หยางเฉิงยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเตียง หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากจ้าวหาน เขาไม่คาดคิดว่าตระกูลซูจะเลวทรามต่ำช้ามากถึงขนาดนี้ ถึงขั้นโบยฮูหยินของจวนราวกับบ่าวไพร่เพื่อเอาใจตระกูลอนุ
“ฝ่าบาทว่าอย่างไร” น้ำเสียงของเขายังคงนิ่งสงบ
“ฮ่องเต้ให้คนรวบรวมเหล่าขุนศึกในอดีตถวายฎีกาเว้นโทษประหารตระกูลเหริน โดยอ้างความชอบในอดีต และหลักฐานที่พบนั้นก็ไม่ได้มีตราของแคว้นต้าเหลียง ฮ่องเต้จึงถอดยศอ๋องและเนรเทศไปที่เมืองเหอเป่ยแทนพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทลงแรงเพื่ออาจารย์ของเขาไม่น้อย” หยางเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เขาหลับตาคล้ายกับว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่เกี่ยวอันใดกับตน
ไม่นานหลังจากนั้น นางกำนัลและขันทีก็ถูกฝ่ายในจัดหามาให้ ทว่าครั้งนี้ผู้ที่นำข้ารับใช้มาถวายถึงตำหนักกลับเป็นหลินฮัวเต๋อ ขุนนางขั้นสามกรมวัง
เจียงเฟิงทำหน้าที่รับคนจากฝ่ายใน มองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าผู้มาเยือนมีจุดประสงค์แอบแฝง และบ่าวไพร่ที่ถูกส่งมาพวกนี้ก็ไม่เต็มใจ สายตาที่คนกลุ่มนี้มองเข้าไปยังโถงตำหนักเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในโถงตำหนัก บุรุษในชุดสีน้ำเงินเข้ม สวมหมวกทรงสูง รองเท้าปักลายเมฆมงคล แม้องค์ชายรองผู้นี้จะสูงถึงหกฉื่อ ทว่าตอนนี้กลับวิ่งไล่จับแมวเหมือนกับเด็ก
“คารวะใต้เท้า”
เจียงเฟิงเอ่ยกับผู้มาเยือนอย่างนอบน้อม แม้ก่อนมาที่เมืองหลวง องค์ชายรวมทั้งพวกตนจะจดจำใบหน้าของคนเลวจากภาพวาดของสายลับมาแล้ว ทว่าก็ไม่คิดทำตัวให้น่าสงสัย
หลินฮัวเต๋อมองขันทีหนุ่มรูปร่างผอมแห้ง คล้ายไม่ได้รับการดูแลอย่างดี ก่อนเหยียดยิ้ม
“ข้าขุนนางขั้นสาม หลินฮัวเต๋อ มาเข้าเฝ้าองค์ชาย”
“ที่แท้ก็ใต้เท้าหลิน” เจียงเฟิงค้อมกายให้เขาอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสริม
“เช่นนั้นให้ข้าน้อยไปรายงานองค์ชายก่อน”
“ไม่ต้อง!”
หลินฮัวเต๋อเอ่ยเสียงเข้ม ก่อนเดินเข้าตำหนักไป โดยไม่สนพิธีการของวังหลวง ด้วยคิดว่าตระกูลตนมีอำนาจเป็นรองเพียงฝ่าบาทเท่านั้น
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เหนือการคาดเดาของขันทีหนุ่ม เขาหันไปมองเหล่าข้ารับใช้ที่ถูกส่งมา บัดนี้คนพวกนี้ยังมองไปที่องค์ชายด้วยสายตาไร้ความยำเกรง
“อยู่ตำหนักหานเยวี่ย ห้ามมอง ห้ามวิจารณ์องค์ชาย พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่” เจียงเฟิงส่งเสียงปรามกลุ่มนางกำนัลและขันที ทุกคนจึงรีบเก็บสีหน้าก่อนจะแยกย้ายกันทำหน้าที่ของตน
ด้านหลินฮัวเต๋อที่เข้าตำหนักไป เห็นหยางเฉิงที่วิ่งไล่จับแมวอยู่ ก็ทำทีเดินไม่ระวังจนชนอีกฝ่ายอย่างแรง ชายหนุ่มล้มหน้าคะมำลงกับพื้น
“ขออภัยองค์ชาย กระหม่อมหลินฮัวเต๋อเดินไม่ระวังพ่ะย่ะค่ะ” ชายวัยกลางคนรีบกล่าวขอโทษ ทว่ากลับไม่คุกเข่าเช่นคนสำนึกผิด เขายังยืนอยู่และค้อมกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลี่หยางเฉิงเงยหน้ามองผู้มาใหม่ด้วยแววตาโมโหระคนเสียใจ ก่อนจะลุกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่าย
“ตาแก่! ท่านชนข้า ข้าเจ็บนะ” ร่างสูงย่ำเท้าไปมาอย่างไม่พอใจราวเด็กน้อย
เจียงเฟิงเห็นเช่นนั้นจึงรีบเข้ามาปลอบใจผู้เป็นนาย
“องค์ชาย สงบพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ ใต้เท้าหลินไม่มีเจตนา เดี๋ยวกระหม่อมให้คนยกขนมหวานมาให้ดีหรือไม่”
หยางเฉิงเมื่อได้ยินคำว่าขนมหวาน ก็หยุดโวยวาย หันมายิ้มให้เจียงเฟิง
“ข้าจะเอาสองจานได้หรือไม่”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มพยักหน้ารับ
หยางเฉิงพอใจกับคำตอบ จึงเลิกสนใจหลินฮัวเต๋อ แล้วกลับไปวิ่งเล่นไล่จับแมวต่อ ราวกับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
ชายวัยกลางคนเห็นเช่นนั้นก็วางใจ เขาถูกบิดากับน้องสาวส่งมาดูท่าทีโอรสของฮ่องเต้ผู้นี้ หากยังเป็นคนบ้าเสียสติก็แล้วไปเถอะ แต่หากคนผู้นี้กลับมาเป็นปกติเมื่อใด ย่อมต้องโดนกำจัดให้พ้นทาง
เจียงเฟิงเห็นผู้มาเยือนจ้ององค์ชายอยู่นานราวกับกำลังชั่งใจ จึงเอ่ยขึ้น
“ใต้เท้าหลินโปรดเข้าใจ องค์ชายมีสติปัญญาราวเด็ก จึงทำตัวเช่นนี้”
“อ้อ! เช่นนั้นเอง ข้าเพียงอยากมาถวายพระพร ด้วยแต่ก่อนก็คุ้นเคยกัน ข้าจึงเคารพองค์ชายอยู่มาก” หลินฮัวเต๋อเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหมุนตัวกลับไป โดยไม่ทูลลาเจ้าของตำหนักแม้ครึ่งคำ ขัดกับคำพูดเมื่อครู่ราวฟ้ากับเหว
หยางเฉิงที่เห็นว่าคนจากไปแล้ว จึงยืดตัวตรง ก่อนเดินกลับเข้าห้องบรรทม
“อาจารย์หานกลับมาหรือยัง”
“ยังพ่ะย่ะค่ะ เขาบอกว่าตรวจสอบกิจการตระกูลฟู่เสร็จจะไปสำรวจจวนด้วย”
“เช่นนั้นเจ้านำจดหมายส่งกลับเขาอู่ถงแทน บอกว่าจวิ้นอ๋องได้รับกรรมแล้ว แต่เพื่อเห็นแก่ความดีของฮูหยินซู ให้ท่านตาส่งคนคุ้มกันพวกเขาด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เจียงเฟิงหยุดคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยถาม
“องค์ชายหลินฮัวเต๋อมามีจุดประสงค์อันใดพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! คงมาดูว่าข้าเป็นบ้าจริงหรือไม่” หยางเฉิงแค่นเสียงเอ่ยอย่างเคียดแค้น เขารู้เจตนาของคนตระกูลหลินผู้นี้อยู่แล้ว เช่นนั้นจึงแสร้งล้มให้เจ็บตัวเพื่อตบตาอีกฝ่าย
รุ่งเช้าหยางเฉิงสวมอาภรณ์ตัวใหม่ที่ฝ่ายในจัดหาให้ เพียงเหลือบมองก็รู้ว่าราคาของชุดองค์ชายผืนใหม่ที่ถูกส่งมานั้นแพงกว่าเงินปีที่เขาได้รับจากราชสำนักทั้งปีเสียอีก บุรุษหนุ่มได้แต่เหยียดยิ้มให้กับท่าทางน่าสมเพชของตน ที่ต้องปั้นหน้าแสดงต่อคนของราชสำนักตลอดสิบสองปี ก่อนจะมานั่งที่เก้าอี้หลักในห้องโถงตำหนัก พร้อมกับแมวขาวตัวหนึ่ง
ตลอดหนึ่งวันที่กลับเข้าวัง ยังไม่มีเจ้านายคนใดเรียกหาเขา นั่นก็ทำให้เขาได้อยู่อย่างสงบเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งวัน
เพียงไม่นาน เจากงกงก็มายังตำหนักหานเยวี่ย ชายชราหยุดอยู่หน้าห้องโถง ดวงตาจ้องมองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามในอาภรณ์สีแดงเข้ม ปักด้วยดิ้นทองลายมังกรห้าเล็บ สายคาดเอวประดับด้วยอัญมณีราคาแพง สวมหมวกทรงสูงดั่งองค์ชายในวังหลวง
แม้จะไม่แตกต่างจากองค์ชายองค์อื่น ๆ ทว่าขันทีเฒ่ามองเพียงครั้งเดียวก็รู้ว่าฝ่ายในไม่ได้ใส่ใจการมาของเขา ดูจากอาภรณ์ที่หลวมไม่พอดีตัวอยู่มาก พลันดวงตาของขันทีเฒ่าแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือ
“องค์ชาย…” ชายชราประสานมือค้อมกายให้กับเขา
“เจียงเฟิง… นั่นผู้ใด” หยางเฉิงมีท่าทีหวาดกลัว รีบลุกขึ้นซ่อนตัวอยู่หลังขันทีข้างกาย สายตายังจ้องมองเจากงกงด้วยความระแวดระวัง
“องค์ชาย ขันทีผู้นี้คือเจากงกง ขันทีข้างกายของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เจากงกงไม่คิดร้ายต่อองค์ชาย” เจียงเฟิงประคององค์ชายให้มายืนด้านหน้าเช่นเดิม
หยางเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย “ตะ… ตามสบาย”
เจากงกงเงยหน้ามองบุรุษเบื้องหน้า เมื่อก่อนเขาเป็นองค์ชายที่โดดเด่นเกินเหล่าองค์ชายคนอื่น ๆ อายุเพียงสิบปี ทว่าเหล่าอาจารย์กลับยกย่องถึงความสามารถที่เหนือกว่าผู้ใด ส่วนด้านบู๊ หวงกุ้ยเฟยสอนองค์ชายตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ทั่วราชสำนักต่างรับรู้ว่าองค์ชายรองโดดเด่นทั้งด้านบุ๋นบู๊ และได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้ยิ่งกว่าองค์ชายองค์อื่น ๆ คือว่าที่ฮ่องเต้ในอนาคต ทว่ากลับเกิดคดีกบฏต้าเหลียงเสียก่อน ทุกอย่างจึงกลับตาลปัตรเป็นดั่งเช่นทุกวันนี้
“ทำไมองค์ชายถึงจำกระหม่อมไม่ได้เสียแล้ว~” เจากงกงเสียงสั่นเครือเอ่ยถามบุรุษตรงหน้าที่เอาแต่อุ้มแมวขาว ก้มหน้าก้มตาไม่สนใจ
“เรียนกงกง องค์ชายจำได้เพียงฮ่องเต้ ทุกคนในวังหลวงล้วนถูกลืมจนสิ้น นี่ถือว่าดีมากแล้วที่พระองค์ไม่อาละวาด หมอหลิวจึงวางใจให้พระองค์เข้าเฝ้าขอรับ” เจียงเฟิงประสานมือบอกกับผู้อาวุโสกว่า
“เช่นนี้… จะไม่ถูกผู้อื่นดูแคลนหรือ” ขันทีเฒ่ามองโอรสของฮ่องเต้ด้วยแววตาสงสาร ทว่าผู้ที่ถูกมองกลับไม่ได้สนใจ ยังลูบแมวน้อยพร้อมกับพูดพึมพำเพียงลำพัง
“องค์ชาย กระหม่อมจะพาไปตำหนักเยว่ฮวา” เจากงกงผายมือเชิญเสด็จด้วยเสียงขมขื่น
“ไปสิ… ที่นั่นมีขนมหวานหรือไม่” หยางเฉิงราวเด็กสี่ขวบถามหาของกินด้วยดวงตากลมโต
เจากงกงหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนจะหันมามององค์ชายเบื้องหน้าอีกครั้ง
“เมื่อองค์ชายกราบไหว้พระมารดาเสร็จ กระหม่อมจะให้คนเตรียมให้ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ๆ” หยางเฉิงใบหน้าเบิกบาน เอ่ยจบก็วางแมวลง แล้วเดินตามเจากงกงอย่างว่าง่าย
ประตูหน้าตำหนักเยว่ฮวาถูกปิดสนิท มีทหารยามไม่กี่นายเฝ้าตรวจตรา
หยางเฉิงกำหมัดแน่น ข่มอารมณ์ที่ตีบตันภายในไม่ให้แสดงออกมาดีที่เจากงกงเดินนำหน้าไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่ทหารจะเปิดตำหนัก เผยให้เห็นด้านในที่ยังอยู่ในสภาพเดิมเมื่อสิบสองปีก่อน เพียงแต่กลับดูเงียบเหงา โศกเศร้า เห็นแล้วน่าปวดใจ
ก่อนจะมีลมสายหนึ่งพัดผ่านร่างของหยางเฉิง ทำให้เขาหยุดเดินชั่วครู่
‘เสด็จแม่… ลูกกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ’ บุรุษหนุ่มได้แต่ตะโกนก้องบอกมารดาอยู่ภายในใจ
“องค์ชายหยุดเดินทำไมพ่ะย่ะค่ะ” เจากงกงที่เดินนำหน้ารู้สึกว่าคนเบื้องหลังหยุดชะงัก จึงหันกลับมา
“ทำไมที่นี่เงียบจนน่ากลัว เจียงเฟิง เรากลับกันเถอะ” หยางเฉิงยกสองมือลูบไหล่ตัวเอง ก่อนมีท่าทีสั่นกลัว หันไปพูดกับขันทีข้างกาย
“องค์ชาย ข้างในมีความทรงจำของพระองค์อยู่ เข้าไปกราบไหว้เพียงครู่เถอะพ่ะย่ะค่ะ”
เจากงกงที่เห็นองค์ชายมีท่าทีราวกับเด็ก พยายามพูดหว่านล้อม
“แต่ข้ากลัวนี่… ข้างในมีผีหรือไม่” หยางเฉิงทำตาโต จนเจากงกงนึกกลัวตามไปด้วย
“มะ… ไม่มีหรอกองค์ชาย กลางวันเช่นนี้ ภูตผีจะมีได้อย่างไร เข้าไปเพียงครู่ก็ได้ ฝ่าบาทจะได้สบายพระทัยนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จพ่อหรือ?” หยางเฉิงที่กำลังจะหันหลังกลับออกจากตำหนัก มีท่าทีลังเล
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อขององค์ชายเสด็จมาที่นี่ทุกวันตลอดสิบสองปี แม้แต่ทรงประชวรยังเสด็จมา”
เจากงกงจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีนิลขององค์ชายเบื้องหน้า หวังว่าเขาจะสามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้เป็นบิดาได้ ทว่าหยางเฉิงกลับเลือกที่จะไม่สนใจคำพูดนั้น
“ได้ ข้าจะเข้าไปกับเจียงเฟิงสองคน ท่านไปเอาขนมมาให้ข้ากินตามที่สัญญา”
จู่ ๆ องค์ชายก็มีท่าทีเปลี่ยนไป พร้อมกับทวงขนมที่เคยสัญญาไว้เจากงกงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กำชับกัวเจียงเฟิง ก่อนจะรั้งรออยู่ด้านนอก หยางเฉิงก้าวอย่างมั่นคงเข้าไปในตำหนักเยว่ฮวา ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความทรงจำ ภาพของมารดาปรากฏอยู่ทั่วภายในตำหนัก สีหน้าของบุรุษหนุ่มที่เคยเหมือนเด็กสี่ปี บัดนี้กลับเย็นชา นิ่งขรึม ดวงตาเยือกเย็น มีเพียงความเจ็บแค้นอยู่ภายใน ผ้าขาวบางประดับอยู่ทั่วโถงตำหนัก โต๊ะบูชาตั้งอยู่กลางตำหนัก ป้ายวิญญาณหนึ่งเดียวบนนั้นสลักคำว่า หวงกุ้ยเฟยฟู่หรงเยว่
กลิ่นกำยานที่มารดาโปรดปรานลอยอบอวลทั่วตำหนัก ทำให้บุรุษร่างสูงเช่นเขาหายใจไม่ออก ดวงตาที่เคยสงบนิ่งแดงก่ำด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่สองขาแกร่งจะทรุดตัวคุกเข่าหน้าป้ายวิญญาณ
“เสด็จแม่… ลูกกลับมาแล้ว” เสียงขมขื่นเอ่ยเบา ๆ ก่อนน้ำตาแห่งความเจ็บปวดจะไหลอาบแก้ม ผ่านมาสิบสองปี เขาพึ่งหลั่งน้ำตาเป็นครั้งแรก
“พระองค์วางพระทัย แค้นของท่าน… ลูกจะจัดการให้เรียบร้อย เราสองแม่ลูกจะจากตระกูลนี้ไปอย่างไร้มลทิน” เขาคุกเข่าปักธูปไหว้ป้ายวิญญาณของมารดา ก่อนจะมองป้ายอยู่เนิ่นนาน เจียงเฟิงที่กลัวเจากงกงจะเข้ามาพบ จึงเอ่ยเตือนองค์ชายของตน หยางเฉิงปาดน้ำตาที่อาบแก้ม ระงับอารมณ์ให้คงเดิม ก่อนจะหันกายเดินกลับออกมา เมื่อก้าวพ้นธรณีห้องโถง สีหน้าราวเด็กน้อยก็กลับมาดั่งเดิม
หน้าห้องพักของเหล่าเจ้านายตระกูลเหริน ทหารคุ้มกันแน่นหนา แม้รู้ว่าคนตระกูลเหรินไม่มีทางหนีอาญาแผ่นดิน ทว่าทหารกลุ่มนี้กลับถูกส่งมาคุ้มกันนักโทษจากการถูกลอบสังหารมากกว่า หยางเฉิงหยุดอยู่หน้าประตู ทหารหน้าห้องประสานมือค้อมกายก่อนถอยห่างออกจากประตูหลายก้าว เหล่าเจ้านายตระกูลเหรินต่างแปลกใจเมื่อเห็นบุรุษในชุดคลุมสีนิลปิดบังหน้าตาเดินเข้ามาด้านใน “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของชายชราฟังดูน่าเกรงขาม สมกับเป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้าหยาง “คนผู้หนึ่งที่เคยชื่นชมความเที่ยงธรรมของท่าน” หยางเฉิงเอ่ย พลางวางมีดสั้นลงบนโต๊ะกลม ฝักของมันเป็นลายพยัคฆ์ สลักคำว่า ‘เหริน’ อย่างชัดเจน เหรินซิงหยูตกตะลึงเมื่อเห็นมีดสั้นเล่มนั้นอีกครั้ง ชายชราจำได้ดี มีดสั้นเล่มนี้คือสิ่งที่ติดกายเขาตั้งแต่ออกรบครั้งแรก จนกระทั่งการรบครั้งสุดท้าย ก่อนจะมอบมันให้กับโอรสของฮ่องเต้ ผู้ที่เคยบอกเขาว่าในภายภาคหน้าจะปกป้องราษฎรเช่นปกป้องคนในครอบครัว ซิงหยูแม้ยังถูกโซ่ล่ามขาทั้งสองข้าง รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะประสานมือต่อหน้าบุรุษผู้มาเยือน ทำให้ทั้ง
อวี้หนิงก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม สายตาของนางหยุดลงที่บุรุษในชุดคลุมสีดำ ถึงแม้บัดนี้จะอยู่ภายในอาคาร ทว่าเขายังไม่ยอมถอดผ้าปิดหน้าออก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตน ข้างกายยังมีบุรุษที่มีผ้าปิดหน้านั่งอยู่ด้วยอีกสองคน ก่อนที่เขาจะปรายตามองนางครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดคุยกับสหายร่วมโต๊ะอีกสองคนเช่นเดิม อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะของผู้คุมนักโทษที่เข้ามาดื่มน้ำชาหลบหิมะ ทิ้งให้เหล่านักโทษทนหนาวอยู่ภายนอกอย่างไร้ปราณี นางกวาดสายตามองรอบโถงโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่มีแขกเข้ามาพักดื่มชา อาจจะเป็นเพราะอากาศข้างนอกที่เลวร้าย