม่ซูถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง แต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ การปรนนิบัติดูแลสามีและพ่อแม่สามีเป็นเรื่องที่ต้องทำ

"แม่ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้พ่อแม่สามีเห็นด้วยแล้ว งานในบ้านหนูจะดูแลไม่ให้บกพร่อง"

"เอาเถอะ ถ้าบอกพ่อแม่สามีแล้วแม่ก็เบาใจ พากันไปทำธุระเถอะลูก ส่วนหน่วนหน่วนให้เล่นอยู่กับอันเจ๋อที่นี่ก็ได้ เดี๋ยวแม่จะดูให้เอง"

"แม่สวัสดีครับ ผมมารับเสี่ยวหนานเข้าเมืองครับ" สือซานรับทักทายทันทีที่จอดจักรยานแล้ว

"ฝากดูน้องด้วยนะสือซาน ส่วนหน่วนหน่วนให้เล่นอยู่ที่นี่กับอันเจ๋อก็ได้"

"ครับแม่ งั้นเราไปกันเถอะหนานหนาน" สือซานหันไปพูดกับภรรยาที่ยืนอยู่กับเด็ก ๆ 

 "หน่วนหน่วน รอพ่อกับแม่อยู่ที่นี่กับคุณยายนะ เล่นกับพี่อันเจ๋อไปก่อน ไว้เสร็จธุระแม่จะซื้อขนมมาฝาก"

"ค่า พ่อจ๋ากับแม่จ๋าอย่าลืมขนมของหน่วนหน่วนนะ"

"แม่ไม่ลืมแน่นอนจ้ะ มีของฝากให้ทั้งสองคนแน่นอน"

เสี่ยวหนานพูดพร้อมลูบศีรษะลูกสาวเบา ๆ แล้วรีบหมุนตัวเดินออกจากบ้านไปทันที

เสียงล้อจักรยานที่บดไปบนทางลูกรังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายหัวใจสองดวงที่กำลังปรับจังหวะให้ตรงกัน

เสี่ยวหนานนั่งซ้อนท้ายอยู่บนเบาะแคบ ๆ มือเกาะเอวของสือซานไว้แน่น ร่างเอนเล็กน้อยเข้ากับแผ่นหลังแข็งแรงของสามี แต่อารมณ์ในใจกลับคล้ายมีพายุ

เธอไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ขี่จักรยานออกมาจากบ้าน…

แม้ลมจะเย็น แต่มือเธอกลับชื้นเหงื่อจนรู้สึกได้เอง

ใจหนึ่งก็อยากสารภาพทุกอย่าง อีกใจก็กลัว…

กลัวเขา...จะกลัวเธอ

"เมื่อเช้า พี่เห็น..."

เสียงพูดนั้นคล้ายห้วงเวลาได้หยุดลง เสี่ยวหนานใต้กระตุกวูบ รีบถามเสียงสูงกลับไปทันที 

"พี่เห็นอะไร?"

"เห็นตอนน้องเอาข้าวสารออกมา..."

เสียงของสือซานราบเรียบแต่เต็มไปด้วยความอึดอัด เขาไม่อาจทนกับความรู้สึกอึดอัดใจแบบนี้ได้จึงเป็นคนพูดเรื่องนี้เอง

"ละ...แล้วพี่กลัวฉันไหม?"

เสี่ยวหนานสูดลมหายใจลึกก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา 

"ไม่กลัว...พี่ถึงได้บอกไง ว่ามีอะไรให้พูดกับพี่ตรง ๆ" เขาตอบทันที แล้วเติมเสียงหัวเราะในลำคอ

"ได้ ฉันจะบอกความจริงกับพี่...แต่ก่อนอื่น พี่ต้องเตรียมใจหน่อยนะ อย่าคิดว่าฉันเป็นปีศาจไปซะก่อนล่ะ"

หญิงสาวชะงักเล็กน้อยแล้วพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สือซานหัวเราะอีกครั้ง ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มแสนอบอุ่นเหมือนพระอาทิตย์กลางฤดูหนาว 

"หึ พูดมาเถอะ พี่รับได้ทุกอย่าง"

"พี่จำคืนที่เราถูกวางยาได้ไหม"

"จำได้สิ..." เสียงตอบของสือซานชะงักเล็กน้อย คล้ายรู้ว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง

"เจ้าของร่างนี้จากไปในคืนนั้น ส่วนฉัน...มาจากอนาคต"

ลมที่พัดมากลับกลายเป็นลมหวิววูบในอกสือซาน เขาเบรกจักรยานเบา ๆ จนล้อหน้าหยุดริมพุ่มไม้ข้างทาง แล้วหันกลับไปมองหน้าเธอเต็ม ๆ เป็นครั้งแรกหลังจากออกจากบ้านมา

"อนาคตที่ว่า...ปีไหน?"

"ปี 2025 หรืออีก 42 ปีข้างหน้า" 

เสี่ยวหนานตัดสินใจพูดแค่นั้น เธอไม่อาจพูดได้ว่าโลกใบนี้เป็นเพียงนิยายเรื่องหนึ่งเท่านั้น ถึงพูดไปใครจะเชื่อ ก็คนมีเนื้อมีหนัง มีความรู้สึกทั้งนั้นที่อยู่ตรงหน้า

"น้องพูดจริงเหรอ...นั่นหมายความว่าน้องรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคตใช่ไหม?"

เขาถามเสียงเบา แต่ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะตกใจปนทึ่ง

"ใช่" เธอตอบเสียงเรียบ แต่ในใจเต้นแรงเหมือนกลองรัว 

"..."

"แต่เป็นเรื่องราวในวงกว้าง อย่างพัฒนาการบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงในยุคสมัย ทิศทางของความเจริญ ฉันจำได้คร่าว ๆ และบางอย่าง...ก็ยังอยู่ในความรู้สึก"

สือซานขมวดคิ้วนิดหนึ่ง แต่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะระบายยิ้มบางออกมา

"ว้าว...แสดงว่าพี่ตาถึงจนได้ของดีมาอยู่ในบ้านเลยสิเนี่ย"

เสี่ยวหนานหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ใบหน้าแดงระเรื่อ หัวใจที่เคยเต้นด้วยความหวาดหวั่น กลับอบอุ่นเหมือนกำลังซุกอยู่ในอ้อมแขนใครบางคน

"ข้าวสารที่พี่เห็นเมื่อเช้านั่นมาจากร้านในมิติของฉัน มันเป็นมิติที่เหมือนห้องเก็บของที่ไม่มีวันหมด มีวัตถุดิบ อุปกรณ์ทุกอย่างที่เคยใช้ในร้านอาหารของฉัน ในที่ที่ฉันจากมา"

เธอเริ่มเล่าอย่างออกรสออกชาติ ยิ่งรู้ว่าไม่ต้องปิดบังสามีเธอก็ยิ่งสบายใจมากขึ้น

"แสดงว่า...ก่อนหน้านี้ น้องเปิดร้านอาหารมาก่อน?"

"ใช่ ฉันทำร้านอาหารเล็ก ๆ ในเมือง เป็นร้านอาหารของเพื่อนบ้านทางใต้ที่มีความนิยมในยุคนั้น ขายดีมากจนต้องจองคิวล่วงหน้า" 

"แสดงว่าตอนนี้พวกเราจะใช้ความรู้จากอนาคตสินะ"

"แน่นอน ฉันจะพาพี่ร่ำรวยไปด้วยกัน เสี่ยวหนานคนนี้ไม่ขออะไรมาก มีแค่เรื่องนอกกายนอกใจเท่านั้นที่ฉันรับไม่ได้"

สือซานมองหน้าเธอไปครู่ ก่อนจะโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้จนลมหายใจแตะกันแผ่วเบา

"พี่สาบานว่าจะมีน้องคนเดียว"

ลมทะเลที่พัดมาจากท่าเรือเหมือนกล่อมเสียงหัวใจให้เต้นช้าลง จักรยานพาพวกเขาเคลื่อนไปข้างหน้าอีกครั้ง...

ระหว่างทาง เสี่ยวหนานเล่าให้สือซานฟังถึงเมนูต่าง ๆ ที่เธอคิดจะทำ เธอเล่าออกมาจนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ สือซานฟังไป ยิ้มไป ราวกับทุกถ้อยคำคือบทเพลงที่เธอแต่งขึ้นเพื่อเขา

บรรยากาศท่าเรือเซินเจิ้น ปี 1983

ท่าเรือเซินเจิ้นในปี 1983 ยังไม่ได้ยิ่งใหญ่เทียบท่าระดับโลกแบบในอนาคต แต่กลับคึกคักด้วยวิถีชีวิตอันเรียบง่ายและเต็มไปด้วยแรงงานขยันขันแข็ง อาคารต่าง ๆ ถูกปลูกเรียงรายอย่างประหยัดพื้นที่ สะท้อนยุคเปลี่ยนผ่านของประเทศจากเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์ไปสู่ตลาดเปิดที่เริ่มก่อตัว

บริเวณท่าเรือแบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก 

โซนท่าเทียบเรือ: อยู่ด้านหน้าสุด ติดชายฝั่ง เป็นพื้นที่สำหรับเทียบเรือบรรทุกสินค้าขนาดกลาง และเรือโดยสารในท้องถิ่น เสาไม้ผูกเชือกยังคงตั้งเรียงรายอยู่ ขณะที่กลิ่นทะเลเค็มโชยปะปนกับกลิ่นน้ำมันที่เผาผลาญจากเรือใหญ่

โซนโกดังสินค้า: ถัดเข้ามาด้านใน มีโกดังไม้กึ่งปูนที่แบ่งเป็นล็อก ๆ สำหรับเก็บสินค้าจากเรือ ตั้งอยู่ประมาณ 3-4 หลังหลังคาเรียบสีเทา มีชายผ้าพลาสติกขึงกันแดดฝนไว้อย่างเรียบง่าย 

โซนร้านค้าและสำนักงานบริหาร: เป็นแนวยาวติดถนนด้านในสุด มีตึกชั้นเดียวปลูกติดกันเรียงเป็นห้อง ๆ ผนังปูนเปลือยสีหม่นตามกาลเวลา กระจกหน้าต่างบางห้องยังใช้บานไม้เปิดปิดแทนกระจกสมัยใหม่

หนึ่งในแถวนั้น มี ห้องกระจกที่ใช้เป็นสำนักงานท่าเรือ ตั้งอยู่หัวมุมฝั่งขวามือ เป็นห้องกระจกทรงเหลี่ยมที่มีโต๊ะทำงาน โต๊ะประชุม และแฟ้มเอกสารวางอยู่เต็มชั้น ม่านลูกไม้เก่า ๆ ถูกแหวกไว้ครึ่งหนึ่งเปิดทางให้แสงแดดส่องลอดเข้ามา 

ถัดออกไปอีกไม่กี่เมตร คือ ร้านขายของชำของลุงกู้กับป้ากู้ ร้านเล็ก ๆ ที่มีตู้แช่น้ำอัดลมและชั้นวางขนมและสินค้าจำเป็นแบบเบ็ดเตล็ด คนงานมักมาอุดหนุนอยู่ตลอด ลุงกู้ชอบนั่งเช็ดเหงื่ออยู่หน้าเคาน์เตอร์ ส่วนป้ากู้ก็ขยันขันแข็งจัดของอยู่ไม่ขาดมือ

ติดกันมีห้องว่างอยู่ สองห้องโครงสร้างยังแน่นหนา ภายในห้องกว้างพอจะกางโต๊ะอาหารได้เกือบสิบตัว หากเปิดทะลุถึงกันจะยิ่งดูกว้างใหญ่เหมาะสำหรับการค้าขาย มีเก็บของ ห้องครัวด้านหลังขนาด 3x3 เมตร และ ห้องน้ำ

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ซูเสี่ยวหนานสะใภ้ไต้ก๋ง ยุค80   ตอนจบ

    ห้าปีต่อมาห้าปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันคือปี ค.ศ. 1988 ซูจื่ออัน เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชิงหัวมาได้สักพักใหญ่แล้ว ด้วยความรู้และความสามารถที่ร่ำเรียนมา เขาได้เข้ามาช่วยงานในโรงงานของพี่สาวอย่างเต็มตัว โรงงานแห่งใหม่ ของ ซูเสี่ยวหนาน กำลังเริ่มก่อสร้างบนที่ดินที่เธอซื้อสะสมไว้ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีและมีพื้นที่กว้างขวางจื่ออันใช้ความรู้ด้านวิศวกรรมที่ร่ำเรียนมา วางแผนงานเกี่ยวกับเครื่องจักรในโรงงานแห่งใหม่ด้วยตัวเองอย่างละเอียด แม้โรงงานจะยังคงเน้นการใช้แรงงานคนเป็นหลัก แต่จื่ออันก็เลือกที่จะนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในกระบวนการผลิตบางส่วน เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและเพิ่มปริมาณการผลิตเที่ยงวัน ที่ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋งวันนี้เป็นวันเสาร์ ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาที่ ร้านข้าวแกงสะใภ้ไต้ก๋ง เพื่อกินมื้อเที่ยงกันอย่างคับคั่ง แม้เวลาจะผ่านไปหลายปีแล้ว แต่ร้านแห่งนี้ก็ยังคงเป็นที่นิยมของผู้คน หรือจะเรียกว่าเป็น "ขวัญใจแรงงาน" ก็ว่าได้ เพราะอาหารอร่อย ราคาถูก และบรรยากาศที่อบอุ่นเป็นกันเองเสี่ยวหนาน พาลูก ๆ และหลานชายมาช่วยงานที่ร้านข้าวแกง หน่วนหน่วนตอนนี้อายุ 13 ปี ดูแลการจัดโต๊ะช่วยคน

  • ซูเสี่ยวหนานสะใภ้ไต้ก๋ง ยุค80   เที่ยวชมเมืองปักกิ่ง

    วันต่อมาเสี่ยวหนาน ก็พาพ่อแม่และทุกคนออกไปเที่ยวชมสถานที่สำคัญในปักกิ่ง การเดินทางในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับทุกคน โดยเฉพาะพ่อซู แม่ซู พ่อโจว และ แม่โจว ที่ไม่เคยได้มาเยือนเมืองหลวงแห่งนี้มาก่อนสถานที่แรกที่พวกเขาไปคือ โรงละครอุปรากรปักกิ่ง ซึ่งเป็นช่วงที่วัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมกำลังถูกฟื้นฟู หลังยุคปฏิวัติวัฒนธรรม บรรยากาศภายในโรงละครไม้เก่าแก่เต็มไปด้วยความขลังและมนต์เสน่ห์ เสียงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงคลอเคล้ากับการแสดงงิ้วที่วิจิตรตระการตา นักแสดงแต่งหน้าแต่งกายสวยงาม ท่าทางอ่อนช้อยงดงาม สร้างความประทับใจให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก雪落寒亭魂未散Xuě luò hán tíng hún wèi sànเสวี่ย ลั่ว หาน ถิง หุน เว่ย ซ่านหิมะโปรยลงบนศาลาเยือกเย็น วิญญาณยังมิยอมลาจาก天公莫笑女孤单Tiān gōng mò xiào nǚ gū dānเทียน กง ม่อ เสี้ยว หนฺ หวี่ กู ตันโอ้สวรรค์ อย่าหัวเราะหญิงผู้โดดเดี่ยว泪洒心灯照旧愿Lèi sǎ xīn dēng zhào jiù yuànเล่ย ส่า ซิน เติง เจ้า จิ้ว เยฺวียนหยาดน้ำตาหลั่งลง กลางแสงตะเกียงใจ ส่องให้คำอธิษฐานเก่าแจ่มชัดอีกครา冤枉三声唤地寒Yuān wǎng sān shēng huàn dì hánเยวียน หว่าง ซาน เซิง ฮ่วน ตี้ หาน

  • ซูเสี่ยวหนานสะใภ้ไต้ก๋ง ยุค80   ของฝากให้บ้านเกา

    "ครับพี่เขย" เจ้าเด็กแฝดถูกส่งต่อให้น้าชายกับพี่ ๆ ดูแลต่อ ส่วนคนอื่น ๆ ก็แยกกันพักผ่อนอาบน้ำอยู่ในห้องของตัวเองแท้จริงแล้วเสี่ยวหนานแอบเก็บอาหารทะเลสด ๆ เหล่านั้นไว้ในมิติส่วนตัวของเธอ และแกล้งทำเป็นเติมน้ำแข็งตามจุดแวะพักต่าง ๆ ตลอดทาง เพื่อไม่ให้ใครสงสัยว่าทำไมอาหารทะเลถึงยังสดใหม่ราวกับเพิ่งขึ้นจากทะเลมาวันนี้เสี่ยวหนานตั้งใจทำเมนูโปรดหลายอย่างให้น้องชายได้กิน มีทั้งกุ้งอบวุ้นเส้น โจ๊กปู ซุปหอยนางรม ปลาหมึกผัดผงกะหรี่ หอยเชลล์ผัดเนย ปลานึ่งบ๊วย และที่ขาดไม่ได้คือ เป่าฮื้อนึ่งซีอิ๊ว ที่พ่อกับแม่ชอบเป็นพิเศษ โชคดีที่เธอได้บอกให้จื่ออันซื้อเครื่องปรุงและของใช้ในครัวไว้ให้ครบถ้วน ก่อนที่พวกเขาจะเดินทางมาถึง ทำให้การทำอาหารเป็นไปอย่างราบรื่นเมื่อทำกับข้าวเสร็จเรียบร้อย เสี่ยวหนานก็เตรียมอาหารส่วนหนึ่งใส่ปิ่นโตอย่างสวยงาม เพื่อนำไปมอบให้ อาจารย์เกา และครอบครัว นอกจากนี้เธอยังเตรียมอาหารทะเลสด ๆ ไม่ว่าจะเป็นปู ปลา กุ้ง และปลาหมึก หอยนางรมใส่ถังใบใหญ่แยกต่างหาก เพื่อเป็นของขวัญสำหรับครอบครัวเกาเป็นการตอบแทนน้ำใจที่ช่วยดูแลจื่ออันมาตลอด"จื่ออัน" เสี่ยวหนานเรียกน้องชาย "มาช่วยพี่ถือข

  • ซูเสี่ยวหนานสะใภ้ไต้ก๋ง ยุค80   พี่สาวคนเก่ง

    3 เดือนแล้วตั้งแต่เด็กแฝดเกิดมาในขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมและเล่นกับเด็กแฝดตัวน้อย เสี่ยวหนานสังเกตเห็นว่าหน่วนหน่วนกำลังยืนมองน้องชายด้วยแววตาที่ฉายแววครุ่นคิดเล็กน้อย แม้จะดูดีใจ แต่ก็มีความกังวลบางอย่างแฝงอยู่"หน่วนหน่วนมาหาแม่เร็วเข้า ไหนดูซิว่าวันนี้ลูกสาวของแม่จ๋าอยากได้ผมทรงไหน? เอาเปียสองข้างดีไหม? หรือจะให้แม่มัดแบบหางม้า"เช้าวันเสาร์ที่เด็ก ๆ ไม่ได้ไปโรงเรียน สือซานเองก็ยังไม่ยอมให้เสี่ยวหนานไปทำงาน เธอจึงพาเด็ก ๆ มานั่งเล่นอยู่ห้องรับแขก ส่วนเจ้าเด็กแฝดทั้งสองก็มีปู่ย่าคอยดูแลอาหารการกินอี้หลันก็จะให้คนงานเอามาส่งให้ ไม่ต้องให้เสี่ยวหนานเข้าครัวให้ลำบาก มีเพียงช่วงค่ำของวันที่สือซานจะพาเสี่ยวหนาขับรถเข้าไปที่ร้านเพื่อเติมของ และเข้าโรงงานบ้างสัปดาห์ละครั้งส่วนงานที่โรงงานก็มีพนักงานในสำนักงานคอยดูแลครบทุกตำแหน่งแล้ว เสี่ยวหนานจึงรอตรวจบัญชีโดยรวมที่สือซานเอากลับไปให้ที่บ้านเท่านั้น ส่วนงานอย่างอื่นก็มีจื่อเหิงและพ่อแม่คอยเป็นหูเป็นตาให้ทางด้านบ้านโจว พ่แโจวกับสือซานก็ยังรับหน้าที่ออกเรือหาอาหารทะเลเช่นเดิม ถึงจะมีเรือหลายลำที่นำของมาขายให้โรงงาน แต่พ่อโจวก็มันจะเดินเรืออ

  • ซูเสี่ยวหนานสะใภ้ไต้ก๋ง ยุค80   น่ารักน่าชัง

    แสงจันทร์สีนวลสาดส่องเข้ามาในห้องนอนของเสี่ยวหนานและสือซาน ส่องกระทบผ้าม่านบางเบาที่พลิ้วไหวตามแรงลม เสี่ยวหนานนั่งอยู่ริมหน้าต่าง พลางเหม่อมองออกไปยังดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอยู่บนฟากฟ้า ดวงตาของเธอฉายแววครุ่นคิด ความสำเร็จทางธุรกิจในวันนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกสุขใจได้อย่างเต็มที่ ในใจของเธอเต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับชะตาชีวิตของตัวเอง"นี่ฉันแย่งชะตาชีวิตคนอื่นมารึเปล่า?" เสี่ยวหนานพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เสียงของเธอแทบจะกลืนหายไปในความเงียบของราตรีเธอหวนคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมด เธอจำได้ว่าเดิมทีเธอเป็นเพียงผู้อ่านนิยายที่ยังอ่านไม่จบเรื่องหนึ่ง แต่จู่ ๆ เธอก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ในโลกของนิยายเรื่องนี้ และสวมรอยเป็นตัวละครที่มีชื่อว่า ซูเสี่ยวหนาน ซึ่งตามบทบาทเดิมแล้วเป็นเพียงตัวละครรองที่จะถูกสลัดทิ้งหลังจากที่ตัวร้ายอย่าง หานเจา ได้สมหวัง และที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นคือ นางเอกของเรื่องคือ ไป๋ลี่เหยา คนที่จะต้องได้แต่งงานกับ โจวสือซาน พระเอกของเรื่องและเป็นสามีของเธอในตอนนี้เสี่ยวหนานถอนหายใจยาว ในฉบับนิยายเดิม ซูเสี่ยวหนาน ตัวจริงจะต้องฆ่าตัวตายเพราะทนรับความจริงไม่ได้ ครอบครัวข

  • ซูเสี่ยวหนานสะใภ้ไต้ก๋ง ยุค80   ทำร้ายคนโสด

    ที่โรงพยาบาล ทันทีที่รถของสือซานจอดสนิทที่ทางเข้าห้องฉุกเฉิน บุรุษพยาบาลก็รีบเอารถเข็นมารับร่างของคนป่วย แล้วพาเสี่ยวหนานเข้าไปยังห้องฉุกเฉินอย่างรวดเร็ว ทีมแพทย์และพยาบาลเข้ามารับช่วงต่อทันที พวกเขาพยุงร่างของเสี่ยวหนานขึ้นนอนบนเตียงเข็น และพาเธอเข้าไปในห้องตรวจ หลังจากเก็บรถเสร็จสือซานก็รีบมายืนรออยู่หน้าห้องอย่างกระวนกระวายใจ หัวใจของเขาบีบรัดแน่นด้วยความกลัวว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นเสี่ยวหนานไม่นานนัก แพทย์หญิงท่านหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องตรวจด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน สือซานรีบปรี่เข้าไปหาทันที ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวล "คุณหมอครับ ภรรยาผมเป็นยังไงบ้างครับ เสี่ยวหนานเป็นอะไรมากหรือเปล่า" น้ำเสียงของเขาสั่นเครือคุณหมอยิ้มให้สือซานอย่างใจเย็น "ไม่ต้องห่วงค่ะคุณโจว ภรรยาคุณแค่เหนื่อยล้ามากเกินไป พักผ่อนน้อยไปหน่อยค่ะ"สือซานถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไร คุณหมอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้นเล็กน้อย "...""แต่ต่อจากนี้ไปคุณต้องระวังให้มากนะคะ ดูแลเธอให้ดี อย่าให้เธอทำงานหนักเด็ดขาดเลย เพราะยังมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้องค่ะ"คำพูดของคุณหมอทำให้สือซานอ้าปากค้

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status