LOGINหน้าห้องพักของเหล่าเจ้านายตระกูลเหริน ทหารคุ้มกันแน่นหนา แม้รู้ว่าคนตระกูลเหรินไม่มีทางหนีอาญาแผ่นดิน ทว่าทหารกลุ่มนี้กลับถูกส่งมาคุ้มกันนักโทษจากการถูกลอบสังหารมากกว่า
หยางเฉิงหยุดอยู่หน้าประตู ทหารหน้าห้องประสานมือค้อมกายก่อนถอยห่างออกจากประตูหลายก้าว
เหล่าเจ้านายตระกูลเหรินต่างแปลกใจเมื่อเห็นบุรุษในชุดคลุมสีนิลปิดบังหน้าตาเดินเข้ามาด้านใน
“เจ้าเป็นใคร” น้ำเสียงของชายชราฟังดูน่าเกรงขาม สมกับเป็นจวิ้นอ๋องแห่งต้าหยาง
“คนผู้หนึ่งที่เคยชื่นชมความเที่ยงธรรมของท่าน” หยางเฉิงเอ่ย พลางวางมีดสั้นลงบนโต๊ะกลม ฝักของมันเป็นลายพยัคฆ์ สลักคำว่า ‘เหริน’ อย่างชัดเจน
เหรินซิงหยูตกตะลึงเมื่อเห็นมีดสั้นเล่มนั้นอีกครั้ง ชายชราจำได้ดี มีดสั้นเล่มนี้คือสิ่งที่ติดกายเขาตั้งแต่ออกรบครั้งแรก จนกระทั่งการรบครั้งสุดท้าย ก่อนจะมอบมันให้กับโอรสของฮ่องเต้ ผู้ที่เคยบอกเขาว่าในภายภาคหน้าจะปกป้องราษฎรเช่นปกป้องคนในครอบครัว
ซิงหยูแม้ยังถูกโซ่ล่ามขาทั้งสองข้าง รีบคุกเข่าลงกับพื้น ก่อนจะประสานมือต่อหน้าบุรุษผู้มาเยือน ทำให้ทั้งบุตรชายและฮูหยินเฒ่าต่างตกใจ
“กระหม่อมนักโทษเหรินซิงหยู คารวะฉินอ๋องหยางเฉิง”
ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน แม้ยังไม่เข้าใจ ทว่าก็คุกเข่าตามในทันที ก่อนที่หยางเฉิงจะถอดผ้าปิดหน้าออก นั่นยิ่งทำให้คนตระกูลเหรินต้องแปลกใจ ทั่วราชสำนักต่างรู้ดีว่าองค์ชายหยางเฉิงทรงเสียสติ ตั้งแต่ที่พระมารดาสิ้นพระชนม์ แต่เหตุไฉนบุรุษเบื้องหน้าพวกเขากลับข่าเกรงขาม อีกทั้งไอสังหารที่แผ่ออกมาโดยรอบอีก ไม่เหมือนคนเสียสติแม้แต่น้อย
“ข้าเพียงคนบ้า รับการคุกเข่าจากตระกูลเหรินไม่ไหวกระมัง ลุกขึ้นเถิด” หยางเฉิงเอ่ย พลางนั่งลงบนเก้าอี้กลางห้อง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้น
“ตระกูลเหรินผิดต่อต่อท่านอ๋องและหวงกุ้ยเฟย ครั้งนี้ขอคำนับให้ท่านอ๋องแล้ว”
เมื่อซิงหยูเอ่ยจบ ทุกคนก็โขลกศีรษะคำนับบุรุษเบื้องหน้า
หยางเฉิงมองทุกอย่างเป็นอากาศธาตุ ไม่ได้แสดงคลื่นอารมณ์ใดผ่านดวงตาสีนิลแม้แต่น้อย
“จวิ้นอ๋องและตระกูลเหรินผิดอันใดเล่า”
ชายชราได้ยินเช่นนั้น ก็รู้ได้ทันทีว่าฉินอ๋องมาครั้งนี้ คงเพราะต้องการคำสารภาพผิดของตระกูลเหรินเมื่อสิบสองปีก่อนแน่
“กระหม่อมโง่เขลา ยึดติดกับคำสัตย์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับราชสำนัก จนเมินเฉยต่อคำขอขององค์ชายให้ช่วยเหลือหวงกุ้ยเฟย จนพระนางต้องสิ้นพระชนม์”
“โอ้! ข้าพึ่งรู้ว่าจวิ้นอ๋องยังจำได้อยู่” หยางเฉิงเลิกคิ้ว พลางวางถ้วยน้ำชาลงอย่างไม่ใส่ใจ
ซิงหยูที่ละอายใจ ไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้อีก
ร่างสูงบนเก้าอี้เห็นคนตระกูลเหรินไม่มีสิ่งใดโต้แย้ง ก็นึกขันในใจ สวรรค์มักเล่นตลกกับชีวิตผู้อื่น ใครจะนึกว่าบัดนี้ตระกูลเหรินก็จะถึงคราวถูกใส่ร้าย ไร้คนเหลียวแลเช่นกัน
“เอาเถิด พวกท่านก็ได้รับกรรมของตนแล้ว ข้าก็เห็นพอแล้ว เช่นนั้นก็ขอกล่าวลาพวกท่านตรงนี้แล้วกัน” เอ่ยจบ หยางเฉิงก็เตรียมลุกจากไป
“ฉินอ๋องโปรดเมตตา!” เหรินซือเฉิงที่รู้เต็มอกว่าเรื่องราวทั้งหมดตนเป็นต้นเหตุ จึงเอ่ยขอความเมตตาจากบุรุษเบื้องหน้า
หยางเหยิงหยุดเดิน ก่อนเอ่ยเสียงเย็น
“โอ้! เมตตาอันใดเล่า” ใบหน้าเย็นชาหันกลับมามองคนตระกูลเหรินที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นอีกครั้ง
“ท่านอ๋อง เรื่องทั้งหมดเกิดจากกระหม่อมที่เมามายจนขาดสติ เที่ยวหอนางโลมให้เสื่อมเกียรติของตระกูลเหริน ซ้ำยังพลั้งมือฆ่าหญิงคณิกา จนทำให้ตระกูลเหรินเดือดร้อน ครั้งนั้นแม้ฝ่าบาทไม่เอาเรื่อง แต่เป็นท่านพ่อที่ต้องยึดถือความเป็นธรรม ให้กระหม่อมออกจากราชสำนัก อยู่คุกหลวงหนึ่งปี และให้หาหนทางทำคุณให้บ้านเมือง ตัวท่านพ่อเองก็ขอถอนตัวจากราชสำนัก ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานเมืองอีก เป็นเหตุให้ไม่อาจช่วยเหลือพระองค์ในครั้งนั้นได้ มาครานี้ก็คาดว่าเรื่องที่กระหม่อมรับร้องทุกข์ชาวบ้าน จะนำภัยมาสู่ตระกูลเหรินอีกครั้ง การไปชายแดนครั้งนี้ตระกูลเหรินคงไม่อาจพ้นภัย ขอท่านอ๋องสังหารกระหม่อม แล้วช่วยตระกูลเหรินด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหรินซือเฉิงโขลกหน้าผากลงกับพื้นเสียงดัง
ฮูหยินเฒ่าเหรินฉีเหนียงตกใจกับคำพูดบุตรชายคนรอง จนต้องร้องขอความเมตตาอีกครั้ง
“ท่านอ๋องโปรดเมตตา ซือเฉิงไม่ได้มีเจตนาเป็นต้นเหตุให้พระมารดาของท่านต้องสิ้นพระชนม์ พวกเราไม่รู้ว่าการที่ตระกูลเหรินไม่ได้ออกหน้าครั้งนั้นจะทำให้หวงกุ้ยเฟยต้องสิ้นพระชนม์ โปรดอย่าเอาชีวิตเขาเลยเพคะ”
“ฮูหยินเหรินอย่าได้ร้อนใจ ข้าไม่เอาชีวิตลูกชายเจ้าหรอก การที่ตระกูลเหรินจะช่วยหรือไม่ช่วยข้าในครั้งนั้นก็เป็นสิทธิ์ของพวกเจ้า ครั้งนี้ก็เช่นกัน ข้าจะช่วยหรือไม่ช่วยพวกเจ้าก็เป็นสิทธิ์ของข้าเช่นกัน”
เหรินจิ้งอวี้มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นาน ก็พอจะเดาจุดพระประสงค์ของฉินอ๋องได้
บุรุษหนุ่มเบื้องหลังที่นิ่งฟังการสนทนาของทุกคนอยู่นาน เอ่ยปากถามผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“กระหม่อมนักโทษผู้ต่ำต้อย ขอคาดเดาพระประสงค์ของท่านอ๋อง การที่ทหารถูกสับเปลี่ยน พระองค์เปิดเผยความลับกับพวกกระหม่อมเช่นนี้ คงคิดช่วยเหลือตระกูลเหรินใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำพูดของจิ้งอวี้ คนตระกูลเหรินต่างหันไปมองเด็กหนุ่มเบื้องหลัง
“หึ! แม่ทัพเหรินหมิงฮ่าวช่างมีบุตรชายที่ฉลาดหลักแหลม สิ่งที่เขาพูดมานั้นไม่ผิด เห็นแก่ฮูหยินซูที่ไร้กำลังแต่คิดช่วยเหลือข้า ครั้งนั้นขอตราอ๋องจากท่านมาได้ แม้ไม่ทันการแต่ก็ถือว่านางพยายามแล้ว ข้าจึงจะช่วยให้พวกท่านไปถึงชายแดนโดยไม่ถูกลอบฆ่า นั่นคือสิ่งที่ข้าตอบรับคำขอความช่วยเหลือของบุตรสาวพวกท่าน”
เหรินซิงหยูที่นิ่งเงียบ สำนึกความผิดพลาดของตนอยู่นาน ได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม
“กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋อง เช่นนั้นกระหม่อมอยากร้องขอให้ท่านอ๋องปกป้องลูกหลานของตระกูลเหรินได้หรือไม่” ชายชราเอ่ย พลางยื่นตราตระกูลเหรินให้กับบุรุษเบื้องหน้า
“ท่านพ่อ!” ทั้งเหรินหมิงฮ่าว และเหรินซือเฉิงตกใจกับการกระทำของบิดา
“ตอนนี้ข้ารู้แล้ว เพียงครอบครัวอยู่พร้อมหน้า เกียรติยศศักดิ์ศรีจะถือเป็นอันใดกัน เพียงท่านอ๋องปกป้องทายาทตระกูลเหริน ภายภาคหน้าหากกระหม่อมและตระกูลสามารถล้างมลทินให้ตนเองได้ ตระกูลเหรินยินดีเป็นคมหอกคมดาบให้ฉินอ๋อง”
หยางเฉิงมองชายชราเบื้องหน้า ก่อนเหยียดยิ้มอย่างพอใจ
“ในเมื่อจวิ้นอ๋องยอมอ้อนวอนแล้ว เหตุใดข้าจะไม่เมตตาเล่า” ร่างสูงรับตราจากผู้นำตระกูลเหริน ก่อนจากไป
อวี้หนิงเมื่อกลับจากนอกเมือง ก็ตรงไปยังเรือนของตน ในใจยังหนักอึ้ง นางเป็นเพียงสตรีธรรมดา แต่กลับหาญกล้าจะล้างมลทินให้คนทั้งตระกูล เพียงแค่คิดนางก็อับจนหนทางแล้ว
ทว่ายังไม่ทันก้าวเท้าเข้าเรือน เสียงเอะอะโวยวายภายในเรือนของนางก็ดังขึ้นเสียก่อน
“เกิดอันใดขึ้น” นางรีบร้อนเข้าไปด้านใน กลับพบว่าข้าวของของนางถูกกองกระจัดกระจายกลางห้องโถง
“นี่มันอะไรกัน” ดวงตาคู่งามเดือดดาล กวาดมองคนในห้องโถง
ซูเจินหยูที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ โดยด้านหลังมีสาวใช้สามสี่คนคอยรับใช้ นางลุกขึ้นด้วยท่าทีเหนือกว่า แววตาที่มองนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“หึ! เจ้าเป็นเพียงลูกหลานของกบฏขายชาติ จะอยู่เรือนคุณหนูใหญ่ของตระกูลซูได้อย่างไร ข้ามีเมตตาเลยมาช่วยเก็บของให้”
อวี้หนิงฟังตั้งแต่ต้นจนจบ ก็รู้ได้ทันทีว่าน้องสาวต่างมารดาของนางตั้งใจมาหาเรื่อง ทว่าครั้งนี้นางจะไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้ใดอีก
“หากไม่ใช่ข้าที่จะอยู่เรือนนี้ แล้วใครเล่าจะอยู่ได้” นางเอ่ยพลางเดินเข้าหาอีกฝ่าย
“หึ! ย่อมเป็นข้า ข้าเป็นถึงหลานสาวเจ้ากรมคลัง ย่อมมีสิทธิ์”
เพี๊ยะ!
ยังไม่ทันให้ซูเจินหยูเอ่ยจบ มือเรียวของอวี้หนิงก็ประทับลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายเสียงดัง
“นี่! เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงตบข้า!” ซูเจินหยูทั้งเจ็บ ทั้งตกใจ นางไม่คิดว่าสตรีตรงหน้าที่แต่ก่อนไม่เลยเอ่ยวาจาเสียงดังกับตนเองเพียงครั้ง คราวนี้จะถึงขั้นตบหน้าตนได้
อวี้หนิงจ้องมองอีกฝ่าย ที่กำลังใช้มือปิดพวงแก้มที่โดนตบ
“ข้ายังกล้าได้กว่านี้” ว่าแล้วมือเรียวก็จับข้อมือของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ก่อนประทับฝ่ามือลงบนพวงแก้มของเจินหยูอีกครั้ง
“นี่เจ้า! เจ้ายังกล้าตบข้าอีก!”
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่! จับนางไว้เร็วสิ!” เจินหยูตวาดสั่งเหล่าสาวใช้เสียงดัง
“พวกเจ้ากล้าหรืออย่างไร” ก่อนที่เหล่าสาวใช้จะเข้าใกล้อวี้หนิง นางกวาดตามองคนเหล่านั้นด้วยแววตาเอาเรื่อง เหล่าสาวใช้ที่ไม่เคยเห็นคุณหนูใหญ่มีท่าทีเช่นนี้ก็นึกกลัว ไม่มีผู้ใดกล้าขยับ
“พวกเจ้า! ไม่เอาไหนกันทั้งนั้น” เจินหยูตำหนิเหล่าสาวใช้ขี้ขลาดของตน ก่อนจะทันได้ปะทะคารมณ์กับอวี้หนิงอีก
“ข้าจะฟ้องท่านย่า ข้าจะฟ้องท่านพ่อ!” แววตาอาฆาตแค้นจ้องมองอวี้หนิงไม่วางตา
“เชิญเจ้าไปฟ้องได้ตามใจ แต่อย่าลืมเล่าว่าข้ายังเป็นคุณหนูสายตรง โทษทัณฑ์ของตระกูลเหรินไม่ได้ตกถึงมารดาข้าและตัวข้า ท่านแม่ข้ายังเป็นฮูหยินพระราชทาน มารดาเจ้าก็เป็นเพียงอนุ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาประพฤติตัวเช่นนี้กับข้า หากเรื่องนี้รู้ถึงฮ่องเต้ เจ้าคิดว่าใครกันจะถูกลงโทษกันแน่” อวี้หนิงก้าวเข้าหาซูเจินหยูอย่างไม่ลดละ จนอีกฝ่ายต้องถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
“นี่! ฮ่องเต้ไม่มีทางเข้ามายุ่งกับเรื่องครอบครัวผู้อื่นแน่” เจินหยูโต้แย้งด้วยความหวาดหวั่น
“หึ เจ้าแน่ใจหรือ” อวี้หนิงเลิกคิ้วถามหยั่งเชิง ทั่วเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าท่านตาของนางคืออาจารย์ของฮ่องเต้ มารดาของนางกับฮ่องเต้ต่างสนิทสนมกันราวพี่น้อง เช่นนั้นฮ่องเต้จึงเมตตาต่อมารดาของนางและตัวนางเองเสมอมา นั่นทำให้หลินอี้เหนียงที่เป็นถึงบุตรสาวเจ้ากรมคลัง ต้องเป็นได้เพียงอนุ ไม่อาจเป็นได้แม้แต่ฮูหยินรองด้วยซ้ำ
ซูเจินหยูที่ไม่อาจมั่นใจว่าฮ่องเต้จะไม่เอาเรื่องตนที่กระทำเช่นนี้ จึงได้แต่เจ็บใจ พลางเอ่ยข่มขู่อีกฝ่าย
“เจ้า! ฝากไว้ก่อนเถอะ ข้าจะให้ท่านพ่อเฉดหัวเจ้าออกจากจวนแน่ ซูอวี้หนิง!” เอ่ยจบ ก็เดินกระทืบเท้าจากไป
รุ่งเช้า ซูจิ้งซวนแต่งกายด้วยชุดขุนนาง ยืนรอบุตรสาวอยู่หน้าจวน วันนี้อวี้หนิงสวมเสื้อคลุมยาวแขนกว้างสีอ่อน ปักลายดอกเหมยด้วยไหมทอง ทับด้วยกระโปรงจีบยาวสีเขียวหยกที่พริ้วไหวไปตามแรงลมในฤดูเหมันต์ โดยมีเสื้อคลุมขนจิ้งจอกตัวยาวสวมทับกรอมถึงข้อเท้า ผมยาวสีนิลถูกรวบเป็นมวย ปิ่นหยกสีขาวถูกปักไว้บนมวยผม ปรอยผมบางส่วนถูกปล่อยลงข้างแก้ม ขับให้ใบหน้างามดูละมุนละไม นางหยุดยืนอยู่ต่อหน้าบิดาด้วยท่าทีสงบนิ่ง “มาแล้วก็ขึ้นรถม้าเถิด” ซูจิ้งซวนเอ่ยเสียงแผ่ว ไม่กล้าสบตาบุตรี แม้เขาจะมิใช่ผู้บีบบังคับนาง หากแต่ก็ไม่เคยขัดขวางหลินอี้เหนียงเลยสักครั้ง ตลอดเส้นทางภายในรถม้า มีเพียงความเงียบงัน ทั้งบิดาและบุตรีต่างมิได้ปริปาก เมื่อถึงตำหนักเฉวียนชิง ซูจิ้งซวนแจ้งองครักษ์หน้าตำหนักว่าขอนำบุตรสาวเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไม่นาน เจากงกงก็เดินออกมา “ใต้เท้าซู คุณหนูซู” เจากงกงเอ่ยทัก “เจากงกง” ซูจิ้งซวนค้อมกายทักทาย โดยมีอวี้หนิงยอบกายตามด้วยท่าทีสำรวม “ฝ่าบาทยังทรงหารือราชกิจอยู่ ท่านทั้งสองโปรดนั่งรอสักครู่” เจากงกงผายมือให้
เสี่ยวเหม่ยที่เห็นคุณหนูของตนกลับมา ทว่าใบหน้ากลับไม่สู้ดีนัก จึงรีบเข้าไปประคอง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอ๋องจะมารับเข้าจวนเมื่อใด” “กุ้ยเฟยไม่ยินดีให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋อง วาสนาข้ากับเขาคงมีเพียงเท่านี้” น้ำเสียงของอวี้หนิงสั่นเครืออย่างชัดเจน ดวงตาคู่งามไม่อาจกักเก็บความเสียใจได้อีก ก่อนที่หยดน้ำอุ่นจะพรั่งพรูไหลอาบแก้มนวล “คุณหนู~” เสี่ยวเหม่ยที่เสียใจแทนคุณหนูของตนได้แต่กอดนางร้องไห้ไปพร้อมกัน เรื่องของหลี่เยว่ซิงทำให้ทั้งวันอวี้หนิงไม่มีแรงทำสิ่งใดได้ นางเอาแต่นั่งเหม่อลอยนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ตอนที่ตาของนางยังเป็นจวิ้นอ๋องต่างแซ่ ตระกูลเหรินยังเรืองอำนาจ แม้แต่ตระกูลหลินก็อยากเกี่ยวดองด้วย กุ้ยเฟยมักให้คนส่งขนมหวานมาให้นางอยู่บ่อยครั้ง ตอนเข้าวังพร้อมมารดา หลินกุ้ยเฟยยังให้นางกำนัลใกล้ชิดมาเชิญนางไปนั่งเล่นเป็นเพื่อนอยู่หลายครา นางและฉู่อ๋องแทบจะตัวติดกันทุกครั้ง แม้ไม่เคยเอ่ยความในใจกันทั้งสองฝ่าย ทว่าผู้ใหญ่ต่างรับรู้ได้ หลี่เยว่ซิงเองก็ตามใจนางเสียทุกอย่าง เขาทำให้นางรู้สึกถึงการถูกปกป้อง การให้เกียร
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่กำลังอ่านคำร้องที่ท่านน้าของตนให้มาในครานั้น กลับต้องถูกขัดจังหวะจากเสี่ยวเหม่ยที่เข้ามาในห้องอุ่นด้วยท่าทีร้อนรน “คุณหนู เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ เจ้ากรมคลังบีบบังคับนายท่านให้ส่งคุณหนูแต่งเข้าจวนฉินอ๋องแทน” อวี้หนิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับไม่ได้แปลกใจมากนัก นางเพียงปรายตามองสาวใช้เบื้องหน้าที่ใทั้งตื่นกลัว ทั้งแค้นเคืองในเวลาเดียวกัน “ท่านพ่อจะกล้าขัดราชโองการหรือ” “ไม่ใช่นายท่านเจ้าค่ะ แต่จะเป็นคุณหนูต่างหากเล่า” เสี่ยวเหม่ยรีบเอ่ยด้วยความร้อนใจ อวี้หนิงรู้สึกแปลกใจ ก่อนจะนึกถึงคำพูดของหลินซือเหยียนในครานั้น “หรือพวกเขาจะให้ข้าทูลขอต่อฮ่องเต้ให้ได้เป็นพระชายาฉินอ๋องแทนเช่นนั้นหรือ” คิ้วเรียวขมวดแน่น เสี่ยวเหม่ยรีบพยักหน้าแทนคำตอบ “ครานี้หลินอี้เหนียงคงลงแรงไปไม่น้อยเลย” ตั้งแต่วันที่เจินหยูรับราชโองการ นางเองคาดคิดไว้อยู่แล้วว่าหลินซือเหยียนต้องคิดใช้นางให้แต่งแทนบุตรีของตนแน่ แต่บิดาของนางไม่เห็นด้วย เช่นนั้นแล้วที่พึ่งเดียวของ
ภายในเรือนหอมบุปผา อวี้หนิงที่เอาแต่ตรวจบัญชีสินเดิมของมารดาอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปพบผู้ใดมาหลายวัน กลับถูกดึงความสนใจจากความโกลาหลภายนอกเรือน “เสี่ยวเหม่ย เกิดอันใดขึ้น” เสี่ยวเหม่ยผู้ทำหน้าที่สอดส่องความเคลื่อนไหวภายในจวน รีบเข้ามารายงาน “ฮูหยินใหญ่เป็นลมหมดสติเจ้าค่ะ ส่วนอนุหลินกับคุณหนูรองก็อาละวาดเรื่องที่ต้องแต่งเข้าจวนฉินอ๋อง นายท่านถึงขั้นตบหน้าอนุหลินเพราะบันดาลโทสะเลยนะเจ้าคะ” เสี่ยวเหม่ยอธิบายตาโต อวี้หนิงก็ตกใจไม่ต่างกัน แต่ไหนแต่ไรบิดาของตนไม่กล้าขัดใจตระกูลหลินด้วยซ้ำ ครั้งนี้ถึงขั้นตบหน้าหลินซือเหยียน คงไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว “ไปดูกัน” อวี้หนิงเอ่ย พลางลุกขึ้นเดิน โดยมีเสี่ยวเหม่ยนำเสื้อคลุมมาสวมทับให้ ภายในจวนยังไม่ทันที่ซูจิ้งซวนจะจัดการกับปัญหา เจากงกงก็อัญเชิญราชโองการมาเสียแล้ว ขันทีเฒ่าหยุดอยู่หน้าลาน มองเห็นความโกลาหลที่เกิดขึ้นทั้งหมด ก่อนจะเรียกให้ซูจิ้งซวนออกมารับราชโองการ “กระหม่อมรับราชโองการ” จิ้งซวนคุกเข่าลงกับพื้น ด้านหลังเป็นหลินซือเหยียน พร้อมทั้ง
หยางเฉิงปรายตามองปิ่นหยกที่ได้มาพร้อมกับตราตระกูลเหริน ก่อนจะนึกถึงเจ้าของปิ่นขึ้นมา “ซูอวี้หนิงเล่า ยังปลอดภัยดีหรือไม่” ร่างสูงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “พ่ะย่ะค่ะ คุณหนูใหญ่ซูดูเหมือนว่าจะถูกอนุหลินบังคับให้แต่งออกไปเป็นอนุของคหบดีจง” “โอ้! นี่ใต้เท้าซูอยากจะมีบุตรเขยที่อายุมากกว่าตนหรอกหรือ” หยางเฉิงเห็นเป็นเรื่องขบขัน เจียงเฟิงที่เห็นท่าทีท่านอ๋องเช่นนี้ก็อดสงสารคุณหนูซูไม่ได้ ครั้งที่ฮูหยินซูและหวงกุ้ยเฟยยังมีพระชนม์อยู่ ทั้งสองสนิทสนมกันมาก คุณหนูซูในวัยเด็กยังเคยตามมารดามาเข้าเฝ้าหวงกุ้ยเฟย ใบหน้ากลมเล็กนั้นยิ้มแย้มกับทุกผู้ที่เดินผ่าน อีกทั้งยังใจดีนำขนมจากนอกวังมาให้เขา ที่ครั้งนั้นยังเป็นเด็กยากจนได้ลองชิมอยู่บ่อยครั้ง “ท่านอ๋องไม่คิดจะช่วยเหลือคุณหนูซูหน่อยหรือพ่ะย่ะค่ะ อย่างน้อยก็ให้นางได้แต่งกับบัณฑิตหนุ่มสักคน” ขันทีหนุ่มเสี่ยงตายเอ่ยขอร้องแทนอวี้หนิง ทว่า หยางเฉิงที่ได้ยินเช่นนั้นกลับตวัดตามามองขันทีข้างกาย “เจ้าลืมแล้วหรือไร ตอนนี้ข้าเป็นเพียงคนบ้า จะช่วยอันใ
เมื่อคนก่อเรื่องจากไป อวี้หนิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เสี่ยวเหม่ยรีบเข้ามาประคองเจ้านายในทันที “เมื่อครู่นี้คุณหนูทำได้ดีมากเจ้าค่ะ ข้าไม่เคยเห็นคุณหนูรองทำหน้าคล้ายคนปลดทุกข์ไม่ออกเช่นนี้มาก่อนเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยยิ้มภูมิใจในตัวเจ้านาย “จริงหรือ? แต่ตอนนี้ข้าไม่มีแม้แต่แรงที่จะยืนแล้ว” อวี้หนิงผินใบหน้าซีดเซียวมามองสาวใช้ข้างกาย “เอ๋! ทำไมเป็นเช่นนี้เล่าเจ้าคะ นั่งก่อนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเหม่ยเห็นใบหน้าไร้เลือดฝาดของเจ้านายก็แปลกใจ รีบประคองนางนั่งลง อวี้หนิงนั่งสูดลมหายใจอยู่นาน กว่าความตื่นตระหนกจะจางหายไปตั้งแต่เล็กจนโต นางไม่ต้องแย่งชิงหรือปกป้องตัวเองจากผู้ใดด้วยซ้ำ นางมีตระกูลเหรินและมารดาคอยปกป้อง แม้แต่ท่านย่าจะทำสิ่งใด ยังต้องคอยดูสีหน้านางก่อน บัดนี้กลับตาลปัตร นางตัวคนเดียวแล้ว จากนี้ต้องคอยปกป้องตัวเอง “คุณหนู จากนี้เราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ” นางไม่ได้ตอบคำถามของเสี่ยวเหม่ย เพียงแต่บอกให้สาวใช้ข้างกายจัดเก็บข้าวของให้เข้าที่เดิม นับจากนี้ชีวิตของนางคงไม่สงบสุขอีกต่อไป นางต้







