กิจการค้าขายอาหารเช้าของบ้านซูที่ได้เกิดจากความไม่ตั้งใจเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้ก็ได้กลายเป็นกิจการการค้าอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว
โดยที่ซูเหยาก็ตั้งขายหน้าบ้านแม่ของตนนั่นแหละ เพราะยังไงก็มีคนสัญจรไปมาเยอะ และลูกค้าเองก็รู้แล้วว่าบ้านของเธอขายอะไร
“วันนี้หลังจากขายของเสร็จ พวกเราก็ไปดูที่ดินในหมู่บ้านตงไห่กันเถอะ ว่าลูกต้องการสร้างบ้านแบบไหน แล้วจะล้อมกำแพงยังไง เพราะนี่ก็เดือนสิบเอ็ดแล้ว
หน้าหนาวแบบนี้คนว่างงานเยอะ พวกเราจะได้มีคนช่วยสร้าง จะได้เสร็จเร็วขึ้น” ซูป๋อพูดกับลูกสาวที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนอย่างขอความคิดเห็น
“ตกลงค่ะ เราก็พากันไปทั้งหมดบ้านนี่แหละ เพราะของบ้านเราตอนนี้ ก็ไม่มีอะไรเหลือให้กับคนที่คิดไม่ดีเข้ามาขโมยได้อยู่แล้ว” ซูเหยาพูดออกมาอย่างเห็นด้วยกับพ่อ
ดังนั้นการจ้างเกวียนเดินทางเข้าหมู่บ้านตงไห่จึงเกิดขึ้นครอบครัวซูได้เหมาเกวียนถึงสองคันเลยทีเดียว ซูเหยาคิดว่ามันช่างไม่สะดวกเหมือนรถยนต์ในยุคปัจจุบันเลย
แต่ว่าก็ยังดีกว่าเดินล่ะนะ ถ้าเดินก็คงเดินกันน่องโป่ง แต่ว่าเธอก็แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน ที่วันแรกได้เดินมาที่บ้านแม่ได้โดยไม่รู้สึกอะไร
เธอคิดว่าสงสัยจะเกิดจากความโมโหอย่างแน่นอน เพราะความโกรธคงจะกระตุ้นเธอให้เดินออกมาจากที่แห่งนั้นโดยไม่คิดอะไร
การนั่งเกวียนเป็นการทรมานกายและใจซูเหยาเป็นอย่างมาก เพราะเธออยากจะแหวะเอาสิ่งที่กินเข้าไปออกมาเสียเหลือเกิน เจ็บก้นก็เจ็บ ‘เหยาอยากจะร้องไห้’ เธอคิด
“ซูเหยาคุณเป็นอย่างไร ใบหน้าของคุณตอนนี้ดูแย่มาก” มู่หานถามภรรยาออกมาด้วยความเป็นห่วง
ตอนนี้เขาเชื่ออย่างหมดใจแล้วว่าภรรยาของเขาได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ และเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงด้วย เหมือนคนละคนยังไงยังงั้น
“เมื่อไหร่จะถึงฉันอยาก..” พูดไม่ทันขาดคำซูเหยาก็คายของเก่าออกมาเลอะตัวมู่หานเสียแล้ว
“ฉะ..ฉันขอโทษ” ซูเหยาพูดออกมาด้วยความสำนึกผิดใบหน้าซีดขาวน้ำตาคลอ
“ลุงครับหยุดเกวียนก่อน” มู่หานเมื่อเห็นสีหน้าภรรยา เขาไม่ได้โกรธอะไรเลย เขาเป็นห่วงเธอมากขึ้นไปอีกต่างหาก จึงได้บอกให้ลุงขับเกวียนหยุด
เด็กน้อยสองคนก็มองน้าเหยาของพวกเขาด้วยดวงตาที่แสดงความห่วงใย และกังวลออกมาให้ได้เห็น
“เสี่ยวเฟย เสี่ยวผิงหนูนั่งกับยายก่อนนะ พ่อจะพาน้าเหยาไปล้างหน้าล้างตาก่อน” มู่หานบอกกับลูกน้อยที่จ้องมองเขาและซูเหยาตาแป๋ว
“ครับ/ค่ะ” เด็กน้อยทั้งสองรับปากอย่างเชื่อฟัง
“เอาล่ะคุณอยากอ้วกอีกหรือเปล่า” มู่หานถามกับภรรยาที่นั่งยองๆ หน้าซีดด้วยความสงสาร
“อีกไกลไหมคะ กว่าจะถึงหมู่บ้าน” ซูเหยาที่นั่งหน้าซีดถามกับสามีร่างนี้อย่างคนหมดแรง
“อีกประมาณครึ่งชั่วโมงถ้านั่งเกวียนไป ถ้าเดินก็น่าจะนานกว่านั้น” มู่หานตอบตามความจริง
“โอ้ยฉันตายแน่ๆ ถ้ายังต้องนั่งเกวียนไปอีกครึ่งชั่วโมง” ซูเหยาพูดขึ้นเสียงดังเท่าที่เสียงเธอจะดังได้
“แล้วถ้าเราไม่นั่งเกวียน คุณจะยอมเดินเหรอ” มู่หานถามภรรยาออกมา พร้อมมองร่างกายที่แสนจะอ่อนแอของซูเหยาในยามนี้
“ถ้าฉันรู้ว่านั่งเกวียนแล้วเมา ฉันคงจะกินยาแก้เมาไปแล้ว แต่ตอนนี้ก็ใกล้จะถึง ถ้ากินยาตอนนี้เกิดหลับขึ้นมาก็ยุ่งยากอีก” ซูเหยาบ่นพึมพำออกมาเสียงเบาเหมือนยุง
ซึ่งมู่หานเองก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง ยาแก้เมาอะไร มันมียาแบบนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ เขาฟังภรรยาพูดไม่เข้าใจเลยสักนิด
“มู่หาน คุณไปบอกให้ลุงขับเกวียนออกเดินทางเลย คุณจะไปกับเขาด้วยก็ได้ ฉันมีวิธีในการเดินทางไปในหมู่บ้านด้วยตัวเองอย่างไม่เมาเกวียนอย่างแน่นอน” ซูเหยาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบสีหน้ามั่นใจ
“ผมไม่ยอมปล่อยคุณไว้คนเดียวหรอก คุณไม่เห็นหรือว่าที่นี่มันป่าทั้งนั้น คุณเป็นผู้หญิงนะครับ แล้วอีกอย่างก็เป็นภรรยาของผมด้วย” มู่หานกล่าวปฏิเสธออกมาเสียงแข็ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามคุณก่อน คุณขี่จักรยานเป็นไหมคะ” ซูเหยาถามกับสามีในนามออกมาตามตรง
“เป็นครับ ผมเคยขี่ตอนมาทำงานรับจ้างในเมือง” มู่หานแม้จะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ภรรยาถาม แต่เขาก็ตอบออกมา
“ถ้าอย่างนั้นคุณให้พวกเขาเดินทางนำหน้าเราไปก่อนเลยค่ะ” ซูเหยาพูดอย่างคนหมดแรง เพราะเธอรู้สึกมวนท้องอีกครั้งแล้ว
“ครับๆ” มู่หานแม้จะยังไม่เข้าใจในการกระทำของภรรยาสักเท่าไหร่นัก แต่ในเมื่อภรรยาประสงค์แบบนี้เขาก็ตามใจ
“แล้วลูกสองคนจะกลับกันยังไง” หว่านชิงถามลูกสาวออกมาด้วยความเป็นห่วง จะเรียกสามีก็ไม่ได้ เพราะเกวียนเล่มนั้นเดินนำหน้าไปไกลแล้ว
“ให้พี่อยู่ด้วยดีไหม อยู่กันสองคนจะดีเหรอ” ฟางหรงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงน้องสามีที่ได้เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูกลับได้ แม่คะหนูมีอะไรจะบอก” ซูเหยาพูดขึ้น หลังจากนั้นเธอก็ได้เดินมากระซิบข้างหูแม่
