สองวันต่อมา
วันนี้คุณพัฒน์และชนาวุฒิได้เริ่มทำงานเป็นวันแรก ที่บริษัทไชยาสินธุ์ โดยที่ทั้งคู่ได้ทำงานที่เดียวกัน และแผนกเดียวกันอีก ซึ่งก็คืออยู่ในแผนกช่างบำรุงนั้นเอง
“ไปเฮ็ดงานหม่องเดียวกันคือบ่เอารถไปคันเดียว” (ไปทำงานที่เดียวกันทำไมไม่เอารถไปคันเดียว) ชญานุชถามชายหนุ่มทั้งสองขึ้น เมื่อเห็นว่าสองหนุ่มนั้นจับรถคนละคัน ทั้ง ๆ ที่ต้องไปทำงานที่เดียวกัน
“เกื้อสิแวะไปหาห้องเช่านำครับเอื้อย มารบกวนเอื้อยมาโดนแล้ว” (เกื้อจะแวะไปหาห้องเช่าด้วยครับพี่ รบกวนพี่มาเยอะแล้ว) คุณพัฒน์เอ่ยตอบพี่สาวเพื่อนออกไปตามตรง เพราะเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่า หากเขาได้งานทำเขาจะออกไปหาที่อยู่ใหม่
“รบกวนอีหยังกัน คนบ้านเดียวกัน เกื้อกะคือน้องเอื้อยคนหนึ่งมีหยังกะต้องซอยเหลือกัน” (รบกวนอะไรกัน คนบ้านเดียวกัน เกื้อก็เหมือนน้องของพี่คนหนึ่ง มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือกัน)
“ไปกันได้แล้วครับคุณนุช ที่ทำงานเราไกลกว่าที่ทำงานของน้องนะ” ธนภัทร เสียงของเจ้านายหนุ่มของชญานุชดังขึ้นมาขัดจังหวะ เมื่อเขามารับเธอไปทำงานเหมือนดังเช่นทุกวันของทุกเช้า
“วุฒิ ปิดเฮือนนำเด้อ” (วุฒิ ปิดบ้านด้วยนะ)
ก่อนที่จะออกไปจากบ้าน ชญานุชก็ไม่วายที่จะหันมาบอกน้องชาย เพราะเธอต้องออกไปทำงานแล้ว เพราะสถานที่ที่เธอทำงานนั้นไกลกว่าของน้องชาย จึงต้องออกเดินทางก่อน และต้องเผื่อเวลาไว้ด้วย เพราะการจราจรที่แออัดของทุกเช้า
บริษัทไชยาสินธุ์กรุ๊ป
“ทั้งสอง มีอะไรก็ถามหัวหน้างานนะ” อเนกพงศ์ ผู้รับผิดชอบเรื่องพิจารณารับคนเข้าทำงานของบริษัทแห่งนี้ และก็ยังเป็นคนสนิทกับเจ้าของที่นี่ด้วย เอ่ยบอกชายหนุ่มทั้งสอง เมื่อเดินมายังแผนกที่คนทั้งคู่ต้องทำงาน
“ครับ/ครับ” ชายหนุ่มทั้งสองที่เดินตามมานั้น ขานรับอย่างอ่อนน้อม
“คุณอาทิตย์ ฝากสองหนุ่มเด็กใหม่นี้ด้วยนะครับ” เอนกพงศ์หันมาฝากฝังชายหนุ่มทั้งสองแก่หัวหน้าแผนกให้ดูแลสอนงานหนุ่มทั้งสอง
“ยินดีครับคุณเอนกพงศ์”
ทั้งสองทำงานวันแรกไปอย่างไม่มีปัญหาอะไร จวบจนถึงของเวลาเลิกงาน ทั้งสองจึงแยกย้ายกันกลับไปคนละทาง เพราะคุณพัฒน์ต้องออกไปหาที่อยู่ใหม่ตามที่บอกเพื่อนเอาไว้เมื่อเช้า
และก็ได้ที่อยู่ใกล้กับที่ทำงานพอดี เป็นตึกอพาร์ทเม้นท์สูงแค่ห้าชั้น และคืนนี้เขาก็ย้ายเข้ามาอยู่เลย จากนั้นจึงแวะออกไปบอกกับคนที่บ้านก่อน
“คือบ่นอนนี้ก่อนจักคืน” (ทำไมไม่นอนที่นี่อีกสักคืน) ชญานุชเป็นฝ่ายถามขึ้น เมื่อทราบว่าชายหนุ่มจะออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว
ชญานุช เธอเอ็นดูคุณพัฒน์เหมือนกับน้องชายเธอคนหนึ่ง เพราะคุณพัฒน์คือเพื่อนที่ดีและสนิทที่สุดของน้องชายที่ยังอยู่เคียงข้างกันตลอด และจะคอยเตือนสติชนาวุฒิ และทำให้ชนาวุฒิปรับเปลี่ยนไปในทางที่ดี จนบางทีน้องชายมักจะน้อยใจ ว่าเธอรักคุณพัฒน์มากกว่าน้องในสายเลือด...
“บ่เป็นหยังครับเอื้อย แค่นี้เกื้อกะเกรงใจเอื้อยกับวุฒิหลายแล้ว” (ไม่เป็นไรครับพี่ แค่นี้เกื้อก็เกรงใจพี่กับวุฒิจะแย่อยู่แล้ว) คุณพัฒน์เอ่ยออกไป เพราะแค่นี้ถือว่าเป็นบุญของเขามากแล้ว ที่พี่สาวเพื่อนเอ็นดู
“ให้กูไปนอนแป็นหมู่บ้อบักเกื้อ” (ให้กูไปนอนเป็นเพื่อนไหมไอ้เกื้อ) ชนาวุฒิถามเพื่อนออกไป เพราะทุกครั้งที่ไปไหนมาไหน ก็มักจะไปด้วยกันตลอด แต่คืนนี้คุณพัฒน์จะออกไปอยู่ที่อื่น ชนาวุมิเองก็รู้สึกใจหาย แต่ก็เคารพการตัดสินใจของเพื่อน เพราะเขาเองก็จะไม่อยู่รบกวนพี่สาวไปตลอดเหมือนกัน
“บ่เป็นหยังดอก กูอยู่ได้ มื้อใดมึงคึดฮอดคอยไปหากูกะได้” (ไม่เป็นไรหรอก กูอยู่ได้ วันไหนมึงคิดถึงค่อยไปหากูก็ได้) เขาตอบเพื่อนออกไปแบบคำพูดที่ติดตลก
เมื่อร่ำลาเพื่อน และพี่สาวของเพื่อนที่เปรียบเสมือนพี่สาวตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณพัฒน์สะพายกระเป๋าเป้ที่มีเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวของเขาเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ในนั้น คุณพัฒน์ก็ออกเดินทางไปยังที่พักใหม่ของเขาทันที
Rrrr…
และเมื่อเขากำลังจะเดินขึ้นตึกไปยังห้องพักของเขานั้น กับมีเสียงโทรศัพท์มือถือของเขานั้นดังขึ้นมา และก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหญิงสาวที่เคยของเบอร์ของเขาไปนั่นเอง เพราะเขาไม่เคยให้เบอร์แก่ใครที่ไหน
“ครับคุณมุก” เขารับสาย และคำที่เอ่ยเรียกเธอก็กลับมาใช้คำเดิมเหมือนกับวันแรกที่รู้จักชื่อของหญิงสาว
[พี่เกื้อย้ายออกไปอยู่ที่ไหนคะ เห็นพี่ภัทรบอกว่าพี่เกื้อย้ายออกไปจากบ้านพี่นุช ไปอยู่ที่อื่นแล้ว...] เสียงของคนปลายสายถามขึ้นมาทันที
มุกดารินทร์ทราบจากธรภัทรว่าชายหนุ่มย้ายออกไปอยู่ที่อื่น แต่เขากับไม่ยอมบอกเธอเลย เธอเลยตัดสินใจโทรศัพท์มาถาม เพราะตั้งแต่วันนั้นที่เขาไปส่งเธอที่บ้าน เจชขาก็ไม่เคยโทรฯหาเธอ มีแต่เธอที่เป็นฝ่ายโทรฯหาเขาตลอด และเย็นนี้ตั้งใจจะไปแสดงความยินดีกับเขาที่เขาได้งาน แต่เขากลับย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว แถมไม่ยอมส่งข่าวบอกเธอเลย จนเธอรู้เอง
“อยู่ใกล้ ๆ ที่ทำงานนี่แหละครับ คุณมุกมีอะไรหรือเปล่า”
[พี่เกื้อมารับมุกหน่อยได้ไหมคะ มุกมีเรื่องจะคุยกับพี่ และอยากร่วมยินดีที่พี่เกื้อได้งานทำด้วย]
“จะดีหรือครับ”
[นะคะพี่เกื้อ ไหนพี่บอกว่าอยากจีบมุกไง แต่ทำไมพี่ทำตัวเหินห่างมุกจังเลย]
“ครับ อีกสามสิบนาทีเจอกันที่หน้าคุณมุกนะครับ”
เมื่อเจอลูกอ้อนของเธอแบบนี้ เขาก็วางสายจากมุกดารินทร์ คุณพัฒน์ก็รีบบิดรถไปหาเธอที่บ้านทันที เดิมที่ก็มีความลังเล แต่ก็ทนต่อการอ้อนวอนของหญิงสาวไม่ลง
“ออกมารอนานแล้วหรือครับ” เขาถามเธอขึ้นมาทันที ที่ขับรถมาถึงที่บ้านของเธอ ก็เจอเธอออกมารอเขาอยู่ที่หน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“พึ่งออกมาคะ” เธอเอ่ยบอกเขา แต่ที่จริงแล้วเธอนั้นออกมารอเขาตั้งแต่ที่วางสายและรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วต่างหาก
“คุณมุกอยากไปไหนครับ” เขาถามเธอขึ้นมา
“ห้องใหม่พี่เกื้อคะ”
“จะ จะดีหรือครับ” เขาไปแทบไม่เป็นเลย เมื่อเธอเอ่ยขึ้นมาแบบนี้
“พี่เกื้อคิดไปถึงไหนคะ” เธอเอ่ยแซวเขาขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเขาทำตัวไม่ถูก เธอรู้ว่าเขาคงจะเขินเธอแน่ ๆ ที่เจอเธอแซวออกมาแบบนี้
“คือว่า...มันไม่มีอะไรน่าไปหรอกครับ”
“พี่เกื้อซ่อนอะไร หรือซ่อนใครไว้หรือเปล่าคะ” เธอแกล้งถามเขาออกไป เพราะใจจริงเธอก็อยากรู้ว่าเขามีใครอยู่ในใจหรือเปล่า
“ไม่มีครับ”
“ไปกันได้ยังคะ”
“ครับ”
วันนี้เธอแต่งตัวแบบชุดสบาย มีเพียงกางเกงยีนส์ขายาวสีเข้มกับเสื้อยืด คุณพัฒน์เห็นดังนั้น เขาจึงถอดเสื้อเสื้อแขนยาวที่เขาสวมอยู่นั้นถอดให้เธอใส่คลุมตัวทันที เพราะแสงแดดยามเย็นยังคงแรงอยู่ เขากลัวผิวขาวนวลของเธอจะเสียเอา แล้วขับรถพาเธอออกไปทันที โดยที่ยังไม่รู้จุดหมาย
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท