ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม เซียวเหรินก็ถูกเชิญลงจากรถม้า นับว่ายังเป็นการให้เกียรติตามสมควร ไม่ถึงกับฉุดกระชากมารักษาคน บรรดาคหบดีน้อยใหญ่มักมีคฤหาสน์สำหรับพักผ่อนอยู่ชานเมือง นอกจากพักผ่อนหย่อนใจเพื่อหาความสำราญแล้ว บางครั้งก็เป็นสถานที่ไว้หลบซ่อนยามมีภัยในเมืองหลวง
เสนาบดีกรมพระคลังนามหลี่จุ้นโป๋ขึ้นชื่อว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ และยังเป็นพระญาติของฮองเฮา สกุลหลี่จึงทำสิ่งใดมิใคร่เห็นหัวผู้ใดนัก เสนาบดีหลี่จุ้นโป๋อายุหกสิบแล้วแต่ยังมีข่าวคาวน่ารังเกียจอยู่เสมอ แม้เป็นหญิงชาวบ้านหรือภรรยาผู้อื่น หากถูกตาต้องใจหลี่จุ้นโป๋แล้วไม่หลุดรอดเงื้อมมือไปได้ แต่เพราะเป็นคนสกุลหลี่จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือร้องเรียน
เซียวเหรินเดินตามชายฉกรรจ์ที่เขาคาดเดาว่าเป็นผู้อารักขาของเสนาบดีหลี่ ภายในคฤหาสน์ตบแต่งหรูหรา เครื่องเรือนล้วนเป็นของอย่างดีราคาสูง ภาพประดับจากจิตรกรที่มีชื่อเสียง ชายหนุ่มเพียงกลอกตามองมิได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา แม้ได้ยินเสียงก่นว่าด่าทอดังมาก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก ผู้อารักขาลอบถอนหายใจบางเบาก่อนส่งเสียงให้คนด้านในรับทราบ
“ท่านหมอเซียวมาถึงแล้วขอรับ”
“รีบเข้ามา”
เพียงบานประตูเปิดออก ร่างหญิงสาวเสื้อผ้าอาภรณ์หลุดลุ่ยก็วิ่งกรูกันออกมาสี่ถึงห้าคน บางคนหน้าตาบวมช้ำ ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำตา เนื้อตัวเขียวช้ำเป็นจ้ำเลือด รอบคอมีรอยเหมือนถูกมัด ใบหน้าเซียวเหรินไม่ได้สะทกสะท้านหวาดกลัว เขายังคงสงบนิ่งแม้รู้ว่าคนที่เรียกตัวเขาเข้าพบเป็นใคร
ชายผู้นั้นนั่งอยู่บนเตียง เนื้อกายเต็มไปด้วยเหงื่อโทรม เส้นผมเป็นสีขาวโพลนไม่เป็นระเบียบ สาบเสื้อแบะออกเผยผิวเหลืองซีดเซียวเหมือนเทียนไขไร้ความสง่างามของเสนาบดีหลี่จุ้นโป๋ เซียวเหรินไม่คารวะยังคงยืนนิ่งสงบ ผู้อารักขาคิดจะถีบเข่าให้เขาคุกเข่าแต่เสนาบดีหลี่โบกมือห้ามไว้ก่อน
“เจ้านะหรือ? หมอเทวดาไร้ใจเซียวเหริน”
“ข้าไม่เคยเรียกตัวเองว่าหมอ ชื่อเสียงที่ท่านได้ยินล้วนแต่ผู้อื่นเรียกกันไปเองทั้งสิ้น”
“รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”
“ข้าจำเป็นต้องรู้หรือไม่” เซียวเหรินยังคงมีสีหน้าสงบ แม้รู้ว่ารอบข้างมีคนที่พร้อมจะสังหารเขาได้ในทันที
“ตอบได้ดี” เสนาบดีหลี่พยักหน้าพอใจ “มาใกล้ๆ แล้วมาดูเจ้านี่ของข้าซิ เหตุใดมันไม่ผงกหัวขึ้นเหมือนแต่ก่อน”
เซียวเหรินเลิกคิ้วเล็กน้อย มองดูสายตาของเสนาบดีหลี่ที่กลอกตามองด้านล่าง ทำให้เซียวเหรินเข้าใจ ‘เจ้านี่’ ได้ในทันที
“เหตุใดท่านมิให้หมอหลวงตรวจดู ข้าเป็นเพียงแค่คนที่ศึกษาศาสตร์การรักษาเท่านั้น”
“หากพวกมันรักษาข้าได้ ข้าจะให้คนไปเชิญหมอเทวดาไร้ใจรึ”
“เชิญ?” เขาเลิกคิ้ว น่าจะเรียกว่าคุมตัวมามากกว่า
“คนของข้าหยาบกระด้างไปเล็กน้อย แต่หากเจ้ารักษาเจ้านี่ของข้าได้ ข้าจะตกรางวัลอย่างงามหรือต้องการชื่อเสียงลาภยศใด ข้าก็มอบให้ได้”
“หากรักษาไม่ได้?”
“เจ้าควรรู้ชะตากรรมตนเอง”
เซียวเหรินยังคงนิ่งสงบ มาถึงขั้นนี้หากไม่ลงมือตรวจวินิจฉัยก็คงไม่ได้อีก เขาจึงหันไปทางผู้อารักขาที่พยักหน้าเล็กน้อย ชายผู้นั้นก้าวเร็วๆ มายกเก้าอี้ให้เขานั่งข้างเตียงใหญ่ของเสนาบดีหลี่
“ข้าขอตรวจชีพจรของท่านก่อน” เซียวเหรินยังคงท่าทีสงบไม่มีอาการลนลานแม้จะถูกข่มขู่ก็ตาม ครู่หนึ่งเขาจึงขอดูดวงตา และสั่งให้อ้าปากกว้างๆ จนเห็นลิ้นเป็นฝ้าขาว ก่อนจะก้มมองใต้สะดือ มีผ้าพันแผลปิดอยู่
“ท่านได้รับบาดเจ็บ?”
“แผลเล็กน้อย หมอคนก่อนทำแผลแล้วว่าไม่เป็นอันใด”
“ท่านได้รับบาดเจ็บเมื่อใด
“สามสี่วันที่แล้ว” เสนาบดีหลี่ขบฟัน เพียงแค่คิดถึงเหตุการณ์วันนั้น โทสะของเขาก็พุ่งขึ้นมาอีก
“อวัยวะเพศไม่แข็งตัวมีหลายปัจจัย” เซียวเหรินชิงพูดขึ้นมาก่อน “ความอ่อนแรงของ ‘ไฟมิ่งเหมิน’
ไฟมิ่งเหมินคือหยางของไต ความอ่อนแรงของไฟมิ่งเหมินก็คือสภาพผิดปกติที่เกิดจากหยางของไตพร่องอย่างรุนแรง ทำให้ไตไม่สามารถสร้างความอบอุ่นให้กับทั่วร่างกายให้เริ่มทำกิจกรรมของแต่ละอวัยวะนั้นๆ ส่งผลให้ระดับกิจกรรมของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ รวมไปถึงกิจกรรมทางเพศด้วย การทำกามกิจมากเกินไป ล้วนเป็นเหตุให้สารจำเป็น ‘จิง’ และเลือดสูญเสีย ซึ่งก็คือการสูญเสีย ‘หยาง’ของไต ซึ่งนำไปสู่การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ”
“เจ้าช่วยพูดอะไรที่มันเข้าใจง่ายได้หรือไม่” เสนาบดีหลี่คว้าจอกสุรารสแรงมาดื่ม “หมอคนก่อนก็พูดเช่นนี้”
“งดกามกิจสักระยะ ฟื้นฟูสภาพร่างกาย ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน อาหารมันเลี่ยนควรหลีกเลี่ยง”
“เหอะ!” เสนาบดีหลี่เค้นเสียงในลำคอ สั่งให้เขาละเว้นเรื่องหรรษานะหรือ ไม่มีทางเสียหรอก
“เบื้องต้นข้าสามารถฝังเข็มให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น แต่การรักษาต้องใช้เวลาซึ่งขึ้นอยู่กับท่าน”
“เช่นนั้นฝังเข็ม แล้วลองดูว่าวิธีของเจ้ารักษาข้าได้หรือไม่”
เซียวเหรินลุกขึ้นยืน “ให้คนเตรียมห้องที่สะอาดอากาศถ่ายเทได้ดีด้วย”
“ห้องนี้ไม่ได้รึ”
“อับชื้นเกินไป” ผู้อื่นชินแล้วแต่เขาไม่ชอบกลิ่นเหม็นคาวเหล่านี้
“ได้” เสนาบดีหลี่พยักหน้าเป็นเชิงสั่งบ่าวไพร่ ผู้อารักขาคนเดิมเดินนำเซียวเหรินออกไป ขณะที่เสนาบดีหลี่ลุกขึ้นจากเตียงหลังใหญ่ พ่อบ้านรีบเข้ามารายงาน
“คณะละครเร่ผ่านมา มีนางรำหน้าตาสะสวยงดงามหลายคน ไม่ทราบว่าท่านเสนาบดีต้องการจะชมเพื่อความรื่นรมย์หรือไม่ขอรับ”
“นางรำรึ” เสนาบดีกระตุกยิ้ม “ดี ข้าจะทดสอบฝีมือหมอเทวดาไร้ใจว่าเก่งจริงสมคำร่ำลือหรือไม่”
การแสดงเบื้องหน้าดูท่าจะไร้ความสามารถในการดึงดูดความสนใจจากเสนาบดีหลี่ ทว่าการรักษาของหมอเทวดาไร้ใจหลังจากการฝังเข็มเพียงครึ่งชั่วยาม เสนาบดีหลี่รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก เขาไม่อยู่พักผ่อนตามที่เซียวเหรินแนะนำ แต่กลับนั่งร่ำสุราดูการแสดงของนักแสดงกายกรรม จอกสุราถูกปาใส่ตัวตลกหลังค่อมที่สวมหน้ากากเป็นลิง เสียงดนตรีหยุดชะงักไปชั่วขณะ หัวหน้าผู้คุมคณะละครเร่รีบเข้าไปคุกเข่าประสานมือเบื้องหน้าเสนาบดีหลี่
“ผู้น้อยต้องขออภัยที่การแสดงไม่ถูกใจท่านเสนาบดีหลี่”
“เหอะ!” เสนาบดีหลี่แค่นเสียงหัวเราะในลำคอแล้วยื่นมือไปรับจอกสุราจากบ่าวรับใช้ “เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นใคร หากการแสดงของเจ้าประทับใจข้า ขอเพียงข้าเอ่ยชื่อคณะละครเร่ของเจ้า ข้าย่อมทำให้พวกเจ้ามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักได้ หากแต่ที่ข้าดูมาครึ่งชั่วยามช่างน่าเสียเวลานัก พวกเจ้าไสหัวออกไปให้หมด”
“ขอท่านเสนาบดีหลี่โปรดเมตตาพวกเราอีกสักครั้ง” หัวหน้าคณะละครอ้อนวอน “เรายังมีการร่ายรำของนางรำอีกชุด หากท่านไม่พอใจพวกเราจะรีบออกไปทันทีขอรับ”
เสนาบดีหลี่กระตุกยิ้มแต่ยังทำสีหน้าเบื่อหน่าย “เอาเถิด ข้าก็หาได้เป็นคนใจไม้ไส้ระกำแต่อย่างได้ เอา! มีอะไรจะแสดงก็งัดออกมาให้ข้าชม”
“ขอรับนายท่าน”
หัวหน้าคณะละครลุกขึ้นแล้วตบมือให้สัญญาณ ดนตรีเริ่มบรรเลงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มีหญิงสาวรูปร่างปราดเปรียว ทั้งเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่สีสันสดใสและโปร่งบาง เพิ่มความเย้ายวนด้วยผ้าโปร่งปิดครึ่งใบหน้า เพียงเท่านี้เสนาบดีหลี่ก็เกิดรอยยิ้มพึงพอใจ
เซียวเหรินถูกเชิญให้รับชมการแสดงด้วย แต่เขาอ้างว่าอ่อนเพลียจึงได้พักผ่อนอยู่ในห้องพักห้องหนึ่ง จะเรียกว่า ‘เชิญ’ คงไม่ถูกนัก เรียกว่าบังคับให้อยู่น่าจะถูกต้องมากกว่า ในห้องรับรองนั้นมีน้ำชาอย่างดีและของว่าง เขาเพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นจิบ แม้ในห้องไม่มีผู้อื่นแต่เขารู้ว่ามีคนคอยเฝ้าจับตามองการเคลื่อนไหวของเขา ด้วยเกรงว่าเขาจะ ‘หลบหนี’ คนพวกนี้ฝีมือปลายแถว หากเขาจะออกไปก็สามารถเดินออกไปได้อย่างผ่าเผย
ประสาทหูได้ยินเสียงดนตรีเร่งจังหวะเร่าร้อน มือที่ยกน้ำชาขึ้นดื่มชะงักไปเล็กน้อยแล้วแสร้งทำเป็นไม่สนใจ จนกระทั่งได้กลิ่นหอมโชยมาบางๆ เขาแสร้งเดินไปที่หน้าต่างผลักมันออกเบาๆ คล้ายจะมองทิวทัศน์ยามเย็นด้านนอกที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงส้ม เขาออกจากที่พักมาตั้งแต่เช้า ป่านนี้หลัววั่งและติงชุ่ยคงกลับบ้านไปแล้ว ไม่รู้ว่าหญิงสาวคนนั้นจะเป็นอย่างไร จะอยู่คนเดียวได้หรือไม่ แต่นางเป็นนกนี่นะ คงไม่กลัวที่ต้องอยู่ลำพังกระมัง
เหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม