เมื่อเห็นว่าเวลานี้ก็ดึกมากแล้ว คุณพัฒน์จึงเอ่ยชวนเธอกลับ และเป็นฝ่ายอาสาที่จะพาเธอไปส่งที่บ้าน ของเธอเอง ตอนแรกมุกดารินทร์ปฏิเสธไม่ยอมกลับบ้าน เพราะเธออยากที่จะค้างอยู่กับพวกเขา แต่คุณพัฒน์บอกว่ามันไม่เหมาะเพราะเธอเป็นผู้หญิง
“แต่บ้านมุกอยู่ไกลจากที่นี่นะคะ” เธอบอกเขาออกไป เพราะจากตรงนี้ไปบ้านของเธอไกลมากพอสมควร เพราะอยู่คนละฝั่งทางกับบริษัท
“ไม่เป็นไรครับ”
“เดี๋ยวมุกโทรบอกพี่ภัทรก่อนนะคะ ว่าพี่เกื้อจะไปส่งมุกที่บ้าน พี่ภัทรจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
เมื่อเธอโทรศัพท์ไปแจ้งธนภัทรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คุณพัฒน์จึงพาเธอขับรถกลับบ้านด้วยรถมอเตอร์ไซค์ของเขาทันที
“มุกกอดเอวพี่เกื้อได้ไหมคะ” เธอเอ่ยขออย่างขออนุญาตเมื่อนั่งซ้อนท้ายเขา
“ครับ” เขาตอบรับพร้อมกับจับมือของเธอมากอดที่เอวเขาไว้ ก่อนที่จะออกรถ มุ่งหน้าไปบ้านของเธอตามที่เธอบอก
ทางด้านของธนภัทร เมื่อหญิงสาวโทรศัพท์มาบอกว่าคุณพัฒน์จะไปส่งเธอที่บ้าน เขาจึงขอตัวกลับทันที เพราะเกิดรู้สึกเกรงใจเลขาสาวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ผมว่าผมกลับก่อนดีกว่า พอดีเกื้อไปส่งน้องมุกที่บ้านแล้ว” เขาเอ่ยบอกเธอขึ้นมา
“คุณไหวแน่นะคะ” ชญานุชถามกลับด้วยความเป็นห่วง เพราะว่าดีกรีในร่างกายของเขาก็เริ่มออกอาการอยู่เหมือนกันถึงแม้ว่าจะไม่มากก็ตาม
“ไหวครับ ผมดื่มไปแค่นิดเดียวเอง เป็นห่วงผมเหรอ หรือว่าคุณอยากให้ผมค้างที่นี่ด้วย หึมมม” เขาส่งสายตามองเธอ พูดขึ้นมาด้วยท่าทีเล่นที เพราะอยากให้เธอเขินอาย
“ไม่คะ”
ใช้เวลาเกือบหนึ่งชั่วโมงที่คุณพัฒน์ขับรถพาหญิงสาวมาส่งที่บ้าน ถึงแม้ว่าเวลานี้บนถนนจะเงียบ แต่ก็เขาใช้เวลานานมากพอสมควร เพราะระยะทางที่ไกล และทางที่เขาไม่คุ้นเคย เพราะพึ่งมาเป็นครั้งแรก
“มุกอยู่ที่นี่หรือครับ” ทันทีที่รถมาจอดที่หน้าบ้านของเธอ เขาถามเธอขึ้นมา เพื่อความแน่ใจ เมื่อรถจอดอยู่ที่หน้าบ้านหลังใหญ่ ตามที่เธอบอก
ใจแกร่งรู้สึกถอดใจขึ้นมาทันที เมื่อรู้สถานะที่แท้จริงของเธอ ว่าหญิงสาวนั้นเป็นลูกสาวผู้ดีมีเงิน แถมเป็นลูกคุณหนูเสียอีก เขาไม่มีอะไรเทียบเธอได้เลย
“ค่ะ พี่เกื้อเป็นอะไรไปคะ ขับรถเหนื่อยเหรอ แล้วพี่จะขับกลับไหวไหม” เธอถามเขากลับไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อเขามีท่าทีที่เปลี่ยนไป
“ไหวครับ แค่นี้สบายมาก” เขาเอ่ยตอบเธอไปด้วยใบหน้าที่ฝืนยิ้ม เพื่อที่เธอจะได้สบายใจ
“ถ้าอย่างนั้น พี่เกื้อขับรถกลับดี ๆ นะคะ ถึงแล้วโทรบอกมุกด้วย มุกเป็นห่วงพี่นะคะ”
“ครับ”
“ว่าง ๆ สอนมุกพูดภาษาอีสานบ้างนะคะ”
“ครับ มุกรีบเข้าบ้านเถอะ ดึกมากแล้ว”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเดินเข้าไปด้านในจนถึงตัวบ้านแล้ว คุณพัฒน์จึงยอมขับรถกลับ ด้วยความคิดที่หลากหลายตีตื้นกันอยู่ และไม่รู้ว่าจะจัดการกับความคิดนี้เช่นไร เขาควรจะหยุดสานสัมพันธ์กับเธอ หรือว่าเขาควรจะเดินหน้าต่อดี…
“เฮ้อ...หมาวัดคือจังอ้ายสิกล้าไปเด็ดดอกฟ้าคือเจ้าได้จังใด” (เฮ้อ...หมาวัดแบบพี่จะกล้าไปเด็ดดอกฟ้าแบบคุณได้ยังไง)
เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว กว่าที่คุณพัฒน์จะขับรถกลับมาถึงบ้านของชญานุช แต่เมื่อเขากลับมาถึง ก็เห็นชนาวุฒิยังคงนั่งรอเขาอยู่ที่หน้าบ้าน โดยที่กำลังเก็บกวาดสถานที่
“ไปส่งกันฮอดไสคือกลับเอายามนี้” (ไปส่งกันถึงไหนถึงกลับมาเอาป่านนี้) ชนาวุฒิถามเขาขึ้นมาทันที ที่เขาจอดรถ
“เฮือนเขาอยู่ไกล” (บ้านเขาอยู่ไกล) เขาตอบเพื่อนออกไปแค่นั้น พร้อมกับถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ
“เป็นใดแน่ได้อยู่นำกันสองคน มีหยังคืบหน้าบ่” (เป็นยังไงบ้างได้อยู่กันด้วยกันสองคน มีอะไรคืบหน้าไหม) ชนาวุฒิต้องถามกลับไปอีกครั้ง
“เฮ้อ…กูควรสิไปต่อ หรือพอส่ำนี้ว่ะ” (กูควรจะไปต่อ หรือพอแค่นี้ว่ะ) เขานั่งลงข้าง ๆ กันกับชนาวุฒิ แล้วถอนหายใจออกอย่างหนักใจอีกครั้ง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาด้วยประโยคที่ต้องการคำแนะนำจากเพื่อน
“มีหยังว่ะเกื้อ” (มีอะไรว่ะเกื้อ)
“กูบ่มีหยังเหมาะกับเขาเลย” (กูไม่อะไรเหมาะสมกับเขาเลย) ใบหน้าเศร้าเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อพูดถึงเรื่องของเขากับเธอ
“เป็นหยังสิบ่เหมาะ ถ้าใจมึงกับเขาตรงกัน” (ทำไมถึงไม่เหมาะ ถ้าใจมึงกับเขาตรงกัน) ชนาวุฒิพูดอย่างให้กำลังใจ
“เขามันดอกฟ้า ส่วนกูกะแค่หมาวัดที่ยังบ่มีอนาคตเลย” (เขามันดอกฟ้า ส่วนกูก็แค่หมาวัดที่ยังไม่มีอนาคตเลย) เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างตัดพ้อในโชคชะตาของชีวิตตัวเอง
“ที่มึงเว้ามานี้คืออีหยัง...” (ที่มึงพูดมานี้คืออะไร...)
“เขามันลูกคุณหนู เป็นลูกคนรวย รวยแบบที่ว่ากูบ่ทางสิเอื้อมฮอดเลยวุฒิ” (เขามันลูกคุณหนู เป็นลูกคนรวย นวยแบบว่ากูไม่มีทางที่จะเอื้อมถึงเลยวุฒิ) เขาจึงเอ่ยบอกเพื่อนออกไป ถึงสถานะที่แท้จริงของหญิงสาว
“มันกะบ่แปลกดอก แค่เจ้านายเอื้อยกู กะยังขับรถคันละเป็นล้าน ๆ แล้วหมู่เฮาขับแค่มอไซค์คันละบ่จักหมื่นเอง” (มันก็ไม่แปลกหรอก ขนาดเจ้านายพี่สาวกู ก็ยังขับรถคันละเป็นล้าน ๆ แล้วกับพวกเราขับแค่มอไซค์คันละไม่กี่หมื่นเอง)
“...” คุณพัฒน์ก้มหน้าเงียบ
Rrrr...
และก็มีเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาดังขึ้นมา ปรากฏว่าเป็นสายจากมุกดารินทร์โทรฯเข้ามานั่นเอง สายตาได้แต่จ้องที่หน้าจอ ไม่กล้าที่จะรับสายเธอ
“คือบ่รับ...” (ทำไมไม่รับ) ชนาวุฒิถามขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเขาเอาแต่จ้องมองที่หน้าจอโทรศัพท์มือถืออยู่เสียนานสองนาน
“กูบ่กล้าเว้านำเขา กู...” (กูไม่กล้าพูดกับเขา กู...)
“รับเถาะ มีหยังค้างคากะเว้าออกมาโลด” (รับเถอะ มีอะไรค้างคาก็พูดกันออกมาเลย) ชนาวุฒิพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะไหล่เขาอย่างให้กำลังใจอีกที
“ครับคุณมุก” เสียงนุ่มขานรับ เมื่อรับสายจากเธอ และเปลี่ยนสรรพนามเรียกเธออีกแล้ว
[พี่เกื้อนอนยังคะ]
“กำลังจะนอนครับ” เขาจำใจต้องโกหกเธอออกไปแบบนั้น เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เขาควรจะทำเช่นไรดี จะไปต่อหรือว่าเขาควรจะหยุดพอแค่นี้
[พี่ถึงบ้านนานยังคะ ไม่เห็นโทรมาบอกเลย มุกเป็นห่วงพี่นะคะ]
“คือ...ผมลืมครับ ต้องขอโทษคุณมุกด้วย”
[ถ้าอย่างนั้น มุกไม่รบกวนแล้วคะ พี่เกื้อนอนเถอะ ฝันดีนะคะ]
“ฝันดีครับ”
“ถามใจเจ้าของเบิ้ง ว่าพร้อมสิสู้เพื่อเขาบ่ กูกะบอกมึงได้ส่ำนี้แหล่ะ ที่เหลือเป็นการตัดสินใจของมึงเอง ไปนอนเถาะดึกแล้ว” (ถามใจตัวเองดู ว่าพร้อมจะสู้เพื่อเขาไหม กูก็บอกมึงได้แค่นี้แหล่ะ ที่เหลือก็เป็นการตัดสินใจของมึงเอง ไปนอนเถอะดึกมากแล้ว) เมื่อเขาวางสายกับเธอแล้ว ชนาวุฒิจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินเข้าไปภายในบ้าน ปล่อยให้คุณพัฒน์อยู่ตรงนี้คนเดียว
จำใจยอมมื้อค่ำสุดพิเศษจบลง มุกดารินทร์ก็ยังคงเอาแต่นั่งชะเง้ออยู่ที่ห้องโถงไม่ยอมขึ้นห้องไปพักผ่อน จนปราโมทย์ที่นั่งอยู่ด้วยถอนหายใจยาว ก่อนที่จะเอ่ยสั่งเด็กสาวรับใช้ที่เป็นหลานสาวของพิไล“ไปตามเกื้อกูลมาที่นี่หน่อย” ปราโมทย์ที่ทนเห็นลูกสาวเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงสั่งให้แม่บ้านไปตามคุณพัฒน์เข้ามาที่บ้านหลังใหญ่ทีนที“ค่ะ คุณท่าน”สักพักคุณพัฒน์ก็เดินเข้ามาถึง เจอกับปราโมทย์นั่งวางมาดขรึมอยู่ที่โซฟาจ้องมองมาที่เขาอย่างเอาเรื่อง แต่เขาทำใจฮึดสู้ยกมือขึ้นไหว้อย่างยอบน้อม โดยที่จะไม่เอ่ยถามอะไรว่าท่านให้คนไปตามทำไมกัน“พามุกดาขึ้นไปนอน นี้ก็ดึกมากแล้วไม่รู้จักหน้าที่เอาเสียเลย” พูดเพียงแค่นั้น ปราโมทย์ก็ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเดินผ่านหน้าชายหนุ่มขึ้นไปชั้นบนของบ้านทันที เพราะเขาเองก็ง่วงเต็มทนจนตาแทบจะปิดอยู่รอมร่อ“ทำไมถึงไม่ยอมขึ้นนอนล่ะครับ หืมมม” คุณพัฒน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเมื่อเดินเข้าไปหาหญิงสาว และใช้มือโอบรอบเอวพาเธอเดินขึ้นไปด้านบน“มุกไม่อยากนอนคนเดียวค่ะ มันหงุดหงิดทำให้มุกนอนไม่หลับ” เอ่ยบอกเขาพร้อมกับทำหน้ายู่ราวกับเด็กใส่เขาทันทีดูสิขนาดเธอกำลังจะกลายเป็นแม่คนแล้ว แต
มื้อค่ำสุดพิเศษตกเย็นคุณพัฒน์ที่ผล็อยหลับไปตามหญิงสาวนั้น ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเย็น แล้วช้อนเอาร่างเล็กของว่าที่คุณแม่ที่ยังคงหลับสนิทอยู่ขึ้นอย่างทะนุถนอมไปวางที่เตียงกว้างให้เธอได้นอนสบาย ก่อนที่จะออกจากห้องของเธอไป เพื่อที่จะไปซื้อของมาทำอาหารมื้อเย็นให้ตามที่่รับปากเธอเอาไว้“จะไปไหน?” เสียงเข้มของปราโมทย์ถามขึ้นมา เมื่อเขากำลังเดินออกจากบ้านไปที่โรงจอดรถ ที่มีมอเตอร์ไซค์เขาจอดอยู่ด้วยปราโมทย์รู้ว่าชายหนุ่มจะออกไปไหน เพราะได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มพูดกับลูกสาวทุกประโยคเมื่อตอนกลางวัน แต่แค่อยากถามกวนเฉย ๆ“จะออกไปตลาดครับ” คุณพัฒน์ตอบออกไปตามตรง เพราะอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน ก็ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังอยู่แล้ว ดีแค่ไหนแล้วที่ท่านยอมให้เขามาอยู่ใกล้กับลูกสาวท่าน“ไปสภาพนี้?” ใบหน้านิ่งขรึมมองสำรวจชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า จึงได้แต่เลิกคิ้วถามคุณพัฒน์นั้นสวมเพียงแค่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขายาวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งของราคาแพงอะไรประดับติดตัว แต่ก็ดูดีใบแบบของชายหนุ่มเอง“คือ...” เขาได้แต่ก้มหน้าถ่อมตนไม่กล้าสบตาของปราโมทย์ เพราะสภาพตัวเองที่ไม่มีอะไรคู่ควรกับลูกสาวท่านเลย“เ
อยากหนีไปจากตรงนี้คุณพัฒน์ที่กำลังทำงานสวนอยู่หลังบ้าน ถูกตามตัวให้มาพบกับเจ้าของบ้าน จึงต้องยอมละทิ้งทุกอย่างไว้ แล้วเดินเข้ามาในบ้านใหญ่ทันทีคุณพัฒน์ได้รับอนุญาตจากปราโมทย์ให้พักอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้ได้ โดยพักอยู่ที่บ้านพักของคนงานแทน มีหน้าที่ดูแลรับใช้มุกดารินทร์ในฐานะพ่อของลูกเท่านั้น และจนกว่าที่มุกดารินทร์จะคลอดแต่คุณพัฒน์จะไม่มีสิทธิ์ขึ้นไปชั้นบนของบ้านหลังใหญ่ และให้อยู่กับมุกดารินทร์ได้ เพราะปราโมทย์ต้องการดูพฤติกรรม ว่ามีความอดทนมากแค่ไหนและปราโมทย์ก็ให้เขาออกจากงานทันที ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องขึ้นในวันนั้น ให้มาอยู่ที่บ้านของเขาแทน ส่วนพงษ์พิพัฒน์และธนภัทรจึงยอมให้คุณพัฒน์ทำตามที่ปราโมทย์ขอ เพราะมีทางเดียวที่คุณพัฒน์จะได้อยู่ใกล้ลูกเมีย และเป็นการพิสูจน์ตัวเองด้วยคุณพัฒน์เดินเข้ามาภายในห้องโถงของบ้าน เห็นปราโมทย์นั่งกอดอกอยู่บนโซฟามองมาที่ตน ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรกลับไป ทำเพียงแค่ยกมือขึ้นไหว้เท่านั้น“ตามป้าไลขึ้นไปข้างบน แล้วทำยังไงก็ได้ให้มุกดายอมกินข้าว เป็นผัวเมียภาษาอะไร เมียไม่กินข้าว ก็ไม่ยอมดูแล...” ใบหน้านิ่งขรึมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่ง เมื่อคุณพัฒน์มาถึ
ไม่ได้เกิดมาเพียบพร้อมสามวันต่อมาบ้านภัทรไชยาธนภัทรกับบิดาของตนรีบมาหามุกดารินทร์ที่บ้าน หลังจากที่ทำธุระที่ต่างจังหวัดเสร็จก็มุ่งหน้ามาบ้านของหญิงสาวเลยทันทีที่ทราบข่าวว่าเกิดอะไรขึ้น“คุณอาอย่าบังคับน้องให้ไปเอาเด็กออกเลยนะครับ เด็กไม่ได้รู้อะไรด้วยเลย น้องจะเสียใจมากแค่ไหน ที่ทำลายเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง แล้วคนที่จะเป็นทุกข์ไม่ใช่แค่มุกดา แต่อาโมทย์เองก็จะรู้สึกผิดไปด้วย...” ธนภัทรร้องขอขึ้นมาทันที ที่รู้ว่าปราโมทย์กำลังจะทำอะไรกับลูกสาว“...” ทุกคนเงียบลงไม่มีใครพูดอะไรออกมาสายตาหันมองไปยังหญิงสาวและชายหนุ่ม ที่หน้าตาบูดซ้ำ เพราะการถูกซ้อมปางตายจากลูกน้องของปราโมทย์ แล้วหันกลับมาเอ่ยกับเจ้าของบ้านต่อ...“ถือว่าเห็นแก่เด็กที่กำลังจะเกิดมา ซึ่งก็คือหลานแท้ ๆ ของอาเอง พ่อเขาก็มีทำไมอาต้องอยากให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายอีกหนึ่งชีวิตเพื่ออนาคตด้วยครับ คลอดแล้วค่อยกลับไปเรียนก็ได้”“...” ปราโมทย์ไม่เอ่ยตอบอะไร เมื่อธนภัทรเอ่ยออกมาเช่นนี้“เกื้อกูลก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร น้องออกจะเป็นคนดีคนขยันทำมาหากินคนหนึ่ง เพียงแต่เกิดมากับครอบครัวที่ไม่เพียบพร้อมเหมือนกับพวกเรา แต่ไม่ใช่ว่าวันข้างหน้
ไม่เจียมตัวเอาเสียเลยก๊อก ก๊อก ก๊อก“มีอะไร” เสียงเข้มถามออกไป เมื่อวิศรุตผุนผันเข้ามาหาเขาที่ห้องแบบไม่ได้รอให้คนด้านในอนุญาตเสียก่อนทุกสายตาที่อยู่ในห้องนี้ด้วย ต่างก็หันจ้องมองมาที่วิศรุตเป็นตาเดียวอย่างรอฟังคำตอบ ชายหนุ่มหากได้สนใจไม่ กลับเดินเข้าไปหาปราโมทย์ทันที เพราะมีเรื่องด่วนกว่า“คุณหนูมุกเป็นลมครับ” เสียงกระซิบเอ่ยบอกเบา ๆ เพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“อะไรน่ะ!!! เป็นลม? แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน” แต่ปราโมทย์ เมื่อได้ยินว่าลูกสาวสุดที่รักเป็นอะไร กลับเก็บอาการไม่อยู่ ตวาดถามเสียงดังขึ้นมาทันที โดยไม่สนใจว่าในที่นี่จะมีใครได้ยินบ้าง เพราะเป็นห่วงลูกสาวจนไม่สามารถควบคุมอะไรได้“อยู่ข้างล่างครับ” วิศรุตเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบนิ่งปราโมทย์ไม่ได้สนใจทุกสายตาที่มองมาที่ตน รีบสาวเท้าเดินออกไปจากตรงนี้ ลงมายังจุดที่วิศรุตแจ้งว่าลูกสาวอยู่ที่ไหนและก็เจอกับคุณพัฒน์กำลังอุ้มลูกสาวตนเดินไปทางห้องพยาบาลพอดี จึงได้แต่เดินตามไปแต่ไม่ได้เอ่ยถามอะไรชายหนุ่มออกไปคุณพัฒน์วางมุกดารินทร์ลงที่เตียงในห้องพยาบาลอย่างเบามือ และก็ออกมารออยู่ห่าง ๆ ให้หมอที่ถูกเรียกตัวมาจากโรงพยาบาลตรวจดูอาการหมอที
เอาอะไรไปสู้เขาวิศรุตได้แต่ชำเลืองมองคุณพัฒน์ที่เดินสวนกันอย่างรู้สึกเห็นใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะเขาเองก็ต้องทำตามหน้าที่เหมือนกัน“ให้คนของเราไปจัดการเลยไหมครับ” ถามผู้มีพระคุณที่นั่งหน้าขรึมขึ้นมาทันที ที่เขาเดินเข้ามาภายในห้อง“ไม่ต้อง รอดูไปก่อน ถ้ามันขัดคำสั่งเมื่อไหร่ ค่อยจัดการทีเดียว”ปราโมทย์รีบปราม แล้วนั่งทำงานต่ออยู่ภายในห้องอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้สนใจอะไรต่อ แต่สมองก็สั่งการให้เขาอดคิดเรื่องของลูกสาวกับชายหนุ่มที่เขาเรียกมาตักเตือนไม่ได้อยู่ดี“มีหยัง...เว้าบอกกูได้เด้อ เผื่อมึงสิสบายใจขึ้น” (มีอะไร...เล่าให้กูฟังได้น่ะ เผื่อมึงจะสบายใจขึ้น) ชนาวุฒิถามเพื่อนขึ้นมาทันที ที่เห็นคุณพัฒน์เดินกลับเข้ามาทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก“มันจบลงแล้วล่ะ เฮ็ดงานต่อเถาะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย” (มันจบลงแล้วแหล่ะ ทำงานต่อเถอะอย่าสนใจเรื่องของกูเลย) สั่งเรียบเอ่ยบอกเพื่อน แต่ใบหน้าก็ยังแสดงความทุกข์ออกมาอยู่ดี“มักลูกสาวเขาเฮากะสู้ตัวเกื้อ” (รักลูกสาวเขาเราก้ต้องสู้สิเกื้อ)“กูบ่มีอีหยังไปสู้เขาได้ดอก มึงกะเห็น” (กูไม่มีอะไรไปสู้เขาหรอก มึงก็เห็น) พูดตัดพ้อตัวเองขึ้นมาทันท