หลังจากที่คนที่ชินอ๋องส่งมาสืบความเคลื่อนไหวของนางออกไป เสวียนเยี่ยนฟางก็หยิบห่อยาพิษออกมาวางบนโต๊ะ
สิ่งที่นางไม่อยากให้รู้ ใครหน้าไหนก็ไม่มีวันได้รู้ ดังนั้น สิ่งที่เขารู้ ก็คือ สิ่งที่นางเจตนาให้รู้
“เหตุใดจึงเอาตัวเองมาลำบาก” โม่หานปรากฏตัวขึ้นแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
องครักษ์หนุ่มผู้ที่เป็นคนเข้าค้นเรือนของลู่หว่านเหลียนไขประตูเข้าไปหาเสวียนเยี่ยนฟาง แล้วทิ้งกำไลอันหนึ่งที่โต๊ะ
เขาเป็นหน่วยลับของตระกูลเสวียน เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสหายอันน้อยนิดของเสวียนเยี่ยนฟางที่นางไว้วางใจมากที่สุด ติดตามเสวียนเยี่ยนฟางตั้งแต่อายุสิบขวบ
เสวียนเยี่ยนฟางยกยิ้ม แววตามีประกายล้อเล่น “อยู่ที่นี่จะทำอันใดก็สะดวกกว่ามิใช่หรือ ได้ของมาเยี่ยงนี้ ย่อมต้องรู้เรื่องของนางแล้วสินะ”
“นางเคยอยู่ในสำนักคุ้มภัย จึงพอมีวรยุทธ์บ้าง สามีตายไปแล้ว มีบุตรสองคน เป็นพี่ชายน้องสาว บุตรสาวสติไม่สมประกอบ แม่สามีเป็นผู้เลี้ยงดู อาศัยในหมู่บ้านตวน” โม่หานเล่าอย่างรวบรัด
“หนึ่งในหมู่บ้านในเมืองตงหยางที่เคยเกิดโรคระบาดใช่หรือไม่” เสวียนเยี่ยนฟางถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
โม่หานพยักหน้า “ใช่”
แล้วเขาถามต่อ “เหตุใดเจ้าจึงสนใจคนๆ นี้”
เสวียนเยี่ยนฟางลูบไล้กำไลหยกสีขาวอย่างเหม่อลอย พลางเอ่ย “ปีนั้น ที่เมืองตงหยางเกิดโรคระบาดและโจรภูเขาออกอาละวาด แม่ทัพที่นั่นก็ถูกสังหาร ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้ท่านพ่อติดตามหลินเฉิงจวินไปเมืองตงหยาง
มีข้า ท่านแม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้จึงติดตามไปด้วย
ท่านพ่อและหลินเฉิงจวินนำกำลังบางส่วนไปปราบโจรภูเขานับแรมเดือนก็ยังไม่กลับ
ข้า ท่านแม่ พี่ใหญ่และพี่สะใภ้คอยตรึงกำลังอยู่ในเมือง
อยู่มาวันหนึ่ง ท่านแม่และพี่สะใภ้ก็อาเจียนออกมาเป็นเลือด หมอหลวงลู่บอกว่าทั้งสองถูกพิษ ห่างกันไม่ถึงสองชั่วยาม ทหารนับร้อยของข้าที่เริ่มมีอาการเช่นเดียวกับท่านแม่ หลังจากนั้นหนึ่งวัน ทุกคนก็ตายกันหมด”
เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจด้วยความรู้สึกหดหู่ แล้วเอ่ยต่อ
“ตอนนั้น คนที่บอกว่าทุกคนถูกพิษ คือ หมอหลวงลู่ หลังจากที่ท่านแม่ พี่สะใภ้ และคนของข้าตาย ก็เป็นหมอหลวงลู่ที่สั่งให้นำศพของทุกคนไปทิ้งยังหุบเหวลึก
ร่างของท่านแม่และพี่สะใภ้ไม่ได้ถูกฝังในสุสาน ร่างของทหารกล้าไม่ได้นำกลับไปหาครอบครัวของพวกเขา
เมื่อกองทัพกลับมา ท่านพ่อที่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับท่านแม่ ก็บุกเข้าไปเพื่อจะต้องการคำอธิบายของหมอหลวงลู่
แต่หลินเฉิงจวินกลับออกหน้ารับแทน
ทุกคนต่างพากันเสียใจ ข้าเองก็โทษตัวเองว่าดูแลท่านแม่ไม่ดี ส่วนพี่ใหญ่แม้จะไม่ปริปาก แต่ข้ารู้ว่าเขาเจ็บปวดไม่แพ้กัน
หลังจากนั้น ลู่หว่านเหลียนก็สามารถคิดค้นยารักษาโรคระบาดได้ ทำให้นางกลายเป็นพระโพธิสัตว์ของชาวเมืองตงหยาง
หลินเฉิงจวินจึงทูลขอสมรสพระราชทานกับลู่หว่านเหลียน แต่ว่าฮ่องเต้ต้องการอำนาจทางทหารของตระกูลเสวียนเพื่อส่งเสริมหลินหรงเยี่ย แต่หลินหรงเยี่ยแต่งชายาเอกแล้ว
เขาจึงพระราชทานสมรสแก่ข้ากับหลินเฉิงจวินแทน
พวกเราล้วนไม่ยินยอม แต่ว่าฮ่องเต้โฉดกลับใช้ตระกูลเสวียนสายรองมาข่มขู่พวกเรา ข้าจึงยอมแต่ง”
โม่หานต้องกลั้นหัวเราะ เมื่อได้ยินเสวียนเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกพระนามฮ่องเต้คนปัจจุบันอย่างไม่กลัว
ก็เห็นจะมีแต่คนตระกูลเสวียนนี่แหละที่กล้า
ในปีนั้น เขามีงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ได้ติดตามนางไป จึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นละเอียดนัก
แล้วแววตาของเสวียนเยี่ยนฟางก็เปลี่ยนไป “หลังจากนั้น ท่านพ่อก็ขอย้ายไปประจำการที่เมืองตงหยาง ส่วนพี่ใหญ่ก็ไม่แต่งสตรีมาแทนพี่สะใภ้ เดิมทีข้าคิดเพียงว่าท่านพ่อและพี่ใหญ่เสียใจมากจนไม่อาจยอมรับความจริงได้เท่านั้น
แต่ว่า ตอนที่ข้าเห็นลู่หว่านเหลียนกระอักเลือดออกมา ข้าตกใจมาก
ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เพราะมันเหมือนมีภาพทับซ้อนของท่านแม่ขึ้นมา
นอนคุกได้หนึ่งวัน ข้าจึงได้สติ ที่แท้ท่านพ่อแอบสืบหาสาเหตุการตายของท่านแม่มาตลอด พี่ใหญ่ก็เช่นกัน”
บิดาและพี่ชายตนโตคงไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับใคร ทั้งยังไม่มีหลักฐาน เกรงจะเป็นการดึงคนในตระกูลเข้ามาเกี่ยวกับอันตราย
โม่หานพยักหน้า ก่อนหน้านี้เสวียนเยี่ยนฟางให้เขาส่งข่าวหาคุณชายใหญ่ จึงได้ทราบความจริงที่อยู่ในใจของทั้งสองมาตลอดหลายปี
เขาจึงตอบ “นายท่านและคุณชายใหญ่เชื่อว่า โรคระบาดในปีนั้นมีคนจงใจให้เกิดขึ้น”
เสวียนเยี่ยนฟางพยักหน้า “ใช่ ตอนนี้ ข้าก็เชื่อว่าการที่ท่านแม่ถูกพิษต้องเกี่ยวพันกับเรื่องโรคระบาด ก่อนหน้า หนิงอ้ายก็บอกกับข้าว่าหยุนอันไม่ใช่แค่บ่าวรับใช้ธรรมดา นางมีวรยุทธ์
ข้าจึงนึกสงสัย ว่าเหตุใดลู่หว่านเหลียนจึงต้องมีบ่าวรับใช้ที่มีฝีมืออยู่ข้างกาย
ตระกูลลู่เป็นตระกูลหมอหลวง ย่อมไม่มีศัตรูถึงขั้นต้องการเอาชีวิตขนาดนั้น
หยุนอันติดตามลู่หว่านเหลียนจากตงหยางมา ดังนั้น หยุนอันต้องรู้เรื่องนี้ไม่มากก็น้อย”
นางจึงให้โม่หานไปสืบเรื่องของหยุนอัน
หยุนอันเงยหน้ามองพระชายาเสวียนด้วยแววตาที่อ่อนล้า นางถูกทรมานตั้งแต่อยู่ตำแหน่งตงหยาง จากนั้นก็ถูกคนนำตัวมาไว้ที่นี่
ตอนแรกคิดว่าชินอ๋องจะฆ่านางปิดปากเสียอีก
เชื้อพระวงศ์คนนี้ไม่ได้โง่อย่างที่ใครคิด เพียงแต่ว่าเขารักลู่หว่านเหลียนมากเกินไป จึงหลับตามองข้ามความผิดของชายารองโดยไม่สนถูกผิด
แต่นางก็คิดผิด เพราะองครักษ์แห่งตำหนักตงหยางพานางมาขังไว้ที่นี่
ห้องลับในศาลต้าหลี่!
ฮึ! ที่แท้ ใต้จมูกของชินอ๋องก็มีเกาทัณฑ์พิษถูกซ่อนไว้อยู่
“พระชายา ฮึ!” หยุนอันแค่นเสียงสบถ
“เก็บความภักดีของเจ้าเอาไว้ในใจดีกว่า อย่าได้เผยมันออกมา มิเช่นนั้นเจ้าอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต” ว่าแล้ว เสวียนเยี่ยนฟางก็ชูกำไลที่โม่หานได้มาขึ้นตรงหน้าบ่าวของลู่หว่านเหลียน
หยุนอันเบิกตาโพลง หัวใจของนางกระตุก ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลถลาเข้าไปหาเสวียนเยี่ยนฟางอย่างไม่รู้ความเจ็บปวด มือที่สั่นเทาพยายามที่จะคว้าเอากำไลเอาไว้
แต่นางก็ถูกโม่หาญเตะจนกระเด็นเสียก่อน
“กำไลนั่น ท่านเอามาได้อย่างไร” หยุนอันตะคอกเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
ความลับที่นางปิดบังเอาไว้ แม้แต่ชายารองลู่ยังไม่รู้ เหตุใดพระชายาเสวียนจึงรู้
ในมือของพระชายา คือ กำไลของบุตรสาวของนางที่นางซื้อให้เมื่อสองปีก่อน
เห็นแววตาไม่แตกฉานของหยุนอัน เสวียนเยี่ยนฟางก็คลายความสงสัยให้ “เจ้าคิดว่าตระกูลเสวียนเป็นตะเกียงไร้น้ำมันอย่างนั้นหรือ”
เพียงเท่านั้น หยุนอันก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว แผ่นหลังเย็นวาบ ขนของนางลุกชันด้วยความหวาดกลัว
