แคว้นต้าหยาง รัชสมัยหลงเต๋อปีที่แปด ยามเว่ยที่ท้องฟ้าควรทอประกายด้วยแสงแห่งรุ่งอรุณ บัดนี้กลับมีเมฆครึ้ม สีดำทะมึนแผ่ปกคลุมทั่วหล้า สายลมเย็นยะเยือกพัดโหมกระหน่ำราวสวรรค์พิโรธ กวาดเอาใบไม้แห้งปลิวว่อนราวกับวิญญาณแค้นทวงความเป็นธรรม เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้อง เสมือนเสียงโกรธเกรี้ยวของสวรรค์ ตามมาด้วยอัสนีบาตที่ฉายแสงสว่างวูบไหวไปทั่วทั้งฟ้า เหล่าขันทีนางกำนัลต่างหาชายคาหลบซ่อนความพิโรธจากสวรรค์ มีเพียงองค์ชายรองหลี่หยางเฉิง วัยสิบปีที่ยังคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเฉวียนชิง ดวงตาสิ้นหวังยังจ้องมองไปยังประตูพระตำหนักไม่ละไปไหน
“องค์ชาย~ ลุกขึ้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ทรงประชวร เหล่าบ่าวไพร่ทั้งตำหนักต้องเดือดร้อนแน่” เจากงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ พยายามหว่านล้อมให้องค์ชายยอมถอยด้วยความจนใจ
“เสด็จพ่อ! เสด็จแม่ถูกใส่ความ โปรดไต่สวนใหม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงไม่สนใจเจากงกง ยังคงร้องอ้อนวอนฮ่องเต้ที่อยู่ในตำหนัก เสียงหน้าผากที่กระทบพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าทำขันทีเฒ่าสุดจะเวทนา
“องค์ชายหยุดเถอะพ่ะย่ะค่ะ พระโลหิตไหลมากแล้ว” ขันทีน้อยนั่งร้องห่มร้องไห้ห้ามผู้เป็นนายท่ามกลางสายฝน
“เสด็จพ่อทรงเมตตาด้วย เสด็จพ่อทรงเมตตาด้วย”
หยางเฉิงไม่สนใจเสียงรอบข้าง เสียงเดียวที่เขาอยากได้ยินในตอนนี้คือเสียงของเจ้าของตำหนักเฉวียนชิง ไม่นานเจ้ากรมอาญาก็อัญเชิญราชโองการออกมา ดวงตาของขุนนางวัยชราจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยังคุกเข่า แววตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ หยางเฉิงเงยหน้ามองขุนนางตรงหน้า แววตาที่เขาเห็นนั้นคาดเดาได้ไม่ยากว่าไม่ใช่ข่าวดี
“ราชโองการฮ่องเต้ หวงกุ้ยเฟยแซ่ฟู่ นามหรงเยว่ คิดการกบฏ สืบข่าวต้าหยางให้แคว้นต้าเหลียง หวงกุ้ยเฟยละอายใจ รับสารภาพ ด้วยความดีเก่าก่อนร่วมปราบกบฏ ละเว้นการประหาร ทรงพระราชทานเหล้าหนึ่งจอกเป็นรางวัล ขันทีนางกำนัลประทานผ้าขาวคนละหนึ่งผืน”
สิ้นเสียงประกาศ อัสนีบาตก็พาดผ่านท้องฟ้าเสียงดังลั่น ดวงตาของหยางเฉิงเบิกกว้าง ก่อนจะรีบวิ่งไปยังตำหนักเยว่ฮวา ในเวลาเช่นนี้ เด็กหนุ่มเช่นเขาคุกเข่าอ้อนวอนผู้คนมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดยอมยื่นมือเข้าช่วย แม้ทุกคนรู้อยู่เต็มอกว่ามารดาของเขาถูกใส่ความ แต่ทุกคนพร้อมที่จะเห็นนางต้องสิ้นใจ
ตำหนักเยว่ฮวาเกิดโกลาหลครั้งใหญ่ เหล่าขันทีนางกำนัลวิ่งหนีตายเอาตัวรอด บ้างก็รับผ้าขาวเดินเข้าห้องแต่โดยดี ประตูตำหนักเปิดอยู่เบื้องหน้า ทว่าทหารมากมายกลับขวางไม่ให้องค์ชายรองเช่นเขาได้ก้าวผ่าน
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้านะ เสด็จแม่! เสด็จแม่!” น้ำตาบุรุษไหลอาบแก้ม องค์ชายรองที่เคยเข้มแข็งองอาจมาตั้งแต่วัยเยาว์ นี่คือครั้งแรกที่เหล่าข้าราชบริพารได้เห็นน้ำพระเนตรของบุรุษวัยเยาว์ผู้นี้
“ปล่อยข้า!”
แม้จะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่พละกำลังไม่อาจเทียบเท่าทหารหลายสิบคนได้ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปในห้องบรรทมของมารดาที่ถูกปิดสนิท ในวาระสุดท้ายของชีวิตพระนาง โอรสเช่นเขาไม่ได้เอ่ยลา ไม่ได้อยู่ส่งเสด็จเสียด้วยซ้ำ เพียงไม่นาน เสียงร้องห่มร้องไห้จากในตำหนักก็ดังขึ้น พร้อมกับหัวใจของหยางเฉิงที่แหลกสลาย
“เสด็จแม่!!”
เสียงตะโกนลั่นสุดกำลังในครั้งนี้ไม่ได้ถูกขวางโดยเหล่าทหาร หยางเฉิงในวัยเยาว์วิ่งถลาเข้าไปยังห้องบรรทม บัดนี้ร่างของมารดานอนแน่นิ่งอยู่บนแท่นบรรทม หรงเยว่ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์เช่นบุรุษ ดั่งชุดแรกที่นางได้พบกับฮ่องเต้ ในมือยังกุมปิ่นหยกที่เขามอบให้นางในวันที่ขอให้นางมาเป็นคู่ชีวิต เหล่านางกำนัลข้างกายของหรงเยว่ถูกทหารลากออกไปจนหมด หลังจากที่พวกนางทำหน้าที่ส่งเสด็จหวงกุ้ยเฟยเป็นครั้งสุดท้าย
“เสด็จแม่ฟื้นสิพ่ะย่ะค่ะ~ ไหนท่านเคยสัญญากับลูกไว้ว่าวันเกิดลูกปีนี้ ท่านจะพาข้ากลับไปหาท่านตา กลับไปบ้านเกิดที่เขาอู่ถง ท่านฟื้นสิ!” น้ำตาบุรุษที่หลั่งไหล แม้เป็นเพียงเด็กทว่าก็บ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวด เพียงไม่นานก้อนโลหิตกลางอกก็ไหลจุกที่ลำคอ ก่อนที่หยางเฉิงจะกระอักเลือดออกมา
“องค์ชาย! องค์ชาย!” กัวเจียงเฟิง ขันทีน้อยข้างกายลนลานเข้ามาประคองก่อนที่ดวงตาของหยางเฉิงจะค่อย ๆ ปิดลง
สามวันนับจากการจากไปของหวงกุ้ยเฟย
ภายในตำหนักหานเยวี่ย บุรุษในชุดคลุมมังกรยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงโอรส สายพระเนตรเจือไปด้วยความห่วงใย ดั่งที่ไม่เคยมีให้ผู้ใดมาก่อน ยกเว้นหรงเยว่ ยังทอดมองหยางเฉิงไม่วางตา
“หรงเอ๋อร์ ข้าผิดสัญญาต่อเจ้าแล้ว… เพียงแค่เจ้าสิ้นใจ หยางเฉิงก็สิ้นสติ ไม่ฟื้นตื่น”
ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้ตรัสพึมพำเพียงลำพัง มีเพียงเจากงกงเท่านั้นที่รู้ว่า เหตุใดฮ่องเต้ถึงยอมสั่งประหารพระชายาที่รักสุดหัวใจ
“ฝ่าบาท ถึงเวลาว่าราชการเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจากงกงทูลเสียงเบา
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าคนพวกนั้น… คนที่บีบบังคับให้ข้าต้องปล่อยหรงเยว่ไป ครานี้ก็คงจะบีบให้ข้าละทิ้งหยางเฉิงเป็นแน่” น้ำเสียงของฮ่องเต้แฝงความเจ็บแค้นไม่น้อย แม้จะตรัสเช่นนั้น แต่ฐานะฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหยาง ก็ยังต้องเสด็จว่าราชการเช่นเดิม
ไม่นาน หยางเฉิงก็ค่อย ๆ ปรือตาตื่นจากหลับใหลนับสามวัน หมอหลวงรีบเข้ามาตรวจพระอาการอย่างเร่งด่วน
“เสด็จแม่ข้าเล่า?”
เหล่าหมอหลวงต่างหยุดชะงักเมื่อไม่อาจตอบคำถามขององค์ชายได้
“องค์ชายทรงหลับไปสามวัน พระศพของหวงกุ้ยเฟยถูกฝังที่สุสานหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลิว หัวหน้าหมอหลวง กล่าวบอกความจริงกับองค์ชายรอง
หยางเฉิงนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นจนเหล่าหมอหลวงตกใจ ทว่าหมอหลวงหลิวกลับยืนนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาสีนิลของหยางเฉิงเต็มไปด้วยความรู้สึกแตกสลาย น้ำตาที่ควรจะพรั่งพรู กลับแห้งเหือดจนผิดปกติ
“ท่านหมอหลิว ดูจากพระอาการแล้ว ข้าว่าองค์ชายคงป่วยด้วยโรคทางใจ หากปล่อยไปเช่นนี้ เกรงว่า...” หนึ่งในหมอหลวงไม่กล้าเอ่ยต่อ
“เกรงว่าองค์ชายรองคงจะกลายเป็นคนบ้าแล้ว” หมอหลวงอีกคนกล่าวเสียงเบา
เสียงหัวเราะ พร้อมเสียงเรียกหามารดาไม่ขาดปากของหยางเฉิง ดังทั่วตำหนักอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะสงบลงด้วยฤทธิ์ยาสงบใจของหมอหลวง ฮ่องเต้ได้แต่จ้องมองโอรสด้วยความปวดใจ
“หมอหลิว ลูกข้าเป็นอันใดกันแน่” บัดนี้ในห้องบรรทมหยางเฉิง เหลือเพียงฮ่องเต้ และหมอหลวงหลิวเท่านั้น
“เกรงว่าองค์ชายรองจะทรงป่วยเพราะใจสลาย หากจิตใจไม่เข้มแข็ง เกรงว่าพระองค์จะต้องกลายเป็นคนบ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างไรเจ้าก็ต้องรักษาลูกข้าให้หาย เขาคือสิ่งเดียวที่หรงเยว่เหลือไว้ให้ข้า” ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้กำพระหัตถ์แน่น
“พระองค์ไม่คิดว่านี่จะดีกับองค์ชายรองหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ… เป็นคนบ้า อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องถูกคนพวกนั้นคิดสังหารอีก” หลิวซื่ออัน ผู้เป็นคนจากเขาอู่ถงเช่นเดียวกับฟู่หรงเยว่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ด้วยเขาเองก็ห่วงใยโอรสองค์นี้ของฮ่องเต้ ยิ่งกว่าโอรสองค์อื่น ๆ
“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หรงเยว่ต้องการ” ฮ่องเต้หันไปจ้องมองบุรุษผู้นั้น ที่เป็นดั่งสหายเก่า บุรุษที่ยอมละทิ้งบ้านเกิดเพื่อมาเป็นหมอหลวง
ไม่นาน หยางเฉิงก็รู้สึกตัวอีกครั้ง แต่ครานี้กลับไม่มีทีท่าโวยวาย ดวงตาแห่งความโกรธแค้น จ้องมองบิดาอย่างไม่ปิดบัง
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้า พ่อเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกับเจ้า แต่นี่คือหนทางที่แม่เจ้าเลือกแล้ว” หลี่เทียนอี้เอ่ยกับเด็กหนุ่มที่ยังนอนอยู่บนเตียง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบคำถามของโอรส แต่ยื่นจดหมายของหรงเยว่ให้เขาแทน
“นี่คือคำอธิบายจากแม่ของเจ้า”
หยางเฉิงรีบคว้าจดหมายนั้นลุกขึ้นอ่าน ลายมือนั้นเป็นของมารดาเขาไม่ผิดแน่ แต่เนื้อความด้านในกลับทำให้เขาอยากปฏิเสธ
