LOGINภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน
“เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น”
เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน
“ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต
อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว
“ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้
ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ
“กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้งอวี้หนิงและเจินหยู และอนุเล็ก ๆ ที่ออกมาดูความสนุกก็คุกเข่ารับราชโองการเช่นกัน
“ซูเจินหยู บุตรีคนรองเจ้ากรมโยธา รูปโฉมงดงาม กริยาเรียบร้อย เหมาะสมเป็นชายาฉินอ๋อง อีกสิบห้าวันจัดพิธีมงคลตั้งเป็นพระชายาฉินอ๋อง จบราชโองการ”
ซูเจินหยูสะอื้นไห้ไม่ยอมหยุด จนกระทั่งเจากงกงอ่านราชโองการจบ นางก็ยังไม่ยินดีรับ
“คุณหนูรองซู ราชโองการฮ่องเต้ ท่านจะไม่รับหรือ?” เจากงกงถามเสียงเย็น
ซูจิ้งซวนถลึงตามองบุตรีให้รีบรับราชโองการ
เจินหยูยังไม่อยากยอมรับ นางหันมองมารดาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ซือเหยียนก็ไม่อาจช่วยอันใดได้ ยิ่งทำให้นางคับแค้นใจเข้าไปอีก
“ข้า...หม่อมฉัน...หม่อมฉันรับราชโองการเพคะ ฮึก~” เจินหยูรับราชโองการทั้งที่ใบหน้ายังอาบไปด้วยน้ำตา อวี้หนิงได้แต่มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“ในเมื่อรับราชโองการแล้ว คุณหนูรองซูก็เตรียมตัวดี ๆ เถอะ” เจากงกงกำชับเสียงเย็นก่อนจากไป
อวี้หนิงเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน จึงให้เสี่ยวเหม่ยประคองกลับเรือน
ซูเจินหยูกลับมาร้องห่มร้องไห้โวยวายอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ข้าไม่แต่งนะเจ้าคะ ฮือ ๆ ข้าไม่อยากมีสามีเป็นคนบ้าเสียสติเช่นนั้น”
“เช่นนั้นให้อวี้หนิงแต่งแทนดีหรือไม่เจ้าคะ ท่านพี่” หลินซือเหยียนเอ่ยอย่างกระตือรือร้น พลันหันไปมองบุตรีฮูหยินเอกด้วยแววตามาดร้าย
อวี้หนิงมองเห็นสายตาคู่นั้นเช่นกัน ทว่านางกลับไม่สนใจ จะอย่างไรราชโองการนี้น้องสาวของนางและอนุตระกูลหลินก็ต้องรับไว้อยู่วันยังค่ำ
“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร! เจ้ากล้าขัดราชโองการหรือ!” จิ้งซวนหันมาตวาดซือเหยียน
“ท่านพี่ก็ให้อวี้หนิงทูลขอกับฮ่องเต้สิเจ้าค่ะ ฝ่าบาททรงเมตตานางอยู่แล้วย่อมไม่เอาโทษตระกูลซูแน่” หลินซือเหยียนคิดใช้ความเมตตาของฮ่องเต้ช่วยบุตรสาว โดยซูเจินหยูรีบพยักหน้าเห็นด้วย
อวี้หนิงที่คิดจะเดินกลับเรือนอย่างเงียบ ๆ กลับต้องหยุดฝีเท้าลงเมื่อนางถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วย
“เหตุใดข้าต้องทำเช่นนั้น เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอันใดกับข้าแม้แต่น้อย หลินอี้เหนียง เจ้าก็หาทางอื่นเถอะ” นางหันมาเอ่ยกับอนุของบิดา ก่อนจะหมุนกายกลับเรือนไป
“เจ้า!” หลินซือเหยียนเมื่อไม่อาจบังคับอวี้หนิงได้ ทำได้เพียงก่นด่านางตามหลัง
เจินหยูที่เห็นเช่นนั้นยิ่งร้อนรน นางไม่มีวันที่จะให้อวี้หนิงมีความสุขเหนือตัวเองเด็ดขาด
“ท่านแม่! ข้าไม่แต่งนะเจ้าคะ ฮึก” หญิงสาวร้องห่มร้องไห้บีบให้มารดาช่วยเหลือ
หลินซือเหยียนที่เห็นเช่นนั้นก็จนปัญญา หันไปมองสามีเพื่อหาทางแก้ไข
จิ้งซวนมองตามหลังบุตรสาวคนโตพลางครุ่นคิด ใช่ว่าเขามีบุตรีเพียงคนเดียว หากตระกูลหลินละทิ้งหลินอี้เหนียงแล้ว เขาก็ยังมีซูอวี้หนิงที่โดดเด่นกว่าซูเจินหยูทุกด้าน การเกี่ยวดองกับตระกูลใหญ่ก็ใช่ว่าจะหมดหนทาง
หลินซือเหยียนมีหรือจะคาดเดาความคิดของสามีตนไม่ออก ทว่านางไม่ยอมให้ตนถูกละทิ้งง่ายเช่นนี้แน่
หลิวอี้เหนียง และฟ่านอี้เหนียงที่เห็นเรื่องสนุกมากพอแล้ว ต่างยิ้มหยันสองแม่ลูก แล้วพาบุตรสาวของตนจากไป พวกนางต่างพากันสาแก่ใจ ด้วยหลินซือเหยียนนั้นโหดร้ายอำมหิต พวกนางรู้อยู่แก่ใจหากอนุคนใดคลอดบุตรชาย เด็กน้อยนั้นต่างก็ต้องป่วยตายตั้งแต่ยังไม่ครบเดือน เช่นนั้นแล้วพวกนางจึงมีเพียงบุตรสาวไว้อยู่ข้างกาย เรื่องนี้ล้วนเป็นฝีมือของบุตรสาวตระกูลหลินที่ไม่อาจมีบุตรชายได้ แม้พวกนางจะเคยบอกความจริงสามี ทว่าซูจิ้งซวนที่เกรงกลัวอำนาจของตระกูลหลินกลับนิ่งเฉย ไม่สนความเป็นตายของบุตรชายของตน
ด้านจวนฉินอ๋อง หยางเฉิงกำลังนั่งฟังรายงานจากเจียงเฟิงด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ทูลท่านอ๋อง ตอนนี้ดูท่าตระกูลหลินจะละทิ้งหลินซือเหยียนกับตระกูลซูแล้ว หลินกุ้ยเฟยเกลี่ยกล่อมให้เจ้ากรมคลังมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไปให้หลินซือหาน ทำให้หลินฮัวเต๋อไม่พอใจโวยวายยกใหญ่ เพียงแต่ไม่นานก็เงียบสงบลง เช่นเดียวกับเรือนรองที่รับข้อเสนอ ทำให้เผือกร้อนนี้ตกอยู่ในมือของตระกูลซูแทนพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ! หลินกุ้ยเฟยแก้ไขเหตุการณ์ตรงหน้าได้ดีนี่ เพียงแต่จะคิดกำจัดหลินซือหานในภายหลังนั้นคงไม่ง่ายนัก” หยางเฉิงเหยียดยิ้ม ก่อนยกชาขึ้นดื่ม
เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีนิ่งสงบของท่านอ๋องจนเขาต้องเป็นเดือดเป็นร้อนแทน
“องค์ชาย~ ซูเจินหยูผู้นี้หยาบกระด้าง ใช้อำนาจข่มเหงบ่าวไพร่ระรานผู้อื่นไปทั่ว ท่านจะแต่งนางจริงหรือ? มิสู้เป็นหลินซูเหม่ยที่อ่อนหวานเพียบพร้อมกว่าไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีข้างกายอดห่วงความสงบสุขของท่านอ๋องเสียไม่ได้
หยางเฉิงครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนเอ่ยตอบ
“เป็นใครก็ไม่ต่างกัน ใช่ว่าข้าจะปฏิบัติเช่นสามีกับพวกนาง”
ถึงแม้ตอบเช่นนั้น แต่การแต่งกับซูเจินหยูดูเหมือนจะมีข้อดีอยู่บ้าง ด้วยว่าตระกูลซูหมายตาจะให้นางแต่งกับมู่หรงชิงพร้อมกับเว่ยซินเอ๋อร์ ด้วยคิดใช้บุญคุณเก่าก่อนที่ในอดีต นายอำเภอซู บิดาของซูจิ้งซวนเคยช่วยให้แม่ทัพมู่พ้นข้อกล่าวหาจากหญิงชาวบ้านที่กล่าวหาว่าถูกเขาขืนใจ...
ด้วยว่าตระกูลซูหมายตาจะให้นางแต่งกับมู่หรงชิงพร้อมกับเว่ยซินเอ๋อร์ ด้วยคิดใช้บุญคุณเก่าก่อนที่ในอดีต นายอำเภอซู บิดาของซูจิ้งซวน เคยช่วยให้แม่ทัพมู่พ้นโทษจากข้อกล่าวหาหญิงชาวบ้านว่าถูกเขาขืนใจจนตั้งครรภ์ ครั้งนั้น ฮ่องเต้ที่เพิ่งขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานทรงกริ้วอย่างมาก พยานหลักฐานแน่นหนาจนมิอาจดิ้นหลุด เป็นนายอำเภอซูที่สืบหาความจริงจนกระจ่าง ทำให้แม่ทัพมู่ไม่ต้องรับโทษ การที่เจินหยูต้องแต่งเข้าจวนอ๋องครั้งนี้ ย่อมทำให้ซินเอ๋อร์ไม่ต้องทุกข์ใจเพราะสตรีเช่นคุณหนูรองซู
เจียงเฟิงที่พอคาดเดาได้ว่าเจ้านายของตนยินดีที่จะแต่งซูเจินหยูเพราะคุณหนูเว่ย จึงไม่ทูลอันใดอีก
เหลือเวลาเพียงสิบห้าวันก่อนพิธีมงคล ตระกูลซูจึงเร่งมือเตรียมการยกใหญ่ แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็วุ่นวายกำชับงานบ่าวไพร่ ใบหน้าที่เคยอมทุกข์นั้นหายไปสิ้น
ด้วยว่าซูจิ้งซวนได้เอ่ยหว่านล้อมให้มารดาสบายใจ หญิงชราที่คิดได้ว่าตนเองยังเหลือหลานสาวที่โดดเด่นกว่าอยู่ในมือ และไม่มีตระกูลหลินบงการอยู่ภายนอก นี่ยิ่งทำให้นางอารมณ์เบิกบาน ผิดกับหลินซือเหยียนที่ออกจากจวนไม่เว้นวัน ไม่ได้สนใจงานมงคลของบุตรสาวแม้แต่น้อย ก่อนที่สองวันต่อมา เจ้ากรมคลังจะมาเยือนตระกูลซูด้วยตัวเอง ซูจิ้งซวนที่เห็นเช่นนั้นก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้ได้ทันทีว่าการมาของตระกูลหลินไม่ใช่เรื่องดีกับตระกูลซูแน่ กระนั้นซูจิ้งซวนก็ไม่อาจบอกปัดอีกฝ่ายได้ จำต้องเป็นเจ้าบ้านต้อนรับการมาเยือน
หลินเหวินซานมาพร้อมหลินซือหาน บุตรชายคนรอง ด้านนอกยังมีทหารคุ้มกันอีกหลายสิบคน ซูจิ้งซวนและมารดารออยู่ในเรือนรับรองก่อนแล้ว เมื่อหลินเหวินซานเดินเข้ามา ทั้งสองจึงลุกขึ้นเคารพ ด้วยฐานะของจวนซูไม่อาจเทียบกับจวนหลินได้
“ข้ามาวันนี้ด้วยเรื่องของเจินเอ๋อร์” ใต้เท้าหลินเอ่ยโดยไม่อ้อมค้อม เมื่อทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
จิ้งซวนหันมองอนุของตนที่ยืนอยู่เบื้องหลังอีกฝ่าย หลินซือเหยียนเองก็ไม่ยอมหลบสายตาเขาแม้แต่น้อย
“ท่านพ่อตา เชิญเอ่ย”
“ข้าพึ่งนึกได้ว่าฮ่องเต้เห็นฮูหยินของเจ้าเป็นดั่งน้องสาว เช่นนั้น หากบุตรีสาวคนโตของเจ้าขอแต่งเข้าจวนอ๋องแทนเจินเอ๋อร์ ฝ่าบาทคงไม่ขัดข้องกระมัง”
หลินเหวินซานเอ่ยโดยไม่ไยดี
ทว่าซูจิ้งซวนกับฮูหยินเฒ่ากลับมีท่าทีแตกตื่น
“ใต้เท้าหลินโปรดไตร่ตรอง เรื่องของฮูหยิน ข้าเคยทำให้ฮ่องเต้แค้นเคืองไม่น้อย หากข้ายังบังคับบุตรีให้ทำเช่นนี้อีก เกรงว่าตระกูลซูคงไม่อาจหนีความผิดได้”
“หึ! แค่บุตรสาวคนเดียว เจ้าไม่มีปัญญาจัดการเลยหรืออย่างไร”
