คุณพัฒน์พาเธอขับรถออกมาจากบ้าน และขับไปเรื่อย ๆ อย่างไร้จุดหมายปลายทาง เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพาเธอไปที่ไหน เขาจึงพาเธอไปที่ที่หนึ่งที่เธออยากจะไป
“ที่นี่ที่ไหนหรือคะ” เธอถามเขาขึ้นมาทันที เมื่อเขาพาเธอมาที่อพาร์ทเม้นท์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ที่เธอผ่านบ่อยมาก เพราะเธอมักจะแวะมาหาผู้เป็นบิดาของเธอบ่อย ๆ
“ที่อยู่ใหม่ผมเองครับ” เขาพูดพร้อมกับพาเธอเดินขึ้นบันไดไปชั้นที่เขาอยู่ เพราะที่แห่งนี้ไม่มีลิฟต์ จึงต้องเดินขึ้นไปเอง ซึ่งเขาก็อยู่ชั้นบนสุดด้วย
“ไหนบอกว่าไม่อยากพามุกมายังไงคะ แล้วทำไมถึงพามุกมา...” เธอแสร้งถามเขาขึ้น เมื่อนึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ ที่เขาบอกว่าไม่อยากพาเธอมา แต่ตอนนี้เขากลับพาเธอมาเสียอย่างนั้น
“ก็ไม่รู้ว่าจะพาคุณมุกไปที่ไหน เพราะผมเองก็ยังไม่รู้จักที่นี่ดีสักเท่าไหร่”
“พี่เกื้อพาไปที่ไหน มุกชอบทั้งนั้นแหละ”
“แล้วแบบพี่ล่ะ ชอบหรือเปล่าครับ”
ไม่เพียงแค่คำพูดของคุณพัฒน์ที่สื่อออกเป็นนัย ๆ แต่แขนแกร่งยังรวบเอวของหญิงสาวเข้าหาตัว แนบชิดกับอกแกร่งของเขาอย่างถึงเนื้อถึงตัวอีกด้วย เมื่ออยู่ภายในห้องกันสองต่อสอง
“พะ พี่เกื้อ” มุกดารินทร์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ และยืนตัวแข็งทื่อทันที เพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้ากอดเธอแบบนี้ แถมลมหายใจอุ่น ๆ ของเขายังเป่ารดที่ต้นคอของเธออีกด้วย
“ครับ”
นานนับนาที กว่ามุกดารินทร์จะรวบรวมความกล้าสู้กับใจของตัวเอง และกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอพูดกับเขาขึ้นมา เพราะเธอรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่เขาแทนตัวเองกับเธอว่าพี่ เมื่อพูดกับเธอ
“พี่แทนตัวเองกับมุกแบบนี้ตลอดไปเลยได้ไหมคะ แล้วห้ามเรียกมุกว่าคุณด้วย” เสียงนุ่มของเธอเอ่ยขอ พร้อมกับสายตาที่ส่งมามองเขาอย่างอ้อนวอน เมื่อเอหันหน้ามาสบตากับเขา
“แล้วถ้าไม่ยอมทำตามล่ะ” เขาพูดขึ้นพร้อมกับส่งสายตามองเชิงเป็นการท้าทายเธออีกด้วย แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยแขนออกจากเอวคอดของเธออยู่ดี
“มุกจะลงโทษพี่เกื้อ”
“ลงโทษยังไงครับ หืมมม” ไม่พูดเปล่า แต่ยังยื่นใบหน้าเขาหาเธออีกด้วย
พี่เกื้อของเธอในตอนนี้ ช่างต่างจากพี่เกื้อที่เจอกันตอนแรก ๆ ที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง ๆ ก้มหน้าไม่มีความมั่นใจ พูดน้อย ถามคำตอบคำเสียเหลือเกิน
แต่พี่เกื้อของเธอในตอนนี้ เปรียบเสมือนเสือร้ายที่พร้อมจะขย้ำเหยื่ออยู่ตลอดเวลา ด้วยสายตาที่เขามองเธอ และเธอก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาคิดเช่นไรกับเธอ เพราะวันก่อนยังทำตัวเหมือนกับว่า เธอนั้นเป็นเพียงแค่คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลย
“พะ พี่เกื้อ”
“กลัวหรือครับ” เขาถามเธอขึ้นมา เมื่อเห็นว่าคนในอ้อมแขนของเขานั้น ตัวสั่นเทาอย่างกับลูกนกตกน้ำก็ไม่ปาน ไม่รู้ว่ากลัวที่ถูกเขากอด หรือว่าตื่นเต้นกันแน่
“ปะ เปล่าคะ”
“ทำไมสั่นจัง”
“มุกแค่ตื่นเต้นคะ”
“ตื่นเต้น ที่คิดว่าพี่จะทำแบบนี้เหรอ จุ๊บ...” พูดเพียงแค่นั้น เขาก็ก้มลงประกบปากบางของเธอทันที โดยเป็นเพียงแค่การแตะทักทายเท่านั่น ไม่ได้ลุกล่วงล้ำแต่อย่างใด เพราะอยากให้เกียรติเธอด้วย แค่เขากอดเธอแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเธอกลัว
“ห้องว่างไปหน่อยนะครับ เพราะพึ่งย้ายมาอยู่ คะ เอ่อ... มุกนั่งบนเตียงนะ” เขาเอ่ยบอกเธอ และพาเธอเดินไปที่เตียงนอน ขนาดไม่ใหญ่มาก ที่ตอนนี้ห้องพักของเขายังว่างเปล่า
“เดทแรก พี่เกื้อก็พามุกมาเดทที่ห้องเลยนะคะ” เธอเอ่ยแซวเขาออกมาทันที ที่นั่งลง
“แล้วมุกอยากไปที่ไหนครับ เดี๋ยวพี่พาไป” คุณพัฒน์ที่นั่งลงข้าง ๆ กัน ถามเธอขึ้นมา ด้วยสายตาที่มองเธออย่างมีเลศนัย
“พี่เกื้อพาไปไหน หรืออยู่ที่ไหน มุกอยู่ได้ทั้งนั้นแหละคะ”
“พูดแบบนี้ ตั้งใจจะพูดเอาใจหรือเปล่าครับ พี่ไม่มีอะไรสู้คนที่นี่ได้เลย ทำไมมุกถึงมาสนใจพี่...” เขาพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่อ่อนลง และใบหน้าที่มีแต่ความเศร้าปนความกังวล
“ตรงนี้ไงคะ ที่พี่เกื้อมี...” มุกดารินทร์พูดพร้อมกับเอานิ้วของเธอชี้ลงไปที่อกแกร่งข้างซ้ายของเขาทันที
“...” เขาเอาแต่นั่งนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยตอบอะไรเมื่อเธอพูดออกมาแบบนี้ แล้วหันไปจ้องมองหน้าเธอนิ่งอย่างพิจารณา
“มุกชอบพี่นะคะพี่เกื้อ แล้วพี่ล่ะ คิดยังไงกับมุก?” เธอมองสบตาเขามั่น แล้วเอ่ยบอกความรู้สึกที่แท้จริงของเธอที่มีต่อเขาออกไปตามตรง โดยที่ไม่คิดที่จะปิดบังใด ๆ เลย
“คือว่า...”
คุณพัฒน์ทำตัวไม่ถูกเลย เมื่อเอสารภาพกับเขาออกมาแบบนี้ ทำให้เขารู้สึกประหม่าและไม่รู้ว่าจะตอบเธอออกไปเช่นไรดี เพื่อไม่หักหามน้ำใจเธอ เพราะเขาเองก็รู้สึกกับเธอเช่นกัน เพียงแต่เขารู้สถานะของตัวเองดี ว่าไม่อาจเอื้อมที่จะเด็ดดอกฟ้าแบบได้
“พี่ไม่ต้องตอบมุกตอนนี้ก็ได้คะ ว่าแต่ตอนนี้เรากลับกันเถอะคะ เริ่มมืดแล้วกลัวรถจะติดเอา” เธอเอ่ยบอกเขา เพื่อที่เขาจะได้ไม่เป็นกังวล
“โกรธพี่หรือเปล่าครับ” เขาถามเธอออกไป เพราะเธอมีน้ำเสียงและท่าทีที่เปลี่ยนไป เมื่อเขาไม่ได้ตอบเธอ เพราะกลัวว่าเธอนั้นจะโกรธเคียงเขาเอา
“โกรธเรื่องอะไรคะ พี่เกื้ออย่าคิดมากไปเลย”
บ้านภัทรไชยา
“ไปไหนมา ทำไมถึงกลับมาป่านนี้” เสียงเข้มผู้ทรงอำนาจของบ้านถามขึ้น เมื่อมุกดารินทร์เดินเข้ามาด้านในภายบ้านผ่านห้องโถงที่บิดานั่งอยู่
ปราโมทย์ ภัทรไชยาสินธุ์ พ่อหม้ายวัย 50 ปี ซึ่งเป็นบิดาผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงมุกดารินทร์มานั่นเอง เพราะภรรยาเสียชีวิตตั้งแต่ที่ลูกสาวยังเล็ก จึงรักและห่วงลูกสาวมากทะนุถนอมราวกับไข่ในหิน
“เพื่อนชวนออกไปกินเลี้ยงมาคะ” เธอตอบบิดาออกไป แต่เธอจำใจต้องโกหกเพราะหากว่าท่านรู้ว่าเธอออกไปกับชายหนุ่มสองต่อสอง อาจจะถูกบิดาตำหนิหรือลงโทษแน่
“เพื่อน! เพื่อนคนไหน? ลูกมีเพื่อนด้วยเหรอ” ที่ถามไปแบบนั้น เพราะทราบดีว่าตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาจนเข้าปีสองแล้วลูกสาวไม่เคยมีเพื่อนสนิทเลย
“เพื่อนสมัยมัธยมคะ” เธอจึงต้องโกหกอีกครั้ง
“แล้วใครมาส่ง ทำไมไม่ให้คนที่บ้านขับรถไปให้”
“มุกไม่รู้ว่าจะได้กลับตอนไหน เลยไม่ได้บอกคนขับรถไปให้ และอีกอย่างมุกเกรงใจลุงศักดิ์ด้วย” เธอตอบบิดาออกไปตามตรง เพราะลุงศักดิ์ที่เธอกล่าวถึงก็งานยุ่งลัดตัดตลอด
เธอเอ่ยขอบิดาอยู่หลายหน ว่าให้หาคนขับรถใหม่ให้เธอ แต่ท่านไม่ยอม เพราะไม่ไว้ใจใคร ครั้นเมื่อเธอจะขับรถเอง ท่านก็ไม่ยอมอีก เธอจึงเป็นเหมือนลูกคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างอยู่จนถึง อายุ 20 แล้ว
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท