ในคืนหนึ่งหลังจากลูกค้าคนสุดท้ายของร้านพลอยหลานน้าอัมพรเดินจากไปและน้าอัมพรก็กลับบ้านไปแล้ว พิมพ์พลอยจัดการปิดประตูร้านก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ตัวเล็กๆ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานตลอดทั้งวันทำให้พิงไปบนเก้าอี้อย่างหมดแรง ความเงียบเข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรที่ดังมาจากพงหญ้านอกร้าน
พิมพ์พลอยหยิบมือถือเครื่องเก่าขึ้นมาเปิดเธอเลื่อนดูรูปภาพในแกลเลอรีไปเรื่อยๆ ภาพแล้วภาพเล่าฉายวนเวียนอยู่ในหน้าจอ ก่อนที่นิ้วเรียวจะหยุดชะงักลงที่รูปภาพใบหนึ่ง
มันเป็นรูปที่เธอกับชลวิทย์ยืนกอดกันแน่นบนชายหาดแห่งหนึ่งในวันหยุดพักร้อน ใบหน้าของทั้งคู่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข แววตาของพิมพ์พลอยในรูปนั้นเต็มไปด้วยความรักและความสดใสที่เธอแทบจำไม่ได้ว่าตัวเองเคยมีมัน แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันก็คืออดีตไปแล้ว
น้ำตาเริ่มเอ่อขึ้นมาจนภาพในหน้าจอพร่าเบลอไปหมด พิมพ์พลอยใช้นิ้วลูบไปบนหน้าจอที่มีรูปถ่ายของชลวิทย์เบาๆ ความทรงจำเก่าๆ ปรากฏขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้ง
“พลอยพี่รักพลอยที่สุดเลยนะ” เสียงของชลวิทย์ดังแว่วอยู่ในห้วงความคิด พร้อมกับภาพในวันที่เขาคุกเข่าขอเธอแต่งงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งอีกทั้งคำมั่นสัญญาที่ว่าจะรักและดูแลเธอไปตลอดชีวิต
พิมพ์พลอยหลับตาลงและพยายามขับไล่ภาพความทรงจำเหล่านั้นออกไปแต่มันกลับยิ่งฉายชัดเจนขึ้น มีภาพของกัญญาวีร์เพื่อนสนิททับซ้อนเข้ามา
เธอนึกย้อนไปในวันหนึ่งที่ออกมานั่งร้านกาแฟกับเพื่อนรัก แล้วก็คิดว่าเป็นตัวเธอที่โง่มากจนมองไม่ออกว่ากัญญาวีร์กำลังสื่อถึงเรื่องอะไร
‘พลอย ถ้าวันหนึ่งฉันทำเรื่องที่ไม่ดี แต่เรื่องนั้นฉันไม่ได้ตั้งใจทำแกจะยกโทษให้ฉันไหม’ กัญญาวีร์ถามขณะที่เธอกับพิมพ์พลอยนั่งอยู่ในร้านกาแฟในบ่ายวันอาทิตย์
‘แกบอกว่าไม่ได้ตั้งใจแล้วฉันจะโกรธแกได้ยังไงล่ะ เราเป็นเพื่อนรักกันนะ ฉันจะโกรธเพื่อนรักได้ยังไงล่ะ’
‘ขอบใจนะพลอย’
“โกหกทั้งหมด มันคือการโกหก” พิมพ์พลอยพึมพำกับตัวเอง ความผิดหวังในตัวกัญญาวีร์มีมากกว่าชลวิทย์ที่เป็นคนรักและมันสาหัสเกินกว่าจะให้อภัยได้ ความรู้สึกถูกหักหลังจากเพื่อนสนิทนั้นรุนแรงกว่าหลายเท่าเพราะมันทำลายความเชื่อใจที่เธอมีต่อผู้คนไปจนหมดสิ้น
พิมพ์พลอยเลื่อนรูปไปจนถึงรูปเธอกับกัญญาวีร์ถ่ายคู่กันในวันรับปริญญาของเธอ ทั้งสองคนยิ้มกว้างอย่างมีความสุข แววตาเต็มไปด้วยมิตรภาพ ความรักและความผูกพันที่แน่นแฟ้น
“แกทำกับฉันได้ยังไงการ์ตูน แกเป็นเพื่อนสนิทของฉันนะ...” น้ำตาหยดลงบนหน้าจอโทรศัพท์หัวใจของเธอปวดร้าวราวกับถูกบีบขยี้จนแหลกละเอียด
ระหว่างที่จมอยู่กับความเศร้าเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
พิมพ์พลอยสะดุ้งเล็กน้อย เธอมองหน้าจอที่แสดงชื่อศิริขวัญ เพื่อนสนิทอีกคนที่ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่เพราะบริษัทอยู่ค่อนข้างไกลกัน หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย
“สวัสดีขวัญ” พิมพ์พลอยรับสายด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูสดใสมากที่สุด
“พลอย แกเป็นไงบ้าง ฉันโทรหาตั้งหลายครั้งไม่รับเลย นี่ฉันเป็นห่วงแทบแย่แล้วนะ" เสียงของศิริขวัญดังตามสาย น้ำเสียงเต็มไปด้วยความห่วงใย เธอพยายามติดต่อพิมพ์พลอยมาตลอดเกือบหนึ่งเดือนแต่แล้วความพยายามก็ได้ผล
“ฉันสบายดีแล้วแกล่ะขวัญ”
“สบายดีแน่นะ แล้วทำไมไม่ติดต่อมาบ้างเลยล่ะ ฉันได้ยินเรื่องมาแล้วนะ แกโอเคหรือเปล่า” ศิริขวัญถามย้ำด้วยความเป็นห่วง
“ตอนนี้โอเคขึ้นแล้ว ฉันกลับมาอยู่บ้านที่กระบี่แล้ว" พิมพ์พลอยตอบอย่างหมดแรง
"ดีแล้วพลอยที่แกออกมาจากตรงนั้นได้ แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง อยู่ที่นั่นสบายดีใช่ไหม มีอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่า”
“ฉันโอเคตอนนี้ ฉันเปิดร้านขายของชำเล็กๆ ที่บ้านน่ะ”
“จริงเหรอพลอย แกเก่งอยู่แล้วฉันว่าร้านต้องไปได้สวยแน่ๆฉันดีใจที่แกหาอะไรทำนะ แกไม่ต้องคิดมากนะเรื่องนั้นน่ะ พวกนั้นมันไม่คู่ควรกับแกหรอก”
คำปลอบโยนของศิริขวัญทำให้กำแพงในใจของพิมพ์พลอยสั่นคลอนอีกครั้ง น้ำตาที่เคยแห้งไปแล้วกลับเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง
“ขอบใจนะขวัญที่เป็นห่วง”
“ก็ต้องห่วงสิพลอย แกเป็นเพื่อนฉันนะ มีอะไรโทรหาฉันได้ตลอดเลยนะไม่ต้องเกรงใจ แล้วถ้าแกพร้อมเมื่อไหร่ กลับมากรุงเทพฯ นะ มาทำงานด้วยกันก็ได้ ฉันรอแกอยู่นะ”
“ขอบใจนะขวัญ”
“พักผ่อนเยอะๆ นะแล้วค่อยคุยกันใหม่”
เมื่อศริริขวัญวางสายไปแล้วพิมพ์พลอยก็นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม เธอรู้ว่าศิริขวัญเป็นห่วงเธอจริงๆ และคำพูดของเพื่อนก็ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง แต่ความหวาดกลัวที่จะเจ็บปวดซ้ำรอยเดิมมันรุนแรงมากจนพิมพ์พลอยรู้สึกเหมือนมีกำแพงหนาทึบก่อตัวขึ้นมาปิดกั้นหัวใจของเธอไว้
เธอไม่กล้าที่จะเปิดใจให้ใครเข้ามาอีกแล้ว ไม่กล้าที่จะเชื่อใจใครอีกต่อไป เพราะบาดแผลครั้งนี้มันฝังลึกเกินกว่าที่เธอจะกล้าเสี่ยงอีกครั้ง
พิมพ์พลอยกดลบรูปถ่ายทั้งหมดในโทรศัพท์จนเกลี้ยง ราวกับต้องการลบความทรงจำที่เจ็บปวดเหล่านั้นออกไปให้หมดสิ้น เธอโยนโทรศัพท์ลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะก้มหน้าซบกับแขนตัวเองที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์
คืนนี้หญิงสาวเข้านอนด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ที่หัวใจแต่เธอสัญญากับตัวเองว่าจะต้องลืมทุกอย่างให้ได้ เธอให้เวลากับคนเลวสองคนมานานมากพอแล้ว
ขณะกลิ้งตัวอยู่บนที่นอนใบหน้าของนายหัวธนธรรศก็ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เขาก็เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอคุยด้วยมากที่สุด
สองวันต่อมาพิมพ์พลอยเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะพนักงานบัญชีที่สวนปาล์มของนายหัวธนธรรศ แม้ว่าตอนนี้จะยังคงมีร่องรอยของความหวาดกลัวอยู่บ้าง แต่การได้จดจ่ออยู่กับตัวเลขและเอกสารต่างๆ ก็ช่วยให้เธอผ่อนคลายลงได้มากธนธรรศดูแลเธออย่างใกล้ชิด เขาจัดโต๊ะทำงานของเธอในห้องทำงานเดียวกับเขาที่ชั้นล่างของบ้านหลังใหญ่ซึ่งมันคือออฟฟิศขนาดย่อม ซึ่งมีมุมรับแขกเล็กๆ สำหรับคนที่เข้ามาติดต่องาน นายหัวเขาสอนงานในสวนเพิ่มเติมเพราะอยากพิมพ์พลอยเข้าใจภาพรวมทั้งหมดไม่ใช่หน้าที่ของพนักงานบัญชีอย่างเดียวในวันที่เขาออกไปดูคนงานในส่วนหญิงสาวจะนั่งทำงานคนเดียวแต่นานหัวก็มักจะแวะเวียนเข้ามาให้กำลังใจเธออยู่เสมอ บางครั้งก็แอบหอมแก้มหรือกอดเธอจากด้านหลัง ทำให้พิมพ์พลอยยิ้มได้ การได้อยู่ใกล้ธนธรรศตลอดเวลาทำให้พิมพ์พลอยสบายใจมากขึ้น เขาให้เธอรู้สึกปลอดภัยเสมอเมื่อเวลาผ่านไป พิมพ์พลอยก็เริ่มกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง แม้รอยยิ้มของเธอจะยังไม่สดใสเท่าเดิม แต่เธอก็เริ่มพูดคุยและหัวเราะได้มากขึ้น ธนธรรศรู้สึกดีใจที่เห็นการเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ เขาเชื่อว่าในไม่ช้าพิมพ์พลอยจะต้องกลับมาเข้มแข็งและเป็นพิมพ์พลอยคนเดิมอย่างแน่นอนการได้
นายหัวธนธรรศหันไปมองตามที่พิมพ์พลอยชี้ ใบหน้าของเขายิ่งซีดเผือดลงไปอีกเมื่อเห็นภาพนั้น เขากอดพิมพ์พลอยแน่นขึ้น พยายามส่งผ่านความอบอุ่นและความเข้มแข็งให้เธอ“ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไร ผมอยู่ตรงนี้แล้ว พลอยเข้าไปนั่งในบ้านก่อนนะ ผมจัดการเองครับไม่ต้องห่วงนะ” เขาพูดปลอบโยน พลางลูบผมเธอเบาๆเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสอบถามเหตุการณ์เบื้องต้น ธนธรรศจึงผละจากพิมพ์พลอยไปให้ข้อมูลกับตำรวจ เขารายงานว่าเขาไม่ได้เห็นเหตุการณ์โดยตรง แต่พิมพ์พลอยเป็นคนเห็นเหตุการณ์และเป็นเจ้าของร้านที่ถูกชนธนธรรศหันมามองพิมพ์พลอยที่ยังคงยืนสั่นอยู่ข้างน้าอัมพร เขาส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยไปให้ ก่อนจะหันกลับไปให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดเจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกปากคำและตรวจสอบที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พลางสอบถามพยานผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้น ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กู้ภัยก็เคลื่อนย้ายร่างผู้เสียชีวิตออกจากที่เกิดเหตุอย่างเงียบๆหลังจากที่เจ้าหน้าที่จัดการเก็บหลักฐานและเคลื่อนย้ายทุกอย่างออกไปแล้ว ความเงียบก็เข้ามาแทนที่ความวุ่นวายเมื่อครู่ หน้าร้านของพิมพ์พลอยเหลือเพียงซากปรักหักพัง กระจกแตกล
ชีวิตในอ่าวลึกหวนคืนสู่จังหวะที่คุ้นเคยอีกครั้งสำหรับพิมพ์พลอย เธอกลับมาใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความสุขที่ร้านขายของชำเล็กๆ แม้ถนนหนทางจะยังไม่เรียบร้อยนัก แต่ลูกค้าเก่าๆ ก็ทยอยกลับมาอุดหนุน ทำให้ร้านพอมีรายได้อยู่บ้างนายหัวธนธรรศยังคงทุ่มเทให้กับการดูแลสวนปาล์มผืนใหญ่ที่เปรียบเสมือนลมหายใจของเขาในช่วงเวลากลางวันที่ร้านไม่ค่อยมีลูกค้า พิมพ์พลอยจะนำงานบัญชีของนายหัวกลับมาทำที่ร้าน เธอจัดการเอกสาร ตรวจสอบรายรับรายจ่ายอย่างละเอียดนายหัวธนธรรศวางใจในความสามารถของเธออย่างเต็มที่ และมักจะแวะเวียนเข้ามาดูเธอทำงานเสมอ บางครั้งก็แอบหอมแก้มหรือกอดเธอจากด้านหลัง สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับทั้งคู่ความสัมพันธ์ของพวกเขาดำเนินไปอย่างมั่นคงและลึกซึ้งขึ้นทุกวัน แม้จะยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการแต่งงานอย่างจริงจัง เพราะทั้งคู่ต่างต้องการเวลาเพื่อมั่นใจในกันและกันให้มากกว่านี้ แต่ความรักและความผูกพันที่พวกเขามีให้กันนั้นก็ชัดเจนเกินกว่าคำพูดใดๆ“พลอยครับ เย็นนี้ไปในเมืองกันนะ”“นายหัวจะไปทำธุระหรือไปเที่ยวคะ” เธอเงยหน้าจากหน้าจอโน้ตบุ๊กเพื่อถามเพราะจะได้แต่งตัวให้ถูกกับกาลเทศะ“ไปเที่
พิมพ์พลอยหลับตาลงช้าๆ ภาพของนายหัวธนธรรศผุดขึ้นมาในห้วงความคิด ใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรัก รอยยิ้มอบอุ่น และสัมผัสที่เร่าร้อนทุกอย่างยังคงชัดเจนในความทรงจำ เธอคิดถึงเขาเหลือเกิน และคำพูดของศิริขวัญก็ราวกับเป็นประตูบานใหม่ที่เปิดออก สู่ทางเลือกที่เธอเองก็ปรารถนาอยู่ลึกๆเธอรู้ว่าการทำงานกับนายหัวอาจมีความเสี่ยงในเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ความรู้สึกคิดถึงที่มันบีบคั้นหัวใจอยู่ทุกวันนั้น มันหนักอึ้งเกินกว่าที่เธอจะทนได้อีกต่อไป“พลอยตัดสินใจแล้วขวัญ พลอยจะกลับไปกระบี่ พลอยจะไปทำงานกับนายหัว” พิมพ์พลอยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง“ดีใจด้วยนะ ในที่สุดพลอยก็เลือกในสิ่งที่ใจอยาก” ศิริขวัญยิ้มกว้างโผเข้ากอดเพื่อนด้วยความดีใจที่เพื่อนตัดสินใจไปทำงานกับคนรักเพราะรู้ว่าการอยู่ห่างกันมันทรมานมากแต่ไหน“แล้วพลอยจะไปวันไหนล่ะ”“พลอยจะกลับไปพรุ่งนี้เลย” พิมพ์พลอยตอบอย่างรวดเร็ว เธอแทบรอไม่ไหวที่จะได้กลับไปหาเขา“พลอยจะบอกนานหัวไหม”“ไม่ล่ะ พลอยอยากกลับไปเซอร์ไพรส์เขาน่ะ”“แต่ขับรถไปคนเดียวมันอันตรายนะ”“ไม่หรอกน่า พลอยเคยขับบ่อยแล้ว”“นายหัวบอกขวัญว่าถ้าพลอยจะกลับให้โทรบอกเขาด้วย เขาจะมาเป็น
นายหัวธนธรรศกลับไปกระบี่ได้สองวันแล้วระหว่างนี้พิมพ์พลอยก็ส่งใบสมัครงานไปยังบริษัทต่างๆ หลายที่แต่ก็ยังไม่มีที่ไหนเรียกสัมภาษณ์เลยศิริขวัญสังเกตว่าเพื่อนไม่ได้จริงจังกับการหางานทำเท่าไหร่หญิงสาวมักนั่งเหม่ออยู่ที่หน้าจอแท็บเล็ตและสีหน้าจะมีความสุขทุกครั้งที่นายหัวธนธรรศโทรมา“ไม่มีที่ไหนเรียกสัมภาษณ์เลยเหรอพลอย” ศิริขวัญถามด้วยความเห็นใจ“ไม่มีเลยขวัญ พลอยก็ยื่นไปหลายที่นะหรือว่าเงินเดือนที่พลอยเรียกมันจะสูงไปหรือเปล่า” เธอหันมาปรึกษาเพื่อน“ไม่หรอกนะ ประสบการณ์อย่างพลอยเรียกเงินเดือนขนาดนี้ก็เหมาะสมแล้ว”“พลอยชักท้อแล้วล่ะ” พิมพ์พลอยท้อที่ไม่มีที่ไหนเรียกสัมภาษณ์และก็รู้สึกคิดถึงคนรักจนจิตห่อเหี่ยว“อย่าพึ่งหมดหวังสิพลอย คนเก่งๆ อย่างพลอยเดี๋ยวก็มีงานเข้ามาเองนะ” ศิริขวัญพูดอย่างให้กำลังใจ“พลอย ขวัญขอถามอะไรพี่หน่อยสิ พลอยคิดจะสมัครงานและทำงานที่กรุงเทพจริงๆ ใช่ไหม”“จริงสิ ทำไมขวัญถึงถามแบบนั้นล่ะ”“ก็ขวัญสังเกตว่าพลอยไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเลย พลอยกำลังคิดถึงนายหัวใช่ไหม”“คนเป็นแฟนกันก็ต้องคิดถึงกันสิขวัญก็คิดถึงแฟนไม่ใช่เหรอ” พิมพ์พลอยถามกลับเพราะเห็น
นายหัวธนธรรศลุกขึ้นแล้วจับให้คนรักนอนราบไปกับเตียงนอนนุ่ม ใบหน้าทั้งสองห่างกันเพียงนิดดวงตาสองคู่สบประสานส่งผ่านความรู้สึกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความต้องการ ทั้งเขาและเธอกำลังตกอยู่ในภวังค์พิศวาสที่ไม่มีทีท่าลดน้อยลงเลยสักนิดริมฝีปากร้อนจุมพิตลงบนเรียวปากอิ่มอีกครั้งหญิงสาวใจเต้นแรงสองมือยกขึ้นโอบรอบลำคอก่อนจิกปลายนิ้วลงบนผิวเนื้อเมื่อฝ่ามือร้อนหยอกเย้าอยู่กับทรวงอกอิ่ม ริมฝีปากคลอเคลียไม่ยอมห่างปลายลิ้นหยอกล้ออย่างหวานล้ำพิมพ์พลอยรู้สึกถึงความแข็งร้อนที่ดันหน้าท้องยิ่งทำให้รู้สึกเสียวซ่านเมื่อนึกไปถึงคราวที่มันจะเข้าไปอยู่ในกายของตนเอง อารมณ์ของเธอพลุ่งพล่านเมื่อคิดถึงความสุขสมที่จะได้รับจากคนรักชายหนุ่มยังคงจูบไม่ยอมผละออกขณะที่มือก็จับเรียวขาให้แยกออกแล้วใช้ปลายหยักกรีดกลางร่องสวาทขึ้นลงสร้างความเสียวซ่านจนหญิงสาวสั่นสะท้าน“นายหัว.....”ลมหายใจหญิงสาวขาดช่วงเมื่อเขาใช้ปลายหยักกดลงบนเกสรเสียว เธอครางสะท้านแอ่นกายเข้าหาอย่างไม่อาจห้ามได้ ร่างกายเธอกำลังต้องการให้เขาเข้ามาเติมเต็มอย่างที่สุด“พลอยจ๋า อย่าเกร็งนะ”คลื่นความปรารถนากำลังโหมกระหน่ำอย่างหนัก นายหัวธนธรรศกดแก่นกายเข้าหาช