หลังจากที่พระชายาถูกจับตัวไป หนิงอ้ายก็ได้ให้จูฉี ซึ่งเป็นคนสนิทของตนมาอยู่ข้างกายของท่านหญิงใหญ่แทนพี่เลี้ยงคนเดิม
หลินเฟยหลันหยิบของที่หยุนอันนำมาวางไว้ที่ห้องเตียงนอนของมารดาขึ้นมาพิจารณา
โชคดีที่นางสามารถลอบเอาสิ่งนี้ออกมาได้เสียก่อน มิเช่นนั้นมารดานางต้องถูกใส่ร้ายโดยไม่อาจแก้ต่างได้
ตอนนั้น นางเห็นเต็มสองตาว่าลู่หว่านเหลียนยัดอะไรบางอย่างเข้าปาก จากนั้น ไม่นานก็กระอักเลือดแล้วล้มลง นางจึงเชื่อว่าสิ่งที่อยู่ในมือนี้น่าจะเป็นยาพิษ แต่อย่างไรก็ต้องหาวิธีการพิสูจน์
สองวันผ่านไป ก็ยังไม่สามารถค้นหาหลักฐานยาพิษที่ว่าได้ ทำให้หลินเฉิงจวิน โมโหเป็นอย่างมาก ตอนนี้ เขาแทบอยากจะฉีกเสวียนเยี่ยนฟางเป็นชิ้นๆ
พอใช้อำนาจของตนบังคับให้คนของศาลต้าหลี่สอบสวนด้วยใช้วิธีที่รุนแรง ก็ถูกทางนั้นปฏิเสธ
ชินอ๋องจึงเอาโทสะมาลงกับหลินเฟยหลันและหลินเฟยฉี แต่หนิงอ้ายและจูฉีเข้ามารับแส้แทนเจ้านายน้อยทั้งสอง
เรื่องนี้กลายเป็นที่เล่าลืออีกครั้ง ถึงความโหดร้ายของชินอ๋องที่ปฏิบัติต่อบุตรที่เกิดจากพระชายา
“เสด็จแม่”
“หลันเอ๋อร์ เจ้ามาได้อย่างไร” พระชายาเสวียนถึงกับตกใจจนหน้าซีด เมื่อเห็นบุตรสาวปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้
นางจึงจะตำหนิคนสนิท “หนิงอ้าย”
แต่หลินเฟยหลันเอ่ยขัดเสียก่อน “เสด็จแม่ อย่าว่าท่านป้าหนิง เป็นลูกที่ดื้อรั้น รบเร้าให้ท่านป้าพามาเพคะ ลูกมีเรื่องปรึกษาเพคะ”
ประโยคสุดท้าย หลินเฟยหลันกระซิบกับมารดา
มารดาของนางถูกขังแยกต่างหาก สภาพห้องขังค่อนข้างสะอาด ไม่ต่างกับห้องนอน มีโต๊ะหนึ่งตัวข้างที่นอน อาหารที่จัดส่งมาก็เป็นของชั้นดี ตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องที่มีแซ่ของตระกูลนักรบหนุนหลัง ทำให้นางถูกปฏิบัติไม่แย่นัก
ท่านหญิงใหญ่สอดส่ายสายตาไปยังคนตำหนักตงหยางที่ถูกขังเอาไว้ในห้องขังถัดไป แต่ไม่เห็นฝูกงกง คิดว่าคงอยู่ที่ห้องขังฝั่งนักโทษที่เป็นบุรุษ
เมื่อได้สินเดิมของมารดาคืนมาจนครบ บิดาก็ตัดสินให้เรื่องที่หลินฟางซินขโมยปิ่นให้เลิกแล้วกันไป โดยสมอ้างว่าบ่าวของบุตรคนโปรดเป็นผู้ที่ขโมยสินเดิมของมารดานาง
ดังนั้น คนที่รับโทษทัณฑ์จึงมีเพียงบ่าวทั้งเก้าคนเท่านั้น
แล้วหลินเฟยหลันจึงเล่าเรื่องห่อยาพิษให้มารดาฟังไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
เสวียนเยี่ยนฟางลูบหัวของบุตรสาวด้วยแววตาที่รักใคร่ “หลันเอ๋อร์ของแม่เก่งที่สุด”
เมื่อได้รับคำชม หลินเฟยหลันก็รู้สึกดีใจเป็นที่สุด
เห็นดวงตาของบุตรสาวเปล่งประกายอย่างมีความสุข เสวียนเยี่ยนฟางเองก็ตัดสินใจได้อย่างหนึ่ง
เพราะความความประมาทของนาง ทำให้ถูกฝ่ายนั้นเล่นงานได้ง่ายดาย หากครั้งนี้ไม่ได้บุตรสาวช่วยเอาไว้ เห็นทีนางคงจะแย่
หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางจริงๆ บุตรทั้งสองของนางคงไร้ที่พึ่ง
นางจึงตัดสินใจว่าจากนี้ไปจะสั่งสอนวิธีการใช้ชีวิตให้บุตรทั้งสองในขณะที่ยังมีโอกาส อย่างน้อยภายหน้า บุตรของนางจะได้ไม่เพลี้ยงพล้ำแก่ผู้ใดได้ง่าย
“ท่านหญิงใหญ่เข้าไปเยี่ยมพระชายาเป็นครึ่งชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พูดคุยสิ่งใด นอกจากรับสำรับด้วยกัน และพระชายาย้ำให้ท่านหญิงใหญ่ดูแลท่านชายสี่ให้ดีพ่ะย่ะค่ะ” เสิ่นฟู่เอ่ยรายงานต่อผู้เป็นอาจารย์ของตน
ฟังจบ ชินอ๋องก็ถอนหายใจยาว “เจ้าว่า ข้าทำเกินไปหรือไม่”
ที่เมื่อวาน เขาถึงขั้นจะลงมือกับบุตรทั้งสอง
เสิ่นฟู่ไม่ตอบ แต่ชินอ๋องก็พอเดาใจลูกศิษย์ตนได้
แววตาที่ตัดพ้อและหวาดกลัวของบุตรทั้งสองยังติดอยู่ในหัวของเขาจนแทบนอนไม่หลับ
เมื่อหลินเฟยหลันกลับมาถึงตำหนัก หลินเฟยฉีก็เข้ามากอดพี่สาวเอาไว้ “พี่หญิงใหญ่”
เห็นสีหน้าน้องชายไม่ค่อยดี ท่านหญิงใหญ่จึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”
จูฉีจึงฟ้องด้วยน้ำเสียงที่กล้ำกลืน “ฝ่ายห้องครัวไม่นำอาหารมาให้ท่านชายเพคะ บ่าวไปตามก็พบว่าอาหารหมด จนถึงตอนนี้ท่านชายก็ไม่ได้รับสำรับเลยเพคะ”
ตอนนี้การอารักขาเข้มงวดกว่าปกติ นางเป็นเพียงบ่าวจึงไม่สามารถทำอันใดได้มากกว่านี้
หนิงอ้ายหรี่ตามองจูฉี ครู่หนึ่งก็เห็นนางสบตากับท่านชายสี่อย่างเจ้าเล่ห์
โธ่! ท่านชายน้อยของบ่าวกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์ไปเสียได้
ตอนแรกหนิงอ้ายคิดจะเปิดโปง แต่ก็ฉุกใจนึกได้
พระชายาต้องการสอนให้ท่านหญิงใหญ่ได้รู้จักวิธีการเอาชีวิตรอดในถ้ำพยัคฆ์ ดังนั้น นางควรจะส่งเสริมจึงจะถูก
แววตาของหลินเฟยหลันเปลี่ยนไปที่ได้ยินเช่นนั้น เวลานี้เลยมื้อเที่ยงมาถึงสองชั่วยามแล้ว แต่น้องชายของนางยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ทำเอานางโกรธจนแทบอยากจะพังห้องครัวทิ้ง
สองเท้าก้าวไปที่ห้องครัวทันที
เห็นพ่อครัวกำลังทำมื้อเย็น ท่านหญิงใหญ่จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเอาเรื่อง “เหตุใด จึงไม่ยกสำรับมื้อเที่ยงให้ท่านชายสี่”
พ่อครัวและผู้ช่วยสบตากัน แล้วตอบ “หามิได้พ่ะย่ะค่ะท่านหญิงใหญ่ บ่าวของเรือนใหญ่มายกสำรับมื้อเที่ยงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ ส่วนที่ว่าเหตุใด ท่านชายสี่ไม่ได้รับสำรับนั้น บ่าวไม่อาจรู้ได้”
น้ำเสียงของพ่อครัวแข็งกระด้าง ไม่เคารพยำเกรงต่อสถานะท่านหญิงใหญ่
หลินเฟยหลันทดความผิดของคนครัวไว้ในใจ นางหันกลับไปที่เรือนใหญ่ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นอีกครั้ง
“พี่จูฉีเรียกบ่าวเรือนนี้มาให้หมด”
บ่าวของเรือนใหญ่ราวสามสิบคนยืนเรียงกันที่หน้าเรือนด้วยสีหน้าที่เบื่อหน่าย
พวกเขาเป็นบ่าวของเรือนใหญ่ มีหน้าที่รับใช้เพียงท่านอ๋อง ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ใคร่ให้ความเคารพพระชายาและบุตรที่ไม่ได้รับความโปรดปราน
หลินเฟยหลันเห็นเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธ หากแต่เมื่อนึกถึงคำสอนของมารดา นางจึงสูดลมหายใจยาว เพื่อให้ใจเย็นและเรียกสติของตน แล้วเอ่ย “ฮึ! ดูเหมือนว่า พวกเจ้าจะไม่มีใจอยากรับใช้พระชายาสักเท่าไหร่ แต่พวกเจ้า ลืมสิ่งใดไปหรือไม่ ว่าผู้ใดที่เป็นเจ้านายที่แท้จริง
เสด็จแม่ของข้านั้น ฝ่าบาทเป็นผู้ประทานให้แต่งเข้าตำหนักตงหยาง ต่อให้พวกเจ้าอยากจะยกใครขึ้นมาเป็นนาย ก็ไม่อาจทำได้ คนที่มีสิทธิ์ลงโทษพวกเจ้า นอกจากชินอ๋องย่อมเป็นพระชายา หาใช่อนุคนใด
อีกทั้งเสด็จแม่เป็นพระชายาที่ไทเฮาเลือกเฟ้นด้วยองค์เอง หมิ่นเกียรติพระชายา เท่ากับหมิ่นฮ่องเต้และไทเฮา ประหารพวกเจ้าทั้งครอบครัวก็ยังได้”
ไม่ทันจบประโยคด้วยซ้ำ สีหน้าของบ่าวทั้งสามสิบคนก็ซีดเผือด
พระชายาไม่เคยย่ำกรายมาที่เรือนใหญ่ จึงทำให้พวกเขาคิดว่า คนที่จะขึ้นเป็นนายที่แท้จริงเป็นชายารอง หลายปีมานี้จึงหลงลืมไปว่า ต่อให้ชายารองจะเป็นที่รักใคร่ของท่านอ๋องเพียงใด ก็เป็นเพียงอนุผู้หนึ่ง หาได้มีอำนาจเทียบเท่าพระชายาตัวจริง
“บ่าวผิดไปแล้วเพคะ ขอท่านหญิงใหญ่โปรดเมตตา”
หลินเฟยหลันมองบ่าวที่ไม่มีใจด้วยแววตาเย็นชา “โบยคนละยี่สิบไม้ แล้วขายไปทั้งหมด”
เสียงร้องขอความเมตตาดังถึงห้องหนังสือ ชินอ๋องจึงให้คนออกมาดู
เมื่อได้ยินว่าบุตรสาวคนโตใช้อำนาจเกินไป เขาจึงออกมาด้วยตัวเอง
“ท่านอ๋อง ช่วยบ่าวด้วยเพคะ”
“ท่านอ๋องเมตตาด้วยเพคะ”
ไม่รอให้บิดาเปิดปาก หลินเฟยหลันก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้ม “บ่าวละเลยต่อหน้าที่ ไม่เคารพผู้เป็นนาย ปล่อยท่านชายสี่ให้หิวตั้งแต่เที่ยงจนถึงตอนนี้ มีครั้งแรกย่อมมีครั้งต่อไป บ่าวที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นนี้เก็บไว้ก็จะเป็นภัยในภายหน้า ลูกกล่าวถูกต้องหรือไม่เพคะ เสด็จพ่อ”
หลินเฉิงจวินรู้สึกว่าน้ำเสียงที่บุตรสาวเรียกขาน เสด็จพ่อ ช่างกระแทกไปที่หัวใจจนรู้สึกเจ็บจนบอกไม่ถูก
แววตาของหลินเฟยหลันที่ไร้เยี่อใยราวกับคนที่ตัดใจได้ ทำให้รู้สึกใจหายและหวาดหวั่นยิ่งนัก เหมือนกับว่าเขากำลังจะสูญเสียสิ่งสำคัญไปจากชีวิต
และเพียงเสี้ยวเวลา เขาสังเกตเห็นแววตาที่เกลียดชังคู่นั้นอีกด้วย
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ คุณหนูหลายคนก็ยังไม่อยากจะกลับ เพราะอยากจะอยู่คุยกับพี่สาวหลิน จนหลินเฟยหลันต้องรับปากว่า อีกครึ่งเดือนจะเชิญมาที่จวนอีก ดรุณีน้อยจึงยินยอมอย่างว่าง่ายเสวียนเยี่ยนฟางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ครั้งนี้ชื่อเสียงของบุตรสาวเป็นไปในทางที่ดี ทั้งสิบตระกูลมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่สามารถเกี่ยวดองกันได้ แต่หากสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี บุตรสาวของนางย่อมไม่เสียเปรียบ ส่วนบุตรชายก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วยเมื่อส่งทุกคนกลับไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยกับบุตรสาว “ดึกแล้วไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ลูกคงเหนื่อยมาก”หลินเฟยหลันจึงกอดเอวมารดาอยา่งออดอ้อน “เพคะ เชื่อฟังเสด็จแม่ รักเสด็จแม่ที่สุดเลย”หลินเฟยฉีก็ไม่ยอมหน่อยหน้าพี่สาว “ฉีเอ๋อร์ ก็รักเสด็จแม่ เชื่อฟังเสด็จแม่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ก็รักลูกทั้งสองคนเช่นกัน” เสวียนเยี่ยนฟางไม่หวงที่จะบอกรักบุตรทั้งสองนางได้รับคำแนะนำจากพี่สะใภ้ไม่น้อย เมื่อทำตามก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นดีขึ้นมากหลังจากที่ส่งน้องชายเข้าเรือน หลินเฟยหลันก็กลับไปยังเรือนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่ง โดยมีจูฉีเดินตามหลังแต่เมื่อเดินผ่านตรงบริเวณสระน้ำ
แล้วฮ่องเต้อนุญาตให้พระชายาเสวียนย้ายไปพำนักที่จวนแถวชานเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ชาวเมืองที่เห็นขบวนอันยาวเหยียด จึงสอบถามจากคนเฝ้าประตูก็ได้ความว่า ท่านหญิงหลินได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว พระชายาเสวียนเกรงว่า ท่านหญิงหลินจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง จึงย้ายที่ประทับไปที่จวนชานเมืองเป็นการชั่วคราวแม้ว่าฮ่องเต้จะออกคำสั่งห้ามแพร่งพราย แต่ปากคนหรือจะห้ามได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่องค์ชายสี่ดูแคลนท่านหญิงหลิน หรือเรื่องที่ท่านหญิงหลินและท่านชายหลินถูกองค์หญิงเก้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ต่างแพร่สะพัดในเขตราชวังขุนนางที่มาร่วมประชุมในช่วงเช้าต่างก็พลอยได้ยินข่าวลือไปด้วยกำแพงล้วนมีหู ประตูย่อมมีช่องไม่นาน เรื่องราวก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงฮองเฮาต้องปิดตำหนัก เว้นการให้สนมเข้าคารวะเป็นเวลาหนึ่งเดือนส่วนพระสนมชุนต้องปิดตำหนักเงียบเช่นกันองค์ชายสี่และองค์หญิงเก้า ถูกลงโทษเพียงแค่กักบริเวณในตำหนักเท่านั้นทำให้ขุนนางหลายฝ่ายเคลื่อนไหว เพราะท่านหญิงหลินถือเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน การที่ถูกดูแคลนจากคนของราชวงศ์ ขุนนางฝ่ายของเสนาบดีเสวียนย่อมไม่พอใจ ส่วนขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับฮองเฮาและพระสนมช
“เสด็จแม่ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” หลินเฟยหลันเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงหลินเฟยฉีกุมมือพี่สาวเอาไว้ “พี่หญิง ฉีเอ๋อร์ปลอดภัย ฮึก”เสวียนเยี่ยนฟางลูบศีรษะของบุตรสาว พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักผ่อนเสียก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”แต่หลินเฟยหลันกลับร้องไห้สะอื้น นางเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่น “เสด็จแม่ ลูกเจ็บ ที่นี่น่ากลัวเหลือเกินเพคะ มีแต่คนเกลียดพวกเรา ฮึก...องค์ชายสี่ บอกว่าลูกร้ายกาจ บอกลูกว่าไม่คู่ควรเป็นเชื้อพระวงศ์ ลู่ฟางซินต่างหากที่สมควรอยู่ในตำแหน่งท่านหญิงแห่งชินอ๋อง ฮึก..หากเปลี่ยนเป็นลู่ฟางซินกับลู่เฟยเทียน คงจะมีแต่คนรัก ฮืออออ...เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นแล้วท่านหญิง ไม่เป็นแล้ว..ลูกจะไปอยู่กับท่านตา ไปเป็นคุณหนูเสวียน พาลูกกลับ ลูกกลัว พาลูกไปอยู่กับท่านตานะเพคะ ฮือออออออ”เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ทำเอาเสวียนเยี่ยนฟางสะท้านในใจ จึงตอบ “ได้ๆ พวกเรา จะไปอยู่กับท่านตา”นางมิได้ล้อเล่น คนพวกนี้ทำร้ายร่างกายบุตรสาวนางยังไม่พอ ยังมาพูดจาทำร้ายจิตใจบุตรสาวของนางอีกคิดว่าข้าอยากเป็นเชื้อพระวงศ์นักรึ!องค์ชายสี่องค์หญิงเก้าอย่าหาว่าข้ารังแกเด็กก็แล้วกัน!หมอหลวงหญิงและ
“พี่หญิงเขาไปแล้ว แล้วเราจะไปดูปลาที่ไหน” หลินเฟยฉีสะกิดพี่สาว เขาไม่ได้สนใจการมากันไปของผู้ใดทั้งสิ้น เขามีเพียงพี่สาวเท่านั้น ในเมื่อองค์ชายสี่ไม่ใยดีต่อพี่สาว เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพแก่องค์ชายผู้นี้เช่นกันหลินเฟนหลันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเดินมา นางจึงเอ่ยกับน้องชาย “เช่นนั้นเราลองถามนางกำนัลเถอะว่าสระที่มีปลาอยู่แถวไหน”ไม่ช้าสองพี่น้องก็ได้คำตอบนางกำนัลสองคนของตำหนักฮองเฮา รู้ว่าทั้งสองเป็นบุตรของพระชายาเสวียน จึงนำทางสองพี่น้องมายังบ่อปลาของฮ่องเต้ทั่วพระราชวังย่อมรับรู้ว่า พระชายาเสวียนและบุตร ต่างได้รับป้ายทองพระราชทาน พวกนางที่พาท่านหญิงและท่านชายมาที่นี่ ย่อมไร้ความผิดเห็นปลาตัวโตสีขาว แต่มีลวดลายหลากสี ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีแดง หรือบางตัวก็มีสีเหลืองแซม แหวกว่ายไปมา หลินเฟยฉีที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาวิ่งทางที่ปลาแหวกว่ายไปอย่างร่าเริงในอุทยานหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่งดงาม ผีเสื้อหลากสีสันก็ต่างเข้ามาดอมดม หลินเฟยหลันเองก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเล่นแบบนั้นบ้าง หลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องเพราะต้องพิษมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มารด
เมื่อจับร่างอันบอบบางขอบบุตรสาวหันซ้ายหันขวาขวาอยู่หลายครั้งจนพอใจ เสวียนเยี่ยนฟางก็พยักหน้า ทำให้หลินเฟยหลันต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกฮองเฮามีประสงค์ให้ทั้งสามเข้าเฝ้า นางก็ถูกมารดาจับแต่งตัวมาเกือบหนึ่งชั่วยาม เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกก็ยังไม่ถูกใจมารดาของนางเสียที หลินเฟยฉีที่นั่งกินขนมรอจนอิ่ม เขาแทบจะหลับไปอีกรอบรถม้าของพระชายาเสวียนมาถึงประตูพระราชวัง หลังจากได้รับการตรวจตราพอเป็นพิธี ทหารองครักษ์ก็นำทางทั้งสามไปยังทางเข้าพระราชวังฝ่ายในเส้นทางที่แคบ กำแพงสูงที่ขนาบตลอดทางเดินสร้างความกดดันให้หลินเฟยฉีไม่น้อย คิ้วของเขาขมวดยุ่งราวกับปมเชือกพอมาถึงประตูทางเข้าพระราชวังฝ่ายใน ทหารองครักษ์ที่นำทางก็ขอตัวกลับ พวกเขาไม่สามาถเข้าไปภายในเขตของฝ่ายในได้สามแม่ลูกเดินต่อไปจนถึงตำหนักของมารดาแผ่นดิน โดยที่ไม่มีแม้แต่นางกำนัลจะนำทางสีหน้าของพระชายาเสวียนยังคงเรียบเฉย นางไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากแต่ทดความโมโหนี้ไว้ในใจ โดยเฉพาะเจ้าของตำหนัก ที่ทำให้บุตรทั้งสองคนของนางต้องพลอยลำบากไปด้วยสองพี่น้องเหงื่อผุดเต็มใบหน้า พระชายาเสวียนมองภาพผู้เป็นพี่สาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเห
หลังจากที่รับสำรับมื้อเที่ยง ผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ได้พูดคุยกัน เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนพวกเขาก็นั่งอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยมไม่ไกลจากสวนที่เด็กๆ เล่นอยู่เสวียนไห่จึงเอ่ย “เรื่องราวร้ายๆ ก็ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ น้องเล็ก อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย ท่านพ่อเองก็ไม่สบายใจที่ทั้งสองยังโทษตัวเองอยู่จนถึงทุกวันนี้”เสวียนเกาจึงหันไปสบตากับเสวียนเยี่ยนฟาง แล้วทั้งสองก็พยักหน้าเป็นเชิงรับปากเสียนหมิ่นจึงถามขึ้น “เอาล่ะเรื่องร้ายก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรน้องเล็ก ในเมื่อไม่สามารถหย่าขาดจากหลินเฉิงจวินได้”เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจ “ข้ามาลองคิดดูแล้ว ตอนนี้อาจจะยังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะหย่าขาดกับหลินเฉิงจวิน เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็อยากให้หลันเอ๋อร์ได้ออกเรือนในฐานะบุตรสาวของชินอ๋อง”เสวียนเกาพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเสริม “พี่เห็นด้วย อย่างน้อยหากพี่และท่านพ่อถอนตัวจากราชสำนัก ฐานะบุตรีของชินอ๋องยังสามารถทำให้หลันเอ๋อร์ได้แต่งเข้าในตระกูลที่ดีได้”“แต่สิ่งที่ต้องระวังคือสมรสพระราชทานกับองค์ชาย”แค่เพียงเห็นใบหน้าของหลานสาว อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นโฉมสะคราญเช่นเดียวกับมารดา ก็ทำให้ท