LOGINหยางเฉิงเดินออกมาก็พบกับเจากงกงที่ยืนถือจานขนมหวานอยู่
“ขนมหวานของข้า” บุรุษหนุ่มมีท่าทีราวเด็กน้อยได้ของที่ชื่นชอบ มือหนาคว้าจานขนมกุ้ยฮวายัดข้าปากคำโต พลางยื่นหนึ่งชิ้นให้กับขันทีเบื้องหน้า
“ให้ท่านชิ้นหนึ่ง” เศษขนมจากปากกระเด็นออกมาตามจังหวะการพูด ยิ่งทำให้เขาเหมือนกับเด็กเล็กไม่ผิดเพี้ยน
“องค์ชายเสวยเถอะ กระหม่อมไม่หิว” ขันทีเฒ่ายิ้มเจื่อน พลางผลักมือเขากลับคืน ก่อนเอ่ยต่อ “ฮ่องเต้ต้องการพบองค์ชายที่ท้องพระโรง เชิญเสด็จเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงไม่ได้ตอบอะไรเพียงยัดขนมชิ้นต่อไปเข้าปาก แล้วพยักหน้าเต็มแรงเดินตามเจากงกงอย่างว่าง่าย ก่อนจะถึงท้องพระโรงหยางเฉิงจึงหันมาเอ่ยกับเจียงเฟิงเสียงเบา
“หากข้าทำทีสำลัก รีบใช้มือทุบหลังข้า”
“อย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ” เจียงเฟิงแปลกใจกับคำสั่งของผู้เป็นนาย ทว่าหยางเฉิงกลับไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เขากลับไปทำท่าทีเป็นเด็กมองไปรอบ ๆ พร้อมกลับชี้ถามเจากงกงไปเรื่อย
ภายในท้องพระโรงขุนนางใหญ่ต่างเข้าร่วมว่าราชกิจ ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้นั่งบนบัลลังก์มังกร สายพระเนตรว่างเปล่าจับจ้องมายังทางเข้าท้องพระโรง เสียงขันทีประกาศองค์ชายรองหลี่หยางเฉิงเข้าเฝ้า บุรุษในชุดมังกรห้าเล็บสีแดงเข้ม สวมรองเท้าปักลวดลายเมฆมงคล ใบหน้าเรียบนิ่งสง่างามหากแต่กลับดูน่าขันเมื่อเขาถือจานขนมหวานมาด้วย เสียงพูดคุยเริ่มดังขึ้นทำให้เทียนหยางเริ่มมีท่าทีหวาดกลัว
“ถะถวายพระพรเสด็จพ่อ”
“เงยหน้าให้ข้ามองให้ชัดหน่อย” ฮ่องเต้มองโอรสของตนด้วยแววตาที่สับสน ก่อนที่เจ้ากรมคลังจะทูลขัดขึ้น
“ทูลฝ่าบาท องค์ชายรองสติเลอะเลือนการให้พักในวังเกรงจะเป็นอันตรายต่อเชื้อพระวงศ์พระองค์อื่นได้พ่ะย่ะค่ะ”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นพร้อมกลับสุรเสียงที่เต็มไปด้วยความกริ้วของฮ่องเต้
“บังอาจ! หยางเฉิงเป็นโอรสของข้าเหตุใดจะพักในวังไม่ได้”
เหล่าขุนนางบางส่วนรีบคุกเข่าก้มหน้าลงกับพื้น หยางเฉิงลอบกวาดตามองทุกคนในท้องพระโรง ขุนนางส่วนใหญ่ที่ยังคงยืนอยู่ล้วนมีชื่อในบัญชีลับของเขาทั้งนั้น
“ทูลฝ่าบาทองค์ชายรองมีพระชนมายุสมควรที่ต้องอภิเษกแล้ว กระหม่อมหมายถึงหากองค์ชายยังพลานามัยแข็งแรง ตามกฎวังจึงต้องประทับนอกวังพ่ะย่ะค่ะ” เพ่ยซุนเทียนรองเจ้ากรมคลังเสี่ยงตายทูลคัดค้าน ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าใต้เท้าเพ่ยหวังให้บุตรสาวได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม
“หึ! ตำหนักที่ปล่อยร้างมาหลายสิบสองปีไม่มีการซ่อมแซมนั่นน่ะหรือที่เจ้าจะให้โอรสข้าไปอยู่ แม้แต่คนบ้าพวกเจ้าก็ยังไม่ละเว้นใช่หรือไม่!” ฮ่องเต้ตบบัลลังก์เสียงดังพร้อมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง สุรเสียงห้าวหาญดั่งมังกรทำให้เพ่ยซุนเทียนรักตัวกลัวตายในทันที รีบคุกเข่าจนหน้าผากแนบกับพื้น
“ทะ ทูลฝ่าบาทกรมวังทำงานไม่รอบคอบ ทำให้ขุนนางที่รับผิดชอบฉ้อโกงเงินบำรุง ตอนนี้กรมอาญาตัดสินโทษคนพวกนั้นแล้วและตำหนักขององค์ชายก็ซ่อมแซมเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” รองเจ้ากรมคลังกราบทูลต่อ
หยางเฉิงเบื่อหน่ายที่จะฟังคนพวกนี้ขัดขวางเขาเต็มที จึงทูลต่อฝ่าบาทเอง
“เสด็จพ่อ ในวังไม่สนุกเลย ลูกอยากไปอยู่ตำหนักข้างนอกที่ใต้เท้าคนนั้นเอ่ยถึง” หยางเฉิงที่กำลังเคี้ยวขนมเต็มปากเอ่ยทูล พลางชี้ไปยังเพ่ยซุนเทียน ทำให้ทุกคนกลับมาสนใจบุรุษกลางห้องโถงผู้นี้ ยังไม่ทันได้ให้ฮ่องเต้ตรัสหยางเฉิงกลับเดินถือจานขนมไปหารองเจ้ากรมคลัง
“เหตุใดคุกเข่าเล่า หรือท่านเหนื่อยหิวข้าวหรือ” หยางเฉิงนั่งบนพื้นจ้องมองชายอ้วนที่คุกเข่าอยู่ เพ่ยซุนเทียนได้แต่จ้องมองอีกฝ่ายไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้กับคนบ้าฟัง
“เอ่อ กระหม่อม...”
พอใต้เท้าเพ่ยอ้าปากหยางเฉิงก็ยัดขนมสองชิ้นเข้าปากอีกฝ่ายทันที ทำเพ่ยซุนเทียนตาเลือกเพราะขนมติดคอ
“กินขนมนี่แล้วใต้เท้าจะไม่หิว” หยางเฉิงยิ้มให้กับซุนเทียนโดยไม่ได้สนใจความทรมานของเขา เหล่าขุนนางต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น กว่าซุนเทียนจะคายขนมคำนั้นออกมาได้ สภาพเขาก็น่าเวทนาไม่น้อย
“นี่! องค์ชายรองท่านกลั่นแกล้งข้าหรือ” รองเจ้ากรมคลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยันกายลุกขึ้นมือหนึ่งชี้นิ้วเอาผิดโอรสฮ่องเต้ อีกมือกุมลำคอที่ยังแสบร้อนของตน
“ขะข้าไม่ได้ทำนะ” หยางเฉิงตกใจเผลอปล่อยมือจากจานขนมจนมันหล่นแตกกระจัดกระจาย พร้อมกับมีอาการจะสำลักอาหาร เจียงเฟิงเห็นเช่นนั้นก็ทำตามที่องค์ชายกำชับไว้ ด้วยการเข้าไปทุบหลังเขาอย่างแรง
“องค์ชาย! เป็นอะไรหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มท่าทางตกใจจนขุนนางคนอื่นต้องตกใจตามไปด้วย แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องรีบลงจากบัลลังก์มาดูอาการหยางเฉิง แต่ไม่ทันไรเขาก็พ่นเศษขนมทั้งหมดเข้าเต็มหน้าของเพ่ยซุนเทียนที่ยังคงตกใจกับอาการของหยางเฉิง
“นี่มันอะไรกัน!” ซุนเทียนร้องเสียงดังด้วยความโมโห เขาที่เกือบตายคราวนี้กลับถูกคนบ้าพ่นเศษอาหารเต็มหน้าไปหมด หากแต่หยางเฉิงกลับไม่สนใจพลางหันไปหาเจียงเฟิง
“เมื่อกี้ข้าเกือบตาย เหตุใดขนมในวังนี่ไม่อร่อยแถมทำให้ติดคออีก ข้าอยากกลับตำหนักแล้ว” หยางเฉิงทำตัวเป็นเด็กไม่ฟังเสียงคนรอบข้าง จนหมอหลวงรีบมาดูอาการองค์ชายรอง เพราะมาเมืองหลวงครั้งนี้หมอหลิวที่คอยดูแลองค์ชายไม่ได้ตามเสด็จมาจากเหอเจียง
ฮ่องเต้ที่เห็นเหตุการณ์วุ่นวายจึงโบกมือให้เจากงกงพาองค์ชายกลับตำหนัก โดยที่ไม่ได้สนใจท่าทางเจ็บแค้นของเพ่ยซุนเทียน ที่บัดนี้กลายเป็นที่น่าขบขันของเหล่าขุนนางเสียแล้ว
“ฝ่าบาทเห็นหรือไม่ ว่าองค์ชายรองทรงเป็นอันตรายต่อคนรอบข้างเพียงใด” รองเจ้ากรมคลังแม้อับอายก็จะเอาผิดคนบ้าผู้นั้นให้ได้
“เป็นเช่นที่พวกเจ้ากังวล หยางเฉิงมิอาจอยู่ในวังหลวงได้ หากแต่เขาเป็นเช่นนี้ข้าในฐานะบิดาจะปล่อยให้เขาออกไปอยู่ด้านนอกก็อดเป็นกังวลไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะออกราชโองการแต่งตั้งหยางเฉิงเป็นฉินอ๋อง”
ขุนนางต่างตกใจกับราชโองการที่ไร้เหตุผลเช่นนี้
“ฝ่าบาทไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาทตำแหน่งอ๋องขั้นชินอ๋องเช่นนี้ควรแต่งตั้งให้กับองค์ชายที่มีพระปรีชาสามารถนะพ่ะย่ะค่ะ” รองเจ้ากรมวังเอ่ยขัด
“ข้าเพียงมอบตำแหน่งเพื่อปกป้องเขา พวกเจ้าจะยอมข้าไม่ได้เลยใช่หรือไม่ แม้แต่ข้าจะแต่งตั้งองค์ชายของตนไม่ได้ เช่นนั้นข้าจะเป็นฮ่องเต้อยู่ทำไม มิสู้ให้องค์ชายสี่ขึ้นนั่งบัลลังก์มังกรเลยเล่า”
สิ้นดำรัสของฮ่องเต้ขุนนางบางส่วนเงียบกริบ อีกครึ่งหนึ่งต่างลนลานมองหน้ากัน
“เช่นนั้นก็ตามพระประสงค์ของฮ่องเต้เถอะพ่ะย่ะค่ะ หากแต่ฉินอ๋องจะไม่ได้รับหน้าที่ในราชสำนักใด ๆ ไม่มีกองกำลังทหารเป็นของตนเองเช่นนี้ฝ่าบาทเห็นด้วยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เจ้ากรมคลังรีบเอ่ยเสนอทางเลือกให้ฮ่องเต้
หลี่เทียนอี้ยิ้มอย่างพอใจ
“ได้! เอาตามที่ท่านว่า” เอ่ยจบฮ่องเต้ก็ออกจากท้องพระโรงไป
ด้านหยางเฉิงเมื่อกลับถึงตำหนัก ท่าทางราวเด็กน้อยก็หายไปใบหน้าหล่อเหลากลับมานิ่งเงียบอีกครั้ง
“เหตุใดองค์ชายต้องเล่นงานเพ่ยซุนเทียนในยามนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งวิธีนี้ก็ไม่สาสมกับความเลวทรามของคนผู้นั้นด้วยซ้ำ” เจียงเฟิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ข้าเพียงแสดงให้คนอื่นดูว่าข้าบ้าเพียงใดก็เท่านั้น บัญชีแค้นจะเริ่มนับจากนี้” หยางเฉิงเอ่ยเสียงเรียบไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ ก่อนจะล้มตัวลงนอนเอาแรง
จวนตระกูลซู........
ภายในจวนถูกประดับด้วยผ้าขาว โถงเรือนอวิ๋นซีมีโลงศพวางไว้กลางโถง สาวใช้ต่างพากันร่ำไห้มีเพียงซูอวี้หนิงที่นั่งเหม่อลอยใช้ศีรษะพิงกับโลงศพของมารดา ใบหน้างามไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ จะมีก็แต่หยดน้ำใสอุ่นที่ไหลรินออกมาจากดวงตากลมโตที่บัดนี้แดงก่ำจนไม่น่ามอง ฮูหยินของจวนพึ่งจะตายเพียงหนึ่งวัน ปกติทั้งจวนควรเศร้าโศกทว่านอกจากผ้าขาวที่ตกแต่งทั่วจวนแล้ว ก็มีเพียงเสียงร่ำไห้ของบ่าวไพร่เรือนอวิ๋นซีเท่านั้นที่เป็นเครื่องยืนยันการจากไปของฮูหยินรองเจ้ากรมโยธา ทว่าเรือนอื่น ๆ กลับยังใช้ชีวิตกันปกติ แม้แต่บิดาของนางก็ไม่มาเหยียบที่เรือนเพื่อไหว้ศพภรรยาเลยสักครั้ง
“คุณหนูท่านทานอะไรหน่อยเถอะเจ้าค่ะ ตั้งแต่เมื่อวานท่านยังไม่กินอะไรเลย” เสี่ยวเหม่ยยกถ้วยข้าวต้มนั่งลงตรงหน้าคุณหนูของตน นางมองหญิงสาวเบื้องหน้าด้วยความเวทนา
“เสี่ยวเหม่ยข้ากับท่านแม่ผิดอันใดหรือ เหตุในทั้งท่านพ่อ ท่านย่า จึงเปลี่ยนไปเพียงไม่กี่วันเช่นนี้” อวี้หนิงเลื่อนสายตามาจับจ้องที่สาวใช้ข้างกายแทน
“ไม่ผิดเลยเจ้าค่ะ ไม่ผิด ฮูหยินกับคุณหนูเมตตากับทุกคน เคารพต่อนายท่านและฮูหยินผู้เฒ่าเสียยิ่งกว่าเทพเซียน หากจะมีคนผิดก็เป็นพวกเขาเองที่เห็นจวิ้นอ๋องกำลังหมดวาสนา เกรงจะมีภัยติดตัวทั้งอยากเอาใจตระกูลหลินจึงได้ทำกับพวกท่านเช่นนี้” เสี่ยวเหม่ยที่ดวงตาแดงก่ำไม่ต่างจากเจ้านายออกความเห็น แม้นางเป็นเพียงสาวใช้ไร้การศึกษาทว่าคนตระกูลซูแสดงออกชัดเจนเพียงนี้ มีหรือบ่าวไพร่เช่นนางจะดูไม่ออก
แง~ ไรท์ลืมลงนิยายเมื่อวาน เดี๋ยววันนี้ลงชดเชยให้นะคะ
รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้
เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง
หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ
เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้







