ขบวนทหารม้าจากแคว้นเจี๋ยชักแถวเดินเข้าเมืองอย่างองอาจ ผู้นำขบวนเป็นถึงรองแม่ทัพมือขวาของอ๋องพยัคฆ์มีไท่จื่อเป็นผู้แทนพระองค์มาต้อนรับขี่ม้าตีคู่มาตามด้วยรถม้าหรูหราสองคัน คันหนึ่งมีพยัคฆ์สีดำปลอดยืนอยู่บนหลังคาสายตาสอดส่ายไปรอบๆอย่างสนใจ เสียงชาวบ้านซุบซิบกันถึงพยัคฆ์ดำต่างพากันเดาว่าเป็นของอ๋องพยัคฆ์ เหล่าชาวเมืองมีทั้งสายตาชื่นชมมีบ้างบางคนที่หวาดกลัว
รถม้าที่ทำจากไม้เนื้อดีอีกยี่สิบคันเทียมด้วยอาชาพ่วงพี กองทหารม้าอีกห้าสิบปิดท้ายขบวน ทุกคนท่าทีองอาจข่มขวัญผู้คน แต่ก็อยู่ในระเบียบกองทัพมิได้ข่มเหงผู้ใด
กองกำลังพยัคฆ์ดำมาถึงตั้งแต่เมื่อวาน พวกเขาตั้งค่ายอยู่นอกเมืองรอจนเช้าวันใหม่เมื่อผู้แทนพระองค์ไปรับที่ประตูเมืองจึงจัดขบวนเข้าเมืองอย่างองอาจ
ไทจื่อก้าวนำรองแม่ทัพโจวหงเจินมายังท้องพระโรง
"ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆปี" ปากบอกเคารพแต่ท่าทียังองอาจมิยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย
ฮ่องเต้ถางจงฮ่วนได้แต่กล้ำกลืนก้อนเลือดลงคอ จำต้องเอ่ยคำปฏิสันถารตามมารยาท
"พวกท่านเดินทางมาเหนื่อยๆ เชิญไปพักก่อนดีหรือไม่ ข้าให้คนจัดที่พักไว้แล้ว"
"เรื่องนั้นไว้ทีหลังได้ ข้าเป็นตัวแทนแคว้นเจี๋ยเดินทางมารับพระชายาย่อมต้องทำหน้าที่ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รถม้าข้างนอกยี่สิบคันเป็นสินสอดที่ทางท่านอ๋องมอบให้แด่พระชายา มีผ้าไหมชั้นดีหนึ่งพันพับ ขนจิ้งจอก ขนแกะและขนสัตว์หายากอีกห้าคันรถ ทองคำแท่งและเครื่องประดับอย่างละยี่สิบหีบ หลังจากงานเลี้ยงคืนนี้พวกเราจะเชิญว่าที่พระชายาเสด็จกลับแคว้นเจี๋ยทันที"
เสียงพึมพำด้วยความอิจฉาเจ้ากรมคลังที่ได้สินสอดมากถึงเพียงนี้ ขนาดฮองเฮายังหลุดแววตาละโมบออกมาวูบหนึ่ง
"ท่านอ๋องของท่านช่างมีจิตใจกว้างขวางยิ่งนัก" ฮ่องเต้ยิ้มแห้งแล้ง พระองค์คิดว่าสินเดิมที่มอบให้องค์ชายสันติสุขมากแล้วยังไม่เท่าสินสอดที่ทางนั้นนำมา
"ท่านอ๋องต้องการขอบคุณตระกูลฟ่านที่เลี้ยงดูว่าที่พระชายามาได้งามพร้อมเยี่ยงนี้ จากนี้ต่อไปพระชายาฟ่านลู่อี่คือคนของวังพยัคฆ์ดำมิให้ผู้ใดต้องกังวลใจแทนอีก" รองแม่ทัพโจวหงเจินพูดอย่างองอาจเสียงดังกังวานได้ยินทั่วท้องพระโรง บอกเป็นนัยว่าห้ามรังแกผู้คน
ฮ่องเต้แค่นยิ้มเฮือกสุดท้ายให้โจวหงเจิน เจ้ากรมคลังยิ่งแล้วใหญ่ ก้มศีรษะต่ำมิอาจสบตาผู้ใด มิทราบว่าเป็นเพราะมโนธรรมที่เหลือน้อยนิดในจิตใจหรือเพราะเกรงกลัวในอำนาจของวังพยัคฆ์ดำ
ไท่จื่อช่วยแก้สถานการณ์กระอักกระอ่วนด้วยการเชิญแขกไปพักก่อนที่จะถึงงานเลี้ยงรับรองตอนเย็นแต่ถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี
"ข้าต้องการเข้าพบว่าที่พระชายาก่อน"
คนเดินออกจากท้องพระโรงอย่างผึ่งผายคล้ายกับมิเห็นฮ่องเต้อยู่ในสายตา ไท่จื่อจำต้องทูลลาฮ่องเต้แล้วสาวเท้าตามออกไป
"บัดซบ พวกเจ้าก็เป็นตัวบัดซบ" ฮ่องเต้ชี้หน้าเหล่าขุนนางด้วยความโกรธก่อนจะสะบัดหน้าออกจากท้องพระโรง
จวนเจ้ากรมคลัง
"คุณชาย แย่แล้วๆ ขอรับ" เสี่ยวถงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาฟ่านลู่อี่
"เกิดอะไรขึ้น" ฟ่านลู่อี่ไม่แม้จะหันมามอง สายตายังจับจ้องดอกบัวในสระอยู่เช่นเดิม
"ไท่จื่อมาพร้อมกับทหารเยอะเลยขอรับ พวกเขาบอกว่าเป็นทหารที่ท่านอ๋องพยัคฆ์ส่งมารับคุณชายขอรับ" เสี่ยวถงหอบไม่หยุด
"นำพวกเขามาพบข้า" ฟ่านลู่อี่สั่ง เสี่ยวถงจึงตั้งท่าจะวิ่งออกไปแต่คนเข้ามาเสียก่อน
"ลู่อี่" ไท่จื่อยิ้มนำรองแม่ทัพเข้ามา แสดงท่าทางสนิทสนมทำให้ลู่อี่ขยะแขยงนักแต่ยังวางสีหน้าเรียบเฉย เขาทำความเคารพไท่จื่อตามธรรมเนียมแต่ใจนึกรังเกียจคนสองหน้าที่ยามอยู่หน้าฟ่านปิงปิงหาเรื่องกลั่นแกล้งเขาเอาใจนางแต่ยามลับหลังก็หาทางลวนลามเขา น่าสะอิดสะเอียนยิ่งนัก
"โจวหงเจินคารวะพระชายา" รองแม่ทัพพร้อมทหารคู่ใจคุกเข่าให้ลู่อี่ทำเอาไท่จื่อคิ้วกระตุก ตอนเข้าเฝ้าฮ่องเต้เจ้ารองแม่ทัพหน้าตายนี้เพียงคุกเข่าข้างเดียว นี่มันถึงกับคารวะลู่อี่ ด้วยการคุกเข่าทั้งสองข้าง
"ไม่ต้องมากพิธีไปทำตัวตามสบายเถอะ" เสียงนุ่มนวลของฟ่านลู่อี่อนุญาตสายตามองเพียงโจวหงเจินโดยไม่ใส่ใจไท่จื่ออีก
"ข้าขอตัวกลับไปเตรียมงานเลี้ยงเย็นนี้ก่อนทิ้งเจ้าสองคนทำความคุ้นเคยกันไปก็แล้วกัน" ไท่จื่อเดินหน้าดำทะมึนออกจากจวนด้วยความเสียหน้าและเสียดาย เขาอุตส่าห์คิดว่าจะรับลู่อี่มาเป็นสนมกลับต้องปล่อยคนงามให้อ๋องพยัคฆ์ผู้โหดเหี้ยมเสียได้
"มิทราบว่าว่าที่พระชายาเตรียมตัวพร้อมหรือยังกระหม่อม"
แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดในท้องพระโรงได้รับการถ่ายทอดต่อฮูหยินใหญ่และคุณหนูใหญ่ โดยเฉพาะจำนวนสินสอดที่ทำให้คุณหนูฟ่านปิงปิงเกิดความอิจฉายิ่งนัก
"ทำไมมันถึงได้สินสอดมากมายเยี่ยงนี้เจ้าคะท่านแม่ลูกไม่ยอมนะเจ้าคะ เป็นผู้ชายแท้ๆ ทางนั้นตาบอดหรืออย่างไรถึงได้ทุ่มของตั้งมากมายให้ของบรรณาการเยี่ยงนี้" ฟ่านปิงปิงอาละวาดใส่มารดา
"ใจเย็นๆลูกรัก เครื่องประดับเหล่านั้นส่งมาถึงจวนแล้ว แม่จะพาเจ้าไปเลือกสักหลายชิ้นไว้ใส่ไปงานเลี้ยงเย็นนี้ดีหรือไม่" ฮูหยินใหญ่ปลอบโยน
"นั่นสิเจ้าคะท่านแม่ลูกอยากได้ เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ" ฟ่านปิงปิงชักชวนมารดาอย่างกระตือรือร้น
"นั่นสิ พ่อไปเอาทองคำมาเก็บก่อนดีกว่า" เจ้ากรมคลังชักชวนลูกเมียไปเรือนเล็กของลู่อี่ สามคนพ่อแม่ลูกนำบ่าวไพร่มาขัดจังหวะโจวหงเจินพอดี
"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่ใหญ่ พี่ปิงปิง" ลู่อี่ทำความเคารพ ถึงอย่างไรก็เป็นบิดา ส่วนโจวหงเจินเพียงพยักหน้าให้แล้วยืนนิ่งเป็นศิลามิต่างกับทหารติดตามที่มองอย่างเย็นชา ส่วนพยัคฆ์ดำคำรามอย่างไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย ทำเอาฟ่านปิงปิงหวาดกลัวหลบอยู่หลังมารดา
"พ่อจะมาเอาทองคำไปเก็บ ส่วนแม่ใหญ่จะมาเลือกเครื่องประดับไปให้ปิงปิงใส่ไปงานเลี้ยงเย็นนี้" เจ้ากรมคลังพูดอย่างไม่อาย
ลู่อี่ถอยหลังเปิดทางให้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย คนออกหน้ากลับเป็นโจวหงเจิน
"มิทราบว่าท่านเจ้ากรมคลังต้องการขนสิ่งใด ต้องการให้ทหารของข้าช่วยขนหรือไม่"
"มิต้องรบกวนท่านรองแม่ทัพ ข้านำบ่าวไพร่มาแล้ว ขอเพียงท่านบอกว่าสินสอดที่ท่านนำมาอยู่ที่ใด" เจ้ากรมคลังยังรักษาอาการสุภาพอยู่ได้ ใจออกจะมีความรู้สึกที่ดีต่อโจวหงเจินอยู่บ้างในฐานะที่นำทรัพย์สินจำนวนมากมาให้
"สินสอดเหล่านั้นอยู่บนรถม้าแต่มิทราบว่าเกี่ยวอันใดกับท่าน" โจวหงเจินถามนิ่งๆ
"สินสอดเหล่านั้นย่อมเป็นสมบัติของบิดา" เจ้ากรมคลังตอบอย่างหน้ามิอาย
"ข้าว่าท่านคงไม่เข้าใจอะไรบางอย่าง ท่านอ๋องของเราบอกว่านำสินสอดมามอบให้พระชายาย่อมเป็นของพระชายาและขอขอบคุณท่านที่เลี้ยงดูพระชายามา ท่านย่อมได้รับคำขอบคุณไปแล้ว" รองแม่ทัพพูดจบทำเอาเจ้ากรมคลังหน้าตาเขียวคล้ำด้วยโทสะแต่ยังหวั่นเกรงในอำนาจของกองกำลังพยัคฆ์ดำจึงมิกล้าอาละวาดได้แต่กระทืบเท้าอย่างขัดเคืองแล้วหมุนตัวออกจากเรือนโดยไม่ร่ำลาผู้ใด
"ท่านพ่อแล้วเครื่องประดับของข้าเล่า" ฟ่านปิงปิงยังไม่เข้าใจสถานการณ์ แต่มารดาของนางยังนับว่ามีปัญญาอยู่บ้างเมื่อเห็นหน้าตาบึ้งตึงของโจวหงเจินพร้อมเสียงขู่คำรามของพยัคฆ์ดำ จึงได้แต่ลากลูกสาวออกจากเรือนไปโดยไม่ทันเห็นสายตาที่มองมาอย่างสมเพชจากทหารคนสนิทของรองแม่ทัพ
" ต้องขออภัยพวกท่านแล้ว ที่ต้องมาเห็นเรื่องไม่งามแบบนี้ข้าละอายยิ่งนัก" เสียงเศร้าของลู่อี่ดังขึ้น
" พวกเขาเป็นแบบนี้เสมอเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ" โจวหงเจินรู้สึกสงสารพระชายายิ่งนัก
"ยิ่งกว่านี้อีกขอรับ ตอนฮูหยินผู้เฒ่ายังมีชีวิตอยู่พวกเขายังเกรงใจบ้าง แต่เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าสิ้นบุญ เขาก็มาขนของในเรือนนี้ไปเครื่องประดับที่เป็นของคุณชายก็ถูกแย่งไปอย่างหน้าด้านๆถ้ามิใช่ฮูหยินผู้เฒ่ายกร้านน้ำชาให้คุณชาย ป่านนี้พวกเราคงไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะใส่"เสี่ยวถงพูดอย่างเจ็บแค้น
"เสี่ยวถง" ฟ่านลู่อี่ดุ
"ขออภัยขอรับคุณชาย ข้าเจ็บแค้นแทนท่านนัก นี่คงหาทางผลักไสไล่ส่งท่านอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สมใจ" เสี่ยวถงค้อนลมไปทางเรือนใหญ่
"พอเถอะ เจ้าไปนำน้ำชาและขนมมาต้อนรับท่านโจวหงเจิน เอ่อไม่ทราบว่าท่านนี้คือ.." ลู่อี่ถามอย่างสุภาพ
"ข้าน้อยชื่อซือเย่าเป็นทหารคนสนิทของท่านรองแม่ทัพขอรับ" คนพูดตะกุกตะกัก
"ยินดีที่ได้รู้จักท่านซือเย่า ข้าช่างเสียมารยาทนัก เชิญท่านมานั่งจิบชาทางนี้เถิดรอเสี่ยวถงนำของว่างมาให้ ลองชิมขนมของแคว้นเสิ่งดูบ้าง" ลู่อี่พูดอย่างนุ่มนวลมิได้ถือตัวแม้แต่น้อย เพิ่มความนิยมในตัวเขามากขึ้นอีกแม้แต่ทหารติดตามที่มีสายตาเย็นชายังอ่อนลงหลายส่วน
"แล้วร้านน้ำชาของท่านจะทำเยี่ยงไร ท่านต้องเดินทางไปแคว้นเจี๋ยผู้ใดจะคอยดูแลกิจการให้ท่าน" ซือเย่าถาม
"ข้ายกร้านให้เถ้าแก่ไปแล้ว เขาดูแลร้านมานาน ส่วนคนงานในร้านข้าก็ให้เป็นส่วนแบ่งจากกำไรในร้าน ข้าคงมิอาจดูแลพวกเขาได้อีกแล้ว" ฟ่านลู่อี่หน้าเศร้า
"แล้วฮูหยินผู้เฒ่าคือใครหรือกระหม่อม"
"ท่านย่าของข้าเอง มารดาข้าเสียไปตั้งแต่เล็ก ท่านย่าเลี้ยงดูข้ามาแต่ท่านก็มาเสียไปเมื่อสามปีก่อน" ฟ่านลู่อี่หน้าหมองเศร้าแต่มีบางคนลอบโล่งใจ
"แล้วหลังจากนั้นว่าที่พระชายาทำอย่างไรหรือพ่ะย่ะค่ะ" โจวหงเจินถามบ้าง
"ตอนนั้นข้าอายุสิบสามกำลังศึกษาอยู่ในสำนักศึกษาเพื่อเตรียมสอบจอหงวน ก็ได้ร้านน้ำชาที่ท่านย่ายกให้ทำให้มีเงินทองพอจับจ่าย แต่ข้าก็ไม่สนใจจะไปสอบจอหงวนอีกแล้ว ที่เคยตั้งใจจะสอบเพื่อให้ท่านย่าดีใจเพียงแค่นั้น"
เสี่ยวถงยกขนมหลากชนิดมาวางเรียงกันจนเต็มโต๊ะแทบไม่มีที่วางป้านน้ำชา
"ปกติว่าที่พระชายาเสวยขนมมากเพียงนี้หรือกระหม่อม" ซือเย่ามองร่างอันบอบบางของคนตรงหน้าแล้วไม่อยากเชื่อ
"ไม่หรอก เพียงแต่พวกคนที่ร้านเห็นว่าข้าจะอยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้ายจึงส่งขนมมามากมาย หวังให้ข้าจดจำรสชาตินี้แม้ไปอยู่ต่างแคว้นแล้ว" ลู่อี่คีบขนมส่งให้โจวหงเจินก่อน ซือเย่าทำหน้าเหี้ยมจนคนไม่กล้าหยิบเข้าปาก แต่เมื่อลู่อี่คีบขนมส่งมาให้ก็เปลี่ยนสีหน้าผ่อนคลายได้เร็วนัก
"พยัคฆ์ของท่านรับประทานสิ่งใดข้าจะให้เสี่ยวถงไปนำมาให้"
"อาหลานชอบเนื้อสด ถ้าไม่มีไก่ย่างก็ได้กระหม่อม" ซือเย่าตอบ
"เนื้อสดหรือ ในครัวน่าจะมีนะ อาหลานคงต้องคอยซักหน่อย เสี่ยวถงไปจัดมานะ"
อาหลานเหมือนทราบว่าคนงามพูดถึง สายตาเหลือบมองแต่หางแกว่งอย่างถูกใจ ทำเอาลู่อี่ยิ้มกว้างจนซือเย่ามองอย่างเคลิบเคลิ้ม
"ผิดละ ข้าปล่อยปละละเลยพวกเจ้าสองคนพี่น้องมากเกินไปต่างหาก พวกเจ้าจึงคิดแผนการชั่วร้ายนี้ขึ้นมาได้ ออกไป แล้วอย่ามาให้ข้าเห็นหน้า" "แต่ว่าหยุนมู่.." เสียงคนยังไม่ทันขาดคำก็มีเสียงโครมดังขึ้นประดุจห้องทลาย ฟ่านลู่อี่ที่อยากจะลืมตาดูแต่ก็ลืมไม่ขึ้นได้แต่นอนน้ำตาไหลเงียบๆ เขาเป็นได้แค่ตัวหมากกระนั้นหรือ คนที่เขาเริ่มมีใจให้กลับเห็นเขาเป็นหมากตัวหนึ่ง เขาตั้งใจว่าจะร้องไห้เป็นครั้งสุดท้าย ... จะต้องหลุดพ้นจากวังวนนี้ให้ได้"พี่หยุนมู่ ข้าขออยู่เฝ้าลู่อี่เถอะนะ" อ๋องพยัคฆ์อ้อนวอน แต่กลับมีเสียงโครมใหญ่อีกครั้งแทน มีเพียงสุ่ยเซียนเท่านั้นที่เป็นพยานว่าฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์ถูกฮองเฮาเตะกระเด็นทะลุประตูออกจากห้องไปอัดเสาฝั่งตรงข้าม "ทหาร!" หยุนมู่ตะโกนเรียก เหล่าทหารยามวิ่งมารวมแถวอย่างเป็นระเบียบต่อหน้าหยุนมู่ "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ถ่ายทอดคำสั่ง ปิดตำหนักห้ามฮ่องเต้และอ๋องพยัคฆ์เข้ามาเด็ดขาด แม้แต่คนของพวกเขาก็ห้าม เข้าใจหรือไม่" "พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮา" "ดี ผู้ใดขัดคำสั่งข้า" หยุนมู่ทำมือปาดคอตัวเอง ใครจะกล้าขัดคำสั่งพวกเขายังรักชีวิตตัวเองอยู่นะ ไม่มีใครสนใจสองพี่น้องที่ยืนหน้าละห้อยอยู่ "
อ๋องพยัคฆ์แทบจะวิ่ง ขันทีนำทางคงรู้อารมณ์เขาจึงเร่งฝีเท้านำเขาไป เปิดประตูห้องให้ พอเข้าไปได้อ๋องพยัคฆ์ก็พุ่งตัวไปหาฟ่านลู่อี่ที่นอนหน้าซีดอยู่บนเตียง มือหนาลูบใบหน้างามอย่างทะนุถนอม คนป่วยยังซีดเซียวอยู่ แต่ก็ดูดีขึ้น "เจ้าไม่คิดจะทักพี่สาวคนนี้เลยรึ" เสียงสตรีดังขึ้น อ๋องพยัคฆ์จึงเพิ่งรู้สึกว่ามีผู้อื่นอยู่ในห้องด้วย "คารวะพี่หยุนมู่ พี่สุ่ยเซียน" อ๋องพยัคฆ์คารวะเร็ว "อาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง" เขานั่งลงข้างเตียง หยิบมือเย็นมาแนบแก้มสากด้วยหนวดที่ขึ้นไรครึ้ม "ป้อนยาที่ข้าปรุงทุกหนึ่งชั่วยามกับให้แช่น้ำร้อน เสริมด้วยปราณกรุยจุดชีพจรอีกวันละสองรอบ ข้าคิดว่าอาการน่าจะหายในเจ็ดวันนะ" สุ่ยเซียนตอบยิ้มๆ "เจ้าไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนเถิด พวกเราเพิ่งป้อนยาน้องสะใภ้ไปไม่นาน เจ้าค่อยกลับมาก็ได้" หยุนมู่พูดอย่างใจดี คนที่อ๋องพยัคฆ์เชื่อฟังมากที่สุดคือหยุนมู่นี่เอง สำหรับฮ่องเต้ เชื่อฟังนั้นก็เชื่ออยู่ แต่ก็ตีกันบ่อยเช่นกัน อ๋องพยัคฆ์เดินสวนกับอาหลาน มันเดินขึ้นเตียงไปนอนข้างฟ่านลู่อี่แต่ถูกสุ่ยเซียนดุ "อาหลาน ตัวเจ้ามีแต่กลิ่นคาวเลือดไปให้เทียนเฉินอาบน้ำให้เลยนะ ไม่อย่างนั้นข
ฮ่องเต้หลิวเทียนจินเป็นองค์ชายรองในรัชกาลก่อน หลังจากองค์ชายใหญ่ก่อกบฏ องค์ชายรอง องค์ชายห้าและองค์ชายแปดหนีตายไปหาแม่ทัพติงผู้เฒ่าผู้เป็นบิดาของแม่ทัพติงคนปัจจุบันที่ยามนั้นเป็นรองแม่ทัพอยู่กองทัพเดียวกับบิดา แม่ทัพติงยามนั้นเฝ้ารักษาชายแดนทางตะวันออกของแคว้นเจี๋ย เขาเป็นคนที่จงรักภักดีมากจึงได้รับความไว้วางพระทัยให้ไปรักษาชายแดน โดยหลานสาวของเขาติงสุ่ยเซียนที่อายุน้อยกว่าองค์ชายรองสองปีก็ได้หมั้นหมายกับองค์ชายรองตั้งแต่เด็ก ทั้งคู่เจอหน้ากันปีละครั้งยามแม่ทัพติงเข้ามาอวยพรวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ เด็กทั้งคู่นับว่ามีไมตรีที่ดีต่อกัน ยังไม่ทันที่ทั้งคู่จะได้เสกสมรสกันก็เกิดกบฏขึ้นเสียก่อน แม่ทัพติงอยู่ชายแดนห่างไกลยกทัพมาช่วยไม่ทัน จึงแยกตัวออกจากราชสำนักรวบรวมกำลังคนเตรียมกลับไปช่วยฮ่องเต้พระบิดาขององค์ชายรอง เหล่าองค์ชายที่หนีตายมาพึ่งพาแม่ทัพติงมิได้ปล่อยเวลาสูญเปล่า พวกเขาถูกเคี่ยวกรำให้ฝึกการต่อสู้อย่างหนัก แม่ทัพติงทั้งคู่ มิได้อ่อนข้อให้พวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขามีติงหยุนมู่พี่ชายของติงสุ่ยเซียนเป็นพี่เลี้ยง เขาแก่กว่าองค์ชายรองสองปีจึงสนิทสนมกันมาก ด้วยความที่ติงหยุนมู่แก่กว่า
ฮ่องเต้นำกองทัพไปล้อมจับเจ้าเมืองโหย่วกวาน ได้ตัวตอนกำลังหลบหนีออกทางหลังจวน ขุนนางละโมบพยายามขนทรัพย์สินเงินทองไปด้วยจำนวนมากทำให้หนีไม่พ้น ไห่เสียงเตะมันล้มกลิ้งมาถึงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ "เราเลี้ยงดูขุนนางไม่ดีรึ เจ้าจึงคิดกบฏ" ฮ่องเต้ถามทั้งที่ใบหน้ายังยิ้มอยู่แต่รอยยิ้มไปไม่ถึงแววตา "โปรดเมตตาด้วย กระหม่อมผิดไปแล้ว" คนโขกหัวจนหน้าผากแตกน้ำมูกน้ำตาไหลด้วยความกลัว"หึ" ฮ่องเต้ยิ้มหยัน คืนนั้นขุนนางที่อยู่ในรายชื่อว่าสมคบกับพวกกบฏของเมืองโหย่วกวานถูกฉุดกระชากลงมาจากเตียงยามดึก ครอบครัวบ่าวไพร่ถูกต้อนไปรวมกันที่หน้าศาลาว่าการประจำเมือง ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นตกใจ คบไฟถูกจุดสว่างไปทั้งเมือง ดุจดั่งกลางวัน เสียงซัดทอดความผิดดังระงม ฮ่องเต้เรียกหัวหน้ากองธงมาสองคน มอบหมายให้สอบสวนครอบครัวและบ่าวไพร่ของขุนนางเหล่านั้น ส่วนพวกคนในจวนเจ้าเมืองเป็นอีกสองกองธงจัดการสอบสวน ตัวเจ้าเมืองถูกล่ามขื่อทั้งที่โลหิตไหลท่วมหน้า "เงียบ!" ราชองครักษ์ผู้หนึ่งตวาด เกิดความเงียบครู่เดียวก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอีก อาหลานคงทนไม่ไหว มันกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังกำแพงส่งเสียงขู่คำรามอันทรงพลังก้องไปทั้งเน
อ๋องพยัคฆ์สำรวจรอบๆ ด้วยสายตา ที่นี่คงเป็นค่ายของพวกกบฏ ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ใกล้เมืองหลวงมากขนาดนี้ พวกมันคงจะรู้ตัวแล้วจึงถอนค่ายหนีอย่างรีบร้อนเช่นนี้ "ไม่เหลือสิ่งใดเลยพ่ะย่ะค่ะนอกจากเตาหลอม พวกมันน่าจะลักลอบผลิตอาวุธกันในถ้ำ" "มีรอยเกวียนมุ่งหน้าไปในป่า รอยล้อกดลึกบ่งบอกว่าบรรทุกของหนัก พ่ะย่ะค่ะ" นายกองอีกผู้หนึ่งรายงาน "ตามไปดูว่ารอยเกวียนนั้นสิ้นสุดลงที่ใด ส่งผู้หนึ่งไปแจ้งฮ่องเต้ให้เคลื่อนทัพต่อไป บอกให้สังเกตทางเกวียนทางด้านขวาที่ออกจากป่า ข้าคาดว่าถ้าเราไปตามทางน่าจะไปบรรจบกันด้านหน้า" เหล่าทหารที่ฝึกมาอย่างดีแยกกันไปทำตามคำสั่ง พวกเขาตามรอยมาจนยามซวี หรือประมาณหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่ม จึงได้ตามทัน เส้นทางเกวียนนำมาถึงเชิงเขาของเมืองโหย่วกวาน เสียงดาบกระทบกันดังมาจากด้านหน้า อ๋องพยัคฆ์เห็นเหล่าทหารม้าของเขาสู้อยู่กับกองกำลังของถางจินเข่อ ทหารม้ามีจำนวนคนน้อยกว่ามากจึงเริ่มเพลี่ยงพล้ำ "วางดาบคนเป็น จับดาบคนตาย!" อ๋องพยัคฆ์ชูดาบตะโกนก้อง ตามด้วยเสียงคำรามของอาหลานทำให้กองกำลังของถางจินเข่อที่ได้ยินก็ขวัญเสีย พวกมันเข้าร่วมเป็นกบฏด้วยเห็นแก่ลาภยศเมื่อมาได้เจออ๋องพยัคฆ์ตัวจริ
"มาช้านะท่านพี่" อ๋องพยัคฆ์แสยะยิ้มชักม้าออกจากที่กำบัง ผู้มาใหม่คืออดีตองค์ชายรองหรือฮ่องเต้ของแคว้นเจี๋ยหลิวเทียนจินนั่นเอง "ข้าต้องรอหมอหลวงต้มยา แถมกว่าจะเด็ดผลมังกรอัคคีได้ข้าถึงกับถูกน้ำในธารเดือดกระเด็นใส่เป็นรอยพุพองทีเดียวนะ" คนพูดคลำแขนตัวเองเหมือนเจ็บมากแต่ถูกคนที่มาด้วยขัดคอ "รอยพองเท่าเหรียญอีแปะถึงกับอาบน้ำเองมิได้ยกตะเกียบมิไหวต้องให้ข้าป้อนข้าวอยู่หลายมื้อเยี่ยงนั้นรึ" เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าเนียน คิ้วเฉียง ดวงตาแฝงความทระนงองอาจ แม้มิได้บึกบึนเช่นทหารส่วนใหญ่แต่ร่างกายแฝงด้วยกล้ามเนื้องดงามสมส่วน "เจ้าดูพี่สะใภ้เจ้าสิ ปรนนิบัติสามีนิดหน่อยก็บ่น" คนพูดทำปากยื่น "ยา" อ๋องพยัคฆ์พูดแค่คำเดียว ฟ่านลู่อี่ของเขาอาการหนักมากแล้ว คนพวกนี้ยังมาเล่นปาหี่ให้เขาดูอีก "เจ้าน้องคนนี้นี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย ข้าหวังจะได้เห็นใบหน้าอื่นของเจ้าแท้ๆ เจ้าส่งน้องสะใภ้ให้ฮองเฮาเถอะ เขาจำเป็นต้องกลับไปแช่น้ำร้อนที่วัง ข้าเตรียมคนและรถม้าไว้ให้แล้ว ส่วนเจ้าต้องไปจับมุสิกกับข้า" คนสั่งแฝงอำนาจของผู้นำทำให้อ๋องพยัคฆ์จนใจ เรื่องบ้านเมืองก็สำคัญ เขาจำใจส่งฟ่านลู่อี่ให้บุรุษอี