แชร์

ช่วยพระเอกแต่ได้หมูเป็นของแถม(2)

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-04-04 20:30:35

ด้านเพื่อนของมู่หานที่ตอนนี้แต่ละคนได้เดินกลับมายังที่ตัวเองเคยยืนอยู่กันเมื่อครู่นี้ ตอนนี้พวกเขาก็พากันยืนอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจกันทุกคน

เมื่อพวกเขาได้มองลงไปในหลุมที่พวกเขาไม่เคยเห็นในครั้งแรก “หลุมนี้มาได้ยังไงกัน นี่พวกเราโชคดีมากเลยนะที่ได้เดินออกไปดูตามเสียงของซูเหยา เพราะถ้าเราอยู่” ชายคนที่ได้อยู่ในกลุ่มพูดกับคนในกลุ่มพร้อมกับกลืนน้ำลายลงด้วยความหวาดเสียว

“มีอะไรกันหรือเปล่า ทำไมพวกนายถึงได้ยืนนิ่งกันแบบนี้”  มู่หานถามคนที่อยู่ในกลุ่มด้วยความสงสัย พร้อมกับที่เขาก็ได้เดินเข้ามายังที่คนพวกนี้มุง

“หมูป่า หมูป่าจริงเสียด้วย ว่าแต่ทำไมถึงมีหลุมกับดักอยู่ที่นี่กัน” มู่หานพูดขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

และตัวเขาได้เดินตรวจสภาพรอบปากหลุมลึกนั้นอย่างระมัดระวัง ส่วนเจ้าหมูเซ่อที่ตกลงไปในหลุมยามนี้มันได้เงียบเสียงของมันลงไปนานแล้ว เนื่องจากมันได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก

“หมูมันน่าจะตายแล้ว พวกเรามาช่วยกันหาวิธีเอามันขึ้นมาจากหลุมกันเถอะ” ชายรูปร่างเตี้ยที่เป็นชาวบ้านที่มาด้วยกันพูดขึ้น

“ก็ดีเหมือนกัน จะว่าไปถ้าพวกเราไม่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือจากเมียของมู่หานบางทีอาจจะเป็นพวกเราที่โชคร้ายแทนเจ้าหมูโง่ตัวนี้ก็ได้” เสียงนี้เป็นเสียงของคนที่มู่หานจะต้องช่วยเหลือพูดออกมาอย่างหวาดเสียว

“ก็จริงอย่างที่อาเปียวว่า นี่ก็สามารถถือได้ว่าซูเหยาน่าจะเป็นผู้นำโชคมาให้กับพวกเราในครั้งก็ได้นะ” ชายชาวบ้านที่เป็นหนึ่งในสหายของมู่หานพูดออกมา

“นั่นนะสิ มีเมียสวยแล้วยังไม่พอยังเป็นดาวนำโชคอีก อีกหน่อยนายคงจะโชคดีมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้” เสียงหยอกเย้าดังออกมาจากชายร่างเตี้ย

ทำให้พวกเพื่อนที่ได้ยินถึงกับพากันหัวเราะออกมาให้กับคำพูดของชายร่างเตี้ยคนนี้อย่างชอบใจ แต่คนที่อยู่ในหัวข้อสนทนาอย่างมู่หานเขายืนทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว

นั่นก็เป็นเพราะถึงแม้ว่าเขากับซูเหยาจะแต่งงานกันมานานหลายเดือนแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่เคยมีอะไรกันเลยสักครั้ง ขนาดเขาเดินเฉียดใกล้เจ้าหล่อนนิดเดียว ก็ยังทำให้หล่อนถึงกลับถอยหนีเหมือนเขาเป็นสัตว์ร้าย

“มู่หาน เป็นอะไรไป” พวกเราเรียกนายอยู่ตั้งนานแล้ว ยืนเหม่ออยู่นั่น ถ้าจะคิดถึงภรรยานายก็รีบมาช่วยพวกเราเอาหมูขึ้นจากหลุมเถอะ” หยางเปียวพูดกับเพื่อนอย่างหยอกล้อ

“ไม่ใช่สักหน่อย” มู่หานรีบปฏิเสธ พร้อมหยิบเชือกถักเส้นใหญ่ออกจากย่ามของเขาที่มักจะใส่สิ่งของจำเป็นไว้มากมาย

“เอ้าพวกเราอีกนิด ช่วยกันดึงหน่อยอีกนิดเดียว เดี๋ยวพวกเราก็ได้กินเนื้อหมูกันแล้ววันนี้” หยางเปียวพูดกับเพื่อนเพื่อเพิ่มกำลังใจ เพราะเขาเป็นคนดึงเชือกอยู่ด้านหน้าโดยที่     มู่หานรับหน้าที่ลงไปผูกเจ้าหมูโง่ด้านล่าง

“แฮ่กๆ เหนื่อยชะมัดยาด แต่พอคิดว่าจะได้กินเนื้อของมันก็รู้สึกหายเหนื่อยขึ้นมาทันทีเหมือนกัน” ชายร่างผอมพูดขึ้นในขณะที่เขานั่งหมดแรง หายใจหอบออกมา

“ผมว่าเราคงต้องทำรถลาก ลากมันออกไปแล้วล่ะ ตัวมันใหญ่มาก หรือว่าจะทำคานหามแล้วจะสลับกันแบกมันลงไปดี” หยางเปียวพูดถามความคิดเห็นของเพื่อนที่ร่วมชะตากรรมกันในครั้งนี้

“ทำคานแบกออกไปดีกว่า เพราะว่าพวกเราจะได้เดินได้สะดวก สลับกันไปคนละครึ่งทาง” มู่หานพูดเสนอความคิดขึ้นมาเป็นคนแรก

“ฉันสองคนก็คิดว่าทำตามความคิดของอามู่ก็แล้วกัน เพราะเราจะต้องผ่านทางแคบและไหนจะสิ่งกีดขวางอีกหลายอย่าง หาบเอานี่แหละสะดวกสุด” ชายร่างเตี้ยพูดออกมาโดยมีชายร่างผอมพยักหน้าสนับสนุนอยู่ด้านข้าง

เมื่อพวกเขาตกลงกันได้แล้ว พวกเขาทั้งสี่ก็ช่วยกันแบ่งหน้าที่ของแต่ละคน พวกเขาจึงได้จับไม้สั้นไม้ยาวกันว่าใครจะคู่กับใคร แล้วใครเป็นคู่แรกในการแบกหมูป่าตัวนี้

ซูเหยาที่ตอนนี้เธอได้เก็บโกยเห็ดดอกใหญ่เข้าไปในมิติหมดแล้ว และเธอก็ได้มานั่งรอคนทั้งสี่โดยทำท่านวดข้อเท้าของตนออกมาอีกครั้ง พร้อมกับน้ำตาคลอเบ้าอย่างน่าสงสารเหมือนเดิม

“อามู่ ภรรยาของนายบาดเจ็บแบบนี้นายจะแบกหมูป่าสลับกับพวกเราได้ยังไง” ชายร่างเตี้ยถามกับมู่หานเมื่อพวกเขาเห็นว่าซูเหยาได้มีอาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า

“คือฉัน..ฉัน” มู่หานมองเพื่อนและก็มองภรรยาในนามของตนสลับไปมา เพราะไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ให้มู่หานช่วยพวกคุณแบกหมูเถอะ ฉันสามารหาไม้ค้ำมาช่วยยันเวลาเดินได้” ซูเหยาพูดแบ่งรับแบ่งสู้

“คุณแน่ใจนะว่าจะเดินได้จริง” มู่หานเองก็อดถามออกมาด้วยความเป็นห่วงไม่ได้

“ฉันแน่ใจค่ะ ตอนนี้ฉันว่าพวกเรารีบลงจากเขากันเถอะเพราะว่าอากาศเริ่มเย็น และก็จะเริ่มมืดลงแล้วด้วย ถ้ายังช้าอยู่พวกเราจะไม่ปลอดภัย” ซูเหยากล่าวออกมาอย่างหนักแน่น

