"ท่านอ๋อง เสด็จล่วงหน้าขบวนมาแบบนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ" ชายร่างใหญ่ใบหน้าเหี้ยมเกรียมถามขึ้น แต่เสียงกลับทุ้มหล่อขัดกับหน้าตา
"ข้าอยากดูหน้าเจ้าสาวจนทนไม่ไหวไงล่ะ ข่าวว่าเป็นคุณหนูที่มีดีแค่ความงามมิใช่รึ" คนพูดเป็นชายหนุ่มหนวดเครารกครึ้มในชุดผ้าเนื้อหยาบแต่มิอาจปกปิดเค้าหน้างามสง่าและบุคลิกสูงส่งได้
"มิใช่พ่ะย่ะค่ะ เป็นคุณชายคนน้องพ่ะย่ะค่ะ"
"แคว้นเสิ่งหาสตรีมิได้แล้วหรือถึงส่งบุรุษมาแต่งงาน" คนพูดเสียงเยาะหยัน
"ก็อาจเป็นได้พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็มีแต่องค์ชาย มีองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวชันษาสี่ขวบ"
"ข้ามิใช่คนวิปริตที่จะแต่งงานกับทารกหรอกนะ" คนทำหน้านิ่ง
"จึงมีการแต่งตั้งองค์ชายจากบุตรขุนนางไงพ่ะย่ะค่ะ เพราะบุตรีมีน้อยและต่างมีพันธะหมั้นหมายกันหมดแล้ว"
"หึ" คนแค่นเสียงคำหนึ่งก่อนที่จะกระตุ้นม้าวิ่งเต็มฝีเท้า ทิ้งให้ผู้ติดตามกระตุ้นม้าตาม
ทางจวนเจ้ากรมคลัง
"ฟ่านลู่อี่รับราชโองการ" ทหารประกาศดังก้องจวน
คนทั้งจวนฟ่านคุกเข่าที่ลานด้านหน้า
"สงครามชายแดนยืดเยื้อมาหลายปี ทางแคว้นเจี๋ยต้องการแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรีขอแต่งตั้งฟ่านลู่อี่เป็นองค์ชายสันติสุขไปแต่งงานกับอ๋องพยัคฆ์ยังแคว้นเจี๋ย พระราชทานฯลฯ จบราชโองการ" หานกงกงปรกาศจบก็ส่งแพรเนื้อดีขลิบทองให้ฟ่านลู่อี่ ในใจนึกเวทนาเด็กหนุ่มอยู่บ้าง ด้วยอ๋องพยัคฆ์ตามข่าวลือเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม นำศึกคราใดล้วนไม่เคยพ่ายแพ้ เวลาออกศึกนอกจากอาชาคู่ใจยังมีพยัคฆ์ดำ ทั้งสัตว์ทั้งคนยกมือวาดเท้าล้วนมีคนตกตาย การศึกที่ผ่านมาที่แคว้นเสิ่งยื้อมาได้หลายปีเพราะอ๋องพยัคฆ์ยกกองทัพไปปราบปรามชนกลุ่มน้อยทางเมืองเหลียวที่มีภูมิประเทศยากต่อการเข้าถึงจึงใช้เวลาถึงสามปีจึงปราบได้สิ้น พักกองทัพเพียงแค่หกเดือนอ๋องพยัคฆ์จึงเคลื่อนพลมาประชิดชายแดนแคว้นเสิ่ง ใช้เวลาเพียงสามเดือนก็ตีเมืองขึ้นได้สำเร็จ หกเดือนต่อมาก็มีชัยชนะเหนือแคว้นเสิ่งทำให้ต้องส่งเด็กหนุ่มผู้นี้ไปเป็นเครื่องบรรณาการ
"รับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นหมื่นปี" ฟ่านลู่อี่รับม้วนผ้าแพรด้วยมือสั่นเทา หานกงกงมองอย่างเห็นใจก่อนจะยกขบวนกลับวัง
"ท่านพ่อ" ฟ่านลู่อีเรียก น้ำตาคลอดวงตาคู่สวย
