LOGINหยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา
“ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง”
“โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน
เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง
“ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง
ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย
“เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใดใครได้ อีกอย่างนางก็มีคนรักอยู่แล้ว ควรเป็นฉู่อ๋องที่ต้องช่วยนางในดวงใจไม่ใช่หรือ” ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะทรงอักษร
“ข้ารับปากว่าจะช่วยให้ทายาทตระกูลเหรินอยู่รอด ไม่ได้จะช่วยให้ผู้ใดสมหวังในรัก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ตอนนี้เจ้าไปตรวจสอบสมบัติของข้าได้แล้วว่ายังอยู่ครบในคลังหลวงหรือไม่ หรือมีผู้ใดบังอาจโยกย้ายทรัพย์สินของข้า”
หยางเฉิงเอ่ยพลางโยนบัญชีทรัพย์สินของตระกูลเหรินให้เจียงเฟิง ก่อนจะออกจากห้องทรงอักษรไป
เจียงเฟิงมองตามหลังเจ้านาย ก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“ไร้หัวใจยิ่งนัก”
“ข้าได้ยินนะ” หยางเฉิงที่เดินพ้นประตูไปแล้วกลับตะโกนกลับมา
จนขันทีหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบค้อมกายส่งเสด็จอีกครั้ง
ภายในท้องพระโรง เรื่องการสู่ขอหลานสาวทำให้หลินเหวินซานดูแก่ลงหลายสิบปี ทั้งที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน หยางเฉิงที่มีท่าทีเป็นเด็ก ยิ้มกว้างให้กับหลินเหวินซาน นั่นยิ่งทำให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เช่นเจ้ากรมคลังแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ใครจะไปคาดคิดว่าคนบ้าเช่นฉินอ๋องจะคิดอยากมีพระชายาเช่นผู้อื่น อีกทั้งฮ่องเต้ยังมีราชโองการเจาะจงมายังตระกูลหลินอีก หากไม่รู้ว่าหลี่หยางเฉิงเสียสติไปแล้ว เขาคงคิดว่ามันเป็นการแก้แค้นเป็นแน่
ฮ่องเต้เทียนอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเอ่ยถามเรื่องงานแต่งของโอรสทันที
“ว่าอย่างไรเล่าใต้เท้าหลิน หลานสาวท่านคนใดที่จะยกให้กับฉินอ๋อง”
หลินเหวินซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนก้าวออกมาเบื้องหน้าบัลลังก์
“ทูลฝ่าบาท หลานสาวกระหม่อม ซูเจินหยู วางตัวในกรอบ ประพฤติตามสี่คุณธรรม สามคล้อยตาม กระหม่อมจึงขอยกนางให้แต่งเข้าสู่จวนฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงของเหวินซาน รองเจ้ากรมโยธาอย่างซูจิ้งซวนก็มีท่าทีตกใจในทันที ก่อนจะหันไปมองหลินซือหานที่นิ่งสงบ ไม่มีท่าทีโต้แย้ง แม้อยากปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลซู ทว่าจิ้งซวนขลาดกลัวเกินกว่าจะทูลคัดค้าน
หยางเฉิงมองประเมินคนทั้งสามในเวลาอันรวดเร็ว ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเขาทำให้ผู้คนอ่านจิตใจไม่ออก
“เช่นนั้นหรอกหรือ รองเจ้ากรมโยธาอบรมบุตรีได้ดีทีเดียว” ฮ่องเต้หันไปเอ่ยชมจิ้งซวน ทว่าสายตากลับไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย
“ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เมตตาบุตรีกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งซวนที่ไม่อาจทูลปฏิเสธได้ ทำได้เพียงขอบคุณในพระเมตตา ก่อนที่ฮ่องเต้จะหันมามองโอรสของตนที่ยืนไม่นิ่ง มองนั่นนี่ไปเรื่อย
“ฉินอ๋องเล่า พอใจในตัวพระชายาของเจ้าหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกพอใจมาก” หยางเฉิงยิ้มกว้างตอบฝ่าบาท ก่อนจะเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นไปยังขุนนางทุกคน
ขุนนางที่เริ่มคุ้นชินกับท่าทีเสียสติของฉินอ๋องแล้ว ได้แต่ขบขันให้กับโชคชะตาของตระกูลหลินและตระกูลซู ยิ่งทำให้หลินเหวินซานอับอาย อยากจะหนีออกจากท้องพระโรงเสียเดี๋ยวนั้น ไม่ต่างจากจิ้งซวนที่คับแค้นใจจนไร้ที่ระบาย
“ดี! เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน รองเจ้ากรมโยธาก็รีบกลับจวนเถอะ ราชโองการของเราจะไปถึงในไม่ช้า”
ฮ่องเต้เทียนอี้ตรัสจบ ก็เสด็จออกจากท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับฉินอ๋องและซูจิ้งซวน
“ยินดีกับฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมอาญาเอ่ยด้วยใบหน้าเบิกบาน พลางปรายตามองรองเจ้ากรมโยธา
“ฮ่า ฮ่า ขอบคุณใต้เท้าทุกท่าน วันงานอย่าลืมมาดื่มเหล้ามงคลของข้านะ เช่นนั้นข้า…ข้าต้องรีบกลับไปเตรียมตัว” หยางเฉิงมีท่าทีเขินอาย ลุกลี้ลุกลนบอกลาทุกคน แล้ววิ่งออกจากท้องพระโรงไป ยิ่งเป็นที่ขบขันของเหล่าขุนนาง
“ยินดีกับใต้เท้าซูที่จะได้เป็นพ่อตาท่านอ๋อง”
เหล่าขุนนางเอ่ยยินดีกับจิ้งซวน ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทำให้จิ้งซวนอยากจะอาเจียน ก่อนจะรีบไล่ตามหลินซือหานที่ออกจากท้องพระโรงมาก่อนตน
“ใต้เท้าหลินหยุดก่อน!” จิ้งซวนที่วิ่งจนหอบเหนื่อยกว่าจะไล่ตามหลินซือหานได้ทันที่หน้าประตูวังพอดี
หลินซือหานหยุดเดินก่อนหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ใต้เท้าซูมีเรื่องอันใดหรือไม่”
“เหตุใดท่านไม่มีท่าทีเดือดดาลเลยเล่า เจินเอ๋อร์เป็นหลานสาวของท่านนะ ท่านไม่ใช่ว่าจะสนับสนุนนางให้ได้แต่งเข้าจวนแม่ทัพหรอกหรือ” จิ้งซวนฉงนกับท่าทีใจเย็นของอีกฝ่าย
“แต่งกับจวนอ๋องก็ใช่ว่าจะไม่ดี เป็นพระชายาฉินอ๋องย่อมดีกว่าเป็นฮูหยินรองของคุณชายมู่มิใช่หรือ อย่างไรมู่หรงชิงก็หมั้นหมายกับจวนเสนาบดีเว่ย ท่านก็รู้ว่าบัณฑิตเว่ยผู้นี้เป็นสหายของฮ่องเต้ ถึงตระกูลหลินจะทูลขอให้เจินหยูได้แต่งเข้าจวนมู่ ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงยอมให้นางทัดเทียมกับบุตรสาวสหายแน่”
ในราชสำนักมีผู้ใดไม่รู้ ฮ่องเต้ไว้วางใจเว่ยจิ้นหงผู้นี้มากกว่าผู้ใด มิเช่นนั้นเพียงสิบสองปี เขาคงไม่ก้าวหน้าในราชสำนักเร็วเพียงนี้ จากบัณฑิตสอนตำราเหล่าองค์ชาย กลายเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้เร็วเพียงนี้
ทว่าเหตุผลนี้กลับไม่ได้ทำให้ซูจิ้งซวนพอใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะ
“นี่! เหตุใดท่านจึงเอ่ยอย่างไม่ไยดีเช่นนี้เล่า ไหนท่านว่าอยากเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินอย่างไรเล่า ไม่ใช่ว่าท่านก็ต้องการการสนับสนุนจากตระกูลมู่ด้วยมิใช่หรือ จวนฉินอ๋องก็มีเพียงเปลือกที่ฮ่องเต้ใช้ปกป้องโอรสเท่านั้น จะช่วยสนับสนุนท่านได้อย่างไร”
