Home / รักโบราณ / ดรุณีกลางใจอ๋อง / บทที่ 1 กลับคืนสู่อดีต

Share

บทที่ 1 กลับคืนสู่อดีต

last update Last Updated: 2025-10-20 11:19:25

            รัชสมัยหลงเต๋อปีที่ยี่สิบ รถม้าคันใหญ่แม้ดูภายนอกก็รู้ว่าเป็นของตระกูลขุนนาง หยุดหน้าประตูเมือง รอตรวจค้นก่อนเข้าเมือง

                “ผู้ใดอยู่บนรถม้า” เสียงห้วนของทหารหน้าประตูเมืองดังขึ้น

                “องค์ชายรอง หลี่หยางเฉิง” เสียงไร้เรี่ยวแรงของกัวเจียงเฟิงที่นั่งข้างคนบังคับรถม้าเอ่ยขึ้น

            ทหารมีสีหน้าประหลาดใจ ขันทีหนุ่มจึงยื่นป้ายที่สลักคำว่า ‘หลี่’ ให้ทหารเฝ้าประตูเมืองดู เมื่อเห็นป้ายองค์ชาย แววตาแข็งกร้าวของเหล่าทหารจึงเปลี่ยนเป็นนอบน้อม ก่อนจะประสานมือค้อมกายแล้วหลีกทางให้รถม้ามุ่งหน้าเข้าวังหลวง

                “องค์ชายจะถึงวังหลวงแล้ว พระองค์ควรเตรียมตัวได้แล้ว” คนบังคับรถม้าเอ่ยเสียงเย็น แม้แต่เจียงเฟิงที่รู้จักกันมาสิบสองปียังหวาดกลัว

                “ข้าเป็นเช่นนี้มาสิบสองปี ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วด้วยซ้ำว่านี่คือการแสร้งทำ หรือมันคือตัวข้าจริง ๆ”

            บุรุษดวงตานิ่งเฉยไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ ชุดสีม่วงเข้มปักดิ้นทองแม้ดูเก่า ทว่ากลับไม่อาจบดบังความสง่างามของโอรสฮ่องเต้องค์นี้ได้ มือหนาตวัดพู่กันขีดทับชื่อ ‘จวิ้นอ๋อง เหรินชิงหยู’ ในหนังสือ ก่อนจะเก็บมันลงกล่องลับซึ่งด้านในมีจดหมายหลายสิบฉบับวางอยู่

                “องค์ชาย... แล้วเรื่องของฮูหยินตระกูลซูเล่าพะย่ะค่ะ นางส่งจดหมายไปยังเขาอู่ถงหลายครั้ง” เจียงเฟิงอดเห็นใจสตรีผู้นั้นไม่น้อย จะอย่างไรครั้งหนึ่งพวกเขาก็รู้จักกัน ทุกครั้งที่ฮูหยินซูเข้าเฝ้าอดีตหวงกุ้ยเฟย มักมีขนมติดมาให้เขาด้วยเสมอ

                “ตระกูลฟู่ไม่ยุ่งเรื่องราชสำนัก ก็ยึดตามกฎเดิม ส่วนข้าเป็นเพียงคนบ้าจะช่วยอันใดได้” หยางเฉิงเอ่ยเสียงห้วน ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง

                “เช่นนั้นก็ส่งจดหมายบอกนาง หากฝ่าบาทลงโทษเนรเทศ เขาอู่ถงจะรับรองความปลอดภัยของตระกูลเหริน จนกว่าจวิ้นอ๋องและบุตรชายจะหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ก็แล้วกัน แต่หากตระกูลเหรินได้รับโทษประหาร ก็จงยอมรับชะตากรรม”

            หยางเฉิงหลับตาลง นี่ถือเป็นการตอบแทนที่ครั้งหนึ่งฮูหยินซูเคยเป็นสหายที่ดีของมารดา

                “ความจริงเพียงองค์ชายมอบหลักฐานให้ฮ่องเต้ ไม่ใช่ว่าตระกูลเหรินทั้งตระกูลจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเฟิงเสี่ยงตายทูลหว่านล้อม

                “เหตุใดข้าต้องเสียหมากในมือ ในเมื่อครานั้น จวิ้นอ๋องเฒ่าผู้นั้นก็ไม่ได้ยื่นมือมาช่วยมารดาข้า”

            น้ำเสียงของหยางเฉิงดังขึ้นเล็กน้อย แต่เท่านี้ก็ทำให้ขันทีนอกรถม้าไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก เป็นจริงที่เมื่อสิบสองปีก่อน พระนางหวงกุ้ยเฟยถูกใส่ความว่าคิดการทรยศเข้าร่วมกับต้าเหลียง โดยพบจดหมายหนึ่งแผ่นที่มีตราประทับของจักรพรรดิต้าเหลียง แม้จดหมายนั้นไม่ได้เอ่ยถึงใคร แต่ตระกูลหลินก็ใช้อำนาจบีบให้ทั้งราชสำนักใส่ความนาง

            จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจในราชสำนักไม่น้อยในครั้งนั้นกลับนิ่งเฉย แม้เหรินชิงหยูจะขอรับโทษที่บุตรชายคนเล็กเมาแล้วสังหารนางโลม ด้วยการไม่เข้าไปก้าวก่ายงานราชกิจของฮ่องเต้ แต่หยางเฉิงยังมองว่า หากเขามอบตราอ๋องที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานไว้คุ้มภัยให้หวงกุ้ยเฟย มารดาของเขาก็คงไม่ต้องตายอย่างอนาถพร้อมบ่าวไพร่ในตำหนักนับร้อยชีวิต ถึงแม้ภายหลังฮูหยินซูจะขอร้อง จนบิดายอมมอบตรานั้นให้ ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว

            ลานหน้าเรือนใหญ่ตระกูลซู บ่าวไพร่ต่างจ้องมองสตรีสองนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้นที่หนาวเหน็บ ลมหนาวต้นเหมันต์พัดอากาศเย็นยะเยือกต้องกายบอบบางของสตรี ซูอวี้หนิงจ้องมองมารดา ที่บัดนี้ใบหน้าขาวซีดจากการคุกเข่าขอร้องบิดามาหนึ่งวันหนึ่งคืน บวกกับลมเย็นที่พัดผ่าน ทำให้ซูเยว่หลิงจับไข้จนอาการหนักในเวลาไม่นาน

                “ท่านแม่ ลุกกลับเข้าเรือนให้ท่านหมอมาตรวจก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปขอร้องท่านพ่อเอง” น้ำเสียงอวี้หนิงสั่นเครือด้วยความกลัวว่ามารดาจะล้มป่วยไปอีกคน

                “ไม่ได้ แม่ต้องได้เห็นกับตาว่าท่านพ่อของเจ้ายอมเข้าวังช่วยเหลือตระกูลเหรินแล้ว” เสียงหญิงวัยกลางคนอ่อนแรงเต็มที จนอวี้หนิงนิ่งเฉยไม่ได้ รีบวิ่งไปที่ประตูเรือนตรงหน้า ก่อนจะเคาะเสียงดัง

                “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ช่วยท่านตากับยายด้วยเถิดเจ้าค่ะ ท่านพ่อ!” หญิงสาวเคาะเรียกอยู่ชั่วครู่ ทว่าคนเปิดประตูกลับเป็นหลินซือเหยียน

                “หลินอี้เหนียงเป็นท่านได้อย่าง? ท่านพ่อเล่า?” อวี้หนิงจ้องมองคนหน้าประตู ก่อนจะชะโงกมองหาบิดาของตน

                “อวี้หนิง เจ้าพาแม่เจ้าไปรอส่งตระกูลเหรินที่ลานประหารไม่ดีกว่าหรือ? ท่านพี่ล้มป่วยกะทันหัน คงไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้” ซือเหยียนที่ปกติจะมีแต่ความอ่อนโยนต่อนาง ทว่าบัดนี้กลับหยิ่งทะนงไร้ความเมตตาเพียงชั่วข้ามคืน จนทำให้อวี้หนิงแปลกใจกับท่าทีของอนุของบิดานางนี้

                “จะป่วยได้อย่างไร? ข้าไม่เห็นท่านหมอมาเลยสักคน ท่านหลีกไป ข้าขอพบท่านพ่อ!” อวี้หนิงดึงดันจะเข้าไปในเรือน

                “เจ้ามาโวยวายอะไรแถวนี้!” เสียงตวาดด้านหลังทำให้อวี้หนิงหยุดชะงัก

                “ท่านย่า...”

                “ยังจำได้หรือว่าข้าเป็นย่า? เหตุใดไม่ทำตามที่ข้าสั่ง ดูแลมารดาเจ้าในเรือน ให้นางวิ่งออกมาคุกเข่าอ้อนวอนราวคนบ้าให้บ่าวไพร่หัวเราะเยาะทำไมกัน!” ฮูหยินเฒ่าซูตำหนิเสียงดัง ข้างกายมีซูเจินหยู น้องสาวต่างมารดาคอยประคองหญิงชราอยู่ ทว่าสายตาของดรุณีน้อยผู้นั้นกลับเต็มไปด้วยความสะใจ

                “ท่านย่า~ นั่นคือตระกูลของท่านแม่ การที่นางจะดิ้นรนให้คนทั้งตระกูลพ้นโทษ มันเป็นสิ่งที่สมควรไม่ใช่หรือ”

                “หุบปาก!” ซูซือเหลียงตวาดลั่น พร้อมกับฝ่ามือตบไปยังใบหน้างามของอวี้หนิง หญิงสาวตกตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในความทรงจำของนาง ทั้งบิดาและท่านย่าต่างรักใคร่นางมิใช่หรือ? แม้แต่อนุคนอื่น ๆ ของบิดาก็ยังมีท่าทีนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้านางและมารดา เหตุใดครั้งนี้ แม้แต่ท่านย่าก็ยังตบหน้านางได้

                “หนิงเอ๋อร์!” เยว่หลิงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เร่งฝีเท้าทั้งที่สองขายังปวดหนึบจากการคุกเข่าทั้งคืน ก่อนจะรีบ โผเข้าประคองตัวบุตรีเข้าไปกอดไว้

                “ไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น เป็นเจ้าที่รนหาเรื่องเอง” หญิงชราไม่คิดปลอบโยน ทว่ายังตำหนิซ้ำ เยว่หลิงมองใบหน้าเหี่ยวย่นของแม่สามีด้วยความขุ่นเคือง นางที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ยอมเชื่อฟังสามีในทุกเรื่อง แม้เขาจะมีอนุมากมายเพียงใด ถึงนั่นจะทำให้นางเจ็บปวดทุกครั้ง แต่นางก็ไม่เคยห้าม แต่ตระกูลซูกลับตอบแทนความดีของนาง ด้วยการทำร้ายบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง

ที่จริงนางเริ่มสังเกตท่าทีที่แปลกไปของทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่ช่วงที่บิดาของนาง จวิ้นอ๋อง ค่อย ๆ เสื่อมอำนาจ เพราะพี่ชายคนโตและหลานชายรบแพ้ต้าเหลียงอยู่หลายครั้ง สูญเสียไพร่พลเป็นอันมาก จนสุดท้ายน้องชายกลับถูกกล่าวหาว่าคิดกบฏร่วมกับต้าเหลียง จึงทำให้ต้าหยางรบแพ้หลายครั้ง และถูกตัดสินโทษประหาร ตระกูลซูก็ไม่เคยเห็นพวกนางสองแม่ลูกเป็นคนในครอบครัวอีก

                “นางเป็นหลานสาวที่ท่านชื่นชมที่สุดไม่ใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้เพื่อปกป้องมารดา ท่านแม่จึงลงมือกับนางได้” เยว่หลิงจ้องมองแม่สามีไม่วางตา

                “เหอะ! นางมีสายเลือดของโจรกบฏ มีค่าให้ข้ายกย่องหรือ!” น้ำเสียงเย้ยหยันของผู้เป็นย่าทำให้อวี้หนิงรู้ซึ้งแก่ใจ ที่แท้ตระกูลซูก็เพียงอยากพึ่งบารมีของจวิ้นอ๋องเท่านั้น

                “ไม่ใช่ตระกูลที่ท่านกล่าวหาว่าเป็นกบฏหรือ ที่ช่วยให้ตระกูลซู ตระกูลขุนนางต่ำต้อย ได้เป็นที่นับหน้าถือตาในฉางเล่อ” เยว่หลิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในลำคอที่นางทนฝืนกลืนไว้ตลอดทั้งคืน

                “หุบปาก! ลูกสะใภ้อย่างเจ้ามีสิทธิ์ต่อว่าแม่สามีหรือ! ใครก็ได้ เอานางไปโบยยี่สิบไม้ฐานลบหลู่แม่สามี!” หญิงชรามีหรือจะใจกว้างยืนให้ลูกสะใภ้ตำหนิ ซ้ำนางยังไม่ชอบให้ผู้ใดมาว่านางมาจากตระกูลต่ำต้อย

            อวี้หนิงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มารดาของนางร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จะทนการโบยได้อย่างไร

                “ท่านย่า! ท่านแม่ร่างกายอ่อนแอ อย่าโบยเลยเจ้าค่ะ!” อวี้หนิงคุกเข่าขอร้องแทนมารดา โดยมีสองแม่ลูกยืนยิ้มด้วยความพอใจ

                “ช้าอยู่ทำไม! มาลากนางไป!” ซือเหลียงไร้ความเมตตา สะบัดเท้าที่หลานสาวเกาะกุมอ้อนวอนออกอย่างไร้ปรานี

            ไม่นานเสียงโบยก็ดังขึ้น สลับกับเสียงร้องไห้ของอวี้หนิงที่ถูกสาวใช้กุมตัวไว้แน่น นางทำได้เพียงจ้องมองมารดา ที่ราวกับแตกสลายไม่ร้องออกมาสักคำ ดวงตาของนางยังจ้องไปยังเรือนใหญ่ ที่จนแล้วจนรอดสามีที่นางรักสุดหัวใจกลับไม่โผล่ออกมาปกป้องนาง ปกป้องบุตรีสาว

            การโบยครบยี่สิบไม้จบลง เยว่หลิงหมดสติไปตั้งนานแล้ว อวี้หนิงที่ใจสลายจากท่าทีของครอบครัวที่นางรัก จนบัดนี้ไม่มีแม้แต่หยดน้ำตาที่จะไหลอาบแก้ม นางรีบไปประคองร่างมารดากลับเรือน

                “เสี่ยวเหม่ย ไปตามหมอ!” อวี้หนิงดวงตาแดงก่ำ ใช้น้ำอุ่นเช็ดร่างของมารดา พลางกำชับสาวใช้ข้างกายที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น

                “เจ้าค่ะ!” เสี่ยวเหม่ยรับคำก่อนวิ่งออกจากเรือนไป

            ไม่นาน เยว่หลิงก็สำลักออกมาเป็นเลือด ทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท ทำให้ผู้ที่เป็นบุตรสาวอย่างอวี้หนิงต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้ง

                “ท่านแม่! ท่านแม่!” มือเรียวสั่นเทารีบประคองมารดาขึ้น พลางลูบอกให้นางหวังช่วยทำให้มารดารู้สึกดีขึ้น

                “ท่านแม่~ อดทนไว้นะเจ้าคะ!” เสียงแหบแห้งเอ่ยปลอบมารดา ดวงตาคู่งามปวดหนึบจนจะทนไม่ไหว

                “หนิงเอ๋อร์! หนิงเอ๋อร์ของแม่...” สตรีที่ดวงตายังปิดสนิทพึมพำหาบุตรสาว

                “ข้าอยู่นี่! ข้าอยู่นี่ ท่านแม่!” นางพยายามกุมมือมารดาไว้ ก่อนที่เสียงนั้นจะค่อย ๆ เงียบหายไป พร้อมกับลมหายใจของมารดาที่หมดลง

                “ท่านแม่~ ท่านแม่!” เสียงร้องที่แตกสลายของหญิงสาวดังลั่นไปทั่วจวนซู ทว่ากลับไม่มีผู้ใดมาเหลียวแลความสูญเสียของนาง

            ตำหนักหานเยวี่ยถูกทำความสะอาดให้สามารถเข้าพักได้อีกครั้ง หยางเฉิงที่กลับเข้าตำหนักได้หนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าฝ่ายในยังไม่ส่งขันทีหรือนางกำนัลมารับใช้ ด้วยเห็นว่าเขาเป็นเพียงองค์ชายที่ถูกลืมก็เท่านั้น ในเวลาเดียวกัน ลมหนาวพัดผ่านหน้าต่างตำหนัก หยางเฉิงที่กำลังหลับเอาแรง จึงปรือตาตื่น

                “ส่งจดหมายถึงฮูหยินซูเรียบร้อยหรือไม่” เสียงเยือกเย็นเอ่ยถามองครักษ์ในมุมมืด

                “กระหม่อมไปถึงจวน กลับพบว่าฮูหยินซูสิ้นใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

                “ว่าอย่างไรนะ!” หยางเฉิงรีบยันกายขึ้นจากเตียงด้วยดวงตาเบิกกว้าง เสียงของเด็กน้อยที่เคยเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่หยาง’ ดังขึ้นในหัวทันที

                “คุณหนูใหญ่เล่า?”

            “นางยังคงกอดร่างมารดาไว้ไม่ยอมปล่อยพ่ะย่ะค่ะ”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 8 แลกเปลี่ยน

    หน้าห้องพักของเหล่าเจ้านายตระกูลเหริน ทหารคุ้มกันแน่นหนา แม้รู้ว่าคนตระกูลเหรินไม่มีทางหนีอาญาแผ่นดิน ทว่าทหารกลุ่มนี้กลับถูกส่งมาคุ้มกันนักโทษจากการถูกลอบสังหารมากกว่า หยางเฉิงหยุดอยู่หน้าประตู ทหารหน้าห้องประสานมือค้อมกายก่อนถอยห่างออกจากประตูหลายก้าว เหล่าเจ้านายตระกูลเหรินต่างแปลกใจเมื่อเห็นบุรุษในชุดคลุมสีนิลปิดบังหน้าตาเดินเข้ามาด้านใน “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของชายชราฟังดูน่าเกรงขาม สมกับเป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้าหยาง “คนผู้หนึ่งที่เคยชื่นชมความเที่ยงธรรมของท่าน” หยางเฉิงเอ่ย พลางวางมีดสั้นลงบนโต๊ะกลม ฝักของมันเป็นลายพยัคฆ์ สลักคำว่า ‘เหริน’ อย่างชัดเจน เหรินซิงหยูตกตะลึงเมื่อเห็นมีดสั้นเล่มนั้นอีกครั้ง ชายชราจำได้ดี มีดสั้นเล่มนี้คือสิ่งที่ติดกายเขาตั้งแต่ออกรบครั้งแรก จนกระทั่งการรบครั้งสุดท้าย ก่อนจะมอบมันให้กับโอรสของฮ่องเต้ ผู้ที่เคยบอกเขาว่าในภายภาคหน้าจะปกป้องราษฎรเช่นปกป้องคนในครอบครัว ซิงหยูแม้ยังถูกโซ่ล่ามขาทั้งสองข้าง รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะประสานมือต่อหน้าบุรุษผู้มาเยือน ทำให้ทั้ง

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 7 สิ้นไร้หนทาง

    อวี้หนิงก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม สายตาของนางหยุดลงที่บุรุษในชุดคลุมสีดำ ถึงแม้บัดนี้จะอยู่ภายในอาคาร ทว่าเขายังไม่ยอมถอดผ้าปิดหน้าออก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตน ข้างกายยังมีบุรุษที่มีผ้าปิดหน้านั่งอยู่ด้วยอีกสองคน ก่อนที่เขาจะปรายตามองนางครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดคุยกับสหายร่วมโต๊ะอีกสองคนเช่นเดิม อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะของผู้คุมนักโทษที่เข้ามาดื่มน้ำชาหลบหิมะ ทิ้งให้เหล่านักโทษทนหนาวอยู่ภายนอกอย่างไร้ปราณี นางกวาดสายตามองรอบโถงโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่มีแขกเข้ามาพักดื่มชา อาจจะเป็นเพราะอากาศข้างนอกที่เลวร้าย ไม่อาจสัญจรไปมาได้ แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอวี้หนิง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังเถ้าแก่ที่กำลังตรวจนับบัญชีอยู่ “เถ้าแก่ ข้าอยากได้ห้องพักหลายห้องหน่อย จะได้หรือไม่” ชายวัยกลางคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจากบัญชีของร้านที่กำไรลดน้อยลงทุกเดือน ยิ้มกว้างในทันที “ได้ ๆ คุณหนูจะพักเลยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์พาขึ้นไป” เถ้าแก่ร้านเอ่ยพลางมองหากลุ่มคนที่จะเข้าพัก ทว่ากลับไม่พบใครนอกจากสตรีตรงหน้าเพี

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 6 ท่ามกลางหิมะ

    รุ่งเช้า หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง อวี้หนิงหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่าง ดวงตาที่จดจ้องไปตามเส้นทางของตำหนักอ๋องตลอดทั้งคืนแดงก่ำด้วยความสิ้นหวัง “เสี่ยวเหม่ย อาหารพวกนี้เย็นหมดแล้ว เจ้าเร่งไปที่ครัวอุ่นอาหารสักหน่อยเถิด” เสียงอ่อนแรงเอ่ยกับสาวใช้ที่เพิ่งปรือตาตื่น “คุณหนู แต่ว่าท่านอ๋อง...” “ข้าจะไปขอพบท่านตาเอง” “แล้วทหารจะให้พบหรือเจ้าคะ” “เมื่อขบวนนักโทษออกจากเมืองแล้ว บางทีการใช้ตำลึงมากหน่อยอาจทำให้ทหารพวกนั้นยอมผ่อนปรนสักครู่ก็ได้” แม้ไม่แน่ใจในความคิดนี้นัก แต่อวี้หนิงก็อยากลองดูสักครั้ง นางมิอาจปล่อยให้สองผู้เฒ่าตระกูลเหรินต้องตกระกำลำบากโดยที่ตัวเองนิ่งดูดายได้ “เช่นนั้นข้าจะรีบไปอุ่นอาหาร คุณหนูรอครู่เดียวนะเจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายที่อยู่กับนางตั้งแต่เล็กทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย อวี้หนิงยังคงนั่งรอเยว่ซิงด้วยความหวังว่าเขายังจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไร้วี่แววคนของจวนฉู่อ๋อง หญิงสาวจึงทำได้เพียงตรงไปดักรอขบวนนักโทษนอกประตูเมืองแท

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 5 หนทางกำจัด

    “ข้านึกว่าเจ้าอยากแต่งกับลูกสาวบัณฑิตเว่ยเสียอีก” ฮ่องเต้นึกถึงเมื่อสิบสองปีก่อน โอรสของเขามักฝากสิ่งของกับเว่ยจิ้นหงผู้เป็นอาจารย์สอนตำราไปให้เว่ยซินเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง จนเขาเตรียมราชโองการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ประกาศออกไป กลับมีเรื่องของหรงเยว่เกิดขึ้นเสียก่อน หยางเฉิงนิ่งงันเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยถึงสตรีอันเป็นที่รัก แววตาเย็นชาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดั่งเดิม “นางหมั้นหมายแล้ว คุณชายใหญ่จวนแม่ทัพมู่ก็องอาจ สง่าผ่าเผย ไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปทำลายพวกเขา” “เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้าก็เพื่อทำลาย?” “พ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงตอบคำถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ คล้ายกับการแต่งงานไม่ได้มีผลอันใดกับเขาแม้แต่น้อย “หลานสาวเจ้ากรมคลังมีถึงสองคน เจ้าหวังคนใดเล่า?” ฮ่องเต้เพิ่งนึกได้ว่าโอรสเบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยถึงชื่อนางสตรีที่ต้องการอภิเษกเสียด้วยซ้ำ “คนใดก็สุดแล้วแต่เจ้ากรมคลังจะเสียสละเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมต้องการไม่ใช่ตั

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 4 จากสหายกลายเป็นหญิงที่รัก

    ไม่นานเสียงดังเอะอะจากภายนอกก็ดังขึ้น จนดึงความสนใจของหญิงสาวในชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ อวี้หนิงลุกขึ้นจากพื้นเดินออกไปดูเหตุการณ์ภายนอก ทว่ายังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องโถงก็พบเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยเสียก่อน ดวงตางามที่ยังแดงก่ำทว่าไร้หยดน้ำตา บัดนี้เอ่อล้นด้วยคลื่นน้ำอุ่นอีกครั้ง นางมองบุรุษเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตา ใบหน้านั้นยังคงมีความอ่อนโยนให้นางเช่นเคย “หนิงเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความสั่นเครือดังขึ้น “ฉู่อ๋อง” นางยอบกายเรียกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยห่างจากเขาเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิง ทว่าข้อมือของนางกลับถูกมือหนารั้งเข้าหา การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงอวี้หนิง แม้แต่รองเจ้ากรมโยธาอย่างซูจิ้งซวนและหลินซือเหยียนก็ยังตกตะลึงกับท่าทีเช่นนี้ หากแต่มีหรือที่หลี่เยว่ซิงจะสนใจ “เวลาเช่นนี้ยังจะสนใจธรรมเนียมอีก” บุรุษตัวสูงเอ่ยตำหนินางเสียงดัง ทว่าดวงตากลับเจือไปด้วยความห่วงใย อวี้หนิงนิ่งเงียบ นางยังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย นางเกรงว่าความอ่อนแอนี้ยิ่งจะทำให้เขาเป็นกังวล หลินซือเหยียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลี่เยว่ซิงก็รีบเอ

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 3 คนบ้าสติฟั่นเฟือน

    หยางเฉิงเดินออกมาก็พบกับเจากงกงที่ยืนถือจานขนมหวานอยู่ “ขนมหวานของข้า” บุรุษหนุ่มมีท่าทีราวเด็กน้อยได้ของที่ชื่นชอบ มือหนาคว้าจานขนมกุ้ยฮวายัดข้าปากคำโต พลางยื่นหนึ่งชิ้นให้กับขันทีเบื้องหน้า “ให้ท่านชิ้นหนึ่ง” เศษขนมจากปากกระเด็นออกมาตามจังหวะการพูด ยิ่งทำให้เขาเหมือนกับเด็กเล็กไม่ผิดเพี้ยน “องค์ชายเสวยเถอะ กระหม่อมไม่หิว” ขันทีเฒ่ายิ้มเจื่อน พลางผลักมือเขากลับคืน ก่อนเอ่ยต่อ “ฮ่องเต้ต้องการพบองค์ชายที่ท้องพระโรง เชิญเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงไม่ได้ตอบอะไรเพียงยัดขนมชิ้นต่อไปเข้าปาก แล้วพยักหน้าเต็มแรงเดินตามเจากงกงอย่างว่าง่าย ก่อนจะถึงท้องพระโรงหยางเฉิงจึงหันมาเอ่ยกับเจียงเฟิงเสียงเบา “หากข้าทำทีสำลัก รีบใช้มือทุบหลังข้า” “อย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเฟิงแปลกใจกับคำสั่งของผู้เป็นนาย ทว่าหยางเฉิงกลับไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขากลับไปทำท่าทีเป็นเด็กมองไปรอบ ๆ พร้อมกลับชี้ถามเจากงกงไปเรื่อย ภายในท้องพระโรงขุนนางใหญ่ต่างเข้าร่วมว่าราชกิจ ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้นั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรว่างเปล

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status