“ขอบคุณเจ้าแม่” หว่านชิงเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวบอกกับตนเธอก็หันไปทางทิศตะวันตกพร้อมกับคำนับไปทางนั้น
หนุ่มน้อยคนเล็กของครอบครัวเทียนที่ตอนนี้ได้ก้าวเท้าเข้าสู่การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คณะบริหารธุรกิจตามที่ตัวเองต้องการ เช่นเดียวกับชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายคนโตของซูหลงที่ต้องการจะเป็นพ่อครัวอันดับหนึ่งตามรอยเท้าของคนเป็นพ่ออีกหนึ่งก็คือบุตรชายคนโตของครอบครัวเจียงสามที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่สมาชิกครอบครัวนี้ก็มีเพียงเจียงเจ๋อที่มีครอบครัว ซึ่งตอนนี้เจียงฮวนได้มีน้องสาวน้องชายมาเพิ่มอีกอย่างละหนึ่งทั้งสามคนมีบุคลิกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ยังคงสนิทกัน เนื่องจากทั้งสามมีอายุไล่เลี่ยกันเกิดก่อนหลังห่างกันไม่มากทำให้ได้อยู่ปีเดียวกันเทียนหยุนนั้นเป็นเหมืนเมฆตามชื่อล่องลอยอย่างอิสระ แต่ในเรื่องความรับผิดชอบเขามีเต็มร้อยเนื่องจากได้รับการฝึกฝนมาจากผู้เป็นแม่และพ่อในการทำงานซูตงที่แม้จะมีบุคลิกหนาวเหน็บตามชื่อแต่เมื่อไหร่ที่ได้ทำอาหารหรือขนมชายหนุ่มผมยาวผู้นี้จะมีความอ่อนโยนดุจสายน้ำคนสุดท้ายเจียงฮวนชายหนุ่มผู้มีความนิ่งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเขาก็มักจะทำตัวนิ่งอยู่เสมอต้นเสมอปลาย แต่เมื่อไหร่ก็ตามที
ชายหนุ่มที่โดนหญิงสาวคนนี้กอดขาของตนเขาก็ตกใจ แต่เมื่อเห็นอาการอันสั่นเทาของหญิงสาวฮุ่ยหมิ่นก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงคนนี้ไม่น้อย ทำให้เขาก้มตัวลงไปจับไหล่บางของหญิงสาวด้วยมือทั้งสองข้าง“สหายตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว” เสียงอันอ่อนโยนของชายหนุ่มปลอบหญิงสาวที่ยังไม่ยอมลืมตาด้วยความเห็นใจเมื่อหญิงสาวผมสั้นได้ยินเสียงอันทุ้มนุ่มที่อยู่เหนือศีรษะของตนหญิงสาวก็ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ พร้อมกับลืมตามองสิ่งที่ตัวเองกอดอยู่ก็เห็นเป็นกางเกงสีเขียวของทหารฉินเซียวซานเมื่อเห็นแบบนี้หล่อนจึงได้ผละตัวออกทันทีก่อนที่ตัวเองเกือบจะนั่งลงไปกับพื้นหิมะโชคดีที่ว่าชายหนุ่มจับไหล่ของเธอเอาไว้ ทำให้หล่อนไม่นั่งจ้ำเบ้าลงไปบนพื้นอันเย็นเฉียบ“สหายระวัง” ฮุ่ยหมิ่นกล่าวออกมาเสียงดังด้วยความตกใจที่หญิงคนนี้อยู่ ๆ ก็ผละออกจากเขากะทันหันหญิงสาวผมสั้นเมื่อได้ยินเสียงของคนพูดหล่อนจึงได้แหงนหน้าของตนมองขึ้นไปด้านบน ทำให้ดวงตากลมโตของเธอสบกับดวงตาเรียวคมดุของคนเบื้องหน้าที่กำลังมองเธออยู่เช่นกันในช่วงเวลาที่คนทั้งสองกำลังสบตากั
หิมะตกหนักท่ามกลางฤดูหนาวอันโหดร้ายของปีที่ภัยพิบัติได้มาเยือนในเขตภาคเหนือของประเทศทำให้ทหารต้องเข้าไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อันห่างไกลการเดินทางไปช่วยเหลือประชาชนในครั้งนี้มู่ซือกับฮุ่ยหมิ่นที่ได้เลื่อนตำแหน่งไปด้วยกันเป็นทีมแรก ท่ามกลางหิมะกองสูงพวกเขาจะต้องเดินฝ่าเพื่อไปยังหมู่บ้านเบื้องหน้าที่มีคนติดต่อมาว่าได้ถูกหิมะถล่มหลังคา ทำให้ประชาชนได้รับบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมากและยังมีอีกหลายชีวิตที่ติดอยู่ภายใต้ซากหลังคาที่ถล่มทำให้หน่วยงานของพวกเขาจำเป็นต้องให้การช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน แต่การเดินทางฝ่าหิมะไม่ใช่เรื่องง่ายในระหว่างที่ทหารในกลุ่มของสองพี่น้องกำลังเดินทางพวกเขาก็ได้ยินเสียงของสุนัขป่าเห่ากรรโชกเสียงดังเหมือนข่มขู่อะไรบางอย่างด้านหน้าห่างจากพวกเขาไม่มากนัก ทำให้คนในกลุ่มพากันเร่งฝีเท้าของพวกตนให้เร็วขึ้น ท่ามกลางฝูงหมาป่าหกตัวที่ล้อมหญิงสาวสองคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่สองพี่น้องย่อมจะต้องรู้จักเป็นอย่างดี“เจินเจินพวกเราจะทำยังไงกันดีจะไปตามคนมาช่วยดันจะมากลายเป็นอาหารหมาป่าเข้าเสียได้” เสียงหญิงสาวผมสั้นท่าทางทะมัดทะแมงกล่าวกับเพื
ภายนอกถ้ำที่โจรทั้งหกนั่งรอบกองไฟที่พวกมันก่อ บัดนี้ได้มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมพวกมันตามที่เทียนเฉินได้คาดการณ์เอาไว้“ผู้กองหานพวกเราจะรอถึงเมื่อไหร่ครับ” มู่ซือถามกับครูฝึกของตนด้วยความร้อนใจ เนื่องจากเป็นห่วงน้องชายที่อาสาเป็นตัวประกัน“เกือบได้เวลาแล้วนายก็ใจเย็นลงสักหน่อยเถอะ นายต้องเชื่อใจเทียนเฉินสิ” คนที่เป็นทั้งครูฝึกและกำลังจะเป็นน้องเขยของคนตรงหน้ากล่าว“ผมทราบครับแต่นั่นน้องชายผมนะครับ หากผมใจร้อนป่านนี้ผมบุกเข้าไปแล้ว” คนเป็นว่าที่พี่เมียแย้งพวกเขาซุ่มดูพวกมันมาจะครึ่งคืนแล้วไม่เห็นวี่แววว่าโจรร้ายพวกนี้จะหลับสักที หานจ้านจึงได้นึกถึงสมุนไพรที่มีฤทธิ์ทำให้คนสลบออกมา“มู่ซือนายเอาเจ้านี่ไปเผาให้ควันไปทางพวกมันนะรับรองพวกมันหลับแน่ ไม่หลับก็อาจจะสะลึมสะลือใช้ระวังหน่อยก็แล้วกันผลงานน้องสาวนายเลยนะ” คนเป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวออกมาด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจมู่ซือแม้อยากจะพูดอะไรแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมดังนั้นเขาจึงได้นำสหายร่วมรบไปกับตนอีกสองคนเพื่อไปทำตามคำสั่ง
