LOGINหน้าห้องพักของเหล่าเจ้านายตระกูลเหริน ทหารคุ้มกันแน่นหนา แม้รู้ว่าคนตระกูลเหรินไม่มีทางหนีอาญาแผ่นดิน ทว่าทหารกลุ่มนี้กลับถูกส่งมาคุ้มกันนักโทษจากการถูกลอบสังหารมากกว่า
หยางเฉิงหยุดอยู่หน้าประตู ทหารหน้าห้องประสานมือค้อมกายก่อนถอยห่างออกจากประตูหลายก้าว
เหล่าเจ้านายตระกูลเหรินต่างแปลกใจเมื่อเห็นบุรุษในชุดคลุมสีนิลปิดบังหน้าตาเดินเข้ามาด้านใน
“เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของชายชราฟังดูน่าเกรงขาม สมกับเป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้าหยาง
“คนผู้หนึ่งที่เคยชื่นชมความเที่ยงธรรมของท่าน” หยางเฉิงเอ่ย พลางวางมีดสั้นลงบนโต๊ะกลม ฝักของมันเป็นลายพยัคฆ์ สลักคำว่า ‘เหริน’ อย่างชัดเจน
เหรินซิงหยูตกตะลึงเมื่อเห็นมีดสั้นเล่มนั้นอีกครั้ง ชายชราจำได้ดี มีดสั้นเล่มนี้คือสิ่งที่ติดกายเขาตั้งแต่ออกรบครั้งแรก จนกระทั่งการรบครั้งสุดท้าย ก่อนจะมอบมันให้กับโอรสของฮ่องเต้ ผู้ที่เคยบอกเขาว่าในภายภาคหน้าจะปกป้องราษฎรเช่นปกป้องคนในครอบครัว
ซิงหยูแม้ยังถูกโซ่ล่ามขาทั้งสองข้าง รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะประสานมือต่อหน้าบุรุษผู้มาเยือน ทำให้ทั้งบุตรชายและฮูหยินเฒ่าต่างตกใจ
“กระหม่อมนักโทษเหรินซิงหยู คารวะฉินอ๋องหยางเฉิง”
ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แม้ยังไม่เข้าใจ ทว่าก็คุกเข่าตามในทันที ก่อนที่หยางเฉิงจะถอดผ้าปิดหน้าออก นั่นยิ่งทำให้คนตระกูลเหรินต้องแปลกใจ ทั่วราชสำนักต่างรู้ดีว่าองค์ชายหยางเฉิงทรงเสียสติ ตั้งแต่ที่พระมารดาสิ้นพระชนม์ แต่เหตุไฉนบุรุษเบื้องหน้าพวกเขากลับข่าเกรงขาม อีกทั้งไอสังหารที่แผ่ออกมาโดยรอบอีก ไม่เหมือนคนเสียสติแม้แต่น้อย
“ข้าเพียงคนบ้า รับการคุกเข่าจากตระกูลเหรินไม่ไหวกระมัง ลุกขึ้นเถิด” หยางเฉิงเอ่ย พลางนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้น
“ตระกูลเหรินผิดต่อต่อท่านอ๋องและหวงกุ้ยเฟย ครั้งนี้ขอคำนับให้ท่านอ๋องแล้ว”
เมื่อซิงหยูเอ่ยจบ ทุกคนก็โขลกศีรษะคำนับบุรุษเบื้องหน้า
หยางเฉิงมองทุกอย่างเป็นอากาศธาตุ ไม่ได้แสดงคลื่นอารมณ์ใดผ่านดวงตาสีนิลแม้แต่น้อย
“จวิ้นอ๋องและตระกูลเหรินผิดอันใดเล่า”
ชายชราได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าฉินอ๋องมาครั้งนี้ คงเพราะต้องการคำสารภาพผิดของตระกูลเหรินเมื่อสิบสองปีก่อนแน่
“กระหม่อมโง่เขลา ยึดติดกับคำสัตย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก จนเมินเฉยต่อคำขอขององค์ชายให้ช่วยเหลือหวงกุ้ยเฟย จนพระนางต้องสิ้นพระชนม์”
“โอ้! ข้าพึ่งรู้ว่าจวิ้นอ๋องยังจำได้อยู่” หยางเฉิงเลิกคิ้ว พลางวางถ้วยน้ำชาลงอย่างไม่ใส่ใจ
ซิงหยูที่ละอายใจ ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้อีก
ร่างสูงบนเก้าอี้เห็นคนตระกูลเหรินไม่มีสิ่งใดโต้แย้ง ก็นึกขันในใจ สวรรค์มักเล่นตลกกับชีวิตผู้อื่น ใครจะนึกว่าบัดนี้ตระกูลเหรินก็จะถึงคราวถูกใส่ร้าย ไร้คนเหลียวแลเช่นกัน
“เอาเถิด พวกท่านก็ได้รับกรรมของตนแล้ว ข้าก็เห็นพอแล้ว เช่นนั้นก็ขอกล่าวลาพวกท่านตรงนี้แล้วกัน” เอ่ยจบ หยางเฉิงก็เตรียมลุกจากไป
“ฉินอ๋องโปรดเมตตา!” เหรินซือเฉิงที่รู้เต็มอกว่าเรื่องราวทั้งหมดตนเป็นต้นเหตุ จึงเอ่ยขอความเมตตาจากบุรุษเบื้องหน้า
หยางเหยิงหยุดเดิน ก่อนเอ่ยเสียงเย็น
“โอ้! เมตตาอันใดเล่า” ใบหน้าเย็นชาหันกลับมามองคนตระกูลเหรินที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง เรื่องทั้งหมดเกิดจากกระหม่อมที่เมามายจนขาดสติ เที่ยวหอนางโลมให้เสื่อมเกียรติของตระกูลเหริน ซ้ำยังพลั้งมือฆ่าหญิงคณิกา จนทำให้ตระกูลเหรินเดือดร้อน ครั้งนั้นแม้ฝ่าบาทไม่เอาเรื่อง แต่เป็นท่านพ่อที่ต้องยึดถือความเป็นธรรม ให้กระหม่อมออกจากราชสำนัก อยู่คุกหลวงหนึ่งปี และให้หาหนทางทำคุณให้บ้านเมือง ตัวท่านพ่อเองก็ขอถอนตัวจากราชสำนัก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานเมืองอีก เป็นเหตุให้ไม่อาจช่วยเหลือพระองค์ในครั้งนั้นได้ มาครานี้ก็คาดว่าเรื่องที่กระหม่อมรับร้องทุกข์ชาวบ้าน จะนำภัยมาสู่ตระกูลเหรินอีกครั้ง การไปชายแดนครั้งนี้ตระกูลเหรินคงไม่อาจพ้นภัย ขอท่านอ๋องสังหารกระหม่อม แล้วช่วยตระกูลเหรินด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหรินซือเฉิงโขลกหน้าผากลงกับพื้นเสียงดัง
ฮูหยินเฒ่าเหรินฉีเหนียงตกใจกับคำพูดบุตรชายคนรอง จนต้องร้องขอความเมตตาอีกครั้ง
“ท่านอ๋องโปรดเมตตา ซือเฉิงไม่ได้มีเจตนาเป็นต้นเหตุให้พระมารดาของท่านต้องสิ้นพระชนม์ พวกเราไม่รู้ว่าการที่ตระกูลเหรินไม่ได้ออกหน้าครั้งนั้นจะทำให้หวงกุ้ยเฟยต้องสิ้นพระชนม์ โปรดอย่าเอาชีวิตเขาเลยเพคะ”
“ฮูหยินเหรินอย่าได้ร้อนใจ ข้าไม่เอาชีวิตลูกชายเจ้าหรอก การที่ตระกูลเหรินจะช่วยหรือไม่ช่วยข้าในครั้งนั้นก็เป็นสิทธิ์ของพวกเจ้า ครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้าจะช่วยหรือไม่ช่วยพวกเจ้าก็เป็นสิทธิ์ของข้าเช่นกัน”
เหรินจิ้งอวี้มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นาน ก็พอจะเดาจุดพระประสงค์ของฉินอ๋องได้
บุรุษหนุ่มเบื้องหลังที่นิ่งฟังการสนทนาของทุกคนอยู่นาน เอ่ยปากถามผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“กระหม่อมนักโทษผู้ต่ำต้อย ขอคาดเดาพระประสงค์ของท่านอ๋อง การที่ทหารถูกสับเปลี่ยน พระองค์เปิดเผยความลับกับพวกกระหม่อมเช่นนี้ คงคิดช่วยเหลือตระกูลเหรินใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำพูดของจิ้งอวี้ คนตระกูลเหรินต่างหันไปมองเด็กหนุ่มเบื้องหลัง
“หึ! แม่ทัพเหรินหมิงฮ่าวช่างมีบุตรชายที่ฉลาดหลักแหลม สิ่งที่เขาพูดมานั้นไม่ผิด เห็นแก่ฮูหยินซูที่ไร้กำลังแต่คิดช่วยเหลือข้า ครั้งนั้นขอตราอ๋องจากท่านมาได้ แม้ไม่ทันการแต่ก็ถือว่านางพยายามแล้ว ข้าจึงจะช่วยให้พวกท่านไปถึงชายแดนโดยไม่ถูกลอบฆ่า นั่นคือสิ่งที่ข้าตอบรับคำขอความช่วยเหลือของบุตรสาวพวกท่าน”
เหรินซิงหยูที่นิ่งเงียบ สำนึกความผิดพลาดของตนอยู่นาน ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม
“กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋อง เช่นนั้นกระหม่อมอยากร้องขอให้ท่านอ๋องปกป้องลูกหลานของตระกูลเหรินได้หรือไม่” ชายชราเอ่ย พลางยื่นตราตระกูลเหรินให้กับบุรุษเบื้องหน้า
“ท่านพ่อ!” ทั้งเหรินหมิงฮ่าว และเหรินซือเฉิงตกใจกับการกระทำของบิดา
“ตอนนี้ข้ารู้แล้ว เพียงครอบครัวอยู่พร้อมหน้า เกียรติยศศักดิ์ศรีจะถือเป็นอันใดกัน เพียงท่านอ๋องปกป้องทายาทตระกูลเหริน ภายภาคหน้าหากกระหม่อมและตระกูลสามารถล้างมลทินให้ตนเองได้ ตระกูลเหรินยินดีเป็นคมหอกคมดาบให้ฉินอ๋อง”
หยางเฉิงมองชายชราเบื้องหน้า ก่อนเหยียดยิ้มอย่างพอใจ
“ในเมื่อจวิ้นอ๋องยอมอ้อนวอนแล้ว เหตุใดข้าจะไม่เมตตาเล่า” ร่างสูงรับตราจากผู้นำตระกูลเหริน ก่อนจากไป
อวี้หนิงเมื่อกลับจากนอกเมือง ก็ตรงไปยังเรือนของตน ในใจยังหนักอึ้ง นางเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่กลับหาญกล้าจะล้างมลทินให้คนทั้งตระกูล เพียงแค่คิดนางก็อับจนหนทางแล้ว
ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าเข้าเรือน เสียงเอะอะโวยวายภายในเรือนของนางก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เกิดอันใดขึ้น” นางรีบร้อนเข้าไปด้านใน กลับพบว่าข้าวของของนางถูกกองกระจัดกระจายกลางห้องโถง
“นี่มันอะไรกัน” ดวงตาคู่งามเดือดดาล กวาดมองคนในห้องโถง
ซูเจินหยูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยด้านหลังมีสาวใช้สามสี่คนคอยรับใช้ นางลุกขึ้นด้วยท่าทีเหนือกว่า แววตาที่มองนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“หึ! เจ้าเป็นเพียงลูกหลานของกบฏขายชาติ จะอยู่เรือนคุณหนูใหญ่ของตระกูลซูได้อย่างไร ข้ามีเมตตาเลยมาช่วยเก็บของให้”
อวี้หนิงฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก็รู้ได้ทันทีว่าน้องสาวต่างมารดาของนางตั้งใจมาหาเรื่อง ทว่าครั้งนี้นางจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใดอีก
“หากไม่ใช่ข้าที่จะอยู่เรือนนี้ แล้วใครเล่าจะอยู่ได้” นางเอ่ยพลางเดินเข้าหาอีกฝ่าย
“หึ! ย่อมเป็นข้า ข้าเป็นถึงหลานสาวเจ้ากรมคลัง ย่อมมีสิทธิ์”
เพี๊ยะ!
ยังไม่ทันให้ซูเจินหยูเอ่ยจบ มือเรียวของอวี้หนิงก็ประทับลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายเสียงดัง
“นี่! เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงตบข้า!” ซูเจินหยูทั้งเจ็บ ทั้งตกใจ นางไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าที่แต่ก่อนไม่เลยเอ่ยวาจาเสียงดังกับตนเองเพียงครั้ง คราวนี้จะถึงขั้นตบหน้าตนได้
อวี้หนิงจ้องมองอีกฝ่าย ที่กำลังใช้มือปิดพวงแก้มที่โดนตบ
“ข้ายังกล้าได้กว่านี้” ว่าแล้วมือเรียวก็จับข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ก่อนประทับฝ่ามือลงบนพวงแก้มของเจินหยูอีกครั้ง
“นี่เจ้า! เจ้ายังกล้าตบข้าอีก!”
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่! จับนางไว้เร็วสิ!” เจินหยูตวาดสั่งเหล่าสาวใช้เสียงดัง
“พวกเจ้ากล้าหรืออย่างไร” ก่อนที่เหล่าสาวใช้จะเข้าใกล้อวี้หนิง นางกวาดตามองคนเหล่านั้นด้วยแววตาเอาเรื่อง เหล่าสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่มีท่าทีเช่นนี้ก็นึกกลัว ไม่มีผู้ใดกล้าขยับ
“พวกเจ้า! ไม่เอาไหนกันทั้งนั้น” เจินหยูตำหนิเหล่าสาวใช้ขี้ขลาดของตน ก่อนจะทันได้ปะทะคารมณ์กับอวี้หนิงอีก
“ข้าจะฟ้องท่านย่า ข้าจะฟ้องท่านพ่อ!” แววตาอาฆาตแค้นจ้องมองอวี้หนิงไม่วางตา
“เชิญเจ้าไปฟ้องได้ตามใจ แต่อย่าลืมเล่าว่าข้ายังเป็นคุณหนูสายตรง โทษทัณฑ์ของตระกูลเหรินไม่ได้ตกถึงมารดาข้าและตัวข้า ท่านแม่ข้ายังเป็นฮูหยินพระราชทาน มารดาเจ้าก็เป็นเพียงอนุ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาประพฤติตัวเช่นนี้กับข้า หากเรื่องนี้รู้ถึงฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าใครกันจะถูกลงโทษกันแน่” อวี้หนิงก้าวเข้าหาซูเจินหยูอย่างไม่ลดละ จนอีกฝ่ายต้องถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
“นี่! ฮ่องเต้ไม่มีทางเข้ามายุ่งกับเรื่องครอบครัวผู้อื่นแน่” เจินหยูโต้แย้งด้วยความหวาดหวั่น
“หึ เจ้าแน่ใจหรือ” อวี้หนิงเลิกคิ้วถามหยั่งเชิง ทั่วเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าท่านตาของนางคืออาจารย์ของฮ่องเต้ มารดาของนางกับฮ่องเต้ต่างสนิทสนมกันราวพี่น้อง เช่นนั้นฮ่องเต้จึงเมตตาต่อมารดาของนางและตัวนางเองเสมอมา นั่นทำให้หลินอี้เหนียงที่เป็นถึงบุตรสาวเจ้ากรมคลัง ต้องเป็นได้เพียงอนุ ไม่อาจเป็นได้แม้แต่ฮูหยินรองด้วยซ้ำ
ซูเจินหยูที่ไม่อาจมั่นใจว่าฮ่องเต้จะไม่เอาเรื่องตนที่กระทำเช่นนี้ จึงได้แต่เจ็บใจ พลางเอ่ยข่มขู่อีกฝ่าย
“เจ้า! ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะให้ท่านพ่อเฉดหัวเจ้าออกจากจวนแน่ ซูอวี้หนิง!” เอ่ยจบ ก็เดินกระทืบเท้าจากไป
หลี่หยางเฉิงพาชายาของตนและบุตรชายกลับจวนแม่ทัพ ตอนนี้เขาไม่คิดรีบร้อนกลับฉางเล่อแล้ว เพียงแค่ซูอวี้หนิงและลูกชายอยู่ที่ใด เขาย่อมเลือกที่นั่น หลี่หยางอี้ที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางสิบวันผล็อยหลับในอ้อมกอดของบิดา หยางเฉิงจ้องมองใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างรักใคร่ เช่นเดียวกับซูอวี้หนิงที่นั่งจ้องมองสองพ่อลูกด้วยแววตาอ่อนโยน รถม้าหยุดลงหน้าจวน หยางเฉิงอุ้มเด็กน้อยวางลงบนเตียงในเรือนรับรองอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนั่งมองลูกชายอยู่พักใหญ่ “ฮูหยินช่างใจร้ายนัก ปิดบังข้าได้ตั้งสามปี ไม่สงสารข้าบ้างเลยหรือ” บุรุษตัวสูงเงยหน้าขึ้นมองชายาด้วยแววตาเสียใจ อวี้หนิงเห็นแล้วก็เสียใจไม่น้อย “หม่อมฉันผิดต่อท่านอ๋องเองเพคะ เพราะเกรงท่านอ๋องจะละทิ้งทุกอย่างแล้วกลับมาหาหม่อมฉันและลูก หากเป็นเช่นนั้นชาวต้าหยางอีกสักเท่าไหร่จะต้องทนทุกข์” หยางเฉิงลุกขึ้นกอดร่างบางไว้แน่น ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้น “รู้หรือไม่ข้ากลัวมากเพียงใด กลัวเจ้าจะไม่รอข้า กลัวข้าจะไม่ได้กลับไปพบเจ้า กลัวจะทิ้งเจ้าไว้เพียงผู้เดียว”
หยางเฉิงรีบส่ายหน้าปฏิเสธโดยเร็ว ในใจเขายินดียิ่งกว่าอะไร เหตุใดจะกล้าตำหนินางได้เล่า “ไม่เลย ข้าดีใจที่ฮูหยินขัดคำสั่งข้าครั้งนี้” หยางเฉิงเอ่ยพลางจุมพิตบนหน้าผากบาง “ท่านแม่” เสียงเด็กน้อยที่งัวเงียตื่นดังขึ้นภายในรถม้า ทำให้หลี่หยางเฉิงชะงักงัน นี่เขาหูฝาดหรือ “เสียงเด็กที่ไหนกัน” หยางเฉิงคลายอ้อมกอด พลางหันไปทางรถม้า อวี้หนิงยิ้มบาง ก่อนเรียกคนที่อยู่ในรถม้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อี้เอ๋อร์ ลงมาหาแม่เร็วเข้า” ฉินอ๋องยิ่งตกใจเมื่อนางแทนตัวเองว่าแม่ ทว่ายังไม่ทันให้เขาถามอันใด เด็กน้อยตัวขาว ใบหน้าหล่อเหลาตั้งแต่เด็กก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนที่จะเป็นอวี้หนิงจะอุ้มเขาลงจากรถม้า “ท่านอ๋อง เป็นอันใดหรือไม่เพคะ” นางมั่นใจว่าบัดนี้ฉินอ๋องตัวแข็งทื่อและไม่ได้หายใจด้วยซ้ำ “นี่คือใครกัน” มือของหยางเฉิงสั่นเทา ชี้มายังเด็กชายตรงหน้า น้ำเสียงนั้นก็หาความมั่นคงไม่ได้ “ลูกอย่างไรเล่าเพคะ” “ลูกหรือ! นี่หนิงเอ๋อร์เจ้า… เจ้าแต่งงานใหม่หรือ เหตุใ
หลังหลี่หยางเฉิงจากไป เหรินฮูหยินที่รู้จากเสี่ยวเหม่ยว่าหลานสาวตั้งครรภ์ จึงรีบมารับตัวไปอยู่ด้วยกันที่ตระกูลเหริน ฮูหยินเฒ่าทั้งร้องไห้ทั้งตำหนิหลานสาวที่ไม่ยอมบอกเรื่องตั้งครรภ์กับฉินอ๋อง แต่เก็บซ่อนไว้เพียงผู้เดียว แม้นางมีเหตุผลเพราะเกรงฉินอ๋องจะห่วงหน้าพะวงหลัง แต่กระนั้นควรให้เขาได้ดีใจไม่ใช่หรือ ทว่าซูอวี้หนิงก็ยืนกรานอย่างเด็ดขาด ว่าหากสงครามยังไม่จบสิ้นห้ามบอกเรื่องนี้กับท่านอ๋อง แม้แต่คนของเขาอู่ถงเองก็ไม่อาจขัดคำสั่งนางได้ เรื่องนี้จึงถูกเก็บเงียบไม่ให้คนอยู่ไกลได้เป็นห่วง วันเวลาค่อย ๆ เคลื่อนผ่านไป พร้อมกับความห่วงหาของอวี้หนิงที่มีต่อสามีที่ก่อตัวขึ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนนางแทบทนรอไม่ได้ แม้ข่าวของเขาจะถูกเจียงเฟิงควบม้าเร็วมาบอกทุกเดือน ด้วยหลี่หยางเฉิงไม่ไว้ใจผู้ใด หากข่าวนั้นไม่ได้ส่งต่อจากเจียงเฟิงก็ห้ามให้นางเชื่อเป็นอันขาด เช่นนั้นนางจึงเฝ้ารอเจียงเฟิงอยู่ทุกเดือน แม้จะมีกู้เผยอี้เทียวพาพี่สะใภ้ของตนแวะเวียนมาพูดคุยอยู่แทบทุกวัน กระนั้นก็ไม่อาจคลายเหงาให้นางลงได้ “พระชายา ยายว่าเจ้าบอกท่านอ๋องดีหรือไม่ บัดนี้อี้เอ๋อร์ก็ครบหนึ่งป
ซูอวี้หนิงแม้แปลกใจในคำพูดของคนเบื้องหน้า แต่กระนั้นนางยังพยักหน้าเห็นด้วย “ดีเพคะ แต่ท่านอ๋องทำได้หรือ” หลี่หยางเฉิงยิ้มอบอุ่นให้กับนาง “เพียงเจ้าต้องการ ข้าทำได้ทั้งสิ้น” เอ่ยจบก็จุมพิตลงบนหน้าผากเนียน โดยไม่สนสายตาบุรุษทั้งสามที่จับจ้องอยู่ จนคนแอบรักอย่างหย่งเฉินจำต้องหันมองไปทางอื่น ก่อนที่ฉินอ๋องจะจูงมือชายาของตนกลับมา “ข้าจะกลับฉางเล่อไปพร้อมท่าน” คำพูดของหลี่หยางทำให้อวี้หนิงประหลาดใจ แต่ไม่ใช่กับหลี่หวงหยูและเว่ยหย่งเฉินที่คาดเดาคำตอบเอาไว้แล้ว “หึ! เป็นแผนของเจ้าสินะ” เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของคู่แข่งหัวใจ หลี่หยางเฉิงก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “กระหม่อมเพียงอยากให้ต้าหยางสงบสุข เฉกเช่นพระชายาฉินอ๋องต้องการพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหย่งเฉินไม่ปฏิเสธ เป็นเขาที่ต้องการให้เหล่าสตรีพวกนี้มาพบซูอวี้หนิง เพราะคนจิตใจบริสุทธิ์เช่นนางย่อมไม่ปรารถนาให้เกิดสงคราม และคนที่ตามใจภรรยาแทบจะถวายชีวิตให้อย่างฉินอ๋องย่อมไม่มีวันปล่อยให้นางทุกข์ใจเป็นแน่ จากนั้นเขากับไท่จื่อก็เพียงนำค
หลี่หยางเฉิงมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้นางกลัวสิ่งใด จึงรีบกุมมือนางไว้แน่น “ฮูหยิน ข้าไม่ได้คิดจะหลอกเจ้า เพียงแต่การที่ตัวข้าต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาสิบสองปี ต้องระวังไม่ให้ถูกสังหารอยู่ทุกวัน ทำให้ข้าไม่อาจเชื่อใจผู้ใดได้ หากเรื่องเกิดกับข้าก็แล้วไป แต่หากเกี่ยวกับเจ้าเล่า เรื่องนี้ข้าทนไม่ได้ เขาชิงหนิงนี้จึงมีคนของข้าคอยคุ้มอยู่นับพัน เจ้าอย่าเคืองข้าได้หรือไม่” หยางเฉิงเอ่ยด้วยสายตาอ้อนวอน เมื่อรู้เช่นนี้นางถึงเข้าใจอย่างกระจ่างว่าเหตุใดคนที่นี่จึงดูสุภาพกับนางนัก ทั้งพ่อค้า แม่ค้า ชาวเมือง บางทีก็ลอบสังเกตนางอยู่หลายครั้ง “กระนั้นท่านอ๋องก็คิดปิดบังหม่อมฉันไม่ใช่หรือ” “ข้า...” หยางเฉิงอยากจะอธิบายทว่ากลับคิดคำอธิบายไม่ได้ ที่นางเอ่ยมาไม่ผิด จะด้วยเหตุผลใดเขาก็คิดปิดบังนางจริง “หนิงเอ๋อร์ ข้าทำผิดอีกแล้ว ช่วยอภัยให้ข้าได้หรือไม่” บุรุษที่องอาจบัดนี้มีท่าทีราวกับเจ้า ชิงชิง แมวขาวขนปุยที่กำลังขอความเมตตาจากเจ้านาย อวี้หนิงไม่ได้ขุ่นเคืองเขา เพียงแต่นางไม่เห็นความจำเป็นใดที่ต้องปิดบังนาง
เวลาเพียงหนึ่งเดือน ทัพตระกูลเหรินต้องเร่งเดินทางไปสมทบกับแม่ทัพเหิงหมิงฮ่าว แม้ครั้งนี้แม่ทัพใหญ่จะให้กองทัพตระกูลมู่โยกทหารในมือที่ปกป้องแคว้นฝั่งเทียนไห่ ที่บัดนี้สงบมาหลายปี ช่วยตระกูลเหรินทำศึกกับต้าเหลียง ถือเป็นการเลือกหนุนไท่จื่อองค์ใหม่อย่างชัดเจน ทว่าครั้งนี้อ๋องต้าเหลียงที่ซุ่มศึกษาต้าหยางนานหลายปี ไม่คิดจะรามือโดยง่าย การศึกยืดเยื้อและมีทีท่าว่าจะขยายวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราษฎรไม่น้อยต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ หนีตายเดินทางเข้าเมืองหลวง ทุกย่อมหญ้าบัดนี้มีแต่ความระทมทุกข์ ทว่ากลับไม่ใช่ที่เขาชิงหนิง ที่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ไม่น้อย ทว่าที่นี่กลับสงบสุขไร้ความวุ่นวาย เรือนหลังใหญ่ที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่บัดนี้อบอวลไปด้วยความรัก หลี่หยางเฉิงถือโอกาสที่ราชสำนักวุ่นวาย กังวลเรื่องการศึก พาซูอวี้หนิงย้ายออกมาอยู่ตามลำพัง อย่างที่นางปรารถนามาช้านาน ในที่นี้พวกเขากลับเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ไม่มีผู้รู้ที่มาของพวกเขา ชาวบ้านต่างคาดเดาว่าเป็นคหบดีในเมือง อยากใช้ชีวิตเรียบง่ายตามป่าเขาก็เท่านั้น ซูอวี้หนิงแม้เป็นห่วงคนตระกูลเหริน ทว่าก็ไม่อาจขัดใจฉิ