ปีนั้นที่เมืองตงหยาง นางรู้แค่ว่าเสวียนเยี่ยนฟางเป็นบุตรสาวคนเล็กของแม่ทัพเสวียน นางเคยปรามาสสตรีตรงหน้าว่าทั้งบอบบางและอ่อนแอ มีชีวิตรอดเพราะถูกปกป้องด้วยบิดาและพี่ชายเท่านั้น
ลู่หว่านเหลียนเคยให้ความช่วยเหลือชีวิตของนางเอาไว้ อีกทั้งฐานะของสองพ่อลูกแซ่ลู่นั้นสำคัญสำหรับองค์ชายหลินเฉิงจวินมาก นางจึงมองเห็นโอกาสที่จะเอาชีวิตรอด
เมื่อไม่มีสามีที่เป็นกำลังหลักในการเลี้ยงดูครอบครัว แม่สามีที่ไร้ที่พึ่ง บุตรชายคนโตต้องเข้าสำนักศึกษา บุตรสาวคนเล็กก็สติไม่สมประกอบ ทุกอย่างต้องใช้ตำลึงจำนวนมาก
งานในสำนักคุ้มภัยนั้นอันตรายยิ่งนัก จะตายวันไหนก็ไม่รู้ หากนางมีอันเป็นไปบุตรทั้งสองจะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้ นางจึงต้องตัดใจห่างจากบุตรทั้งสอง เพื่อติดตามลู่หว่านเหลียนมายังเมืองหลวง นำเบี้ยหวัดที่ได้ ส่งไปให้แม่สามีและบุตรทั้งสอง
ที่นางไม่เผยความลับให้ลู่หว่านเหลียนได้รับรู้ ก็เพราะว่าไม่ต้องการให้ลู่หว่านเหลียนใช้ครอบครัวมาเป็นจุดอ่อนในการบีบบังคับนาง
เหมือนจะเข้าใจในจุดประสงค์ของพระชายาเสวียน หยุนอันจึงสูดลมหายใจเข้า แล้วเอ่ยถาม “ต้องการสิ่งใด”
พระชายาเสวียนยกยิ้ม มือเรียบลูบไล้ใบหน้าของหยุนอันราวกับกำลังปลอบโยนแมวตัวน้อย “เจ้าเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่ายดี วางใจเถอะข้ารับปาก ขอแค่เจ้าบอกความจริงแก่ข้า ข้าจะไม่แตะต้องทุกคน อีกทั้งเจ้าก็จะได้กลับไปหาลูกๆ ของเจ้าโดยที่ลู่หว่านเหลียนไม่สามารถที่จะยื่นมือเข้าไปบีบบังคับเจ้าได้อีก”
หยุนอันสบตากับเสวียนเยี่ยนฟางด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
ใบหน้าที่งดงามแต่สีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด แต่แววตากลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร
วันนี้ นางเพิ่งประจักษ์
ผู้ล่าเมื่อมองเห็นเหยื่อ จะจดจ้องและรอคอยอย่างใจเย็น ฝ่าเท้ากดลงพื้นอย่างแผ่วเบา ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาใกล้เหยื่อ ลูกกวางน้อยที่เริงร่ากับทุ่งหญ้าอันเขียวชอุ่มไม่ทันได้ระวังตัว เพียงไม่กี่จิบชา มันก็ตกอยู่ในอุ้งเท้าของพยัคฆ์ร้ายไปแล้ว
ไม่มีแม้โอกาสจะได้วิ่งหนี
นี่นะหรือ ความน่ากลัวของตระกูลนักรบ
พระชายาผู้นี้เก็บความเป็นนักล่าอยู่ในคราบของลูกแกะมาตลอดสิบกว่าปี โดยไม่มีใครนึกถึง
ตระกูลเสวียนน่ากลัวยิ่งนัก!
เป็นนางเองที่สายตาคับแคบ ติดตามคนผิด
ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เพราะชีวิตของทุกคนในครอบครัวอยู่ในมือของพระชายาผู้นี้ไปแล้ว ต่อให้ต้องกำจัดลู่หว่านเหลียนเพื่อช่วยบุตรของนาง นางก็จะทำ “ได้ ท่านอยากรู้สิ่งใด”
“ทุกอย่างที่เจ้ารู้ในเหตุการณ์โรคระบาดที่เมืองตงหยาง”
เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับ คุณหนูหลายคนก็ยังไม่อยากจะกลับ เพราะอยากจะอยู่คุยกับพี่สาวหลิน จนหลินเฟยหลันต้องรับปากว่า อีกครึ่งเดือนจะเชิญมาที่จวนอีก ดรุณีน้อยจึงยินยอมอย่างว่าง่ายเสวียนเยี่ยนฟางรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ครั้งนี้ชื่อเสียงของบุตรสาวเป็นไปในทางที่ดี ทั้งสิบตระกูลมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แม้ไม่สามารถเกี่ยวดองกันได้ แต่หากสามารถสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี บุตรสาวของนางย่อมไม่เสียเปรียบ ส่วนบุตรชายก็พลอยได้รับประโยชน์ไปด้วยเมื่อส่งทุกคนกลับไปหมดแล้ว นางจึงเอ่ยกับบุตรสาว “ดึกแล้วไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ลูกคงเหนื่อยมาก”หลินเฟยหลันจึงกอดเอวมารดาอยา่งออดอ้อน “เพคะ เชื่อฟังเสด็จแม่ รักเสด็จแม่ที่สุดเลย”หลินเฟยฉีก็ไม่ยอมหน่อยหน้าพี่สาว “ฉีเอ๋อร์ ก็รักเสด็จแม่ เชื่อฟังเสด็จแม่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”“แม่ก็รักลูกทั้งสองคนเช่นกัน” เสวียนเยี่ยนฟางไม่หวงที่จะบอกรักบุตรทั้งสองนางได้รับคำแนะนำจากพี่สะใภ้ไม่น้อย เมื่อทำตามก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกนั้นดีขึ้นมากหลังจากที่ส่งน้องชายเข้าเรือน หลินเฟยหลันก็กลับไปยังเรือนของตัวเองที่อยู่อีกฝั่ง โดยมีจูฉีเดินตามหลังแต่เมื่อเดินผ่านตรงบริเวณสระน้ำ
แล้วฮ่องเต้อนุญาตให้พระชายาเสวียนย้ายไปพำนักที่จวนแถวชานเมืองอย่างเลี่ยงไม่ได้ชาวเมืองที่เห็นขบวนอันยาวเหยียด จึงสอบถามจากคนเฝ้าประตูก็ได้ความว่า ท่านหญิงหลินได้รับบาดเจ็บต้องพักรักษาตัว พระชายาเสวียนเกรงว่า ท่านหญิงหลินจะเบื่อที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้อง จึงย้ายที่ประทับไปที่จวนชานเมืองเป็นการชั่วคราวแม้ว่าฮ่องเต้จะออกคำสั่งห้ามแพร่งพราย แต่ปากคนหรือจะห้ามได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่องค์ชายสี่ดูแคลนท่านหญิงหลิน หรือเรื่องที่ท่านหญิงหลินและท่านชายหลินถูกองค์หญิงเก้าทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บหนัก ต่างแพร่สะพัดในเขตราชวังขุนนางที่มาร่วมประชุมในช่วงเช้าต่างก็พลอยได้ยินข่าวลือไปด้วยกำแพงล้วนมีหู ประตูย่อมมีช่องไม่นาน เรื่องราวก็กระจายไปทั่วเมืองหลวงฮองเฮาต้องปิดตำหนัก เว้นการให้สนมเข้าคารวะเป็นเวลาหนึ่งเดือนส่วนพระสนมชุนต้องปิดตำหนักเงียบเช่นกันองค์ชายสี่และองค์หญิงเก้า ถูกลงโทษเพียงแค่กักบริเวณในตำหนักเท่านั้นทำให้ขุนนางหลายฝ่ายเคลื่อนไหว เพราะท่านหญิงหลินถือเป็นคนในราชวงศ์เช่นกัน การที่ถูกดูแคลนจากคนของราชวงศ์ ขุนนางฝ่ายของเสนาบดีเสวียนย่อมไม่พอใจ ส่วนขุนนางฝ่ายตรงข้ามกับฮองเฮาและพระสนมช
“เสด็จแม่ น้องเป็นอย่างไรบ้าง” หลินเฟยหลันเปิดปากถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงหลินเฟยฉีกุมมือพี่สาวเอาไว้ “พี่หญิง ฉีเอ๋อร์ปลอดภัย ฮึก”เสวียนเยี่ยนฟางลูบศีรษะของบุตรสาว พร้อมกับบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พักผ่อนเสียก่อน อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”แต่หลินเฟยหลันกลับร้องไห้สะอื้น นางเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงสั่น “เสด็จแม่ ลูกเจ็บ ที่นี่น่ากลัวเหลือเกินเพคะ มีแต่คนเกลียดพวกเรา ฮึก...องค์ชายสี่ บอกว่าลูกร้ายกาจ บอกลูกว่าไม่คู่ควรเป็นเชื้อพระวงศ์ ลู่ฟางซินต่างหากที่สมควรอยู่ในตำแหน่งท่านหญิงแห่งชินอ๋อง ฮึก..หากเปลี่ยนเป็นลู่ฟางซินกับลู่เฟยเทียน คงจะมีแต่คนรัก ฮืออออ...เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นแล้วท่านหญิง ไม่เป็นแล้ว..ลูกจะไปอยู่กับท่านตา ไปเป็นคุณหนูเสวียน พาลูกกลับ ลูกกลัว พาลูกไปอยู่กับท่านตานะเพคะ ฮือออออออ”เห็นน้ำตาที่ไหลออกมาราวกับสายน้ำ ทำเอาเสวียนเยี่ยนฟางสะท้านในใจ จึงตอบ “ได้ๆ พวกเรา จะไปอยู่กับท่านตา”นางมิได้ล้อเล่น คนพวกนี้ทำร้ายร่างกายบุตรสาวนางยังไม่พอ ยังมาพูดจาทำร้ายจิตใจบุตรสาวของนางอีกคิดว่าข้าอยากเป็นเชื้อพระวงศ์นักรึ!องค์ชายสี่องค์หญิงเก้าอย่าหาว่าข้ารังแกเด็กก็แล้วกัน!หมอหลวงหญิงและ
“พี่หญิงเขาไปแล้ว แล้วเราจะไปดูปลาที่ไหน” หลินเฟยฉีสะกิดพี่สาว เขาไม่ได้สนใจการมากันไปของผู้ใดทั้งสิ้น เขามีเพียงพี่สาวเท่านั้น ในเมื่อองค์ชายสี่ไม่ใยดีต่อพี่สาว เขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความเคารพแก่องค์ชายผู้นี้เช่นกันหลินเฟนหลันมองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นนางกำนัลสองคนกำลังเดินมา นางจึงเอ่ยกับน้องชาย “เช่นนั้นเราลองถามนางกำนัลเถอะว่าสระที่มีปลาอยู่แถวไหน”ไม่ช้าสองพี่น้องก็ได้คำตอบนางกำนัลสองคนของตำหนักฮองเฮา รู้ว่าทั้งสองเป็นบุตรของพระชายาเสวียน จึงนำทางสองพี่น้องมายังบ่อปลาของฮ่องเต้ทั่วพระราชวังย่อมรับรู้ว่า พระชายาเสวียนและบุตร ต่างได้รับป้ายทองพระราชทาน พวกนางที่พาท่านหญิงและท่านชายมาที่นี่ ย่อมไร้ความผิดเห็นปลาตัวโตสีขาว แต่มีลวดลายหลากสี ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีแดง หรือบางตัวก็มีสีเหลืองแซม แหวกว่ายไปมา หลินเฟยฉีที่เพิ่งมีโอกาสได้เห็นจึงรู้สึกตื่นเต้น เขาวิ่งทางที่ปลาแหวกว่ายไปอย่างร่าเริงในอุทยานหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ที่งดงาม ผีเสื้อหลากสีสันก็ต่างเข้ามาดอมดม หลินเฟยหลันเองก็รู้สึกว่าอยากจะวิ่งเล่นแบบนั้นบ้าง หลังจากที่ต้องอุดอู้อยู่แต่ในห้องเพราะต้องพิษมาเป็นเวลานาน ตอนนี้มารด
เมื่อจับร่างอันบอบบางขอบบุตรสาวหันซ้ายหันขวาขวาอยู่หลายครั้งจนพอใจ เสวียนเยี่ยนฟางก็พยักหน้า ทำให้หลินเฟยหลันต้องถอนหายใจอย่างโล่งอกฮองเฮามีประสงค์ให้ทั้งสามเข้าเฝ้า นางก็ถูกมารดาจับแต่งตัวมาเกือบหนึ่งชั่วยาม เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีกก็ยังไม่ถูกใจมารดาของนางเสียที หลินเฟยฉีที่นั่งกินขนมรอจนอิ่ม เขาแทบจะหลับไปอีกรอบรถม้าของพระชายาเสวียนมาถึงประตูพระราชวัง หลังจากได้รับการตรวจตราพอเป็นพิธี ทหารองครักษ์ก็นำทางทั้งสามไปยังทางเข้าพระราชวังฝ่ายในเส้นทางที่แคบ กำแพงสูงที่ขนาบตลอดทางเดินสร้างความกดดันให้หลินเฟยฉีไม่น้อย คิ้วของเขาขมวดยุ่งราวกับปมเชือกพอมาถึงประตูทางเข้าพระราชวังฝ่ายใน ทหารองครักษ์ที่นำทางก็ขอตัวกลับ พวกเขาไม่สามาถเข้าไปภายในเขตของฝ่ายในได้สามแม่ลูกเดินต่อไปจนถึงตำหนักของมารดาแผ่นดิน โดยที่ไม่มีแม้แต่นางกำนัลจะนำทางสีหน้าของพระชายาเสวียนยังคงเรียบเฉย นางไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ หากแต่ทดความโมโหนี้ไว้ในใจ โดยเฉพาะเจ้าของตำหนัก ที่ทำให้บุตรทั้งสองคนของนางต้องพลอยลำบากไปด้วยสองพี่น้องเหงื่อผุดเต็มใบหน้า พระชายาเสวียนมองภาพผู้เป็นพี่สาวใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเห
หลังจากที่รับสำรับมื้อเที่ยง ผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กๆ ได้เล่น ได้พูดคุยกัน เพื่อให้สนิทสนมกันมากขึ้น ส่วนพวกเขาก็นั่งอยู่ที่ศาลาแปดเหลี่ยมไม่ไกลจากสวนที่เด็กๆ เล่นอยู่เสวียนไห่จึงเอ่ย “เรื่องราวร้ายๆ ก็ผ่านไปแล้ว พี่ใหญ่ น้องเล็ก อย่าได้โทษตัวเองอีกเลย ท่านพ่อเองก็ไม่สบายใจที่ทั้งสองยังโทษตัวเองอยู่จนถึงทุกวันนี้”เสวียนเกาจึงหันไปสบตากับเสวียนเยี่ยนฟาง แล้วทั้งสองก็พยักหน้าเป็นเชิงรับปากเสียนหมิ่นจึงถามขึ้น “เอาล่ะเรื่องร้ายก็ผ่านไปแล้ว ต่อไปเจ้าจะทำอย่างไรน้องเล็ก ในเมื่อไม่สามารถหย่าขาดจากหลินเฉิงจวินได้”เสวียนเยี่ยนฟางถอนหายใจ “ข้ามาลองคิดดูแล้ว ตอนนี้อาจจะยังเป็นเวลาที่ไม่เหมาะสมที่จะหย่าขาดกับหลินเฉิงจวิน เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็อยากให้หลันเอ๋อร์ได้ออกเรือนในฐานะบุตรสาวของชินอ๋อง”เสวียนเกาพยักหน้าเห็นด้วย พลางเอ่ยเสริม “พี่เห็นด้วย อย่างน้อยหากพี่และท่านพ่อถอนตัวจากราชสำนัก ฐานะบุตรีของชินอ๋องยังสามารถทำให้หลันเอ๋อร์ได้แต่งเข้าในตระกูลที่ดีได้”“แต่สิ่งที่ต้องระวังคือสมรสพระราชทานกับองค์ชาย”แค่เพียงเห็นใบหน้าของหลานสาว อีกไม่กี่ปีก็จะกลายเป็นโฉมสะคราญเช่นเดียวกับมารดา ก็ทำให้ท