เมื่อชายทั้งสี่ได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มของพวกเขาพูดออกมาแบบนี้ พวกเขาต่างก็เร่งฝีเท้าของตนทันที

มู่หานที่ตอนนี้เขายังไม่ได้แบกหมูป่าก็พยายามเดินอยู่ข้างๆ ซูเหยา และคอยมองเธอเป็นระยะๆ ด้วยความเป็นห่วง

ซูเหยาก็คิดในใจว่า นิสัยของมู่หานก็จัดว่ายังเป็นคนใช้ได้เพราะถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานกับซูเหยาด้วยความจำใจ    แต่ว่าเขาก็ยังคงคอยดูแลภรรยาในนามเป็นอย่างดี

เมื่อพวกเขาได้พากันเดินมาถึงครึ่งทางแล้ว ครั้งนี้ก็เป็นหยางเปียวกับมู่หานที่จะต้องเป็นคนแบกหมูเพื่อกลับหมู่บ้าน

“พวกเราจะเอาหมูไปชำแหละที่ไหนกันดี ไปบ้านลุงต้ามู่ดีหรือไม่” มู่หานพูดออกมาในขณะที่เขาได้แบกหมูเดินเข้าหมู่บ้านมาแล้ว

ตอนนี้ผู้คนในหมู่บ้านได้พากันแตกตื่น ที่ได้เห็นพวกของ     มู่หานแบกหมูป่าตัวใหญ่ลงจากเขา พวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกับว่าเนื้อหมูได้เป็นของพวกเขาเอง

“แกว่าอะไรนะ เจ้ารองได้หมูป่ามาอย่างนั้นเหรอ” ฉินเจียวร้องออกมาเสียงดังด้วยความตกใจ พร้อมกับที่เธอก็รีบยืนขึ้นทันที

“แม่พวกเรารีบไปเร็วเข้า น้องรองได้หมูป่ามาตัวใหญ่เบ้อเริ่มเลย” จิวเหลียนก็ได้พาร่างอันอวบอ้วนของตนรีบวิ่งมาหาแม่สามี

ด้านสามีที่มองเห็นพุงที่กระเพื่อมของเมียยามที่ร่างกายเคลื่อนไหว เขาเองก็รู้สึกรังเกียจภรรยาของตนออกมาพร้อมกับคิดว่าทำไมนับวันเมียของตนช่างเหมือนโอ่งเข้าไปทุกที

โดยที่เขาไม่ได้มองตัวเองเลยว่าร่างกายของตนก็ไม่ได้แตกต่างไปจากผู้เป็นภรรยาเช่นกัน รวมทั้งลูกชายหญิงก็ด้วย

“พวกเราต้องรีบไป จะให้ใครมาฉกฉวยไปก่อนพวกเราไม่ได้อย่างเด็ดขาด” ฉินเจียวพูดออกมาอย่างคนเห็นแก่ตัว

แล้วคนทั้งสองก็ได้พากันก้าวเดินออกจากบ้านของตนอย่างเร่งรีบ โดยพวกเธอได้ลืมกันไปแล้วว่าได้กระทำเรื่องใดกันเอาไว้

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่หก สามหนุ่มหล่อแห่งเมืองหลวงผู้แตกต่าง

    หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว2

    ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่ห้า สองพี่น้องผู้โดดเดี่ยว1

    หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 2

    ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สี่ กลิ่นคาวเลือดก่อเกิดรัก 1

    ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห

  • ซูเหยาเมื่อฉันกลายเป็นแม่เลี้ยงผู้โหดร้าย   ตอนพิเศษที่สาม แม่คุณจะรับฉันได้จริง ๆ เหรอ 2

    มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status