ยามเย็นย่ำท่ามกลางป่าใหญ่ที่ปราศจากเสียงร้องของสัตว์ เทียนเฉินผู้ที่ได้ปลอมตัวเป็นหนึ่งในตัวประกันที่ถูกผู้ร้ายค้าอาวุธเถื่อนจับตัวมาพร้อมกับกลุ่มคนอีกสี่คนหนึ่งในนั้นมีหญิงสาวใบหน้ากลมดวงตาเรียวเล็กอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เทียนเฉินคิดว่าเด็กคนนี้บางทีน่าจะเป็นเด็กวัยมัธยมที่ถูกเจ้าชั่วพวกนี้จับมา“ลูกพี่อีกนานไหมกว่านายใหญ่จะมา” เสียงของหนึ่งในพ่อค้าอาวุธดังขึ้นขัดความคิดของเจ้าหน้าที่หนุ่มที่ตอนนี้แต่งตัวเหมือนคนทำงานในหน่วยงานวิจัยขององค์กรบางอย่างที่คนร้ายพวกนี้ต้องการตัว“นายก็รอหน่อยเถอะอีกไม่นานเจ้านายก็น่าจะมาแล้ว ว่าแต่ทำไมตัวประกันของเราถึงมีเด็กมาด้วยวะ” ชายหน้าบากที่ถูกเรียกว่าลูกพี่ถามกับลูกน้องที่มีอาวุธปืนอยู่ในมือหลังจากที่มองไปยังหญิงสาวร่างเล็กใบหน้ากลม“ก็ฉันเห็นว่าหล่อนอยู่กับเจ้าหน้าที่พวกนี้ก็เลยจับมาทั้งหมด แต่พี่ว่าหล่อนยังเป็นนักเรียนอยู่เหรอ หรือว่าจะปล่อยหล่อนไปเด็กขนาดนี้คงจะบอกตำรวจหรือทหารอะไรได้ไม่มากหรอก” คนพูดเป็นชายที่มีลูกสาวอยู่ในวัยมัธยมถามความเห็นกับลูกพี่ใหญ่“แกจะบ้าเหรอห
มิเชลรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นความฝันที่ไม่ใช่ความจริงหากเป็นความฝันหญิงสาวก็ไม่คิดอยากจะลืมตาตื่นชายหนุ่มที่ฉุดหญิงสาววิ่งมาไกลแล้วจึงได้รู้สึกเบาใจว่าไม่น่าจะมีคนตามพวกเขามาทัน เขาจึงได้ปล่อยข้อมือของหญิงสาวคนนี้ลง“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” หลังจากที่เขาปล่อยมือของตนแล้วชายหนุ่มก็มองหน้าหญิงสาวที่ตอนนี้แม้จะยังสวมแว่นตาอยู่แต่ด้วยการที่พวกเขาวิ่งกันมาไกลก็ยังพอเห็นใบหน้าอันแดงเรื่อจากแสงไฟทำให้ใบหน้านั้นดูน่ารักเทียนเฟยรู้สึกตกใจความคิดของตัวเองอยู่ไม่น้อยนี่เขาชมคนอื่นนอกจากน้องสาวของตน ทางด้านหญิงสาวที่กำลังรู้สึกเขินอายได้มองเห็นอาการเลิ่กลั่กของชายหนุ่มมาดนิ่งหล่อนก็หลุดยิ้มออกมาก่อนที่จะตอบชายที่อยู่ในความทรงจำออกไป“ฉันไม่เป็นไรค่ะแค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย” หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยหอบตามที่ตนพูดไปจริง ๆ“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ คุณพักอยู่ที่ไหนให้ผมไปส่งเถอะผู้หญิงเดินคนเดียวยามค่ำคืนน่าเป็นห่วง” เทียนเฟยกล่าวตามที่ตัวเองรู้สึก“คือฉันพักอยู่ที่...มันจะสะดวกสำหรับพี่หรือเปล่าคะ” หล่อนแทนตัว