ผู้เป็นมารดาเขียนว่า นางป่วยด้วยโรคที่แม้แต่หมอหลิวก็ไม่อาจรักษาได้ นางอดทนกับความเจ็บปวดมานานหลายปี ครานี้จึงยอมรับโทษเป็นไส้ศึก หวังตำแหน่งฮองเฮาเมื่อแคว้นต้าเหลียงยึดแคว้นต้าหยางได้ เพื่อไม่ให้ขุนนางเหล่านั้นกล่าวหาฮ่องเต้ ว่าหลงมัวเมาอิสตรี และเพื่อให้คนเหล่านั้นยอมปล่อยหยางเฉิง รวมถึงไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับทุกคนบนเขาอู่ถง
เมื่ออ่านจบ มือของหยางเฉิงพลันไร้เรี่ยวแรง ทั้งร่างสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ จ้องมองสลับระหว่างฮ่องเต้กับหมอหลวง
“เสด็จแม่ประชวร… ทำไมข้าถึงไม่รู้”
“เพราะหวงกุ้ยเฟยไม่อยากให้องค์ชายเป็นทุกข์พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลิวทูลตอบแทนฮ่องเต้ ที่บัดนี้ก็ทรงอารมณ์ไม่มั่นคงเช่นกัน
“แล้วเสด็จพ่อจะปล่อยให้คนที่มันใส่ความเสด็จแม่ ต้องอยู่อย่างมีสุขเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉิงจ้องมองบิดาด้วยความขุ่นเคือง แม้มารดาของเขาจะยินยอมกระทำเช่นนั้นเอง แต่ฝ่าบาทผู้เป็นสามีของนางจะนิ่งดูดายได้เช่นนี้หรือ
“หากเจ้าคิดอยากแก้แค้น ตัวเจ้าต้องมีกำลัง หากเจ้าคิดจะทวงความเป็นธรรมให้มารดา ตัวเจ้าต้องแข็งแกร่งกว่านี้” หลี่เทียนอี้จ้องมองโอรสองค์รอง ราวกับเห็นตัวเองในอดีต
หน้าห้องพักของเหล่าเจ้านายตระกูลเหริน ทหารคุ้มกันแน่นหนา แม้รู้ว่าคนตระกูลเหรินไม่มีทางหนีอาญาแผ่นดิน ทว่าทหารกลุ่มนี้กลับถูกส่งมาคุ้มกันนักโทษจากการถูกลอบสังหารมากกว่า หยางเฉิงหยุดอยู่หน้าประตู ทหารหน้าห้องประสานมือค้อมกายก่อนถอยห่างออกจากประตูหลายก้าว เหล่าเจ้านายตระกูลเหรินต่างแปลกใจเมื่อเห็นบุรุษในชุดคลุมสีนิลปิดบังหน้าตาเดินเข้ามาด้านใน “เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของชายชราฟังดูน่าเกรงขาม สมกับเป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้าหยาง “คนผู้หนึ่งที่เคยชื่นชมความเที่ยงธรรมของท่าน” หยางเฉิงเอ่ย พลางวางมีดสั้นลงบนโต๊ะกลม ฝักของมันเป็นลายพยัคฆ์ สลักคำว่า ‘เหริน’ อย่างชัดเจน เหรินซิงหยูตกตะลึงเมื่อเห็นมีดสั้นเล่มนั้นอีกครั้ง ชายชราจำได้ดี มีดสั้นเล่มนี้คือสิ่งที่ติดกายเขาตั้งแต่ออกรบครั้งแรก จนกระทั่งการรบครั้งสุดท้าย ก่อนจะมอบมันให้กับโอรสของฮ่องเต้ ผู้ที่เคยบอกเขาว่าในภายภาคหน้าจะปกป้องราษฎรเช่นปกป้องคนในครอบครัว ซิงหยูแม้ยังถูกโซ่ล่ามขาทั้งสองข้าง รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะประสานมือต่อหน้าบุรุษผู้มาเยือน ทำให้ทั้ง
อวี้หนิงก้าวเข้ามาภายในโรงเตี๊ยม สายตาของนางหยุดลงที่บุรุษในชุดคลุมสีดำ ถึงแม้บัดนี้จะอยู่ภายในอาคาร ทว่าเขายังไม่ยอมถอดผ้าปิดหน้าออก เห็นได้ชัดว่าไม่อยากให้ผู้ใดล่วงรู้ตัวตน ข้างกายยังมีบุรุษที่มีผ้าปิดหน้านั่งอยู่ด้วยอีกสองคน ก่อนที่เขาจะปรายตามองนางครู่หนึ่งแล้วหันไปพูดคุยกับสหายร่วมโต๊ะอีกสองคนเช่นเดิม อีกมุมหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะของผู้คุมนักโทษที่เข้ามาดื่มน้ำชาหลบหิมะ ทิ้งให้เหล่านักโทษทนหนาวอยู่ภายนอกอย่างไร้ปราณี นางกวาดสายตามองรอบโถงโรงเตี๊ยม วันนี้ไม่มีแขกเข้ามาพักดื่มชา อาจจะเป็นเพราะอากาศข้างนอกที่เลวร้าย ไม่อาจสัญจรไปมาได้ แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับอวี้หนิง ก่อนที่นางจะเดินตรงไปยังเถ้าแก่ที่กำลังตรวจนับบัญชีอยู่ “เถ้าแก่ ข้าอยากได้ห้องพักหลายห้องหน่อย จะได้หรือไม่” ชายวัยกลางคนที่กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดจากบัญชีของร้านที่กำไรลดน้อยลงทุกเดือน ยิ้มกว้างในทันที “ได้ ๆ คุณหนูจะพักเลยหรือไม่ ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อร์พาขึ้นไป” เถ้าแก่ร้านเอ่ยพลางมองหากลุ่มคนที่จะเข้าพัก ทว่ากลับไม่พบใครนอกจากสตรีตรงหน้าเพี
รุ่งเช้า หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง อวี้หนิงหนาวเหน็บไปทั่วทั้งร่าง ดวงตาที่จดจ้องไปตามเส้นทางของตำหนักอ๋องตลอดทั้งคืนแดงก่ำด้วยความสิ้นหวัง “เสี่ยวเหม่ย อาหารพวกนี้เย็นหมดแล้ว เจ้าเร่งไปที่ครัวอุ่นอาหารสักหน่อยเถิด” เสียงอ่อนแรงเอ่ยกับสาวใช้ที่เพิ่งปรือตาตื่น “คุณหนู แต่ว่าท่านอ๋อง...” “ข้าจะไปขอพบท่านตาเอง” “แล้วทหารจะให้พบหรือเจ้าคะ” “เมื่อขบวนนักโทษออกจากเมืองแล้ว บางทีการใช้ตำลึงมากหน่อยอาจทำให้ทหารพวกนั้นยอมผ่อนปรนสักครู่ก็ได้” แม้ไม่แน่ใจในความคิดนี้นัก แต่อวี้หนิงก็อยากลองดูสักครั้ง นางมิอาจปล่อยให้สองผู้เฒ่าตระกูลเหรินต้องตกระกำลำบากโดยที่ตัวเองนิ่งดูดายได้ “เช่นนั้นข้าจะรีบไปอุ่นอาหาร คุณหนูรอครู่เดียวนะเจ้าคะ” สาวใช้ข้างกายที่อยู่กับนางตั้งแต่เล็กทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย อวี้หนิงยังคงนั่งรอเยว่ซิงด้วยความหวังว่าเขายังจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนาง ทว่าจนแล้วจนรอดกลับไร้วี่แววคนของจวนฉู่อ๋อง หญิงสาวจึงทำได้เพียงตรงไปดักรอขบวนนักโทษนอกประตูเมืองแท
“ข้านึกว่าเจ้าอยากแต่งกับลูกสาวบัณฑิตเว่ยเสียอีก” ฮ่องเต้นึกถึงเมื่อสิบสองปีก่อน โอรสของเขามักฝากสิ่งของกับเว่ยจิ้นหงผู้เป็นอาจารย์สอนตำราไปให้เว่ยซินเอ๋อร์อยู่บ่อยครั้ง จนเขาเตรียมราชโองการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองไว้แล้ว ทว่ายังไม่ทันได้ประกาศออกไป กลับมีเรื่องของหรงเยว่เกิดขึ้นเสียก่อน หยางเฉิงนิ่งงันเมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยถึงสตรีอันเป็นที่รัก แววตาเย็นชาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกลับมานิ่งสงบดั่งเดิม “นางหมั้นหมายแล้ว คุณชายใหญ่จวนแม่ทัพมู่ก็องอาจ สง่าผ่าเผย ไม่มีเหตุผลใดจะต้องไปทำลายพวกเขา” “เช่นนั้นการแต่งงานของเจ้าก็เพื่อทำลาย?” “พ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงตอบคำถามโดยไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ คล้ายกับการแต่งงานไม่ได้มีผลอันใดกับเขาแม้แต่น้อย “หลานสาวเจ้ากรมคลังมีถึงสองคน เจ้าหวังคนใดเล่า?” ฮ่องเต้เพิ่งนึกได้ว่าโอรสเบื้องหน้ายังไม่ได้เอ่ยถึงชื่อนางสตรีที่ต้องการอภิเษกเสียด้วยซ้ำ “คนใดก็สุดแล้วแต่เจ้ากรมคลังจะเสียสละเถิดพ่ะย่ะค่ะ สิ่งที่กระหม่อมต้องการไม่ใช่ตั
