ติงชุ่ยได้แต่บอกตัวเองให้ซ่อมชุดเก่าของตนมาให้เจ้านกน้อยใส่อีกสักชุด ดูท่านางจะตัวเล็กกว่ามาก ขนาดแขนเสื้อยังยาวเลยข้อมือออกมามาก เซียวเหรินผลักบานประตูห้องออกมา เขากวาดตามองแต่ไม่เห็นร่างของหญิงสาวตัวเล็ก นางจะอยู่หรือไปไหนทำสิ่งใดมิใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด แต่ก็อดมองหาไม่ได้ เขาเม้มปากครุ่นคิดด้วยความเคยชิน ใคร่ครวญว่าควรถามหลัววั่งกับติงชุ่ยที่กำลังรับมือกับคนป่วยที่ทยอยเข้ามาให้เขาตรวจโรคดีหรือไม่ หางตาของเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ด้วยบุคลิกลักษณะแล้วมิใช่ชาวบ้านทั่วไป กลิ่นไอสังหารเข้ามาก่อนจะมาถึงตัวเขาเสียอีก
“ข้ามาพบท่านหมอเซียวเหริน”
ติงชุ่ยกระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังหลัววั่งทันทีที่เห็นชายฉกรรจ์ท่าทางดุดัน หลัววั่งเองแม้ตัวใหญ่แต่ไร้วรยุทธ์ เขาทำได้เพียงยืดแผ่นอกเตรียมปกป้องคนที่ถูกถามถึง แต่เซียวเหรินรู้ดีว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่หลัววั่งจะล่วงเกินได้ เขาจึงก้าวออกมาด้านหน้าแม้ไม่ขยับปากเอ่ยอะไร แต่คนกลุ่มนั้นก็เข้าใจได้อย่างดี
“มีธุระอันใด”
“มีคนป่วย ต้องการให้ท่านไปรักษา”
“ข้าไม่ออกไปรักษาผู้ใด” เซียวเหรินยืนยันเจตนารมณ์ของตน แต่ไหนแต่ไรเขารักษาคนที่มาหาเขาที่นี่เท่านั้น ตามจริงแล้วเขาไม่อยากรักษาใครเลยด้วยซ้ำ อยากศึกษาตำราแพทย์เงียบๆ และใช้ชีวิตสันโดษมากกว่า
“แต่คนผู้นี้ ท่านต้องไปรักษา” ชายคนนั้นหยิบป้ายคำสั่งออกมาให้เซียวเหรินดู
เดิมทีเซียวเหรินมิได้สนใจนัก ต่อให้องค์ฮ่องเต้ออกคำสั่งมาก็ใช่ว่าจะสนใจ แต่ที่เรียกความสนใจของเขาเพราะเซียวเหรินคาดเดาว่าเป็นคนเดียวกับที่พยายามย่ำยีกงเสวี่ยหลิง เขาเองก็ใคร่อยากพิสูจน์คำพูดของหลันหลัน
“ได้”
หลัววั่งและติงชุ่ยตกตะลึงไป ไม่คิดว่าเซียวเหรินจะยอมออกไปรักษาผู้อื่น ทั้งสองติดตามเซียวเหรินมาเกือบสามปี ไม่เคยเห็นมีผู้ใดบังคับให้เซียวเหรินรักษาได้ หรือครั้งนี้จะเป็นคนที่มีอำนาจมากจริงๆ
“พวกเจ้าอยู่ดูแลที่นี่ ข้าไปไม่นานก็กลับ”
เซียวเหรินหมุนตัวเดินไปหยิบล่วมยา หนึ่งในชายฉกรรจ์ยื่นมือมารับล่วมยาไปถือให้ คล้ายกลัวอีกฝ่ายเปลี่ยนใจ ติงชุ่ยกับหลัววั่งได้แต่มองตามเซียวเหรินออกไปด้านนอกพร้อมคนชุดดำกลุ่มนั้น ตอนนี้ หลันหลันก็ไม่อยู่ ถึงอยู่ก็คงทำอะไรไม่ได้ พวกเขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ หวังว่าคนดีๆ อย่างเซียวเหรินจะไม่มีใครทำร้าย
หญิงสาวไม่แน่ใจว่าตัวเองมีเรี่ยวแรงขึ้นเพราะได้ ‘กลืนกิน’ ลมหายใจของเซียวเหรินหรือว่านางกินข้าวได้มากขึ้น หลันหลันเดินตามเส้นทางที่เซียวเหรินบอกไว้ ชีวิตนอกรั้ววังหลวงมิได้เลวร้ายนัก ได้เจอคนดีๆ อย่างติงชุ่ยและหลัววั่ง มิน่าเล่าคุณหนูกงเสวี่ยหลิงถึงได้ใฝ่ฝันอยากใช้ชีวิตนอกวังหลวงแห่งนั้น
นางเดินขึ้นเขาอยู่ราวหนึ่งชั่วยามด้วยความไม่เร่งร้อน หลัววั่งได้เตรียมอาหารแห้งและน้ำดื่มมาให้ด้วย เมื่อเห็นบึงขนาดใหญ่เบื้องหน้า ไม่ไกลนักมีน้ำตกสูงตระหง่าน หญิงสาวหลับตาคิดถึงภาพเหตุการณ์ทั้งหมด นางเผลอกำมือแน่นจนเล็บจิกที่กลางฝ่ามือ ความเจ็บที่เกิดขึ้นทำให้ได้สติอีกครั้ง หญิงสาวมองผิวน้ำแล้วนึกถึงตอนที่ร่างร่วงลงมากระแทกผิวน้ำ
ร่างบอบบางสั่นสะท้านขึ้นมา
นางกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ ไม่ว่าคุณหนูจะถูกรังแกมากเพียงใด แทบไม่เคยเห็นคุณหนูร้องไห้ หญิงสาวรวบรวมความกล้าเดินไปใกล้ตลิ่งแล้วกวาดตามองหา ‘ซากศพ’ ของตัวเอง ผ่านมาสี่วันแล้ว ร่างนกหงส์หยกของนางไม่น่าจะ....หรืออาจกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นไปแล้ว
นั่นสิ...นางมาดูสิ่งใดกัน มาเพื่อหวังว่าจะได้พบคุณหนูอีกครั้งหรือ?
“คุณหนู” หลันหลันพึมพำออกมา “คุณหนูอยู่ที่ไหน คุณหนูอย่าทิ้งหลันหลันไว้อย่างนี้”
นางไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำใสๆ ก็ร่วงลงมาจากดวงตา นางส่ายหน้าไปมา ไม่ได้! นี่คือร่างกายของคุณหนู คุณหนูกงเสวี่ยหลิงที่แสนเข้มแข็งไม่แสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น หลันหลันบอกตัวเองแล้วไปที่ริมตลิ่ง ย่อตัวลงนั่งหมายจะใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าตาให้สดชื่น ทว่านางเห็นเงาตัวเองในน้ำ นี่คือใบหน้าของคุณหนูที่นางรักและภักดี
ใครต่อใครว่านกหงส์หยกชอบส่องกระจก แต่นางไม่ชอบ ด้วยรู้ว่าตัวเองอัปลักษณ์เพียงใดจึงไม่ชอบส่องกระจก มือเรียวเล็กแตะที่แก้มตัวเอง ใบหน้านี้ ริมฝีปาก จมูก ดวงตา นี่คือใบหน้าของคนที่นางรักที่สุด คุณหนูไม่ได้ไปไหน คุณหนูอยู่กับนาง คุณหนูทิ้งร่างกายนี้ให้นางใช้
‘หลันหลัน’
น้ำเสียงของกงเสวี่ยหลิงลอยเข้ามาในหัวของนาง
‘เจ้าโบยบินไปสู่ท้องฟ้าอันอิสระเถิด อย่าถูกกักขังเช่นข้า ข้าติดค้างเจ้า รั้งนกน้อยอย่างเจ้าให้อยู่เป็นเพื่อนข้า ทั้งที่บ้านของเจ้าคือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ คืออิสรเสรี’ เหตุใดคุณหนูถึงกล่าวเช่นนั้นนะ เพราะมีคุณหนูโอบอุ้มเลี้ยงดู นางจึงมีชีวิตรอดปลอดภัยต่างหาก
หรือคุณหนูอยากให้ข้าอยู่ในร่างนี้ ได้ลองใช้ชีวิตมนุษย์ดูนะหรือ?
โธ่! คุณหนู ท่านก็รู้ว่าสมองนกของข้าเล็กนิดเดียว เหตุใดไม่กล่าวให้กระจ่างเล่า!
“นี่ๆ ”
หลันหลันสะดุ้งแล้วรีบหมุนตัวไปตามเสียงด้านหลัง นางตกใจที่เห็นหมีดำตัวใหญ่จนเกือบเสียหลักหงายหลังตกน้ำ โชคดีที่อีกฝ่ายรวดเร็วยื่นมือมาจับแขนนางไว้ได้ทัน ประคองสองไหล่ของนางให้ยืนมั่นคงก่อนจึงปล่อยมือจากไหล่ของนาง
“เจ้าทำอะไร!” หลันหลันแยกเขี้ยวใส่
“ข้าต่างหากที่ควรถามเจ้า เจ้าเป็นอะไร” ต๋าฟู่ย่นจมูกใส่ทำเสียงไม่พอใจในลำคอ ‘คงไม่ได้คิดฆ่าตัวตายหรอกนะ’
“ข้าเป็นนก!” นางเชิดคางขึ้นพูดด้วยความภูมิใจ แต่คำพูดของนางทำเอาต๋าฟู่ผงะไป แต่เห็นนางจริงจังกับคำพูดนั้นเขาก็คิดไปว่าตัวเองคงฟังผิด
“เอาเถอะ เจ้าจะเป็นอะไรก็ช่าง แค่ไม่ได้ฆ่าตัวตายก็พอ”
“ข้าจะฆ่าตัวตายทำไม ข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมาต่างหาก” นางโคลงศีรษะไปมา “ว่าแต่ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ล่ะ”
“ข้าตามเจ้ามา” ต๋าฟู่ยกนิ้วโป้งปัดปลายจมูกตัวเองแก้เขิน “ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า”
“เรื่องใดเล่า?” นางยกมือขึ้นกอดอกเลียนแบบท่าทางพวกบัณฑิตทรงความรู้
“เรื่องมารดาของข้า”
“ท่านป้าต๋าซู” นางแย้มยิ้มออกมาทันที เพียงแค่นางยิ้มก็ทำให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ถึงกับหน้าแดงขึ้นมา แต่เพราะผิวคล้ำกร้านแดดจึงมองเห็นไม่ชัดนัก
“มารดาของข้าถูกทำร้ายใช่หรือไม่”
คราวนี้นางหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว “ท่านป้าต๋าซูดีกับข้าและคุณหนูมาก เป็นเพียงคนเดียวที่คอยแอบเอาขนมของกินมาให้คุณหนูอยู่เสมอ”
ต๋าฟู่เข้าใจไปว่าหลันหลันรู้แล้วว่ามารดาของเขาตายแล้ว ความจริงเขาคิดจะมาขอโทษท่านหมอเซียวเหรินที่เสียมารยาท แต่เห็นหญิงสาวเดินขึ้นเขาตามลำพัง เขาจึงเดินตามมาอย่างไม่รู้ตัว
“คนพวกนั้นใจร้ายยิ่งนัก”
“เหตุใดคนเลวชั่วช้าถึงได้กินดีอยู่ดี ฮ่องเต้ก็เลอะเลือน ข้าได้ยินว่าในวังฟอนเฟะยิ่งนัก ชาวบ้านอยู่อย่างแร้นแค้นแต่พวกมันกลับเสวยสุขสบาย ข่มเหงผู้อื่น สวรรค์ไม่เป็นธรรมเอาเสียเลย ข้าจะต้องแก้แค้นให้มารดาของข้า”
“แก้แค้น?” นางไม่เคยคิดถึงคำนี้มาก่อน แน่นอนว่าคุณหนูของนางจิตใจงาม ไม่ว่าจะถูกรังแกเพียงใด นางไม่เคยเห็นคุณหนูแก้แค้นใครสักครั้งครา
“ถูกต้อง ข้าจะต้องแก้แค้นให้มารดาของข้า”
เหมือนมีเข็มแหลมเล็กทิ่มหัวใจของนาง ใช่! นางต้องการให้คนที่ทำให้คุณหนูเจ็บได้รับความเจ็บปวดเช่นเดียวกับที่คุณหนูได้รับ ดวงตาของนางเป็นประกายวาบขึ้นมาราวกับคนมาจุดแสงสว่างให้
คนแรกที่นางอยากเห็นมันเจ็บปวดก็คือตาแก่ตัณหากลับผู้นั้น!
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม