LOGINเมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที
“เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย
“จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย
“เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง
อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไป
ตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง
“คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”
นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้องรับมือกับคนในตระกูลซูให้ดี
ไม่นานพ่อบ้านก็มารายงานว่าฉู่อ๋องมาพบ อวี้หนิงที่ไม่ได้ข่าวเขามาทั้งวันก็มีท่าทีอึดอัดใจไม่น้อย แต่กระนั้นนางก็เลี่ยงพบเขาไม่ได้
เยว่ซิงหยุดอยู่หน้าประตูก่อนสบตานางที่รอต้อนรับอยู่
“คารวะฉู่อ๋อง” นางยอบกายเคารพเขาตามธรรมเนียม
เยว่ซิงรีบเดินเข้ามาหานาง มือแกร่งเอื้อมออกไปหมายจะช่วยประคอง ทว่ากลับหยุดกลางอากาศ ไม่ได้ช่วยประคองร่างบาง อวี้หนิงก็สังเกตเห็นท่าทีของเขาเช่นกัน ก่อนที่นางจะยืนตัวตรงอีกครั้ง
“หนิงเอ๋อร์ เมื่อคืนนี้เป็นข้าไม่รักษาสัญญา แต่เจ้าโปรดฟังข้าอธิบายก่อนได้หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลาประดับด้วยความหม่นเศร้าอย่างชัดเจน
“หม่อมฉันรอฟังอยู่เพคะ” อวี้หนิงเองก็หวังให้เขามีเหตุผลมากพอที่จะทำให้นางไม่ผิดหวัง
“เสด็จแม่ไม่อยากให้ข้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลเหรินเมื่อคืนข้ากับพระนางจึงโต้เถียงกันใหญ่โต คล้อยหลังที่ข้ากลับมาไม่นาน พระนางถึงขั้นคิดผูกคอปลงพระชนม์ตัวเอง”
“ว่าอย่างไรนะเพคะ!” อวี้หนิงตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นางรู้ว่าหลินกุ้ยเฟยเด็ดเดี่ยวเพียงใด พระนางจะไม่ยอมทำร้ายตัวเองเด็ดขาด แต่ด้วยเรื่องของตระกูลมารดานาง กลับทำให้กุ้ยเฟยกับท่านอ๋องผิดใจกัน ตัวนางเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย
“แล้วกุ้ยเฟยเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ไม่ได้การ หม่อมฉันจะต้องไปอธิบายให้พระนางฟังเองเพคะ” อวี้หนิงมีท่าทีลนลาน นางห่วงความรู้สึกของเยว่ซิง หากต้องผิดใจกับกุ้ยเฟย เขาย่อมไม่มีความสุข
“เดี๋ยวก่อน หนิงเอ๋อร์” เยว่ซิงรีบคว้ามือนางไว้ ให้อีกฝ่ายสงบลง ท่าทีของฉู่อ๋องไม่สู้ดีนัก
“เสด็จแม่ไม่เป็นอันใดมาก ตอนนี้เพิ่งเสวยยาแล้วหลับไป... ตอนนี้เจ้ายังไม่ต้องไปเข้าเฝ้าพระนางจะดีกว่า” เยว่ซิงมีท่าทีอึดอัด อวี้หนิงเองก็สัมผัสได้
“...เหตุใดเล่าเพคะ” แม้นางจะไม่ฉลาดนัก ทว่าท่าทีของฉู่อ๋องชัดเจนจนคาดเดาได้ว่า เรื่องราวมันมีมากกว่านั้น
เยว่ซิงที่เห็นดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเองก็ไม่คิดปิดบังนาง จึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะบอกเรื่องราวทั้งหมด
“ข้าทูลเสด็จแม่เรื่องของเราสองคน... พระนางไม่เห็นด้วย แต่ว่าข้ายืนกรานจะรับเจ้าเข้าจวนอ๋อง ทำให้เสด็จแม่เสียพระทัย...”
“พระนางจึงคิดปลงพระชนม์ตนเองใช่หรือไม่เพคะ” อวี้หนิงไม่ต้องรอให้เขาพูดจบ นางก็พอจะคาดเดาได้
เยว่ซิงไม่แปลกใจที่นางคาดเดาได้ถูกต้อง สำหรับเขาแล้ว นางไม่ใช่คนโง่เขลา เพียงแต่วางตัวไม่ให้โดดเด่นก็เท่านั้น ดวงตาคมจ้องนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้ารับ
“ไม่ผิด แต่ว่าเจ้าวางใจ ข้าจะหาวิธีให้เสด็จแม่ยอมรับในตัวเจ้าให้ได้ เพียงอยากให้เจ้ารออีกสักหน่อยได้หรือไม่” เยว่ซิงกุมมือนางแน่น ดวงตาเต็มไปด้วยความอ้อนวอน
อวี้หนิงนิ่งงันกับคำอ้อนวอนของบุรุษเบื้องหน้า รอยยิ้มเย้ยหยันและคำพูดว่าจะยกนางเป็นอนุของชายแก่ที่อี้เนียงเคยเอ่ยกับนางยังคงก้องอยู่ในหัว นางรู้ว่าหลินซือเหยียนต้องหาวิธีทำเช่นที่พูดแน่ แต่ตอนนี้นางกลับเร่งรัดเยว่ซิงไม่ได้ ในใจอยากจะตะโกนถามเขาว่า เมื่อไหร่ จะให้นางรอนานเท่าใด
ทว่าก็ไม่อาจเอ่ยออกไป และยิ่งไม่อาจบอกเรื่องที่ซือเหยียนพูดให้เขาต้องกังวล
“เพคะ” อวี้หนิงพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แม้ใจจะร้อนรุ่มเพียงใดก็ตาม
“ขอบใจหนิงเอ๋อร์” เยว่ซิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ โดยไม่ได้สังเกตสีหน้าที่แท้จริงของสตรีอันเป็นที่รัก
“เช่นนั้นข้าต้องกลับแล้ว หากเสด็จแม่ตื่นบรรทมแล้วไม่พบข้า เกรงพระองค์จะไม่พอพระทัย”
ฉู่อ๋องเอ่ยพลางแสดงท่าทีจนปัญญา อวี้หนิงทำได้เพียงพยักหน้า ส่งเขาออกจากจวน ก่อนจะกลับมานั่งกลัดกลุ้มในห้องอุ่นเพียงลำพัง ทว่าไม่นาน เสี่ยวเหม่ยก็เร่งรีบเข้ามารายงานด้วยท่าทีร้อนรน
“คุณหนู เมื่อครู่ข้าเห็นแม่สื่อเข้ามาหานายท่าน เรื่องสู่ขอท่านให้เป็นอนุของคหบดีจงเจ้าค่ะ!”
“ว่าอย่างไรนะ! เหตุใดถึงได้ปุบปับนักเล่า?” อวี้หนิงตกใจจนนั่งไม่ติด มารดานางเพิ่งจากไปยังไม่ถึงครึ่งเดือน หลินอี้เหนียงก็คิดจะกำจัดนางเสียแล้ว
“แล้วท่านพ่อมีท่าทีอย่างไร? คหบดีจงอายุมากกว่าท่านพ่ออีกไม่ใช่หรือ?”
“จะว่าอย่างไรเล่าเจ้าคะ อนุหลินว่าอย่างไร นายท่านก็ไม่ขัดเพียงนิด นอกจากนี้ข้าได้ยินมาว่า สาวใช้ของอนุหลินจัดการหาแม่สื่อ ที่ต้องการหาอนุให้ชายแก่ หรือฮูหยินให้คนพิการ มาทาบทามคุณหนูกับนายท่านด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเอ่ยด้วยความคับแค้นใจ
“นี่เร่งรีบจะกำจัดข้าเร็วเพียงนี้เชียวหรือ...” อวี้หนิงได้แต่ถอนหายใจ ครานี้นางอับจนหนทางจริง ๆ นางเพียงหวังว่าหากฉู่อ๋องรู้เรื่องนี้ จะรีบให้แม่สื่อมาทาบทามตนโดยเร็ว
ทว่าอวี้หนิงก็ยังพอมีโชคอยู่บ้าง เมื่อขันทีเร่งไปประกาศราชโองการสู่ขอหลานสาวใต้เท้าหลินเหวินซานถึงเรือน ข่าวนี้ถูกส่งมายังจวนตระกู,ซูอย่างรวดเร็ว นั่นทำให้ตระกูลหลินและตระกูลซูโกลาหลครั้งใหญ่ เพราะหลานสาวของหลินเหวินซานมีสองคน คนหนึ่งคือหลินซื่อเหม่ย บุตรสาวคนโตของหลินฮัวเต๋อ ขุนนางขั้นสี่กรมวัง เป็นหลานสาวสายตรง อีกคนคือซูเจินหยู หลานสาวจากเรือนรอง ที่มีท่านลุงร่วมอุทรกับมารดา เป็นถึงรองเจ้ากรมอาญา
ทำให้ทั้งเรือนใหญ่และเรือนรองต่างไม่อยากให้หลานสาวของตนแต่งกับคนบ้าอย่างฉินอ๋อง หลินซือเหยียนจึงต้องกลับไปรบราคร่าฟันกับเรือนใหญ่ของบิดา จนไม่มีเวลามาสนใจเรื่องการหาสามีให้อวี้หนิงเท่าใดนัก ซ้ำเรื่องพระชายาของฉินอ๋องยังทำให้บิดา และท่านย่าของนางพลอยร้อนใจไปด้วย เพราะฮ่องเต้ไม่รับสั่งว่าต้องการหลานสาวของเจ้ากรมคลังคนใด เพียงให้หลินเหวินซานเลือกเอง
เสี่ยวเหม่ยที่วันนี้ดูอารมณ์ดีกว่าทุกวัน ยกสำรับมาให้อวี้หนิง พลางเอ่ยกับคุณหนูอย่างร่าเริง
“คุณหนูรู้หรือไม่เจ้าคะ นายท่านกับฮูหยินผู้เฒ่าเดินวกไปวนมาอยู่เช่นนี้มากกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว อาหารก็ไม่ยอมแตะแม้แต่น้อยเจ้าค่ะ”
“เพราะเรื่องงานอภิเษกของฉินอ๋องหรือ” อวี้หนิงเอ่ยถามเสียงเรียบ สายตายังจดจ้องอยู่กับจดหมายที่ท่านน้าของตนมอบให้
“เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่าแทบเป็นลม เมื่อรู้ว่าคุณหนูรองต้องแต่งให้ฉินอ๋องที่เสียสติเช่นนั้น”
“เสี่ยวเหม่ย ห้ามล่วงเกินฉินอ๋องเช่นนั้นอีก” อวี้หนิงเอ่ยขัด พลางหันไปมองสาวใช้ข้างกายด้วยสายตาตำหนิ
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยมีสีหน้าสำนึกผิด ก่อนจะถอยออกจากห้องไป
อวี้หนิงคิดถึงเรื่องราวในอดีต ครั้งที่หวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ตอนนั้นตำแหน่งไท่จื่อยังว่างเว้น ผู้คนต่างอยากเข้าหาพระนางและองค์ชายหยางเฉิง ด้วยรู้ว่าฮ่องเต้ทรงโปรดทั้งสองพระองค์มากที่สุด บัดนี้ ทุกอย่างกลับตาลปัตร ฉินอ๋องกลายเป็นคนเสียสติ ผู้คนต่างรังเกียจ แม้ยังเป็นเด็ก ทว่าอวี้หนิงก็ยังจดจำใบหน้าเปี่ยมเมตตาของฉินอ๋องในวัยเยาว์ได้ดี
ในเวลาเดียวกันที่จวนฉินอ๋อง เจียงเฟิงกำลังรายงานความเคลื่อนไหวต่อหยางเฉิง
“ท่านอ๋อง จวนตระกูลหลินปิดประตูใหญ่ไม่รับแขก สายลับรายงานว่ากุ้ยเฟยกลับไปจัดการเรื่องนี้ด้วยองค์เอง และทะเลาะใหญ่โตกับบ้านรองของเจ้ากรมคลัง หลินซือหาน รองเจ้ากรมอาญา ถึงขั้นสั่งให้คนของตนหยุดช่วยเหลือกิจการของบ้านใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงใบหน้ายังเรียบเฉย สายตายังจดจ่ออยู่กับบัญชีทรัพย์สินของตระกูลเหริน
“หลินซือหานมีเพียงบุตรลับ ๆ กับหญิงนางโลมผู้หนึ่ง แต่ฮูหยินเอกกลับไม่มีบุตรี อนุคนอื่น ๆ ก็ไร้ทายาท หากอยากได้การยอมรับจากตระกูลหลิน ย่อมหวังให้หลานสาวในไส้เกี่ยวดองกับจวนแม่ทัพเพื่อใหญ่ หวังกำลังทหาร พอถึงเวลาเหมาะสม จะได้บังคับตระกูลหลินให้ยอมรับบุตรลับ ๆ ของตนได้ เช่นนี้จะยอมได้อย่างไร ด้านกุ้ยเฟยก็นั่งไม่ติด หลินซื่อเหม่ยถือเป็นสตรีเพียบพร้อม นางหวังให้หลานสาวในไส้แต่งให้ซื่อจื่อจากจวนต้วนอ๋อง เพื่อหวังการสนับสนุนของขุนนางเก่าเช่นกัน ตอนนี้หลินเหวินซานไม่เดือดดาลก็คงไม่ได้”
“ไม่ผิดพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงถูกเชิญไปตรวจอาการใต้เท้าหลิน
เพราะโทสะโจมตีหัวใจจนกระอักเลือด ทำให้บุตรทั้งสี่ยอมรามือจากการโต้แย้งกันได้ชั่วครู่พ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงได้ยินเช่นนั้นก็เหยียดยิ้ม “น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจได้เห็นกับตา แต่ก็เอาเถิด คงไม่นานข้าจะมีโอกาสได้เห็นบ้าง”
“แล้วเรื่องเหล่าสตรีของตระกูลหลิน ถึงที่หมายหรือยัง” ร่างสูงเอ่ยพลางจ้องตราตระกูลเหรินบนโต๊ะ
เจียงเฟิงยื่นจดหมายให้หยางเฉิงก่อนเอ่ยรายงาน
“อาจารย์หานคุ้มกันกลับถึงจวนในเมืองเหอเจียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ก่อนจะกลับไปรายงานเรื่องในเมืองหลวงกับท่านผู้เฒ่าฟู่ที่เขาอู่ถง จดหมายนี้เพิ่งถูกส่งมาจากเขาอู่ถงพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงเปิดอ่าน ก่อนจะเผากระดาษนั้นทิ้ง เนื้อหาในจดหมายมาจากท่านตาของเขา ฟู่ไป๋เฉิน เป็นการกำชับไม่ให้เขาใจอ่อน และเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่นเช่นเคย
รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้
เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง
หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ
เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้







