เข้าสู่ระบบหยางเฉิงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากจ้าวหาน เขาไม่คาดคิดว่าตระกูลซูจะเลวทรามต่ำช้ามากถึงขนาดนี้ ถึงขั้นโบยฮูหยินของจวนราวกับบ่าวไพร่เพื่อเอาใจตระกูลอนุ
“ฝ่าบาทว่าอย่างไร” น้ำเสียงของเขายังคงนิ่งสงบ
“ฮ่องเต้ให้คนรวบรวมเหล่าขุนศึกในอดีตถวายฎีกาเว้นโทษประหารตระกูลเหริน โดยอ้างความชอบในอดีต และหลักฐานที่พบนั้นก็ไม่ได้มีตราของแคว้นต้าเหลียง ฮ่องเต้จึงถอดยศอ๋องและเนรเทศไปที่เมืองเหอเป่ยแทนพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทลงแรงเพื่ออาจารย์ของเขาไม่น้อย” หยางเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เขาหลับตาคล้ายกับว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่เกี่ยวอันใดกับตน
ไม่นานหลังจากนั้น นางกำนัลและขันทีก็ถูกฝ่ายในจัดหามาให้ ทว่าครั้งนี้ผู้ที่นำข้ารับใช้มาถวายถึงตำหนักกลับเป็นหลินฮัวเต๋อ ขุนนางขั้นสามกรมวัง
เจียงเฟิงทำหน้าที่รับคนจากฝ่ายใน มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าผู้มาเยือนมีจุดประสงค์แอบแฝง และบ่าวไพร่ที่ถูกส่งมาพวกนี้ก็ไม่เต็มใจ สายตาที่คนกลุ่มนี้มองเข้าไปยังโถงตำหนักเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในโถงตำหนัก บุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้ม สวมหมวกทรงสูง รองเท้าปักลายเมฆมงคล แม้องค์ชายรองผู้นี้จะสูงถึงหกฉื่อ ทว่าตอนนี้กลับวิ่งไล่จับแมวเหมือนกับเด็ก
“คารวะใต้เท้า”
เจียงเฟิงเอ่ยกับผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม แม้ก่อนมาที่เมืองหลวง องค์ชายรวมทั้งพวกตนจะจดจำใบหน้าของคนเลวจากภาพวาดของสายลับมาแล้ว ทว่าก็ไม่คิดทำตัวให้น่าสงสัย
หลินฮัวเต๋อมองขันทีหนุ่มรูปร่างผอมแห้ง คล้ายไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ก่อนเหยียดยิ้ม
“ข้าขุนนางขั้นสาม หลินฮัวเต๋อ มาเข้าเฝ้าองค์ชาย”
“ที่แท้ก็ใต้เท้าหลิน” เจียงเฟิงค้อมกายให้เขาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสริม
“เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปรายงานองค์ชายก่อน”
“ไม่ต้อง!”
หลินฮัวเต๋อเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนเดินเข้าตำหนักไป โดยไม่สนพิธีการของวังหลวง ด้วยคิดว่าตระกูลตนมีอำนาจเป็นรองเพียงฝ่าบาทเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เหนือการคาดเดาของขันทีหนุ่ม เขาหันไปมองเหล่าข้ารับใช้ที่ถูกส่งมา บัดนี้คนพวกนี้ยังมองไปที่องค์ชายด้วยสายตาไร้ความยำเกรง
“อยู่ตำหนักหานเยวี่ย ห้ามมอง ห้ามวิจารณ์องค์ชาย พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่” เจียงเฟิงส่งเสียงปรามกลุ่มนางกำนัลและขันที ทุกคนจึงรีบเก็บสีหน้าก่อนจะแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตน
ด้านหลินฮัวเต๋อที่เข้าตำหนักไป เห็นหยางเฉิงที่วิ่งไล่จับแมวอยู่ ก็ทำทีเดินไม่ระวังจนชนอีกฝ่ายอย่างแรง ชายหนุ่มล้มหน้าคะมำลงกับพื้น
“ขออภัยองค์ชาย กระหม่อมหลินฮัวเต๋อเดินไม่ระวังพ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนรีบกล่าวขอโทษ ทว่ากลับไม่คุกเข่าเช่นคนสำนึกผิด เขายังยืนอยู่และค้อมกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลี่หยางเฉิงเงยหน้ามองผู้มาใหม่ด้วยแววตาโมโหระคนเสียใจ ก่อนจะลุกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย
“ตาแก่! ท่านชนข้า ข้าเจ็บนะ” ร่างสูงย่ำเท้าไปมาอย่างไม่พอใจราวเด็กน้อย
เจียงเฟิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้ามาปลอบใจผู้เป็นนาย
“องค์ชาย สงบพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าหลินไม่มีเจตนา เดี๋ยวกระหม่อมให้คนยกขนมหวานมาให้ดีหรือไม่”
หยางเฉิงเมื่อได้ยินคำว่าขนมหวาน ก็หยุดโวยวาย หันมายิ้มให้เจียงเฟิง
“ข้าจะเอาสองจานได้หรือไม่”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มพยักหน้ารับ
หยางเฉิงพอใจกับคำตอบ จึงเลิกสนใจหลินฮัวเต๋อ แล้วกลับไปวิ่งเล่นไล่จับแมวต่อ ราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็วางใจ เขาถูกบิดากับน้องสาวส่งมาดูท่าทีโอรสของฮ่องเต้ผู้นี้ หากยังเป็นคนบ้าเสียสติก็แล้วไปเถอะ แต่หากคนผู้นี้กลับมาเป็นปกติเมื่อใด ย่อมต้องโดนกำจัดให้พ้นทาง
เจียงเฟิงเห็นผู้มาเยือนจ้ององค์ชายอยู่นานราวกับกำลังชั่งใจ จึงเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าหลินโปรดเข้าใจ องค์ชายมีสติปัญญาราวเด็ก จึงทำตัวเช่นนี้”
“อ้อ! เช่นนั้นเอง ข้าเพียงอยากมาถวายพระพร ด้วยแต่ก่อนก็คุ้นเคยกัน ข้าจึงเคารพองค์ชายอยู่มาก” หลินฮัวเต๋อเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหมุนตัวกลับไป โดยไม่ทูลลาเจ้าของตำหนักแม้ครึ่งคำ ขัดกับคำพูดเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว
หยางเฉิงที่เห็นว่าคนจากไปแล้ว จึงยืดตัวตรง ก่อนเดินกลับเข้าห้องบรรทม
“อาจารย์หานกลับมาหรือยัง”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าตรวจสอบกิจการตระกูลฟู่เสร็จจะไปสำรวจจวนด้วย”
“เช่นนั้นเจ้านำจดหมายส่งกลับเขาอู่ถงแทน บอกว่าจวิ้นอ๋องได้รับกรรมแล้ว แต่เพื่อเห็นแก่ความดีของฮูหยินซู ให้ท่านตาส่งคนคุ้มกันพวกเขาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฟิงหยุดคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม
“องค์ชายหลินฮัวเต๋อมามีจุดประสงค์อันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! คงมาดูว่าข้าเป็นบ้าจริงหรือไม่” หยางเฉิงแค่นเสียงเอ่ยอย่างเคียดแค้น เขารู้เจตนาของคนตระกูลหลินผู้นี้อยู่แล้ว เช่นนั้นจึงแสร้งล้มให้เจ็บตัวเพื่อตบตาอีกฝ่าย
รุ่งเช้าหยางเฉิงสวมอาภรณ์ตัวใหม่ที่ฝ่ายในจัดหาให้ เพียงเหลือบมองก็รู้ว่าราคาของชุดองค์ชายผืนใหม่ที่ถูกส่งมานั้นแพงกว่าเงินปีที่เขาได้รับจากราชสำนักทั้งปีเสียอีก บุรุษหนุ่มได้แต่เหยียดยิ้มให้กับท่าทางน่าสมเพชของตน ที่ต้องปั้นหน้าแสดงต่อคนของราชสำนักตลอดสิบสองปี ก่อนจะมานั่งที่เก้าอี้หลักในห้องโถงตำหนัก พร้อมกับแมวขาวตัวหนึ่ง
ตลอดหนึ่งวันที่กลับเข้าวัง ยังไม่มีเจ้านายคนใดเรียกหาเขา นั่นก็ทำให้เขาได้อยู่อย่างสงบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน
เพียงไม่นาน เจากงกงก็มายังตำหนักหานเยวี่ย ชายชราหยุดอยู่หน้าห้องโถง ดวงตาจ้องมองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีแดงเข้ม ปักด้วยดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บ สายคาดเอวประดับด้วยอัญมณีราคาแพง สวมหมวกทรงสูงดั่งองค์ชายในวังหลวง
แม้จะไม่แตกต่างจากองค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าขันทีเฒ่ามองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าฝ่ายในไม่ได้ใส่ใจการมาของเขา ดูจากอาภรณ์ที่หลวมไม่พอดีตัวอยู่มาก พลันดวงตาของขันทีเฒ่าแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือ
“องค์ชาย…” ชายชราประสานมือค้อมกายให้กับเขา
“เจียงเฟิง… นั่นผู้ใด” หยางเฉิงมีท่าทีหวาดกลัว รีบลุกขึ้นซ่อนตัวอยู่หลังขันทีข้างกาย สายตายังจ้องมองเจากงกงด้วยความระแวดระวัง
“องค์ชาย ขันทีผู้นี้คือเจากงกง ขันทีข้างกายของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เจากงกงไม่คิดร้ายต่อองค์ชาย” เจียงเฟิงประคององค์ชายให้มายืนด้านหน้าเช่นเดิม
หยางเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “ตะ… ตามสบาย”
เจากงกงเงยหน้ามองบุรุษเบื้องหน้า เมื่อก่อนเขาเป็นองค์ชายที่โดดเด่นเกินเหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ อายุเพียงสิบปี ทว่าเหล่าอาจารย์กลับยกย่องถึงความสามารถที่เหนือกว่าผู้ใด ส่วนด้านบู๊ หวงกุ้ยเฟยสอนองค์ชายตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทั่วราชสำนักต่างรับรู้ว่าองค์ชายรองโดดเด่นทั้งด้านบุ๋นบู๊ และได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้ยิ่งกว่าองค์ชายองค์อื่น ๆ คือว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต ทว่ากลับเกิดคดีกบฏต้าเหลียงเสียก่อน ทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้
“ทำไมองค์ชายถึงจำกระหม่อมไม่ได้เสียแล้ว~” เจากงกงเสียงสั่นเครือเอ่ยถามบุรุษตรงหน้าที่เอาแต่อุ้มแมวขาว ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจ
“เรียนกงกง องค์ชายจำได้เพียงฮ่องเต้ ทุกคนในวังหลวงล้วนถูกลืมจนสิ้น นี่ถือว่าดีมากแล้วที่พระองค์ไม่อาละวาด หมอหลิวจึงวางใจให้พระองค์เข้าเฝ้าขอรับ” เจียงเฟิงประสานมือบอกกับผู้อาวุโสกว่า
“เช่นนี้… จะไม่ถูกผู้อื่นดูแคลนหรือ” ขันทีเฒ่ามองโอรสของฮ่องเต้ด้วยแววตาสงสาร ทว่าผู้ที่ถูกมองกลับไม่ได้สนใจ ยังลูบแมวน้อยพร้อมกับพูดพึมพำเพียงลำพัง
“องค์ชาย กระหม่อมจะพาไปตำหนักเยว่ฮวา” เจากงกงผายมือเชิญเสด็จด้วยเสียงขมขื่น
“ไปสิ… ที่นั่นมีขนมหวานหรือไม่” หยางเฉิงราวเด็กสี่ขวบถามหาของกินด้วยดวงตากลมโต
เจากงกงหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนจะหันมามององค์ชายเบื้องหน้าอีกครั้ง
“เมื่อองค์ชายกราบไหว้พระมารดาเสร็จ กระหม่อมจะให้คนเตรียมให้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ๆ” หยางเฉิงใบหน้าเบิกบาน เอ่ยจบก็วางแมวลง แล้วเดินตามเจากงกงอย่างว่าง่าย
ประตูหน้าตำหนักเยว่ฮวาถูกปิดสนิท มีทหารยามไม่กี่นายเฝ้าตรวจตรา
หยางเฉิงกำหมัดแน่น ข่มอารมณ์ที่ตีบตันภายในไม่ให้แสดงออกมาดีที่เจากงกงเดินนำหน้าไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่ทหารจะเปิดตำหนัก เผยให้เห็นด้านในที่ยังอยู่ในสภาพเดิมเมื่อสิบสองปีก่อน เพียงแต่กลับดูเงียบเหงา โศกเศร้า เห็นแล้วน่าปวดใจ