อีกฝ่ายไม่คิดตอบคำถามของจิ้งซวน
“หึ! เรื่องของข้า ใต้เท้าซูอย่าทำเป็นรู้ดี” เอ่ยจบ หลินซือหานก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
จิ้งซวนทำได้เพียงกลับจวนด้วยความคับแค้นใจ
ภายในโถงเรือนใหญ่ ทั้งมารดา หลินซือเหยียน และซูเจินหยูต่างรอเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นเขากลับมา หลินซือเหยียนจึงไม่คิดให้เขาหยุดพัก
“ท่านพี่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เป็นหลินซื่อเหม่ยที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋องใช่หรือไม่”
“อาซวน รีบตอบเร็วเข้า แม่กลุ้มใจจะแย่แล้ว”
ซูจือเหลียงที่กลัดกลุ้มมาหลายวันช่วยเร่งบุตรชายอีกแรง ไม่ต่างจากเจินหยูที่จ้องมองบิดาด้วยความร้อนใจไม่แพ้กัน
“ไหนเจ้าบอกว่ากำชับพี่ชายเจ้าไม่ให้อ่อนข้อให้ใต้เท้าหลินมิใช่หรืออย่างไร เหตุใดหลินซือหานจึงเห็นดีเห็นงามให้ส่งเจินเอ๋อร์แต่งให้ฉินอ๋องได้เล่า” จิ้งซวนหันกลับไปตวาดอนุของตน
หลินซือเหยียนนิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ
“ว่าอย่างไรนะ! จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ากำชับเขาอย่างดิบดี ท่านพี่ก็รับปากข้าแล้ว!” หลินซือเหยียนส่ายหน้าไม่ยอมรับ
“หากเขายินดีช่วยจริง เหตุใดราชโองการจึงจะมาที่ตระกูลซูเล่า!”
จิ้งซวนสะบัดแขนเสื้อด้วยความเดือดดาล
ฮูหยินเฒ่าที่ได้ยินเช่นนั้นก็ล้มพับลงทันที
“ท่านแม่! ท่านแม่!”
ความโกลาหลเกิดขึ้น จิ้งซวนต้องออกคำสั่งให้สาวใช้พาฮูหยินเฒ่ากลับเรือน พลางให้คนไปตามหมอมาดูอาการ
ซูเจินหยูที่เพิ่งได้สติ รีบเข้าไปขวางหน้าบิดาไว้
“ท่านพ่อ! ข้าไม่ยอมนะ! ข้าไม่แต่งกับเจ้าคนบ้านั่นแน่!”
จิ้งซวนที่รีบร้อนจะไปดูอาการมารดา กลับถูกขวางทางด้วยบุตรีที่ไม่รู้กาลเทศะ ความเดือดดาลจึงเพิ่มมากขึ้น
“หุบปากของเจ้าซะ! ไม่เห็นหรือว่า ท่านย่าของเจ้าหมดสติไปแล้ว ช่างไม่รู้อันใดควรไม่ควร!”
เสียงตวาดของบิดาทำให้เจินหยูที่ไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้สะดุ้งตกใจ จนไม่กล้าขยับ
ซือเหยียนที่ร้อนใจเรื่องของบุตรีไม่ต่างกัน เมื่อเห็นสามีกระทำเช่นนี้ ยิ่งไม่พอใจ
“ท่านกล้าตวาดลูกได้อย่างไร! ลืมแล้วหรือนางเป็นหลานสาวเจ้ากรมคลังนะ!” หลินซือเหยียนกระชากแขนสามีให้หันมาอธิบาย
จิ้งซวนที่ไม่เคยถูกใครทำกิริยาต่ำทรามเช่นนี้ต่อหน้า ก็ไม่อาจระงับโทสะได้ ก่อนที่มือหนาจะฟาดเข้ายังใบหน้าของซือเหยียนจนล้มลง ท่ามกลางความตะลึงงันของซูเจินหยู
“ท่านกล้าตบข้าหรือ! ลืมไปแล้วหรือไรว่าข้าเป็น...”
“บุตรีของเจ้ากรมคลัง! เลิกใช้คำนี้ข่มขู่ข้าเสียที! ตอนนี้เจ้ากับลูกจะถูกตระกูลหลินตัดขาดแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ!”
ซูจิ้งซวนตวาดอนุของตนโดยไม่เกรงบ่าวไพร่จะได้ยิน ก่อนจะเร่งรีบไปดูอาการของมารดา ปล่อยให้หลินซือเหยียนอาละวาดลั่นในโถงเรือนโดยไม่ไยดี
รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้
เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง
หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ
เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้







