หน้าหลัก / รักโบราณ / ดรุณีกลางใจอ๋อง / บทที่ 1 กลับคืนสู่อดีต

แชร์

บทที่ 1 กลับคืนสู่อดีต

ผู้เขียน: ซูเมิ่ง 淑梦
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-10-20 11:19:25

            รัชสมัยหลงเต๋อปีที่ยี่สิบ รถม้าคันใหญ่แม้ดูภายนอกก็รู้ว่าเป็นของตระกูลขุนนาง หยุดหน้าประตูเมือง รอตรวจค้นก่อนเข้าเมือง

                “ผู้ใดอยู่บนรถม้า” เสียงห้วนของทหารหน้าประตูเมืองดังขึ้น

                “องค์ชายรอง หลี่หยางเฉิง” เสียงไร้เรี่ยวแรงของกัวเจียงเฟิงที่นั่งข้างคนบังคับรถม้าเอ่ยขึ้น

            ทหารมีสีหน้าประหลาดใจ ขันทีหนุ่มจึงยื่นป้ายที่สลักคำว่า ‘หลี่’ ให้ทหารเฝ้าประตูเมืองดู เมื่อเห็นป้ายองค์ชาย แววตาแข็งกร้าวของเหล่าทหารจึงเปลี่ยนเป็นนอบน้อม ก่อนจะประสานมือค้อมกายแล้วหลีกทางให้รถม้ามุ่งหน้าเข้าวังหลวง

                “องค์ชายจะถึงวังหลวงแล้ว พระองค์ควรเตรียมตัวได้แล้ว” คนบังคับรถม้าเอ่ยเสียงเย็น แม้แต่เจียงเฟิงที่รู้จักกันมาสิบสองปียังหวาดกลัว

                “ข้าเป็นเช่นนี้มาสิบสองปี ตอนนี้แยกไม่ออกแล้วด้วยซ้ำว่านี่คือการแสร้งทำ หรือมันคือตัวข้าจริง ๆ”

            บุรุษดวงตานิ่งเฉยไร้ระลอกคลื่นอารมณ์ ชุดสีม่วงเข้มปักดิ้นทองแม้ดูเก่า ทว่ากลับไม่อาจบดบังความสง่างามของโอรสฮ่องเต้องค์นี้ได้ มือหนาตวัดพู่กันขีดทับชื่อ ‘จวิ้นอ๋อง เหรินชิงหยู’ ในหนังสือ ก่อนจะเก็บมันลงกล่องลับซึ่งด้านในมีจดหมายหลายสิบฉบับวางอยู่

                “องค์ชาย... แล้วเรื่องของฮูหยินตระกูลซูเล่าพะย่ะค่ะ นางส่งจดหมายไปยังเขาอู่ถงหลายครั้ง” เจียงเฟิงอดเห็นใจสตรีผู้นั้นไม่น้อย จะอย่างไรครั้งหนึ่งพวกเขาก็รู้จักกัน ทุกครั้งที่ฮูหยินซูเข้าเฝ้าอดีตหวงกุ้ยเฟย มักมีขนมติดมาให้เขาด้วยเสมอ

                “ตระกูลฟู่ไม่ยุ่งเรื่องราชสำนัก ก็ยึดตามกฎเดิม ส่วนข้าเป็นเพียงคนบ้าจะช่วยอันใดได้” หยางเฉิงเอ่ยเสียงห้วน ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง

                “เช่นนั้นก็ส่งจดหมายบอกนาง หากฝ่าบาทลงโทษเนรเทศ เขาอู่ถงจะรับรองความปลอดภัยของตระกูลเหริน จนกว่าจวิ้นอ๋องและบุตรชายจะหาทางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้ก็แล้วกัน แต่หากตระกูลเหรินได้รับโทษประหาร ก็จงยอมรับชะตากรรม”

            หยางเฉิงหลับตาลง นี่ถือเป็นการตอบแทนที่ครั้งหนึ่งฮูหยินซูเคยเป็นสหายที่ดีของมารดา

                “ความจริงเพียงองค์ชายมอบหลักฐานให้ฮ่องเต้ ไม่ใช่ว่าตระกูลเหรินทั้งตระกูลจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเฟิงเสี่ยงตายทูลหว่านล้อม

                “เหตุใดข้าต้องเสียหมากในมือ ในเมื่อครานั้น จวิ้นอ๋องเฒ่าผู้นั้นก็ไม่ได้ยื่นมือมาช่วยมารดาข้า”

            น้ำเสียงของหยางเฉิงดังขึ้นเล็กน้อย แต่เท่านี้ก็ทำให้ขันทีนอกรถม้าไม่กล้าเอ่ยอันใดอีก เป็นจริงที่เมื่อสิบสองปีก่อน พระนางหวงกุ้ยเฟยถูกใส่ความว่าคิดการทรยศเข้าร่วมกับต้าเหลียง โดยพบจดหมายหนึ่งแผ่นที่มีตราประทับของจักรพรรดิต้าเหลียง แม้จดหมายนั้นไม่ได้เอ่ยถึงใคร แต่ตระกูลหลินก็ใช้อำนาจบีบให้ทั้งราชสำนักใส่ความนาง

            จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจในราชสำนักไม่น้อยในครั้งนั้นกลับนิ่งเฉย แม้เหรินชิงหยูจะขอรับโทษที่บุตรชายคนเล็กเมาแล้วสังหารนางโลม ด้วยการไม่เข้าไปก้าวก่ายงานราชกิจของฮ่องเต้ แต่หยางเฉิงยังมองว่า หากเขามอบตราอ๋องที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานไว้คุ้มภัยให้หวงกุ้ยเฟย มารดาของเขาก็คงไม่ต้องตายอย่างอนาถพร้อมบ่าวไพร่ในตำหนักนับร้อยชีวิต ถึงแม้ภายหลังฮูหยินซูจะขอร้อง จนบิดายอมมอบตรานั้นให้ ทว่ามันก็สายเกินไปแล้ว

            ลานหน้าเรือนใหญ่ตระกูลซู บ่าวไพร่ต่างจ้องมองสตรีสองนางที่คุกเข่าอยู่บนพื้นที่หนาวเหน็บ ลมหนาวต้นเหมันต์พัดอากาศเย็นยะเยือกต้องกายบอบบางของสตรี ซูอวี้หนิงจ้องมองมารดา ที่บัดนี้ใบหน้าขาวซีดจากการคุกเข่าขอร้องบิดามาหนึ่งวันหนึ่งคืน บวกกับลมเย็นที่พัดผ่าน ทำให้ซูเยว่หลิงจับไข้จนอาการหนักในเวลาไม่นาน

                “ท่านแม่ ลุกกลับเข้าเรือนให้ท่านหมอมาตรวจก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะไปขอร้องท่านพ่อเอง” น้ำเสียงอวี้หนิงสั่นเครือด้วยความกลัวว่ามารดาจะล้มป่วยไปอีกคน

                “ไม่ได้ แม่ต้องได้เห็นกับตาว่าท่านพ่อของเจ้ายอมเข้าวังช่วยเหลือตระกูลเหรินแล้ว” เสียงหญิงวัยกลางคนอ่อนแรงเต็มที จนอวี้หนิงนิ่งเฉยไม่ได้ รีบวิ่งไปที่ประตูเรือนตรงหน้า ก่อนจะเคาะเสียงดัง

                “ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ช่วยท่านตากับยายด้วยเถิดเจ้าค่ะ ท่านพ่อ!” หญิงสาวเคาะเรียกอยู่ชั่วครู่ ทว่าคนเปิดประตูกลับเป็นหลินซือเหยียน

                “หลินอี้เหนียงเป็นท่านได้อย่าง? ท่านพ่อเล่า?” อวี้หนิงจ้องมองคนหน้าประตู ก่อนจะชะโงกมองหาบิดาของตน

                “อวี้หนิง เจ้าพาแม่เจ้าไปรอส่งตระกูลเหรินที่ลานประหารไม่ดีกว่าหรือ? ท่านพี่ล้มป่วยกะทันหัน คงไม่อาจช่วยอะไรเจ้าได้” ซือเหยียนที่ปกติจะมีแต่ความอ่อนโยนต่อนาง ทว่าบัดนี้กลับหยิ่งทะนงไร้ความเมตตาเพียงชั่วข้ามคืน จนทำให้อวี้หนิงแปลกใจกับท่าทีของอนุของบิดานางนี้

                “จะป่วยได้อย่างไร? ข้าไม่เห็นท่านหมอมาเลยสักคน ท่านหลีกไป ข้าขอพบท่านพ่อ!” อวี้หนิงดึงดันจะเข้าไปในเรือน

                “เจ้ามาโวยวายอะไรแถวนี้!” เสียงตวาดด้านหลังทำให้อวี้หนิงหยุดชะงัก

                “ท่านย่า...”

                “ยังจำได้หรือว่าข้าเป็นย่า? เหตุใดไม่ทำตามที่ข้าสั่ง ดูแลมารดาเจ้าในเรือน ให้นางวิ่งออกมาคุกเข่าอ้อนวอนราวคนบ้าให้บ่าวไพร่หัวเราะเยาะทำไมกัน!” ฮูหยินเฒ่าซูตำหนิเสียงดัง ข้างกายมีซูเจินหยู น้องสาวต่างมารดาคอยประคองหญิงชราอยู่ ทว่าสายตาของดรุณีน้อยผู้นั้นกลับเต็มไปด้วยความสะใจ

                “ท่านย่า~ นั่นคือตระกูลของท่านแม่ การที่นางจะดิ้นรนให้คนทั้งตระกูลพ้นโทษ มันเป็นสิ่งที่สมควรไม่ใช่หรือ”

                “หุบปาก!” ซูซือเหลียงตวาดลั่น พร้อมกับฝ่ามือตบไปยังใบหน้างามของอวี้หนิง หญิงสาวตกตะลึงงันกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในความทรงจำของนาง ทั้งบิดาและท่านย่าต่างรักใคร่นางมิใช่หรือ? แม้แต่อนุคนอื่น ๆ ของบิดาก็ยังมีท่าทีนอบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้านางและมารดา เหตุใดครั้งนี้ แม้แต่ท่านย่าก็ยังตบหน้านางได้

                “หนิงเอ๋อร์!” เยว่หลิงที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เร่งฝีเท้าทั้งที่สองขายังปวดหนึบจากการคุกเข่าทั้งคืน ก่อนจะรีบ โผเข้าประคองตัวบุตรีเข้าไปกอดไว้

                “ไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น เป็นเจ้าที่รนหาเรื่องเอง” หญิงชราไม่คิดปลอบโยน ทว่ายังตำหนิซ้ำ เยว่หลิงมองใบหน้าเหี่ยวย่นของแม่สามีด้วยความขุ่นเคือง นางที่ไม่เคยคิดร้ายกับใคร ยอมเชื่อฟังสามีในทุกเรื่อง แม้เขาจะมีอนุมากมายเพียงใด ถึงนั่นจะทำให้นางเจ็บปวดทุกครั้ง แต่นางก็ไม่เคยห้าม แต่ตระกูลซูกลับตอบแทนความดีของนาง ด้วยการทำร้ายบุตรสาวเพียงคนเดียวของนาง

ที่จริงนางเริ่มสังเกตท่าทีที่แปลกไปของทุกคนในครอบครัว ตั้งแต่ช่วงที่บิดาของนาง จวิ้นอ๋อง ค่อย ๆ เสื่อมอำนาจ เพราะพี่ชายคนโตและหลานชายรบแพ้ต้าเหลียงอยู่หลายครั้ง สูญเสียไพร่พลเป็นอันมาก จนสุดท้ายน้องชายกลับถูกกล่าวหาว่าคิดกบฏร่วมกับต้าเหลียง จึงทำให้ต้าหยางรบแพ้หลายครั้ง และถูกตัดสินโทษประหาร ตระกูลซูก็ไม่เคยเห็นพวกนางสองแม่ลูกเป็นคนในครอบครัวอีก

                “นางเป็นหลานสาวที่ท่านชื่นชมที่สุดไม่ใช่หรือ? เหตุใดครั้งนี้เพื่อปกป้องมารดา ท่านแม่จึงลงมือกับนางได้” เยว่หลิงจ้องมองแม่สามีไม่วางตา

                “เหอะ! นางมีสายเลือดของโจรกบฏ มีค่าให้ข้ายกย่องหรือ!” น้ำเสียงเย้ยหยันของผู้เป็นย่าทำให้อวี้หนิงรู้ซึ้งแก่ใจ ที่แท้ตระกูลซูก็เพียงอยากพึ่งบารมีของจวิ้นอ๋องเท่านั้น

                “ไม่ใช่ตระกูลที่ท่านกล่าวหาว่าเป็นกบฏหรือ ที่ช่วยให้ตระกูลซู ตระกูลขุนนางต่ำต้อย ได้เป็นที่นับหน้าถือตาในฉางเล่อ” เยว่หลิงรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดในลำคอที่นางทนฝืนกลืนไว้ตลอดทั้งคืน

                “หุบปาก! ลูกสะใภ้อย่างเจ้ามีสิทธิ์ต่อว่าแม่สามีหรือ! ใครก็ได้ เอานางไปโบยยี่สิบไม้ฐานลบหลู่แม่สามี!” หญิงชรามีหรือจะใจกว้างยืนให้ลูกสะใภ้ตำหนิ ซ้ำนางยังไม่ชอบให้ผู้ใดมาว่านางมาจากตระกูลต่ำต้อย

            อวี้หนิงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน มารดาของนางร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว จะทนการโบยได้อย่างไร

                “ท่านย่า! ท่านแม่ร่างกายอ่อนแอ อย่าโบยเลยเจ้าค่ะ!” อวี้หนิงคุกเข่าขอร้องแทนมารดา โดยมีสองแม่ลูกยืนยิ้มด้วยความพอใจ

                “ช้าอยู่ทำไม! มาลากนางไป!” ซือเหลียงไร้ความเมตตา สะบัดเท้าที่หลานสาวเกาะกุมอ้อนวอนออกอย่างไร้ปรานี

            ไม่นานเสียงโบยก็ดังขึ้น สลับกับเสียงร้องไห้ของอวี้หนิงที่ถูกสาวใช้กุมตัวไว้แน่น นางทำได้เพียงจ้องมองมารดา ที่ราวกับแตกสลายไม่ร้องออกมาสักคำ ดวงตาของนางยังจ้องไปยังเรือนใหญ่ ที่จนแล้วจนรอดสามีที่นางรักสุดหัวใจกลับไม่โผล่ออกมาปกป้องนาง ปกป้องบุตรีสาว

            การโบยครบยี่สิบไม้จบลง เยว่หลิงหมดสติไปตั้งนานแล้ว อวี้หนิงที่ใจสลายจากท่าทีของครอบครัวที่นางรัก จนบัดนี้ไม่มีแม้แต่หยดน้ำตาที่จะไหลอาบแก้ม นางรีบไปประคองร่างมารดากลับเรือน

                “เสี่ยวเหม่ย ไปตามหมอ!” อวี้หนิงดวงตาแดงก่ำ ใช้น้ำอุ่นเช็ดร่างของมารดา พลางกำชับสาวใช้ข้างกายที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น

                “เจ้าค่ะ!” เสี่ยวเหม่ยรับคำก่อนวิ่งออกจากเรือนไป

            ไม่นาน เยว่หลิงก็สำลักออกมาเป็นเลือด ทั้งที่ดวงตายังปิดสนิท ทำให้ผู้ที่เป็นบุตรสาวอย่างอวี้หนิงต้องหลั่งน้ำตาอีกครั้ง

                “ท่านแม่! ท่านแม่!” มือเรียวสั่นเทารีบประคองมารดาขึ้น พลางลูบอกให้นางหวังช่วยทำให้มารดารู้สึกดีขึ้น

                “ท่านแม่~ อดทนไว้นะเจ้าคะ!” เสียงแหบแห้งเอ่ยปลอบมารดา ดวงตาคู่งามปวดหนึบจนจะทนไม่ไหว

                “หนิงเอ๋อร์! หนิงเอ๋อร์ของแม่...” สตรีที่ดวงตายังปิดสนิทพึมพำหาบุตรสาว

                “ข้าอยู่นี่! ข้าอยู่นี่ ท่านแม่!” นางพยายามกุมมือมารดาไว้ ก่อนที่เสียงนั้นจะค่อย ๆ เงียบหายไป พร้อมกับลมหายใจของมารดาที่หมดลง

                “ท่านแม่~ ท่านแม่!” เสียงร้องที่แตกสลายของหญิงสาวดังลั่นไปทั่วจวนซู ทว่ากลับไม่มีผู้ใดมาเหลียวแลความสูญเสียของนาง

            ตำหนักหานเยวี่ยถูกทำความสะอาดให้สามารถเข้าพักได้อีกครั้ง หยางเฉิงที่กลับเข้าตำหนักได้หนึ่งชั่วยามแล้ว ทว่าฝ่ายในยังไม่ส่งขันทีหรือนางกำนัลมารับใช้ ด้วยเห็นว่าเขาเป็นเพียงองค์ชายที่ถูกลืมก็เท่านั้น ในเวลาเดียวกัน ลมหนาวพัดผ่านหน้าต่างตำหนัก หยางเฉิงที่กำลังหลับเอาแรง จึงปรือตาตื่น

                “ส่งจดหมายถึงฮูหยินซูเรียบร้อยหรือไม่” เสียงเยือกเย็นเอ่ยถามองครักษ์ในมุมมืด

                “กระหม่อมไปถึงจวน กลับพบว่าฮูหยินซูสิ้นใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

                “ว่าอย่างไรนะ!” หยางเฉิงรีบยันกายขึ้นจากเตียงด้วยดวงตาเบิกกว้าง เสียงของเด็กน้อยที่เคยเรียกเขาว่า ‘ท่านพี่หยาง’ ดังขึ้นในหัวทันที

                “คุณหนูใหญ่เล่า?”

            “นางยังคงกอดร่างมารดาไว้ไม่ยอมปล่อยพ่ะย่ะค่ะ”

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทล่าสุด

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทพิเศษ

    หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 82 คัดค้านงานอภิเษก

    หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 81 รอคอย

    หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 80 ศึกนี้เพื่อฮูหยิน

    ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 79 คนที่ไม่ต้องการพบ

    หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง

  • ดรุณีกลางใจอ๋อง   บทที่ 78 เขาชิงหนิง

    เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ

บทอื่นๆ
สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status