ไม่นานเสียงดังเอะอะจากภายนอกก็ดังขึ้น จนดึงความสนใจของหญิงสาวในชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ อวี้หนิงลุกขึ้นจากพื้นเดินออกไปดูเหตุการณ์ภายนอก ทว่ายังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องโถงก็พบเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยเสียก่อน ดวงตางามที่ยังแดงก่ำทว่าไร้หยดน้ำตา บัดนี้เอ่อล้นด้วยคลื่นน้ำอุ่นอีกครั้ง นางมองบุรุษเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตา ใบหน้านั้นยังคงมีความอ่อนโยนให้นางเช่นเคย “หนิงเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความสั่นเครือดังขึ้น “ฉู่อ๋อง” นางยอบกายเรียกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยห่างจากเขาเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิง ทว่าข้อมือของนางกลับถูกมือหนารั้งเข้าหา การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงอวี้หนิง แม้แต่รองเจ้ากรมโยธาอย่างซูจิ้งซวนและหลินซือเหยียนก็ยังตกตะลึงกับท่าทีเช่นนี้ หากแต่มีหรือที่หลี่เยว่ซิงจะสนใจ “เวลาเช่นนี้ยังจะสนใจธรรมเนียมอีก” บุรุษตัวสูงเอ่ยตำหนินางเสียงดัง ทว่าดวงตากลับเจือไปด้วยความห่วงใย อวี้หนิงนิ่งเงียบ นางยังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย นางเกรงว่าความอ่อนแอนี้ยิ่งจะทำให้เขาเป็นกังวล หลินซือเหยียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลี่เยว่ซิงก็รีบเอ
หยางเฉิงเดินออกมาก็พบกับเจากงกงที่ยืนถือจานขนมหวานอยู่ “ขนมหวานของข้า” บุรุษหนุ่มมีท่าทีราวเด็กน้อยได้ของที่ชื่นชอบ มือหนาคว้าจานขนมกุ้ยฮวายัดข้าปากคำโต พลางยื่นหนึ่งชิ้นให้กับขันทีเบื้องหน้า “ให้ท่านชิ้นหนึ่ง” เศษขนมจากปากกระเด็นออกมาตามจังหวะการพูด ยิ่งทำให้เขาเหมือนกับเด็กเล็กไม่ผิดเพี้ยน “องค์ชายเสวยเถอะ กระหม่อมไม่หิว” ขันทีเฒ่ายิ้มเจื่อน พลางผลักมือเขากลับคืน ก่อนเอ่ยต่อ “ฮ่องเต้ต้องการพบองค์ชายที่ท้องพระโรง เชิญเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงไม่ได้ตอบอะไรเพียงยัดขนมชิ้นต่อไปเข้าปาก แล้วพยักหน้าเต็มแรงเดินตามเจากงกงอย่างว่าง่าย ก่อนจะถึงท้องพระโรงหยางเฉิงจึงหันมาเอ่ยกับเจียงเฟิงเสียงเบา “หากข้าทำทีสำลัก รีบใช้มือทุบหลังข้า” “อย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเฟิงแปลกใจกับคำสั่งของผู้เป็นนาย ทว่าหยางเฉิงกลับไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขากลับไปทำท่าทีเป็นเด็กมองไปรอบ ๆ พร้อมกลับชี้ถามเจากงกงไปเรื่อย ภายในท้องพระโรงขุนนางใหญ่ต่างเข้าร่วมว่าราชกิจ ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้นั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรว่างเปล