LOGINไม่นานเสียงดังเอะอะจากภายนอกก็ดังขึ้น จนดึงความสนใจของหญิงสาวในชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ อวี้หนิงลุกขึ้นจากพื้นเดินออกไปดูเหตุการณ์ภายนอก ทว่ายังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องโถงก็พบเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยเสียก่อน ดวงตางามที่ยังแดงก่ำทว่าไร้หยดน้ำตา บัดนี้เอ่อล้นด้วยคลื่นน้ำอุ่นอีกครั้ง นางมองบุรุษเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตา ใบหน้านั้นยังคงมีความอ่อนโยนให้นางเช่นเคย
“หนิงเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความสั่นเครือดังขึ้น
“ฉู่อ๋อง” นางยอบกายเรียกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยห่างจากเขาเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิง ทว่าข้อมือของนางกลับถูกมือหนารั้งเข้าหา การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงอวี้หนิง แม้แต่รองเจ้ากรมโยธาอย่างซูจิ้งซวนและหลินซือเหยียนก็ยังตกตะลึงกับท่าทีเช่นนี้ หากแต่มีหรือที่หลี่เยว่ซิงจะสนใจ
“เวลาเช่นนี้ยังจะสนใจธรรมเนียมอีก” บุรุษตัวสูงเอ่ยตำหนินางเสียงดัง ทว่าดวงตากลับเจือไปด้วยความห่วงใย
อวี้หนิงนิ่งเงียบ นางยังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย นางเกรงว่าความอ่อนแอนี้ยิ่งจะทำให้เขาเป็นกังวล
หลินซือเหยียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลี่เยว่ซิงก็รีบเอ่ยขัด
“ฉู่อ๋องเพิ่งเสด็จกลับมาจากทางใต้เช่นนี้ กุ้ยเฟยคงรอพบพระองค์นานแล้ว เหตุใดไม่...”
“หุบปาก!”
ยังไม่ทันให้หลินซือเหยียนเอ่ยอันใดจบ เยว่ซิงก็ตวาดเสียงดังลั่น ทำให้นางต้องตกใจจนรีบเงียบปากไป รวมทั้งท่าทีสนิทชิดเชื้อเมื่อครู่ก็หายไปในทันที แม้ว่าหลินซือเหยียนจะเป็นท่านน้าของฉู่อ๋อง ทว่าก็เกิดจากอนุของท่านตา มารดาของเขาจึงไม่เห็นสตรีผู้นี้เป็นดั่งน้องสาว หากหลินซือเหยียนไม่ได้แต่งเข้าจวนรองเจ้ากรมโยธา หญิงนางนี้ก็ไร้ค่ากับตระกูลหลินแล้ว
ซูจิ้งซวนที่เป็นเจ้าของจวนนั้นกลับยังนิ่งสงบ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเตือนไม่กี่คำ
“ท่านอ๋องคงได้ยินข่าวลือมาบ้างกระมัง เรื่องของอวี้หนิงกับไท่จื่อ”
“ข้ารู้ หากแต่นั้นก็ยังไม่ทันได้เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงการไปมาหาสู่ของอดีตจวิ้นอ๋องกับจางกั๋วกงก็เท่านั้น ราชโองการยังไม่มี พิธีหมั้นหมายก็ยังไม่เกิดขึ้น” เยว่ซิงเอ่ยโดยไม่หันมองจิ้งซวนด้วยซ้ำ ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของเขายังคงจ้องมองอยู่ที่อวี้หนิงเพียงผู้เดียว
“แต่นั่นก็...” จิ้งซวนยังมีท่าทีลำบากใจ นั่นก็ไท่จื่อนี่ก็องค์ชายสาม หากผิดใจกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขามีแต่จะต้องเจ็บตัว
“ใต้เท้าซูวางใจ วันนี้ข้าเพียงมาพูดคุยกับหนิงเอ๋อร์ และคารวะศพของฮูหยินซูแทนฮ่องเต้ ข้าจะไม่ลากตระกูลท่านไปผิดใจกับจวนกั๋วกงแน่”
จิ้งซวนที่ไม่อาจทำสิ่งใดไปได้มากกว่านี้ จึงได้เพียงถอยออกไป โดยที่ก่อนไปยังมิวายส่งสายตากำชับให้บุตรสาวสงบปากสงบคำ
“ท่านอ๋องเชิญ” อวี้หนิงเมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว จึงผายมือให้เขาคารวะศพมารดา
เยว่ซิงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เดินไปหยุดด้านหน้าโลงศพก่อนคารวะฮูหยินซูตามพิธี ก่อนหันกลับมาหานางอีกครั้ง
“เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ ฮูหยินซูนาง...” เยว่ซิงไม่รู้จะถามด้วยคำถามใด จึงจะไม่ทำให้สตรีร่างบางตรงหน้าต้องบอบช้ำไปมากกว่านี้
“ท่านแม่คุกเข่าให้ท่านพ่อช่วยออกหน้าเรื่องคดีของตระกูลเหริน ท่านย่าไม่พอใจเลยให้บ่าวโบยสั่งสอน สุดท้ายท่านแม่ที่ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้วก็สิ้นใจในวันนั้น” อวี้หนิงเอ่ยเสียงสั่นเครือ โดยสายตาของนางยังคงจ้องไปยังโลงศพของมารดา
“เลวนัก! ฮูหยินเฒ่าซูช่างไร้เหตุผล เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะจัดการคนพวกนี้ให้กับเจ้า” เยว่ซิงเดือดดาล ก่อนหมุนกายออกจากโถงเรือน ทว่ายังไม่พ้นเขตเรือนกลับถูกอวี้หนิงวิ่งมาขวางทางไว้เสียก่อน
“ท่านอ๋องอย่าทำเช่นนั้นเพคะ” นางตกใจจนรีบรั้งมือของอีกฝ่ายไว้
“เจ้ายังคิดจะปกป้องหญิงเฒ่าคนนั้นอีกหรือ? นางไม่เห็นเจ้าเป็นหลานด้วยซ้ำ”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้อวี้หนิงแตกสลาย ทุกคนดูออกว่าตระกูลซูไม่ได้รักนางและมารดา เพียงกอบโกยผลประโยชน์กับพวกนางเท่านั้น คงมีเพียงนางและมารดาที่เต็มใจจะเชื่อเรื่องหลอกลวงที่ท่านพ่อและท่านย่าสร้างขึ้น
“หม่อมฉันไม่ได้ห่วงพวกเขา แต่หากองค์ชายคิดใช้กำลังกับพวกเขา ต่อจากนี้หม่อมฉันคงไม่อาจอยู่ในตระกูลนี้ได้ อีกทั้งพวกเขาคงใช้เรื่องนี้อ้างว่าหม่อมฉันอกตัญญู ให้คนนอกข่มเหงครอบครัว และให้เป็นเหตุผลขับหม่อมฉันออกจากจวนแน่”
ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำจ้องมองเขาอย่างอ้อนวอน มือเรียวยังคงกุมมือเขาอย่างลืมตัว จนทำให้เยว่ซิงยอมใจเย็นลงในที่สุด
“แล้วเจ้าจะยอมอยู่กับคนที่เป็นต้นเหตุให้มารดาต้องตายหรือ”
อวี้หนิงนิ่งงันเมื่อได้ยินคำถามนี้ ก่อนที่นางจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เพคะ ขอเพียงหม่อมฉันได้สินเดิมของท่านแม่กลับมาก็จะจากไป” นางบอกความจริงเพียงครึ่ง
เยว่ซิงที่รู้ดังนั้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างกุมมือนางบ้าง ทำให้อวี้หนิงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกุมมือเขาอยู่ ก่อนนางจะรีบดึงมือกลับแล้วก้าวออกห่างเขาอีกนิด เยว่ซิงที่เห็นเช่นนั้นไม่ได้ว่าอันใด เขารู้ดีว่านางสงวนท่าทีเพียงใด เมื่อครู่คงร้อนใจจนเป็นฝ่ายถูกเนื้อต้องตัวเขาก่อน
“เช่นนั้นเจ้า...ไปอยู่ที่ตำหนักของข้า...ดีหรือไม่” บุรุษหนุ่มเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ เกรงถูกนางปฏิเสธ แม้ว่าท่าทีที่นางมีต่อเขาจะแตกต่างจากบุรุษอื่น นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาและนางเป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนเมื่อเวลาผันผ่าน ความใกล้ชิดก็ทำให้ชายหญิงเริ่มมีใจให้กัน
อวี้หนิงชะงักงันกับคำพูดของเขา ที่จริงนางรอให้เขาเอ่ยคำนี้มานาน ทว่าจวนกั๋วกงกลับแสดงท่าทีต้องการหมั้นหมายกับนางเสียก่อน นางที่เป็นเพียงสตรีเรือนหลังจึงหน้าไม่หนาพอจะถามความในใจของบุรุษ แต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่เฝ้ารอ ในใจนางกลับหนักอึ้ง
“กุ้ยเฟยพระนางจะยอมหรือเพคะ” หากตอนที่จวิ้นอ๋อง ท่านตาของนางยังไม่ถูกล่าวโทษ นางคงไม่กังวล แต่ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น
เยว่ซิงที่ได้ยิน พลันยิ้มกว้าง เขาอยากจะมีนางในชีวิตมานาน ทว่ากลับทำเพียงไปมาหาสู่นางในฐานะสหาย ความชะล่าใจนี้กลับทำให้เขาเกือบเสียนางไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาจึงไม่คิดปล่อยมืออีก
“เสด็จแม่ไม่มีทางขัดขวางแน่!” ร่างสูงกล่าวอย่างหนักแน่น ก่อนดึงมือนางมากุมไว้แนบอก เมื่อนางตอบตกลงเช่นนี้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีอีกต่อไป โดยที่อวี้หนิงเองก็ไม่คิดขัดขืนเช่นกัน
“เช่นนั้นให้ข้าช่วยนำสินเดิมแม่เจ้ากลับมาดีหรือไม่ ข้าออกหน้า ตระกูลซูคงไว้หน้าบ้าง”
“อย่าเลยเพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันจะจัดการเอง หากท่านอ๋องต้องการช่วยหม่อมฉัน พระองค์พาหม่อมฉันไปที่คุกหลวงได้หรือไม่ ท่านตา ท่านยาย ท่านน้า และคนตระกูลเหรินยังอยู่ที่นั่น อีกสองวันพวกท่านจะถูกส่งไปชายแดนแล้ว” ดวงตากลมโตนั้นแสดงความอ้อนวอน
“ได้! วันพรุ่งหลังเจ้าส่งฮูหยินซูแล้ว ในยามซวีข้าจะมารับเจ้า” เยว่ซิงรับคำ ก่อนที่ทั้งสองจะพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ฉู่อ๋องก็ขอตัวจากไป
ปลายยามโย่ว ภายในตำหนักเยว่ฮวา มีเพียงความเงียบ เครื่องใช้ภายในตำหนักยังคงถูกทำความสะอาดและวางไว้เช่นเดิม เหมือนตอนที่หวงกุ้ยเฟยยังคงมีชีวิตอยู่ ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้ในเสื้อคลุมมังกร ยืนจดจ้องป้ายวิญญาณของสตรีอันเป็นที่รักด้วยแววตาโศกเศร้า เพียงไม่นาน สายลมสายหนึ่งก็พัดผ่านหน้าต่างตำหนักในห้องโถง ก่อนบุรุษในอาภรณ์สีเข้มปักลายมังกรห้าเล็บจะปรากฏในเงามืด
“เสด็จพ่อ” ร่างสูงค้อมกายให้บิดา
“สิบสองปีนี้เจ้าอยู่ดีมีสุขหรือไม่” สุรเสียงของฮ่องเต้แหบพร่า
“ลูกสบายดี...ในแบบที่ตระกูลฟู่มอบให้”
หลี่เทียนอี้หมุนกายกลับมาจ้องมองโอรสให้เต็มตา เขาเฝ้ารอให้บุตรชายผู้นี้กลับมา เขาอยากจะปลอบประโลมหัวใจที่แตกสลายของโอรส ทว่าบัดนี้ เขากลับไม่กล้าเข้าใกล้ลูกชายไปมากกว่านี้ เวลาสิบสองปี เด็กชายที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน บัดนี้หลงเหลือเพียงความแค้น และความเย็นชาที่แผ่ไอเย็นอยู่ทั่วร่าง ดวงตาคู่งามของโอรสทำให้เขายังหวนระลึกถึงนางอันเป็นที่รักที่จากไป
“เจ้าคงยังนึกโทษข้า ท่านตาของเจ้าก็เช่นกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงตอบอย่างไม่ปิดบัง
“หึ! นั่นก็สมควรแล้ว”
เทียนอี้หมุนกายกลับไปจ้องป้ายวิญญาณของหรงเยว่อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถาม
“ครั้งนี้เจ้าอยากให้พ่อชดเชยอย่างไร”
“กระหม่อมอยากแต่งกับหลานสาวตระกูลหลิน”
ฮ่องเต้ตกพระทัยกับสิ่งที่ได้ยิน จนต้องผินกายกลับมามองโอรส
“ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ เจ้าอยากอภิเษกสมรสกับหลานสาวเจ้ากรมคลังเช่นนั้นหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คำยืนยันของหยางเฉิง ทำให้ฮ่องเต้หน้านิ่วคิ้วขมวดในทันที
แง~ ไรท์ลืมลงนิยายเมื่อวาน เดี๋ยววันนี้ลงชดเชยให้นะคะ
รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้
เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง
หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ
เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้