ก่อนจะมีลมสายหนึ่งพัดผ่านร่างของหยางเฉิง ทำให้เขาหยุดเดินชั่วครู่
‘เสด็จแม่… ลูกกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ’ บุรุษหนุ่มได้แต่ตะโกนก้องบอกมารดาอยู่ภายในใจ
“องค์ชายหยุดเดินทำไมพ่ะย่ะค่ะ” เจากงกงที่เดินนำหน้ารู้สึกว่าคนเบื้องหลังหยุดชะงัก จึงหันกลับมา
“ทำไมที่นี่เงียบจนน่ากลัว เจียงเฟิง เรากลับกันเถอะ” หยางเฉิงยกสองมือลูบไหล่ตัวเอง ก่อนมีท่าทีสั่นกลัว หันไปพูดกับขันทีข้างกาย
“องค์ชาย ข้างในมีความทรงจำของพระองค์อยู่ เข้าไปกราบไหว้เพียงครู่เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เจากงกงที่เห็นองค์ชายมีท่าทีราวกับเด็ก พยายามพูดหว่านล้อม
“แต่ข้ากลัวนี่… ข้างในมีผีหรือไม่” หยางเฉิงทำตาโต จนเจากงกงนึกกลัวตามไปด้วย
“มะ… ไม่มีหรอกองค์ชาย กลางวันเช่นนี้ ภูตผีจะมีได้อย่างไร เข้าไปเพียงครู่ก็ได้ ฝ่าบาทจะได้สบายพระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อหรือ?” หยางเฉิงที่กำลังจะหันหลังกลับออกจากตำหนัก มีท่าทีลังเล
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อขององค์ชายเสด็จมาที่นี่ทุกวันตลอดสิบสองปี แม้แต่ทรงประชวรยังเสด็จมา”
เจากงกงจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีนิลขององค์ชายเบื้องหน้า หวังว่าเขาจะสามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นบิดาได้ ทว่าหยางเฉิงกลับเลือกที่จะไม่สนใจคำพูดนั้น
“ได้ ข้าจะเข้าไปกับเจียงเฟิงสองคน ท่านไปเอาขนมมาให้ข้ากินตามที่สัญญา”
จู่ ๆ องค์ชายก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พร้อมกับทวงขนมที่เคยสัญญาไว้เจากงกงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กำชับกัวเจียงเฟิง ก่อนจะรั้งรออยู่ด้านนอก หยางเฉิงก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปในตำหนักเยว่ฮวา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทรงจำ ภาพของมารดาปรากฏอยู่ทั่วภายในตำหนัก สีหน้าของบุรุษหนุ่มที่เคยเหมือนเด็กสี่ปี บัดนี้กลับเย็นชา นิ่งขรึม ดวงตาเยือกเย็น มีเพียงความเจ็บแค้นอยู่ภายใน ผ้าขาวบางประดับอยู่ทั่วโถงตำหนัก โต๊ะบูชาตั้งอยู่กลางตำหนัก ป้ายวิญญาณหนึ่งเดียวบนนั้นสลักคำว่า หวงกุ้ยเฟยฟู่หรงเยว่
กลิ่นกำยานที่มารดาโปรดปรานลอยอบอวลทั่วตำหนัก ทำให้บุรุษร่างสูงเช่นเขาหายใจไม่ออก ดวงตาที่เคยสงบนิ่งแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่สองขาแกร่งจะทรุดตัวคุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณ
“เสด็จแม่… ลูกกลับมาแล้ว” เสียงขมขื่นเอ่ยเบา ๆ ก่อนน้ำตาแห่งความเจ็บปวดจะไหลอาบแก้ม ผ่านมาสิบสองปี เขาพึ่งหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก
“พระองค์วางพระทัย แค้นของท่าน… ลูกจะจัดการให้เรียบร้อย เราสองแม่ลูกจะจากตระกูลนี้ไปอย่างไร้มลทิน” เขาคุกเข่าปักธูปไหว้ป้ายวิญญาณของมารดา ก่อนจะมองป้ายอยู่เนิ่นนาน เจียงเฟิงที่กลัวเจากงกงจะเข้ามาพบ จึงเอ่ยเตือนองค์ชายของตน หยางเฉิงปาดน้ำตาที่อาบแก้ม ระงับอารมณ์ให้คงเดิม ก่อนจะหันกายเดินกลับออกมา เมื่อก้าวพ้นธรณีห้องโถง สีหน้าราวเด็กน้อยก็กลับมาดั่งเดิม
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