ไม่อาจสัญจรไปมาได้ แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอวี้หนิง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังเถ้าแก่ที่กำลังตรวจนับบัญชีอยู่ “เถ้าแก่ ข้าอยากได้ห้องพักหลายห้องหน่อย จะได้หรือไม่” ชายวัยกลางคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจากบัญชีของร้านที่กำไรลดน้อยลงทุกเดือน ยิ้มกว้างในทันที “ได้ ๆ คุณหนูจะพักเลยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์พาขึ้นไป” เถ้าแก่ร้านเอ่ยพลางมองหากลุ่มคนที่จะเข้าพัก ทว่ากลับไม่พบใครนอกจากสตรีตรงหน้าเพี
รุ่งเช้า หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง อวี้หนิงหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่าง ดวงตาที่จดจ้องไปตามเส้นทางของตำหนักอ๋องตลอดทั้งคืนแดงก่ำด้วยความสิ้นหวัง “เสี่ยวเหม่ย อาหารพวกนี้เย็นหมดแล้ว เจ้าเร่งไปที่ครัวอุ่นอาหารสักหน่อยเถิด” เสียงอ่อนแรงเอ่ยกับสาวใช้ที่เพิ่งปรือตาตื่น “คุณหนู แต่ว่าท่านอ๋อง...” “ข้าจะไปขอพบท่านตาเอง” “แล้วทหารจะให้พบหรือเจ้าคะ” “เมื่อขบวนนักโทษออกจากเมืองแล้ว บางทีการใช้ตำลึงมากหน่อยอาจทำให้ทหารพวกนั้นยอมผ่อนปรนสักครู่ก็ได้” แม้ไม่แน่ใจในความคิดนี้นัก แต่อวี้หนิงก็อยากลองดูสักครั้ง นางมิอาจปล่อยให้สองผู้เฒ่าตระกูลเหรินต้องตกระกำลำบากโดยที่ตัวเองนิ่งดูดายได้ “เช่นนั้นข้าจะรีบไปอุ่นอาหาร คุณหนูรอครู่เดียวนะเจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายที่อยู่กับนางตั้งแต่เล็กทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย อวี้หนิงยังคงนั่งรอเยว่ซิงด้วยความหวังว่าเขายังจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไร้วี่แววคนของจวนฉู่อ๋อง หญิงสาวจึงทำได้เพียงตรงไปดักรอขบวนนักโทษนอกประตูเมืองแท
“ข้านึกว่าเจ้าอยากแต่งกับลูกสาวบัณฑิตเว่ยเสียอีก” ฮ่องเต้นึกถึงเมื่อสิบสองปีก่อน โอรสของเขามักฝากสิ่งของกับเว่ยจิ้นหงผู้เป็นอาจารย์สอนตำราไปให้เว่ยซินเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง จนเขาเตรียมราชโองการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ประกาศออกไป กลับมีเรื่องของหรงเยว่เกิดขึ้นเสียก่อน หยางเฉิงนิ่งงันเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยถึงสตรีอันเป็นที่รัก แววตาเย็นชาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดั่งเดิม “นางหมั้นหมายแล้ว คุณชายใหญ่จวนแม่ทัพมู่ก็องอาจ สง่าผ่าเผย ไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปทำลายพวกเขา” “เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้าก็เพื่อทำลาย?” “พ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงตอบคำถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ คล้ายกับการแต่งงานไม่ได้มีผลอันใดกับเขาแม้แต่น้อย “หลานสาวเจ้ากรมคลังมีถึงสองคน เจ้าหวังคนใดเล่า?” ฮ่องเต้เพิ่งนึกได้ว่าโอรสเบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยถึงชื่อนางสตรีที่ต้องการอภิเษกเสียด้วยซ้ำ “คนใดก็สุดแล้วแต่เจ้ากรมคลังจะเสียสละเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมต้องการไม่ใช่ตั
