LOGINหยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา
“ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก
“พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง”
“โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน
เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง
“ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง
ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย
“เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใดใครได้ อีกอย่างนางก็มีคนรักอยู่แล้ว ควรเป็นฉู่อ๋องที่ต้องช่วยนางในดวงใจไม่ใช่หรือ” ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะทรงอักษร
“ข้ารับปากว่าจะช่วยให้ทายาทตระกูลเหรินอยู่รอด ไม่ได้จะช่วยให้ผู้ใดสมหวังในรัก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ตอนนี้เจ้าไปตรวจสอบสมบัติของข้าได้แล้วว่ายังอยู่ครบในคลังหลวงหรือไม่ หรือมีผู้ใดบังอาจโยกย้ายทรัพย์สินของข้า”
หยางเฉิงเอ่ยพลางโยนบัญชีทรัพย์สินของตระกูลเหรินให้เจียงเฟิง ก่อนจะออกจากห้องทรงอักษรไป
เจียงเฟิงมองตามหลังเจ้านาย ก่อนจะพึมพำกับตนเอง
“ไร้หัวใจยิ่งนัก”
“ข้าได้ยินนะ” หยางเฉิงที่เดินพ้นประตูไปแล้วกลับตะโกนกลับมา
จนขันทีหนุ่มหน้าซีดเผือด รีบค้อมกายส่งเสด็จอีกครั้ง
ภายในท้องพระโรง เรื่องการสู่ขอหลานสาวทำให้หลินเหวินซานดูแก่ลงหลายสิบปี ทั้งที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน หยางเฉิงที่มีท่าทีเป็นเด็ก ยิ้มกว้างให้กับหลินเหวินซาน นั่นยิ่งทำให้ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เช่นเจ้ากรมคลังแค้นใจจนแทบกระอักเลือด ใครจะไปคาดคิดว่าคนบ้าเช่นฉินอ๋องจะคิดอยากมีพระชายาเช่นผู้อื่น อีกทั้งฮ่องเต้ยังมีราชโองการเจาะจงมายังตระกูลหลินอีก หากไม่รู้ว่าหลี่หยางเฉิงเสียสติไปแล้ว เขาคงคิดว่ามันเป็นการแก้แค้นเป็นแน่
ฮ่องเต้เทียนอี้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเอ่ยถามเรื่องงานแต่งของโอรสทันที
“ว่าอย่างไรเล่าใต้เท้าหลิน หลานสาวท่านคนใดที่จะยกให้กับฉินอ๋อง”
หลินเหวินซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนก้าวออกมาเบื้องหน้าบัลลังก์
“ทูลฝ่าบาท หลานสาวกระหม่อม ซูเจินหยู วางตัวในกรอบ ประพฤติตามสี่คุณธรรม สามคล้อยตาม กระหม่อมจึงขอยกนางให้แต่งเข้าสู่จวนฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงของเหวินซาน รองเจ้ากรมโยธาอย่างซูจิ้งซวนก็มีท่าทีตกใจในทันที ก่อนจะหันไปมองหลินซือหานที่นิ่งสงบ ไม่มีท่าทีโต้แย้ง แม้อยากปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลซู ทว่าจิ้งซวนขลาดกลัวเกินกว่าจะทูลคัดค้าน
หยางเฉิงมองประเมินคนทั้งสามในเวลาอันรวดเร็ว ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของเขาทำให้ผู้คนอ่านจิตใจไม่ออก
“เช่นนั้นหรอกหรือ รองเจ้ากรมโยธาอบรมบุตรีได้ดีทีเดียว” ฮ่องเต้หันไปเอ่ยชมจิ้งซวน ทว่าสายตากลับไม่มีความเป็นมิตรแม้แต่น้อย
“ขอบพระทัยฮ่องเต้ที่เมตตาบุตรีกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
จิ้งซวนที่ไม่อาจทูลปฏิเสธได้ ทำได้เพียงขอบคุณในพระเมตตา ก่อนที่ฮ่องเต้จะหันมามองโอรสของตนที่ยืนไม่นิ่ง มองนั่นนี่ไปเรื่อย
“ฉินอ๋องเล่า พอใจในตัวพระชายาของเจ้าหรือไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ลูกพอใจมาก” หยางเฉิงยิ้มกว้างตอบฝ่าบาท ก่อนจะเผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นไปยังขุนนางทุกคน
ขุนนางที่เริ่มคุ้นชินกับท่าทีเสียสติของฉินอ๋องแล้ว ได้แต่ขบขันให้กับโชคชะตาของตระกูลหลินและตระกูลซู ยิ่งทำให้หลินเหวินซานอับอาย อยากจะหนีออกจากท้องพระโรงเสียเดี๋ยวนั้น ไม่ต่างจากจิ้งซวนที่คับแค้นใจจนไร้ที่ระบาย
“ดี! เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้าน รองเจ้ากรมโยธาก็รีบกลับจวนเถอะ ราชโองการของเราจะไปถึงในไม่ช้า”
ฮ่องเต้เทียนอี้ตรัสจบ ก็เสด็จออกจากท้องพระโรง เหล่าขุนนางต่างเข้ามาแสดงความยินดีกับฉินอ๋องและซูจิ้งซวน
“ยินดีกับฉินอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมอาญาเอ่ยด้วยใบหน้าเบิกบาน พลางปรายตามองรองเจ้ากรมโยธา
“ฮ่า ฮ่า ขอบคุณใต้เท้าทุกท่าน วันงานอย่าลืมมาดื่มเหล้ามงคลของข้านะ เช่นนั้นข้า…ข้าต้องรีบกลับไปเตรียมตัว” หยางเฉิงมีท่าทีเขินอาย ลุกลี้ลุกลนบอกลาทุกคน แล้ววิ่งออกจากท้องพระโรงไป ยิ่งเป็นที่ขบขันของเหล่าขุนนาง
“ยินดีกับใต้เท้าซูที่จะได้เป็นพ่อตาท่านอ๋อง”
เหล่าขุนนางเอ่ยยินดีกับจิ้งซวน ทว่าใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน ทำให้จิ้งซวนอยากจะอาเจียน ก่อนจะรีบไล่ตามหลินซือหานที่ออกจากท้องพระโรงมาก่อนตน
“ใต้เท้าหลินหยุดก่อน!” จิ้งซวนที่วิ่งจนหอบเหนื่อยกว่าจะไล่ตามหลินซือหานได้ทันที่หน้าประตูวังพอดี
หลินซือหานหยุดเดินก่อนหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“ใต้เท้าซูมีเรื่องอันใดหรือไม่”
“เหตุใดท่านไม่มีท่าทีเดือดดาลเลยเล่า เจินเอ๋อร์เป็นหลานสาวของท่านนะ ท่านไม่ใช่ว่าจะสนับสนุนนางให้ได้แต่งเข้าจวนแม่ทัพหรอกหรือ” จิ้งซวนฉงนกับท่าทีใจเย็นของอีกฝ่าย
“แต่งกับจวนอ๋องก็ใช่ว่าจะไม่ดี เป็นพระชายาฉินอ๋องย่อมดีกว่าเป็นฮูหยินรองของคุณชายมู่มิใช่หรือ อย่างไรมู่หรงชิงก็หมั้นหมายกับจวนเสนาบดีเว่ย ท่านก็รู้ว่าบัณฑิตเว่ยผู้นี้เป็นสหายของฮ่องเต้ ถึงตระกูลหลินจะทูลขอให้เจินหยูได้แต่งเข้าจวนมู่ ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงยอมให้นางทัดเทียมกับบุตรสาวสหายแน่”
ในราชสำนักมีผู้ใดไม่รู้ ฮ่องเต้ไว้วางใจเว่ยจิ้นหงผู้นี้มากกว่าผู้ใด มิเช่นนั้นเพียงสิบสองปี เขาคงไม่ก้าวหน้าในราชสำนักเร็วเพียงนี้ จากบัณฑิตสอนตำราเหล่าองค์ชาย กลายเป็นเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้เร็วเพียงนี้
ทว่าเหตุผลนี้กลับไม่ได้ทำให้ซูจิ้งซวนพอใจ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโทสะ
“นี่! เหตุใดท่านจึงเอ่ยอย่างไม่ไยดีเช่นนี้เล่า ไหนท่านว่าอยากเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินอย่างไรเล่า ไม่ใช่ว่าท่านก็ต้องการการสนับสนุนจากตระกูลมู่ด้วยมิใช่หรือ จวนฉินอ๋องก็มีเพียงเปลือกที่ฮ่องเต้ใช้ปกป้องโอรสเท่านั้น จะช่วยสนับสนุนท่านได้อย่างไร”
อีกฝ่ายไม่คิดตอบคำถามของจิ้งซวน
“หึ! เรื่องของข้า ใต้เท้าซูอย่าทำเป็นรู้ดี” เอ่ยจบ หลินซือหานก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
จิ้งซวนทำได้เพียงกลับจวนด้วยความคับแค้นใจ
ภายในโถงเรือนใหญ่ ทั้งมารดา หลินซือเหยียน และซูเจินหยูต่างรอเขาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นเขากลับมา หลินซือเหยียนจึงไม่คิดให้เขาหยุดพัก
“ท่านพี่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เป็นหลินซื่อเหม่ยที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋องใช่หรือไม่”
“อาซวน รีบตอบเร็วเข้า แม่กลุ้มใจจะแย่แล้ว”
ซูจือเหลียงที่กลัดกลุ้มมาหลายวันช่วยเร่งบุตรชายอีกแรง ไม่ต่างจากเจินหยูที่จ้องมองบิดาด้วยความร้อนใจไม่แพ้กัน
“ไหนเจ้าบอกว่ากำชับพี่ชายเจ้าไม่ให้อ่อนข้อให้ใต้เท้าหลินมิใช่หรืออย่างไร เหตุใดหลินซือหานจึงเห็นดีเห็นงามให้ส่งเจินเอ๋อร์แต่งให้ฉินอ๋องได้เล่า” จิ้งซวนหันกลับไปตวาดอนุของตน
หลินซือเหยียนนิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ
“ว่าอย่างไรนะ! จะเป็นไปได้อย่างไร ข้ากำชับเขาอย่างดิบดี ท่านพี่ก็รับปากข้าแล้ว!” หลินซือเหยียนส่ายหน้าไม่ยอมรับ
“หากเขายินดีช่วยจริง เหตุใดราชโองการจึงจะมาที่ตระกูลซูเล่า!”
จิ้งซวนสะบัดแขนเสื้อด้วยความเดือดดาล
ฮูหยินเฒ่าที่ได้ยินเช่นนั้นก็ล้มพับลงทันที
“ท่านแม่! ท่านแม่!”
ความโกลาหลเกิดขึ้น จิ้งซวนต้องออกคำสั่งให้สาวใช้พาฮูหยินเฒ่ากลับเรือน พลางให้คนไปตามหมอมาดูอาการ
ซูเจินหยูที่เพิ่งได้สติ รีบเข้าไปขวางหน้าบิดาไว้
“ท่านพ่อ! ข้าไม่ยอมนะ! ข้าไม่แต่งกับเจ้าคนบ้านั่นแน่!”
จิ้งซวนที่รีบร้อนจะไปดูอาการมารดา กลับถูกขวางทางด้วยบุตรีที่ไม่รู้กาลเทศะ ความเดือดดาลจึงเพิ่มมากขึ้น
“หุบปากของเจ้าซะ! ไม่เห็นหรือว่า ท่านย่าของเจ้าหมดสติไปแล้ว ช่างไม่รู้อันใดควรไม่ควร!”
เสียงตวาดของบิดาทำให้เจินหยูที่ไม่เคยถูกปฏิบัติด้วยเช่นนี้สะดุ้งตกใจ จนไม่กล้าขยับ
ซือเหยียนที่ร้อนใจเรื่องของบุตรีไม่ต่างกัน เมื่อเห็นสามีกระทำเช่นนี้ ยิ่งไม่พอใจ
“ท่านกล้าตวาดลูกได้อย่างไร! ลืมแล้วหรือนางเป็นหลานสาวเจ้ากรมคลังนะ!” หลินซือเหยียนกระชากแขนสามีให้หันมาอธิบาย
จิ้งซวนที่ไม่เคยถูกใครทำกิริยาต่ำทรามเช่นนี้ต่อหน้า ก็ไม่อาจระงับโทสะได้ ก่อนที่มือหนาจะฟาดเข้ายังใบหน้าของซือเหยียนจนล้มลง ท่ามกลางความตะลึงงันของซูเจินหยู
“ท่านกล้าตบข้าหรือ! ลืมไปแล้วหรือไรว่าข้าเป็น...”
“บุตรีของเจ้ากรมคลัง! เลิกใช้คำนี้ข่มขู่ข้าเสียที! ตอนนี้เจ้ากับลูกจะถูกตระกูลหลินตัดขาดแล้ว ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ!”
ซูจิ้งซวนตวาดอนุของตนโดยไม่เกรงบ่าวไพร่จะได้ยิน ก่อนจะเร่งรีบไปดูอาการของมารดา ปล่อยให้หลินซือเหยียนอาละวาดลั่นในโถงเรือนโดยไม่ไยดี
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