"พ่อเองก็ทำอะไรไม่ได้ ฮ่องเต้มีพระราชโองการมาแล้วย่อมไม่มีผู้ใดขัดขืนได้ เจ้าก็จงทำใจไปเก็บข้าวของเสียเถอะนะ อีกเจ็ดวันขบวนรับเจ้าสาวจากแคว้นเจี๋ยก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว" เจ้ากรมคลังตบบ่าลูกชาย ถึงจะรู้สึกใจหายนิดหน่อยแต่ ตำแหน่งพระสัสสุระในอนาคตก็ทำให้เขามองข้ามความสัมพันธ์พ่อลูกไปได้
ฟ่านลู่อี่ประคองม้วนแพรเดินกลับเรือนของตนอย่างเหม่อลอย บ่าวคนสนิทรินน้ำชาส่งให้อย่างเป็นห่วง
"คุณชาย มันอาจจะไม่เลวร้ายก็ได้นะขอรับ" เสี่ยวถงพยายามปลอบใจ
"ข้ามิได้กลัวการแต่งงาน ข้าเพียงเสียใจที่ในที่สุดข้าก็เป็นได้เพียงหมากของท่านพ่อเท่านั้น เสี่ยวถงจากนี้เจ้าเป็นไทแล้ว จงกลับบ้านไปดูแลบิดามารดาของเจ้าคืนนี้จงเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ไปเบิกเงินกับพ่อบ้านแล้วจากไปเสีย ข้าจะแจ้งพ่อบ้านไว้ให้"
"คุณชาย ข้าทำผิดอันใด" เสี่ยวถงคุกเข่าน้ำมูกน้ำตาไหลจนดูมิได้
"เพราะเจ้าดีกับข้าเสมอมาไงล่ะ ข้าถึงไม่ให้เจ้าไปกับข้า" ฟ่านลู่อี่ยิ้มอย่างอ่อนใจให้บ่าวผู้ภักดี
"ข้าน้อยไม่เข้าใจขอรับ คุณชายไปต่างบ้านต่างเมืองไม่ให้ข้าตามไปรับใช้แล้วท่านจะอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าได้อย่างไรขอรับ" เสี่ยวถงยังคงอ้อนวอนขอติดตามไปรับใช้ สมองน้อยๆของเด็กหนุ่มไม่เข้าใจเหตุผลใด
"เสี่ยวถง เจ้ายังมีบิดามารดาให้ดูแล การไปของข้าคราวนี้คาดว่าคงไม่ได้กลับมาแคว้นเสิ่งอีก ถึงสัญญาสงบศึกกินเวลาห้าสิบปีแต่เมื่อคนกระหายเลือดอย่างไท่จื่อขึ้นครองราชย์เขาย่อมฉีกสัญญาเป็นแน่ ข้าย่อมตกอยู่ในฐานะเชลยที่แคว้นเจี๋ยจะประหารทิ้งเมื่อใดก็ได้ เสี่ยวถงเจ้าจงเชื่อฟังข้ากลับบ้านไปดูแลบิดามารดาของเจ้าแต่งงานมีบุตรหลานเผื่อข้าเถอะ" ฟ่านลู่อี่จำต้องอธิบายให้บ่าวผู้ภักดีฟัง
"คุณชาย บิดามารดาขายข้ามาแล้วข้าย่อมเป็นบ่าวของท่านจนวันตาย ข้ามีเงินเก็บอยู่บ้างสามารถส่งไปให้พี่ชายเลี้ยงดูบิดามารดาแล้วติดตามท่านไป ยิ่งทราบเหตุผลของท่านข้าไม่ปล่อยให้ท่านไปเพียงลำพังเป็นอันขาด" ใบหน้าอ่อนเยาว์น่าเอ็นดูเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาจนทำให้คนเวทนา
"ขอบใจนะเสี่ยวถง เจ้าลุกขึ้นเถอะ" ลู่อีเช็ดน้ำตาให้เสี่ยวถงแล้วประคองหนุ่มน้อยขึ้นยืน
"หยุดร้องไห้ได้แล้ว เมื่อเจ้าตัดสินใจจะติดตามข้าก็จงไปเตรียมตัว เรามีเวลาเพียงแค่7 วันเท่านั้น ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก ก่อนอื่น เจ้าจงนำเงินเหล่านี้ไปมอบให้บิดามารดาของเจ้า ถ้าพวกเขาไม่ฟุ่มเฟือยสามารถใช้ได้ชั่วชีวิต" ลู่อี่หยิบถุงทองอ้วนๆส่งให้เสี่ยวถง
"ขอบพระคุณขอรับคุณชาย ขอบพระคุณขอรับ ข้าน้อยจะรีบกลับมาเก็บของให้คุณชายนะขอรับ" หนุ่มน้อยคุกเข่าโขกศีรษะให้ลู่อี่ก่อนที่จะรับถุงเงินเดินเช็ดน้ำตาออกจากห้องไป
ฟ่านลู่อี่จุดตะเกียงในห้องด้วยตัวเองโดยไม่เรียกบ่าวไพร่ แสงตะเกียงส่องให้เห็นห้องหับกว้างขวางเรียบง่าย มีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้น ช่างไม่สมฐานะบุตรชายคนเดียวของเจ้ากรมคลังแม้แต่น้อย
"ข้าไม่มีสิ่งใดให้เก็บหรอกเสี่ยวถงแม้แต่ความทรงจำ" แสงตะเกียงไล้ใบหน้างามหมองเศร้าหยดน้ำตาแวววาวดั่งไข่มุกร่วงพรู
เงาดำสองร่างที่ซุ่มดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นส่งสายตาให้กันแล้วลอบออกจากจวนเจ้ากรมคลังโดยไม่มีผู้ใดพบเห็น เงาร่างทั้งสองสายวนรอบเมืองจนแน่ใจดีว่าไม่มีผู้ใดติดตามมาได้จึงเร้นกายเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง
หลังจากปิดหน้าต่างเรียบร้อย เงาร่างหนึ่งนั่งลงแล้วปลดผ้าคลุมหน้าสีดำออกให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา คิ้วหนาพาดเฉียงองอาจตัดกับผิวหน้าเนียนละเอียด หนวดเครารกครึ้มกันทั้งนายบ่าว อีกคนหนึ่งจุดชุดไฟจ่อที่ตะเกียงแล้วรินน้ำชาให้อย่างนอบน้อม
"เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร"
"คุณชายฟ่านผู้นั้นช่างน่าสงสารนัก รูปงามปานนั้นยังเป็นได้เพียงหมากตัวหนึ่ง จิตใจดีงามและยังปฏิบัติต่อข้ารับใช้ดียิ่งคู่ควรกับการเป็นพระชายาของท่านยิ่งนัก"
คนฟังไม่พูดอะไรเพียงคลึงถ้วยชาในมืออย่างครุ่นคิด ใจมิอาจสลัดภาพของคนงามที่นั่งน้ำตาไหลในห้องอย่างเดียวดายได้
"ผิดละ ข้าปล่อยปละละเลยพวกเจ้าสองคนพี่น้องมากเกินไปต่างหาก พวกเจ้าจึงคิดแผนการชั่วร้ายนี้ขึ้นมาได้ ออกไป แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า" "แต่ว่าหยุนมู่.." เสียงคนยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงโครมดังขึ้นประดุจห้องทลาย ฟ่านลู่อี่ที่อยากจะลืมตาดูแต่ก็ลืมไม่ขึ้นได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆ เขาเป็นได้แค่ตัวหมากกระนั้นหรือ คนที่เขาเริ่มมีใจให้กลับเห็นเขาเป็นหมากตัวหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย ... จะต้องหลุดพ้นจากวังวนนี้ให้ได้"พี่หยุนมู่ ข้าขออยู่เฝ้าลู่อี่เถอะนะ" อ๋องพยัคฆ์อ้อนวอน แต่กลับมีเสียงโครมใหญ่อีกครั้งแทน มีเพียงสุ่ยเซียนเท่านั้นที่เป็นพยานว่าฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์ถูกฮองเฮาเตะกระเด็นทะลุประตูออกจากห้องไปอัดเสาฝั่งตรงข้าม "ทหาร!" หยุนมู่ตะโกนเรียก เหล่าทหารยามวิ่งมารวมแถวอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าหยุนมู่ "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดตำหนักห้ามฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์เข้ามาเด็ดขาด แม้แต่คนของพวกเขาก็ห้าม เข้าใจหรือไม่" "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ดี ผู้ใดขัดคำสั่งข้า" หยุนมู่ทำมือปาดคอตัวเอง ใครจะกล้าขัดคำสั่งพวกเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่นะ ไม่มีใครสนใจสองพี่น้องที่ยืนหน้าละห้อยอยู่ "
อ๋องพยัคฆ์แทบจะวิ่ง ขันทีนำทางคงรู้อารมณ์เขาจึงเร่งฝีเท้านำเขาไป เปิดประตูห้องให้ พอเข้าไปได้อ๋องพยัคฆ์ก็พุ่งตัวไปหาฟ่านลู่อี่ที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง มือหนาลูบใบหน้างามอย่างทะนุถนอม คนป่วยยังซีดเซียวอยู่ แต่ก็ดูดีขึ้น "เจ้าไม่คิดจะทักพี่สาวคนนี้เลยรึ" เสียงสตรีดังขึ้น อ๋องพยัคฆ์จึงเพิ่งรู้สึกว่ามีผู้อื่นอยู่ในห้องด้วย "คารวะพี่หยุนมู่ พี่สุ่ยเซียน" อ๋องพยัคฆ์คารวะเร็ว "อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง" เขานั่งลงข้างเตียง หยิบมือเย็นมาแนบแก้มสากด้วยหนวดที่ขึ้นไรครึ้ม "ป้อนยาที่ข้าปรุงทุกหนึ่งชั่วยามกับให้แช่น้ำร้อน เสริมด้วยปราณกรุยจุดชีพจรอีกวันละสองรอบ ข้าคิดว่าอาการน่าจะหายในเจ็ดวันนะ" สุ่ยเซียนตอบยิ้มๆ "เจ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนเถิด พวกเราเพิ่งป้อนยาน้องสะใภ้ไปไม่นาน เจ้าค่อยกลับมาก็ได้" หยุนมู่พูดอย่างใจดี คนที่อ๋องพยัคฆ์เชื่อฟังมากที่สุดคือหยุนมู่นี่เอง สำหรับฮ่องเต้ เชื่อฟังนั้นก็เชื่ออยู่ แต่ก็ตีกันบ่อยเช่นกัน อ๋องพยัคฆ์เดินสวนกับอาหลาน มันเดินขึ้นเตียงไปนอนข้างฟ่านลู่อี่แต่ถูกสุ่ยเซียนดุ "อาหลาน ตัวเจ้ามีแต่กลิ่นคาวเลือดไปให้เทียนเฉินอาบน้ำให้เลยนะ ไม่อย่างนั้นข
ฮ่องเต้หลิวเทียนจินเป็นองค์ชายรองในรัชกาลก่อน หลังจากองค์ชายใหญ่ก่อกบฏ องค์ชายรอง องค์ชายห้าและองค์ชายแปดหนีตายไปหาแม่ทัพติงผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของแม่ทัพติงคนปัจจุบันที่ยามนั้นเป็นรองแม่ทัพอยู่กองทัพเดียวกับบิดา แม่ทัพติงยามนั้นเฝ้ารักษาชายแดนทางตะวันออกของแคว้นเจี๋ย เขาเป็นคนที่จงรักภักดีมากจึงได้รับความไว้วางพระทัยให้ไปรักษาชายแดน โดยหลานสาวของเขาติงสุ่ยเซียนที่อายุน้อยกว่าองค์ชายรองสองปีก็ได้หมั้นหมายกับองค์ชายรองตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เจอหน้ากันปีละครั้งยามแม่ทัพติงเข้ามาอวยพรวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ เด็กทั้งคู่นับว่ามีไมตรีที่ดีต่อกัน ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เสกสมรสกันก็เกิดกบฏขึ้นเสียก่อน แม่ทัพติงอยู่ชายแดนห่างไกลยกทัพมาช่วยไม่ทัน จึงแยกตัวออกจากราชสำนักรวบรวมกำลังคนเตรียมกลับไปช่วยฮ่องเต้พระบิดาขององค์ชายรอง เหล่าองค์ชายที่หนีตายมาพึ่งพาแม่ทัพติงมิได้ปล่อยเวลาสูญเปล่า พวกเขาถูกเคี่ยวกรำให้ฝึกการต่อสู้อย่างหนัก แม่ทัพติงทั้งคู่ มิได้อ่อนข้อให้พวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขามีติงหยุนมู่พี่ชายของติงสุ่ยเซียนเป็นพี่เลี้ยง เขาแก่กว่าองค์ชายรองสองปีจึงสนิทสนมกันมาก ด้วยความที่ติงหยุนมู่แก่กว่า
ฮ่องเต้นำกองทัพไปล้อมจับเจ้าเมืองโหย่วกวาน ได้ตัวตอนกำลังหลบหนีออกทางหลังจวน ขุนนางละโมบพยายามขนทรัพย์สินเงินทองไปด้วยจำนวนมากทำให้หนีไม่พ้น ไห่เสียงเตะมันล้มกลิ้งมาถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ "เราเลี้ยงดูขุนนางไม่ดีรึ เจ้าจึงคิดกบฏ" ฮ่องเต้ถามทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มอยู่แต่รอยยิ้มไปไม่ถึงแววตา "โปรดเมตตาด้วย กระหม่อมผิดไปแล้ว" คนโขกหัวจนหน้าผากแตกน้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความกลัว"หึ" ฮ่องเต้ยิ้มหยัน คืนนั้นขุนนางที่อยู่ในรายชื่อว่าสมคบกับพวกกบฏของเมืองโหย่วกวานถูกฉุดกระชากลงมาจากเตียงยามดึก ครอบครัวบ่าวไพร่ถูกต้อนไปรวมกันที่หน้าศาลาว่าการประจำเมือง ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นตกใจ คบไฟถูกจุดสว่างไปทั้งเมือง ดุจดั่งกลางวัน เสียงซัดทอดความผิดดังระงม ฮ่องเต้เรียกหัวหน้ากองธงมาสองคน มอบหมายให้สอบสวนครอบครัวและบ่าวไพร่ของขุนนางเหล่านั้น ส่วนพวกคนในจวนเจ้าเมืองเป็นอีกสองกองธงจัดการสอบสวน ตัวเจ้าเมืองถูกล่ามขื่อทั้งที่โลหิตไหลท่วมหน้า "เงียบ!" ราชองครักษ์ผู้หนึ่งตวาด เกิดความเงียบครู่เดียวก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีก อาหลานคงทนไม่ไหว มันกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังกำแพงส่งเสียงขู่คำรามอันทรงพลังก้องไปทั้งเน
อ๋องพยัคฆ์สำรวจรอบๆ ด้วยสายตา ที่นี่คงเป็นค่ายของพวกกบฏ ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขนาดนี้ พวกมันคงจะรู้ตัวแล้วจึงถอนค่ายหนีอย่างรีบร้อนเช่นนี้ "ไม่เหลือสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะนอกจากเตาหลอม พวกมันน่าจะลักลอบผลิตอาวุธกันในถ้ำ" "มีรอยเกวียนมุ่งหน้าไปในป่า รอยล้อกดลึกบ่งบอกว่าบรรทุกของหนัก พ่ะย่ะค่ะ" นายกองอีกผู้หนึ่งรายงาน "ตามไปดูว่ารอยเกวียนนั้นสิ้นสุดลงที่ใด ส่งผู้หนึ่งไปแจ้งฮ่องเต้ให้เคลื่อนทัพต่อไป บอกให้สังเกตทางเกวียนทางด้านขวาที่ออกจากป่า ข้าคาดว่าถ้าเราไปตามทางน่าจะไปบรรจบกันด้านหน้า" เหล่าทหารที่ฝึกมาอย่างดีแยกกันไปทำตามคำสั่ง พวกเขาตามรอยมาจนยามซวี หรือประมาณหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม จึงได้ตามทัน เส้นทางเกวียนนำมาถึงเชิงเขาของเมืองโหย่วกวาน เสียงดาบกระทบกันดังมาจากด้านหน้า อ๋องพยัคฆ์เห็นเหล่าทหารม้าของเขาสู้อยู่กับกองกำลังของถางจินเข่อ ทหารม้ามีจำนวนคนน้อยกว่ามากจึงเริ่มเพลี่ยงพล้ำ "วางดาบคนเป็น จับดาบคนตาย!" อ๋องพยัคฆ์ชูดาบตะโกนก้อง ตามด้วยเสียงคำรามของอาหลานทำให้กองกำลังของถางจินเข่อที่ได้ยินก็ขวัญเสีย พวกมันเข้าร่วมเป็นกบฏด้วยเห็นแก่ลาภยศเมื่อมาได้เจออ๋องพยัคฆ์ตัวจริ
"มาช้านะท่านพี่" อ๋องพยัคฆ์แสยะยิ้มชักม้าออกจากที่กำบัง ผู้มาใหม่คืออดีตองค์ชายรองหรือฮ่องเต้ของแคว้นเจี๋ยหลิวเทียนจินนั่นเอง "ข้าต้องรอหมอหลวงต้มยา แถมกว่าจะเด็ดผลมังกรอัคคีได้ข้าถึงกับถูกน้ำในธารเดือดกระเด็นใส่เป็นรอยพุพองทีเดียวนะ" คนพูดคลำแขนตัวเองเหมือนเจ็บมากแต่ถูกคนที่มาด้วยขัดคอ "รอยพองเท่าเหรียญอีแปะถึงกับอาบน้ำเองมิได้ยกตะเกียบมิไหวต้องให้ข้าป้อนข้าวอยู่หลายมื้อเยี่ยงนั้นรึ" เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเนียน คิ้วเฉียง ดวงตาแฝงความทระนงองอาจ แม้มิได้บึกบึนเช่นทหารส่วนใหญ่แต่ร่างกายแฝงด้วยกล้ามเนื้องดงามสมส่วน "เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าสิ ปรนนิบัติสามีนิดหน่อยก็บ่น" คนพูดทำปากยื่น "ยา" อ๋องพยัคฆ์พูดแค่คำเดียว ฟ่านลู่อี่ของเขาอาการหนักมากแล้ว คนพวกนี้ยังมาเล่นปาหี่ให้เขาดูอีก "เจ้าน้องคนนี้นี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย ข้าหวังจะได้เห็นใบหน้าอื่นของเจ้าแท้ๆ เจ้าส่งน้องสะใภ้ให้ฮองเฮาเถอะ เขาจำเป็นต้องกลับไปแช่น้ำร้อนที่วัง ข้าเตรียมคนและรถม้าไว้ให้แล้ว ส่วนเจ้าต้องไปจับมุสิกกับข้า" คนสั่งแฝงอำนาจของผู้นำทำให้อ๋องพยัคฆ์จนใจ เรื่องบ้านเมืองก็สำคัญ เขาจำใจส่งฟ่านลู่อี่ให้บุรุษอี