LOGINตอนที่ 2 ยิ่งคิดยิ่งโมโห
ติ๊ด.. ติ๊ด.. เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นทำให้ภาคินที่ดื่มมาอย่างหนักหน่วงเมื่อคืนนี้ เอื้อมมือออกมาจากผ้าห่มเพื่อควานหานาฬิกาที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุดมาปิดเสียงที่น่ารำคาญ เขารู้สึกมึนหัวและปวดหัวเป็นอย่างมากจึงนอนลงเพื่อพักต่ออีกสักครู่
กริ๊ง.. กริ๊ง.. กริ๊ง.. เสียงโทรศัพท์ในห้องพักของภาคินยังคงดังขึ้นมากวนเขาอีกครั้ง เขาจึงจำใจต้องลุกขึ้นมารับอย่างงัวเงีย
"ฮัล.. โหล" ภาคินรับสายด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและงัวเงีย
"คินยังไม่ตื่นอีกเหรอ นี่สายมากแล้วนะ อย่าลืมสิว่าเรามีประชุมตอนสิบโมง รีบๆ ลุกไปอาบน้ำได้แล้ว แล้วโทรศัพท์มือถือของคินอยู่ที่ไหน พี่โทรไปก็ไม่ติด" เสียงปลายสายถามอย่างรัวเร็วเมื่อได้ยินเสียงที่แหบแห้งของน้องชาย
"นี่กี่โมงแล้วครับพี่หมวยใหญ่" ภาคินยังคงถามพี่สาวคนโตด้วยอาการงัวเงียและสะลึมสะลือ เนื่องจากเมื่อคืนเขาดื่มหนักมาก
"เก้าโมงครึ่งแล้ว รีบๆ ลุกไปอาบน้ำเลยก่อนป๊าจะเข้ามาร่วมประชุม แค่นี้นะ" ภาสินีหรือหมวยใหญ่ของน้องๆ รีบพูดก่อนจะวางสายลงไปอย่างรวดเร็ว
หากภาคินยังมาทำงานสายแบบนี้ถ้าพ่อของเธอรู้เข้า ภาคินมีหวังโดนสั่งให้ปิดผับแน่ๆ หลังจากวางสายจากภาสินีพี่สาวของเขาแล้ว เขาก็รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเร่งรีบก่อนจะเข้าไปประชุมที่โรงแรมด้วยความรีบร้อน
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าห้องประชุม ทุกคนที่นั่งอยู่ภายในห้องก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว เขารีบยกข้อมือขึ้นมาดูก็เป็นเวลาสิบโมงเป๊ะ ถือว่ายังไม่สายเขาจึงรีบค้อมตัวก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ข้างๆ ภาสินีผู้เป็นพี่สาว
ภานุพงษ์ พี่ชายของภาคินรีบแก้สถานการณ์ก่อนที่พ่อของเขาจะหันมาดุน้องชายคนเล็ก
"เอาละครับ ทุกคนคงจะเห็นแฟ้มเอกสารตรงหน้ากันแล้ว นี่เป็นแฟ้มสรุปยอดไตรมาสที่สองนี้ครับ ผมถือว่าไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองที่ผ่านมานี้ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แต่ตอนนี้เรากำลังเข้าไตรมาสที่สามแล้ว ผมอยากให้มันดีกว่านี้นะครับ อีกทั้งปลายปีนี้ก็เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นพอดี น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะโปรโมตโรงแรมของเราเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในช่วงนี้ ไม่ทราบว่าทุกท่านมีความคิดเห็นกันอย่างไรบ้างครับ" ภานุพงษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะหันไปมองภาคิน
ภาคินที่รู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก เขาจึงได้แต่นั่งนิ่งๆ มองภานุพงษ์ด้วยใบหน้าที่เงียบขรึม วันนี้พี่ชายคนรองของเขาจะเปิดโอกาสให้เขาได้แสดงความสามารถ เพื่อให้พ่อของเขาให้โอกาสเปิดผับต่อไปได้ เนื่องจากในช่วงระยะหลังๆ มานี้ ภาคินเริ่มทำตัวเถลไถลและมักจะมาทำงานสายเป็นประจำ
"นี่คิน.. พี่บอกให้คินไปเตรียมตัวทำการบ้านสำหรับเรื่องที่จะประชุมในวันนี้แล้วนะ คินอยากให้ป๊าปิดผับของคินจริงๆ เหรอ" ภานุพงษ์กระซิบถามเสียงเครียดกับน้องชาย
"ก็เมื่อคืนเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย คินเลยลืมน่ะสิพี่พงษ์" ภาคินตอบเสียงอ่อน เขาลืมจริงๆ เขามัวแต่โมโหศิวกรจึงลืมเรื่องที่จะประชุมในวันนี้ไปหมด
แล้วเมื่อคิดถึงศิวกรความรู้สึกที่เพิ่งจะดับมอดลงไปก็โหมกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง ครั้นนึกถึงใบหน้าคมเข้มที่กำลังยกยิ้มมุมปากอย่างเยาะเย้ยเขาอยู่นั้น ยิ่งทำให้เขารู้สึกโมโหมากยิ่งขึ้นจึงเผลอทุบโต๊ะเสียงดัง ปัง!
ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมต่างก็พากันตกใจหันมามองภาคินเป็นตาเดียว เมื่อภาคินรู้สึกตัวเขาก็รีบแก้สถานการณ์โดยการลุกขึ้นยืน เอาวะ.. เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมั่วๆ ไปก่อนก็ได้วะ ภาคินคิดในใจ
"ผมคิดว่าไตรมาสนี้พวกเราควรจะหาสิ่งใหม่ๆ มาดึงดูดพวกนักท่องเที่ยวที่เริ่มมองหาที่พักในช่วงไฮซีซั่นนี้นะครับ อย่างเช่นโปรโมชั่นยิ่งพักยิ่งถูก ถึงโรงแรมของเราจะเป็นโรงแรมระดับสี่ดาวแต่ราคาของเราก็ถือว่าสูงอยู่มาก หากพวกเขามาพักหลายๆ คืนอาจเป็นไปได้ยาก แม้ว่าโรงแรมของเราจะผูกกับบริษัทนำเที่ยวหลายๆ แห่งทั่วโลกแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีอีกหลายวันที่โรงแรมของเรายังไม่ได้มียอดจองเพิ่มเข้ามา"
"ตามปกติช่วงนี้นอกจากนักท่องเที่ยว แล้วยังมีนักธุรกิจหลายบริษัทที่เริ่มมองหาที่พักให้กับพนักงานภายในบริษัทของเขากันบ้างแล้ว ดังนั้นเราต้องเร่งหาวิธีการดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายๆ กลุ่ม และลูกค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่นักท่องเที่ยวอีกด้วย ผมว่าโปรโมชั่นยิ่งพักยิ่งถูกก็น่าจะเป็นโครงการที่ดีในระดับหนึ่งเพื่อดึงดูดให้พวกเขาเหล่านั้นพักกับเราหลายๆ วัน ไม่ทราบว่ามีใครเห็นด้วยหรือเห็นต่างกับผมไหมครับ" เมื่อภาคินพูดจบเขาก็หันไปมองผู้บริหารโรงแรมทั้งหลายที่นั่งอยู่ในห้องประชุม ซึ่งทุกคนต่างก็คิดตามที่ภาคินพูด ซึ่งพวกเขาต่างก็เห็นดีด้วยในระดับหนึ่ง
"เอาล่ะ ทุกคนว่ายังไง ภาคินเขาช่วยออกความคิดเห็นแล้ว หรือใครมีความคิดที่ดีกว่านี้ก็ว่ามาได้เลย จะได้เร่งทำการตลาดก่อนจะเข้าไฮซีซั่น" ภูดิสผู้เป็นพ่อและเป็นประธานโรงแรมเอ่ยถามทุกคนที่ร่วมประชุม
"ผมเห็นด้วยครับ" ภานุพงษ์ยกมือขึ้นเห็นด้วย จึงทำให้ผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆ ยกมือขึ้นเห็นด้วยตาม ทำให้การประชุมจบลงด้วยมติเอกฉันท์และเป็นไปได้ด้วยดี
"เมื่อคืนแกคงจะเตรียมตัวดึกเลยล่ะสิ วันนี้ถึงเกือบมาสาย" ภูดิสผู้เป็นพ่อของภาคินเอ่ยถาม ก่อนเขาจะเดินออกไปจากห้องประชุม
ภาคินได้แต่ยิ้มแหยๆ แล้วจึงหันไปยิ้มให้ภาสินีและภานุพงษ์ ซึ่งทั้งสองคนได้แต่ยิ้มขำขันและส่ายหน้าให้น้องชายตัวดี หลังจากประชุมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภาคินจึงเดินกลับไปยังห้องทำงานของเขา
"คุณคินคะ รับกาแฟไหมคะเดี๋ยวนุชไปชงให้ค่ะ" นุชนารถผู้ช่วยของภาคินเดินเข้ามาถาม เมื่อเห็นภาคินเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน เธอรู้ว่าวันนี้ภาคินมาสายและยังไม่ได้ทานอะไรมาด้วย
"ครับ แต่วันนี้ผมขอกาแฟเข้มๆ หน่อยนะครับคุณนุช" ภาคินตอบรับก่อนจะหมุนตัวเดินไปที่โต๊ะทำงานของเขา เขานั่งลงบนเก้าอี้และเอนพิงเก้าอี้ด้วยความอ่อนเพลีย เมื่อคืนเขายังนึกไม่ออกเลยว่าเขากลับคอนโดได้ยังไง
ภาคินยกมือขึ้นมาบีบนวดขมับเพื่อช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวด
"กาแฟเข้มๆ มาแล้วค่ะคุณคิน" นุชนารถเดินกลับเข้ามาในห้องทำงานของภาคินอีกครั้งพร้อมกับถาดกาแฟ เธอเห็นภาคินเอนหลังพิงเก้าอี้และบีบนวดขมับอยู่จึงวางถ้วยกาแฟลงตรงหน้าผู้เป็นเจ้านายของเธอ
"ขอบคุณครับคุณนุช" ภาคินเอ่ยขอบคุณผู้ช่วยวัยสี่สิบสองปีของเขา นุชนารถถือเป็นผู้ช่วยคนเก่งของเขานับตั้งแต่เขาเข้ามาเริ่มทำงาน เขาก็ได้นุชนารถคอยแนะนำและให้คำปรึกษาที่ดีแก่เขาทุกเรื่อง
"ถ้างั้นนุชขอตัวไปทำงานก่อนนะคะคุณคิน" นุชนารถยกยิ้มก่อนจะออกไปทำงานในส่วนที่เหลือ
ภาคินยกกาแฟขึ้นมาดื่มพลางคิดวางแผนจัดการเรื่องที่ผับ เขาเริ่มลงมือค้นหาวงดนตรีที่กำลังดังและเป็นกระแสมาเล่นที่ร้านเพื่อแก้เกมของศิวกร แต่ไม่ว่าวงดนตรีกี่วงที่เขาติดต่อไปกลับไม่ว่าง ติดคิวงานเล่นที่ไนต์คลับของศิวกรทั้งหมด
ปัง!.. เสียงโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง ตั้งแต่เขารู้จักศิวกรมาเขาทุบโต๊ะเพราะความโมโหไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
"ศิวกร.. นายจะต้องโดนดีแน่ นายคอยดู" ภาคินพึมพำพลางกำหมัดแน่นด้วยความกรุ่นโกรธที่ศิวกรจองคิววงดนตรีดังๆ ให้ไปเล่นสดทุกคืนวันศุกร์ที่ไนต์คลับ
ส่วนวงดนตรีอื่นๆ ก็คิวเต็มกันหมดแล้วทุกวัน ไม่มีวันว่างเหลือให้ผับของภาคินเลย เขากำลังเครียดกับการแก้เกมของศิวกรจึงไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงาน
"คินคะ คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ ซาร่าเรียกคุณตั้งนานแล้วนะคะ" เสียงหวานของซาร่าซึ่งเป็นนางแบบน้องใหม่ไฟแรงที่เพิ่งเข้าวงการมาไม่นาน เธอกำลังเดินนวยนาดเข้ามาหาภาคินถึงโต๊ะทำงานอย่างเชื่องช้า ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเขา
"โทษทีซาร่า ผมกำลังเครียดเรื่องงานน่ะ ว่าแต่วันนี้คุณว่างเหรอถึงมาหาผมได้" ภาคินได้สติขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงหวานของซาร่าดังขึ้นมาในโสตประสาทของเขา เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาถามเธอ
"ว่างช่วงบ่ายนี้ค่ะ ตอนเย็นมีนัดถ่ายแบบที่สตูค่ะ" ซาร่าเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืนและเดินเยื้องย่างอย่างเย้ายวนมาหาภาคิน เธอนั่งลงบนตักของเขา ก่อนจะใช้สองมือบางลูบไล้แผงอกผ่านเสื้อเชิ้ตอย่างเชื่องช้า
"ซาร่าคิดว่าเที่ยงนี้เราไปทานข้าวกัน แล้วไปต่อกันในที่ที่คุณต้องการดีไหมคะ" ซาร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ายวนชวนเซ็กซี่
"ผมไม่มีอารมณ์ วันนี้คุณกลับไปก่อนเถอะ" ภาคินกำลังกลัดกลุ้มเรื่องวงดนตรีที่จะหามาเล่นที่ผับในคืนวันศุกร์ เขาจึงไม่มีกระจิดกระใจคิดเรื่องอื่นจึงได้ปฏิเสธซาร่าไป
ภาคินดันซาร่าลุกขึ้นจากตักของเขาด้วยความอึดอัด ซึ่งซาร่าก็ยอมลุกขึ้นยืนด้วยความหัวเสียที่ถูกปฏิเสธ
"ก็ได้ค่ะ งั้นฉันไปก่อนนะคะ" ซาร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความไม่พอใจ เธอรู้จักภาคินจากผับของเขา และเมื่อเธอรู้ว่าภาคินเป็นเจ้าของโรงแรมชื่อดังเธอก็ไม่รอช้าที่จะสานสัมพันธ์ต่อในทันที
แต่หลังจากคืนนั้นผ่านมา เขาก็ไม่เคยติดต่อและสานสัมพันธ์กับเธออีกเลย เธอจึงได้แต่หมั่นมาหาเขาบ่อยๆ เพื่อสานสัมพันธ์กับภาคิน แต่กลับถูกเขาปฏิเสธอยู่ทุกครั้งไป
ตอนพิเศษ ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ชมดอกซากุระ #4 THE ENDรุ่งเช้าภาคินและศิวกรแต่งกายด้วยชุดยูกาตะแล้วจึงพากันเดินเที่ยวตามแผนที่ภาคินวางไว้ในทริปการเดินทางนี้ ทั้งสองคนเดินชมดอกซากุระที่กำลังบานสะพรั่งรอบๆ หมู่บ้านซึ่งที่หมู่บ้านนี้มีนักท่องเที่ยวมาชมดอกซากุระและแช่น้ำร้อนกันค่อนข้างมากทั้งคู่รัก เพื่อนและครอบครัว ผู้คนก็สวมใส่ชุดยูกาตะเดินท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ จึงเข้ากับบรรยากาศในหมู่บ้านแห่งนี้ และนักท่องเที่ยวบางคนก็สวมใส่รองเท้าเกี๊ยะที่ทำขึ้นจากไม้ เวลาเดินจึงเสียงรองเท้ากระทบกับพื้นถนนช่างแปลกหูดีสำหรับภาคิน แต่เขาและศิวกรเลือกไม่สวมรองเท้าเกี๊ยะเพราะเดินไม่ถนัดระหว่างทางที่เดินชมดอกซากุระรอบหมู่บ้านก็จะพบกับร้านค้ามากมายไม่ว่าจะร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ร้านขายขนม ร้านถ่ายภาพสำหรับเก็บเป็นที่ระลึก และบ่อน้ำร้อนสาธารณะ ซึ่งมีบริการสำหรับนักท่องเที่ยวจำนวนหลายบ่ออยู่ห่างกันกระจัดกระจายกันออกไป ทั้งคู่จึงพากันไปนั่งแช่เท้าในบ่อน้ำร้อนที่ค่อนข้างห่างไกลกลุ่มนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ"สนุกไหมคิน" ศิวกรเอ่ยถามภาคินที่ดูกำลังสนุกและสนใจทุกสิ่งรอบกายด้วยความสนใจ"สนุกครับ แต่คินมีคว
ตอนพิเศษ ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ชมดอกซากุระ #3หลังจากภาคินมาถึงที่ทำงาน สายตาของเขาก็สอดส่ายหาลูกน้องคนสนิทที่หายหน้าหายตาไปถึงสี่วันเต็มๆ เมื่อเขามองไม่เห็นต้อยจึงได้สั่งนุชนารถผู้ช่วยคนเก่งของเขาให้บอกต้อยไปพบเขาที่ห้องทำงานด้วยถ้ามาถึงแล้ว ราว ๆ ครึ่งชั่วโมงต้อยก็มาพบเขาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างคนอารมณ์ดี"ลูกพี่มีอะไรให้กระผมรับใช้ขอรับ" น้ำเสียงที่ร่าเริงของต้อยทำให้ภาคินต้องหันมามองต้อยด้วยความแปลกใจ เมื่อวานที่เขาเจอต้อยในลิฟต์ยังดูท่าทางเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงได้ร่าเริงเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ ฮึ... คงจะได้น้ำดีมาแน่ ๆ ถึงได้กระดี้กระด๊าจนน่าหมั่นไส้"หน้าแบบนี้แปลว่าหายดีแล้วสิ สรุปว่าใคร?" ภาคินถามออกไปตรงๆ ทำเอาต้อยที่ไม่ทันตั้งตัวชะงักไปในทันทีด้วยความตกใจ"อะ...อะไร ใคร...หมายความว่ายังไง ผมไม่เข้าใจ" ต้อยรีบพูดกลบเกลื่อนภาคินอย่างรวดเร็วหลังจากได้สติ"หึ... หึ... ไอ้ต้อย กูเป็นพี่มึงนะโว้ย มึงคิดว่ากูจะไม่รู้หรือยังไง มึงอาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน มึงไม่เห็นรอยแดงที่คอมึงบ้างรึไง" ภาคินพูดพลางชี้ไปที่คอปกเสื้อของตนเอง ทำให้ต้อยตกใจรีบดึงปกเสื้อเชิ้ตมาปิดลำคอใน
ตอนพิเศษ ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ชมดอกซากุระ #2หลังจากต้อยลาป่วยไปสามวันก็กลับมาทำงานตามปกติ ต้อยพยายามเดินให้เหมือนเดิมมากที่สุด คืนนั้นเขาถูกอิฐจัดหนักจัดเต็มจนครบหลักสูตร ต้อยจึงไม่สามารถลุกเดินได้เหมือนปกติมากนัก แม้ตอนนี้เขาจะดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังคงรู้สึกขัดๆ อยู่บ้างเวลาเดินเร็วๆ“ไอ้ต้อย...” หลังจากศิวกรขับรถมาส่งภาคินที่โรงแรม ภาคินเห็นหลังต้อยไวไวกำลังจะเดินขึ้นลิฟต์ เขาจึงรีบวิ่งตามต้อยเข้ามาในลิฟต์อย่างรวดเร็วต้อยสะดุ้งตกใจจนตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงของภาคินเรียกอยู่ทางด้านหลัง เขาจึงชะงักค้างและยืนยิ่งไปทันที เพราะกลัวว่าภาคินจะจับผิดสังเกตเขาได้"อะ...อะ เอ่อ ลูกพี่" น้ำเสียงของต้อยติดอ่างขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าของภาคินกำลังมองมาทางเขาด้วยความเป็นห่วงตนเอง"ไง...มึงหายดีแล้วเหรอ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นมึงจะลาป่วยเลยสักครั้ง กูจะไปเยี่ยมมึงก็ไม่ให้ไป" ภาคินพูดพลางตบไหล่หนาของต้อย ทำให้เขาเห็นรอยแดงจางๆ บริเวณลำคอหนาของต้อยภาคินตกตะลึงและนิ่งค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองใบหน้าของต้อยที่เริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ต้อยเมื่อรู้สึกถูกภาคินจ้องใบหน้าจึงเกิดอาการประหม่า ยิ่งเ
ตอนพิเศษ ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ชมดอกซากุระ #1ณ ห้องทำงานของภาคินขณะที่ภาคินกำลังนั่งมองแหวนแต่งงานซึ่งศิวกรสวมให้เขาที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างเหม่อลอยนั้น ต้อยก็ได้เดินผ่านประตูห้องทำงานมาพอดี เขาเห็นภาคินกำลังนั่งใจลอยอยู่จึงอดที่จะเดินเข้ามาสอบถามไม่ได้"ลูกพี่.. ลูกพี่เป็นอะไร ผมเห็นลูกพี่นั่งมองแหวนแต่งงานมาพักหนึ่งละ" ต้อยเอ่ยถามขณะนั่งลงตรงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของภาคินด้วยความสงสัยภาคินได้ยินเสียงของต้อยเอ่ยถาม เขาจึงได้สติแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมามองต้อยอย่างครุ่นคิด"อย่าบอกนะว่าลูกพี่ทะเลาะกับคุณกร" ต้อยถามด้วยน้ำเสียงกึ่งตกใจ ขณะที่เขากำลังคาดเดาใบหน้าที่กำลังตึงเครียดของภาคิน"บ้าแล้วไอ้ต้อย พี่กรดีกับกูจะตาย กูจะไปทะเลาะกับเขาทำไม" ภาคินตอบกลับต้อยด้วยน้ำเสียงกึ่งดุนิดๆ ศิวกรไม่เคยขัดใจเขาเลยสักครั้ง แล้วเขาจะไปมีปัญหากับศิวกรได้อย่างไร"อ้าว.. ก็ผมเห็นลูกพี่เอาแต่จ้องแหวนแต่งงาน แล้วก็ทำท่าทางเหมือนคนกำลังกลุ้มใจ ผมก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าลูกพี่มีปัญหากับคุณกรเสียอีก" ต้อยตอบเสียงอ่อนลง"เฮ้อ.. แล้วกูจะปรึกษากับมึงได้ไหมเนี่ย" ภาคินพูดพลางถอนหายใจ คราวก่อนก็เพราะปรึกษาต้อยทำให้ศิวกรลงโ
ตอนพิเศษ สวัสดีวันเด็ก"คุณคินคะ มีคนส่งของมาให้ค่ะ" แอร์พนักงานต้อนรับโรงแรมของภาคิน เดินนำถุงกระดาษสีขาวใบเล็กน่ารักมาให้ภาคินที่ห้องทำงาน แต่ระหว่างที่เธอเดินออกมาจากลิฟต์ ก็พบภาคินและต้อยซึ่งกำลังยืนคุยกันอยู่หน้าห้องทำงานพอดี เธอจึงรีบเดินนำเอาของมาให้ภาคิน"ของผมเหรอครับ คุณแอร์" ภาคินถามแอร์ด้วยความงุนงงระคนสงสัยว่าใครเป็นคนส่งของให้เขา และเนื่องในโอกาสอะไร จะว่าวันเกิดก็ไม่น่าจะใช่"ของคุณคินจริงๆ ค่ะ มีการ์ดแนบมาด้วยนะคะ นี่ค่ะ" แอร์ยืนยันพลางส่งการ์ดให้ภาคินทันที" สุขสันต์วันเด็กครับหนูคินขอให้หนูคินเป็นเด็กดีของพี่กรคนเดียวนะครับรักนะเด็กดี... พี่กร "ภาคินรับการ์ดที่ปิดผนึกซองอย่างดีมาแกะอ่านก่อนจะยกยิ้มอย่างมีความสุข ที่แท้ก็เป็นของศิวกรนี่เอง"ขอบใจนะ.. แอร์" ภาคินรับถุงกระดาษสีขาวมาจากแอร์ เขาแกะสติกเกอร์บนปากถุงกระดาษด้วยความระมัดระวัง เมื่อเขาอ้าปากถุงกระดาษออกจึงพบว่ามีกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีทองอยู่ข้างในกล่องหนึ่ง"ยินดีค่ะ งั้นแอร์ขอตัวก่อนนะคะคุณคิน" แอร์ส่งของให้ภาคินเรียบร้อยแล้วก็ขอตัวกลับไปทำงานต่อภาคินยกยิ้มให้แอร์ก่อนจะล้วงเอากล่องของขวัญขนาดเล็กข
ตอนที่ 30 จบบริบูรณ์"พี่กรครับ ศุกร์หน้าคินต้องบินไปจัดการงานที่ภูเก็ตแทนพี่พงษ์ นัดของเราคงต้องเลื่อนไปก่อนนะครับ" ภาคินเอ่ยขึ้นมาหลังจากพวกเขากลับมาถึงเพนท์เฮ้าส์หลังใหม่ที่ศิวกรซื้อให้ภาคิน เมื่อพวกเขาตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน"งั้นเหรอ น่าเสียดายจริงๆ พี่อุตส่าห์จองห้องพักที่มีสระว่ายน้ำส่วนตัวด้วยนะ" ศิวกรพูดพลางเดินมาโอบกอดภาคินจากทางด้านหลัง ก่อนจะก้มลงไปกระซิบริมหูบางของภาคินแล้วจึงขยับใบหน้าซุกลงบนซอกคอขาว"คินก็เพิ่งรู้จากพี่พงษ์เมื่อกี้นี้เองครับ แขกเพิ่งจะติดต่อมาจัดงานแต่งงานที่นั่น มันกะทันหันเพราะพี่พงษ์ก็ต้องดูแลแขกที่มาจัดงานแต่งที่นี่พอดี คินเลยต้องไปแทนน่ะครับ" ภาคินหันมาบอกศิวกรที่กำลังซุกไซ้ซอกคอของเขาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ศิวกรจึงเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้ภาคิน"ขอโทษนะครับ" ภาคินเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้เอ่ยถามพี่ชายและพี่สาวแล้วว่าเขามีงานในวันศุกร์หน้าหรือเปล่า เพราะปกติเขาจะไม่รับนัดของศิวกรในวันศุกร์และเสาร์ เนื่องจากเป็นช่วงที่แขกเข้าพักมากกว่าปกติ ซึ่งพี่สาวและพี่ชายก็ได้รับปากแล้วว่าจะ