ไม่นานเสียงดังเอะอะจากภายนอกก็ดังขึ้น จนดึงความสนใจของหญิงสาวในชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ อวี้หนิงลุกขึ้นจากพื้นเดินออกไปดูเหตุการณ์ภายนอก ทว่ายังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องโถงก็พบเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยเสียก่อน ดวงตางามที่ยังแดงก่ำทว่าไร้หยดน้ำตา บัดนี้เอ่อล้นด้วยคลื่นน้ำอุ่นอีกครั้ง นางมองบุรุษเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตา ใบหน้านั้นยังคงมีความอ่อนโยนให้นางเช่นเคย “หนิงเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความสั่นเครือดังขึ้น “ฉู่อ๋อง” นางยอบกายเรียกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยห่างจากเขาเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิง ทว่าข้อมือของนางกลับถูกมือหนารั้งเข้าหา การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงอวี้หนิง แม้แต่รองเจ้ากรมโยธาอย่างซูจิ้งซวนและหลินซือเหยียนก็ยังตกตะลึงกับท่าทีเช่นนี้ หากแต่มีหรือที่หลี่เยว่ซิงจะสนใจ “เวลาเช่นนี้ยังจะสนใจธรรมเนียมอีก” บุรุษตัวสูงเอ่ยตำหนินางเสียงดัง ทว่าดวงตากลับเจือไปด้วยความห่วงใย อวี้หนิงนิ่งเงียบ นางยังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย นางเกรงว่าความอ่อนแอนี้ยิ่งจะทำให้เขาเป็นกังวล หลินซือเหยียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลี่เยว่ซิงก็รีบเอ
หยางเฉิงเดินออกมาก็พบกับเจากงกงที่ยืนถือจานขนมหวานอยู่ “ขนมหวานของข้า” บุรุษหนุ่มมีท่าทีราวเด็กน้อยได้ของที่ชื่นชอบ มือหนาคว้าจานขนมกุ้ยฮวายัดข้าปากคำโต พลางยื่นหนึ่งชิ้นให้กับขันทีเบื้องหน้า “ให้ท่านชิ้นหนึ่ง” เศษขนมจากปากกระเด็นออกมาตามจังหวะการพูด ยิ่งทำให้เขาเหมือนกับเด็กเล็กไม่ผิดเพี้ยน “องค์ชายเสวยเถอะ กระหม่อมไม่หิว” ขันทีเฒ่ายิ้มเจื่อน พลางผลักมือเขากลับคืน ก่อนเอ่ยต่อ “ฮ่องเต้ต้องการพบองค์ชายที่ท้องพระโรง เชิญเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงไม่ได้ตอบอะไรเพียงยัดขนมชิ้นต่อไปเข้าปาก แล้วพยักหน้าเต็มแรงเดินตามเจากงกงอย่างว่าง่าย ก่อนจะถึงท้องพระโรงหยางเฉิงจึงหันมาเอ่ยกับเจียงเฟิงเสียงเบา “หากข้าทำทีสำลัก รีบใช้มือทุบหลังข้า” “อย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเฟิงแปลกใจกับคำสั่งของผู้เป็นนาย ทว่าหยางเฉิงกลับไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขากลับไปทำท่าทีเป็นเด็กมองไปรอบ ๆ พร้อมกลับชี้ถามเจากงกงไปเรื่อย ภายในท้องพระโรงขุนนางใหญ่ต่างเข้าร่วมว่าราชกิจ ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้นั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรว่างเปล