หลินเหวินซานไม่ได้มีท่าทีเห็นอกเห็นใจ ซ้ำยังตำหนิเจ้าของจวนต่อหน้าธารกำนัล
“นี่!” จิ้งซวนแม้ไม่พอใจ ก็ได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน ไม่กล้าต่อกร
หลินซือเหยียนที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มได้ใจ
ฮูหยินเฒ่าที่เห็นบุตรชายของตน ซึ่งเป็นถึงขุนนางขั้นสาม ถูกต่อว่าเช่นนี้ก็ไม่พอใจ เอ่ยตำหนิอีกฝ่ายทันที
“เหอะ! เรื่องการแต่งงาน ราชโองการก็ออกมาแล้ว เป็นพวกท่านเองที่อยากให้นางแต่งเข้าจวนอ๋อง แล้วครานี้ไยต้องให้ตระกูลซูแก้ไขเรื่องวุ่นวายนี้ด้วย”
หลินซือหานที่นั่งฟังอยู่นาน จ้องมองฮูหยินเฒ่าด้วยแววตาเย้ยหยัน
“หึ! ฮูหยินเฒ่าคงคิดจะให้หลานสาวคนโตแต่งเข้าตระกูลสูงศักดิ์ เพื่อส่งเสริมตระกูลซูกระมัง แต่ลืมไปแล้วหรือ ว่าตระกูลมารดาของนางต้องโทษฐานกบฏ ท่านคิดว่าจะมีตระกูลใดกล้าแต่งนางเข้าเล่า”
ซูจือเหลียงที่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างอวี้หนิงกับฉู่อ๋องอยู่มาก ก็ไม่คิดเกรงกลัวคำพูดอีกฝ่าย
“ไม่แน่ว่าฉู่อ๋องอาจจะไม่ได้คิดเช่นใต้เท้ากระมัง”
ไม่ต้องรอให้บุตรชายตอบโต้ หลินเหวินซานก็เอ่ยให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างกระจ่าง
“หากคิดว่าซูอวี้หนิงจะได้เป็นพระชายาของฉู่อ๋อง พวกเจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว เรื่องที่แม่สื่อเข้าออกตระกูลซูอยากสู่ขอบุตรสาวท่านไปเป็นอนุ โด่งดังไม่น้อย เหตุใดฉู่อ๋องไม่แสดงท่าทีอันใดเล่า? นี่ก็ช่วยยืนยันแล้วว่านางไม่มีวันได้เป็นพระชายาฉู่อ๋องเป็นแน่”
ซูจิ้งซวนที่ใคร่ครวญตาม ก็เห็นเป็นจริง ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วที่แม่สื่อเข้าออกจวนซู แต่ฉู่อ๋องกลับไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย ใบหน้าเขาจึงกลัดกลุ้มไม่น้อย
หลินเหวินซานที่เห็นเช่นนั้น ก็เอ่ยทิ้งท้ายก่อนกลับ
“ตระกูลซูคิดให้ดีเถิด ซูอวี้หนิงจะช่วยสนับสนุนตระกูลซูได้หรือไม่นั้นเป็นเรื่องของวันข้างหน้า แต่ตระกูลหลินสามารถทำลายตระกูลซูได้ นั้นสามารถเกิดขึ้นได้เดี๋ยวนี้”
ซือเหยียนที่เห็นท่าทีลำบากใจของทั้งจิ้งซวนและฮูหยินเฒ่า ก็ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนรีบออกไปส่งบิดากลับจวน
ซูจือเหลียงที่ได้ยินคำขู่เช่นนั้น ก็นึกหวาดกลัว รีบเอ่ยถามบุตรชายด้วยความร้อนรน
“อาซวน เราจะทำอย่างไรกันดีเล่า? หรือว่าควรจะทำอย่างที่เจ้ากรมคลังต้องการดีหรือไม่”
“ท่านแม่! อย่าพึ่งถามข้าเลย ขอให้ข้าได้ไตร่ตรองอีกหน่อย” ซูจิ้งซวนยกมือนวดขมับ ก่อนเดินกลับเรือน
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







