LOGINไม่นานเสียงดังเอะอะจากภายนอกก็ดังขึ้น จนดึงความสนใจของหญิงสาวในชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ อวี้หนิงลุกขึ้นจากพื้นเดินออกไปดูเหตุการณ์ภายนอก ทว่ายังไม่ทันก้าวพ้นประตูห้องโถงก็พบเข้ากับใบหน้าที่คุ้นเคยเสียก่อน ดวงตางามที่ยังแดงก่ำทว่าไร้หยดน้ำตา บัดนี้เอ่อล้นด้วยคลื่นน้ำอุ่นอีกครั้ง นางมองบุรุษเบื้องหน้าผ่านม่านน้ำตา ใบหน้านั้นยังคงมีความอ่อนโยนให้นางเช่นเคย
“หนิงเอ๋อร์” เสียงทุ้มต่ำเต็มไปด้วยความสั่นเครือดังขึ้น
“ฉู่อ๋อง” นางยอบกายเรียกเขาเสียงเบา ก่อนจะถอยห่างจากเขาเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างชายหญิง ทว่าข้อมือของนางกลับถูกมือหนารั้งเข้าหา การกระทำเช่นนี้ไม่ใช่เพียงอวี้หนิง แม้แต่รองเจ้ากรมโยธาอย่างซูจิ้งซวนและหลินซือเหยียนก็ยังตกตะลึงกับท่าทีเช่นนี้ หากแต่มีหรือที่หลี่เยว่ซิงจะสนใจ
“เวลาเช่นนี้ยังจะสนใจธรรมเนียมอีก” บุรุษตัวสูงเอ่ยตำหนินางเสียงดัง ทว่าดวงตากลับเจือไปด้วยความห่วงใย
อวี้หนิงนิ่งเงียบ นางยังคงก้มหน้าไม่ยอมสบตาอีกฝ่าย นางเกรงว่าความอ่อนแอนี้ยิ่งจะทำให้เขาเป็นกังวล
หลินซือเหยียนเห็นท่าทีเช่นนี้ของหลี่เยว่ซิงก็รีบเอ่ยขัด
“ฉู่อ๋องเพิ่งเสด็จกลับมาจากทางใต้เช่นนี้ กุ้ยเฟยคงรอพบพระองค์นานแล้ว เหตุใดไม่...”
“หุบปาก!”
ยังไม่ทันให้หลินซือเหยียนเอ่ยอันใดจบ เยว่ซิงก็ตวาดเสียงดังลั่น ทำให้นางต้องตกใจจนรีบเงียบปากไป รวมทั้งท่าทีสนิทชิดเชื้อเมื่อครู่ก็หายไปในทันที แม้ว่าหลินซือเหยียนจะเป็นท่านน้าของฉู่อ๋อง ทว่าก็เกิดจากอนุของท่านตา มารดาของเขาจึงไม่เห็นสตรีผู้นี้เป็นดั่งน้องสาว หากหลินซือเหยียนไม่ได้แต่งเข้าจวนรองเจ้ากรมโยธา หญิงนางนี้ก็ไร้ค่ากับตระกูลหลินแล้ว
ซูจิ้งซวนที่เป็นเจ้าของจวนนั้นกลับยังนิ่งสงบ ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยเตือนไม่กี่คำ
“ท่านอ๋องคงได้ยินข่าวลือมาบ้างกระมัง เรื่องของอวี้หนิงกับไท่จื่อ”
“ข้ารู้ หากแต่นั้นก็ยังไม่ทันได้เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงการไปมาหาสู่ของอดีตจวิ้นอ๋องกับจางกั๋วกงก็เท่านั้น ราชโองการยังไม่มี พิธีหมั้นหมายก็ยังไม่เกิดขึ้น” เยว่ซิงเอ่ยโดยไม่หันมองจิ้งซวนด้วยซ้ำ ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาของเขายังคงจ้องมองอยู่ที่อวี้หนิงเพียงผู้เดียว
“แต่นั่นก็...” จิ้งซวนยังมีท่าทีลำบากใจ นั่นก็ไท่จื่อนี่ก็องค์ชายสาม หากผิดใจกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เขามีแต่จะต้องเจ็บตัว
“ใต้เท้าซูวางใจ วันนี้ข้าเพียงมาพูดคุยกับหนิงเอ๋อร์ และคารวะศพของฮูหยินซูแทนฮ่องเต้ ข้าจะไม่ลากตระกูลท่านไปผิดใจกับจวนกั๋วกงแน่”
จิ้งซวนที่ไม่อาจทำสิ่งใดไปได้มากกว่านี้ จึงได้เพียงถอยออกไป โดยที่ก่อนไปยังมิวายส่งสายตากำชับให้บุตรสาวสงบปากสงบคำ
“ท่านอ๋องเชิญ” อวี้หนิงเมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว จึงผายมือให้เขาคารวะศพมารดา
เยว่ซิงไม่เอ่ยสิ่งใดอีก เดินไปหยุดด้านหน้าโลงศพก่อนคารวะฮูหยินซูตามพิธี ก่อนหันกลับมาหานางอีกครั้ง
“เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ได้ ฮูหยินซูนาง...” เยว่ซิงไม่รู้จะถามด้วยคำถามใด จึงจะไม่ทำให้สตรีร่างบางตรงหน้าต้องบอบช้ำไปมากกว่านี้
“ท่านแม่คุกเข่าให้ท่านพ่อช่วยออกหน้าเรื่องคดีของตระกูลเหริน ท่านย่าไม่พอใจเลยให้บ่าวโบยสั่งสอน สุดท้ายท่านแม่ที่ร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้วก็สิ้นใจในวันนั้น” อวี้หนิงเอ่ยเสียงสั่นเครือ โดยสายตาของนางยังคงจ้องไปยังโลงศพของมารดา
“เลวนัก! ฮูหยินเฒ่าซูช่างไร้เหตุผล เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะจัดการคนพวกนี้ให้กับเจ้า” เยว่ซิงเดือดดาล ก่อนหมุนกายออกจากโถงเรือน ทว่ายังไม่พ้นเขตเรือนกลับถูกอวี้หนิงวิ่งมาขวางทางไว้เสียก่อน
“ท่านอ๋องอย่าทำเช่นนั้นเพคะ” นางตกใจจนรีบรั้งมือของอีกฝ่ายไว้
“เจ้ายังคิดจะปกป้องหญิงเฒ่าคนนั้นอีกหรือ? นางไม่เห็นเจ้าเป็นหลานด้วยซ้ำ”
คำพูดนี้ยิ่งทำให้อวี้หนิงแตกสลาย ทุกคนดูออกว่าตระกูลซูไม่ได้รักนางและมารดา เพียงกอบโกยผลประโยชน์กับพวกนางเท่านั้น คงมีเพียงนางและมารดาที่เต็มใจจะเชื่อเรื่องหลอกลวงที่ท่านพ่อและท่านย่าสร้างขึ้น
“หม่อมฉันไม่ได้ห่วงพวกเขา แต่หากองค์ชายคิดใช้กำลังกับพวกเขา ต่อจากนี้หม่อมฉันคงไม่อาจอยู่ในตระกูลนี้ได้ อีกทั้งพวกเขาคงใช้เรื่องนี้อ้างว่าหม่อมฉันอกตัญญู ให้คนนอกข่มเหงครอบครัว และให้เป็นเหตุผลขับหม่อมฉันออกจากจวนแน่”
ดวงตาที่ยังคงแดงก่ำจ้องมองเขาอย่างอ้อนวอน มือเรียวยังคงกุมมือเขาอย่างลืมตัว จนทำให้เยว่ซิงยอมใจเย็นลงในที่สุด
“แล้วเจ้าจะยอมอยู่กับคนที่เป็นต้นเหตุให้มารดาต้องตายหรือ”
อวี้หนิงนิ่งงันเมื่อได้ยินคำถามนี้ ก่อนที่นางจะส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เพคะ ขอเพียงหม่อมฉันได้สินเดิมของท่านแม่กลับมาก็จะจากไป” นางบอกความจริงเพียงครึ่ง
เยว่ซิงที่รู้ดังนั้น ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างกุมมือนางบ้าง ทำให้อวี้หนิงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองกุมมือเขาอยู่ ก่อนนางจะรีบดึงมือกลับแล้วก้าวออกห่างเขาอีกนิด เยว่ซิงที่เห็นเช่นนั้นไม่ได้ว่าอันใด เขารู้ดีว่านางสงวนท่าทีเพียงใด เมื่อครู่คงร้อนใจจนเป็นฝ่ายถูกเนื้อต้องตัวเขาก่อน
“เช่นนั้นเจ้า...ไปอยู่ที่ตำหนักของข้า...ดีหรือไม่” บุรุษหนุ่มเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ เกรงถูกนางปฏิเสธ แม้ว่าท่าทีที่นางมีต่อเขาจะแตกต่างจากบุรุษอื่น นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเขาและนางเป็นสหายกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ จนเมื่อเวลาผันผ่าน ความใกล้ชิดก็ทำให้ชายหญิงเริ่มมีใจให้กัน
อวี้หนิงชะงักงันกับคำพูดของเขา ที่จริงนางรอให้เขาเอ่ยคำนี้มานาน ทว่าจวนกั๋วกงกลับแสดงท่าทีต้องการหมั้นหมายกับนางเสียก่อน นางที่เป็นเพียงสตรีเรือนหลังจึงหน้าไม่หนาพอจะถามความในใจของบุรุษ แต่ตอนนี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่เฝ้ารอ ในใจนางกลับหนักอึ้ง
“กุ้ยเฟยพระนางจะยอมหรือเพคะ” หากตอนที่จวิ้นอ๋อง ท่านตาของนางยังไม่ถูกล่าวโทษ นางคงไม่กังวล แต่ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้น
เยว่ซิงที่ได้ยิน พลันยิ้มกว้าง เขาอยากจะมีนางในชีวิตมานาน ทว่ากลับทำเพียงไปมาหาสู่นางในฐานะสหาย ความชะล่าใจนี้กลับทำให้เขาเกือบเสียนางไปแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาจึงไม่คิดปล่อยมืออีก
“เสด็จแม่ไม่มีทางขัดขวางแน่!” ร่างสูงกล่าวอย่างหนักแน่น ก่อนดึงมือนางมากุมไว้แนบอก เมื่อนางตอบตกลงเช่นนี้ เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องสงวนท่าทีอีกต่อไป โดยที่อวี้หนิงเองก็ไม่คิดขัดขืนเช่นกัน
“เช่นนั้นให้ข้าช่วยนำสินเดิมแม่เจ้ากลับมาดีหรือไม่ ข้าออกหน้า ตระกูลซูคงไว้หน้าบ้าง”
“อย่าเลยเพคะ เรื่องนี้หม่อมฉันจะจัดการเอง หากท่านอ๋องต้องการช่วยหม่อมฉัน พระองค์พาหม่อมฉันไปที่คุกหลวงได้หรือไม่ ท่านตา ท่านยาย ท่านน้า และคนตระกูลเหรินยังอยู่ที่นั่น อีกสองวันพวกท่านจะถูกส่งไปชายแดนแล้ว” ดวงตากลมโตนั้นแสดงความอ้อนวอน
“ได้! วันพรุ่งหลังเจ้าส่งฮูหยินซูแล้ว ในยามซวีข้าจะมารับเจ้า” เยว่ซิงรับคำ ก่อนที่ทั้งสองจะพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ฉู่อ๋องก็ขอตัวจากไป
ปลายยามโย่ว ภายในตำหนักเยว่ฮวา มีเพียงความเงียบ เครื่องใช้ภายในตำหนักยังคงถูกทำความสะอาดและวางไว้เช่นเดิม เหมือนตอนที่หวงกุ้ยเฟยยังคงมีชีวิตอยู่ ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้ในเสื้อคลุมมังกร ยืนจดจ้องป้ายวิญญาณของสตรีอันเป็นที่รักด้วยแววตาโศกเศร้า เพียงไม่นาน สายลมสายหนึ่งก็พัดผ่านหน้าต่างตำหนักในห้องโถง ก่อนบุรุษในอาภรณ์สีเข้มปักลายมังกรห้าเล็บจะปรากฏในเงามืด
“เสด็จพ่อ” ร่างสูงค้อมกายให้บิดา
“สิบสองปีนี้เจ้าอยู่ดีมีสุขหรือไม่” สุรเสียงของฮ่องเต้แหบพร่า
“ลูกสบายดี...ในแบบที่ตระกูลฟู่มอบให้”
หลี่เทียนอี้หมุนกายกลับมาจ้องมองโอรสให้เต็มตา เขาเฝ้ารอให้บุตรชายผู้นี้กลับมา เขาอยากจะปลอบประโลมหัวใจที่แตกสลายของโอรส ทว่าบัดนี้ เขากลับไม่กล้าเข้าใกล้ลูกชายไปมากกว่านี้ เวลาสิบสองปี เด็กชายที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยน บัดนี้หลงเหลือเพียงความแค้น และความเย็นชาที่แผ่ไอเย็นอยู่ทั่วร่าง ดวงตาคู่งามของโอรสทำให้เขายังหวนระลึกถึงนางอันเป็นที่รักที่จากไป
“เจ้าคงยังนึกโทษข้า ท่านตาของเจ้าก็เช่นกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงตอบอย่างไม่ปิดบัง
“หึ! นั่นก็สมควรแล้ว”
เทียนอี้หมุนกายกลับไปจ้องป้ายวิญญาณของหรงเยว่อีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยถาม
“ครั้งนี้เจ้าอยากให้พ่อชดเชยอย่างไร”
“กระหม่อมอยากแต่งกับหลานสาวตระกูลหลิน”
ฮ่องเต้ตกพระทัยกับสิ่งที่ได้ยิน จนต้องผินกายกลับมามองโอรส
“ข้าไม่ได้ฟังผิดใช่หรือไม่ เจ้าอยากอภิเษกสมรสกับหลานสาวเจ้ากรมคลังเช่นนั้นหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
คำยืนยันของหยางเฉิง ทำให้ฮ่องเต้หน้านิ่วคิ้วขมวดในทันที
แง~ ไรท์ลืมลงนิยายเมื่อวาน เดี๋ยววันนี้ลงชดเชยให้นะคะ
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







