“ช่างเถอะ” เขาโบกมือไปมา
“บอกข้า คุณหนูกงของเจ้าเล่าเรื่องใดเกี่ยวกับข้าบ้าง”
หลันหลันฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายดุจดวงดาวบนฟากฟ้า “คุณหนูเล่าเรื่องซือจื่อทุกเรื่อง ท่านเป็นสหายร่วมอาจารย์กับคุณชายกงอี้เทาและท่านจางซงหยวน ทุกครั้งที่ท่านจางลอบมาพบคุณหนู มักนำเรื่องราวของซือจื่อมาเล่าให้คุณหนูฟังเสมอ”
เซียวเหรินยกมือขึ้นนวดขมับ เจ้าสองคนนั้นปากเปราะยังไม่พอ นี่กงเสวี่ยหลิงยังเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเขาให้สาวใช้ฟังด้วยหรือ?
“มีเรื่องอะไรบ้าง”
“ซือจื่อเป็นคนโมโหร้ายแต่ไม่แสดงออก” นางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ซือจื่อทำตัวเป็นสัตว์กินพืชทั้งที่ชอบกินเนื้อ ซือจื่อเก่งกล้าสามารถแต่ไม่อวดตัว ซือจื่อชอบศึกษากลยุทธ์การทำศึกแต่ไม่ชอบสงคราม ซือจื่อไม่ชอบอากาศเย็นและไม่ชอบกินถั่วแดง ซือจื่อ...”
“พอแล้ว” มีแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้น เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับสาวใช้ของกงเสวี่ยหลิงดี นางไร้เดียงสาเกินไป นอกจากใบหน้างดงามอ่อนหวานและเรือนร่างบอบบางนี้ นางเป็นสาวใช้ที่ไม่น่าจะเอาตัวรอดในวังหลวงอันโหดเหี้ยมได้เลย หรือเพราะกงเสวี่ยหลิงต้องอยู่ในฐานะองค์หญิงเชลย นางจึงพอใจกับสาวใช้ไร้พิษสงเช่นนี้
“เอาเถิด เจ้าก็อยู่ที่นี่รอกงอี้เทามารับก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นยืน “และอย่ารบกวนข้าโดยเฉพาะเตียงของข้าและห้องปรุงยา”
“เจ้าค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ อย่างเข้าใจ “เอ่อ...”
“มีอะไรก็ว่ามา” เขาอยากยื่นมือไปจับใบหน้าของนางไม่ให้พยักหน้าขึ้นลงอีก นางช่างใส่ใจกับการเป็น ‘นก’ เสียจริง
“ท่านป้าต๋าซูบอกว่าข้าต้องกลืนกินลมหายใจของผู้ที่ช่วยชีวิตข้า..ซือ...เอ่อ..เซียวเหรินเป็นผู้ช่วยชีวิตข้า ข้าขอกลืนกินลมหายใจของท่านได้หรือไม่”
เซียวเหรินกำลังจะเดินออกไปต้องชะงัก เขาจ้องมองแววตาของนางที่ยืนยันคำพูดของตัวเองแล้วลอบถอนหายใจเบาๆ นางเป็นสตรี เป็นฝ่ายเสียหายแต่กลับเมินเฉยกับเรื่องเหล่านี้ เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าคนที่เจ็บปวดทางจิตใจอย่างนาง หากขัดใจนางแล้วจะมีอาการต่อต้านอย่างไร
ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยปากตอบรับหรือปฏิเสธ เขาหมุนตัวเดินออกไปเงียบๆ ปล่อยให้หลันหลันได้แต่ทำหน้ามุ่ยไม่เข้าใจความหมายของเขา
เซียวเหรินไม่แน่ใจว่าระหว่างที่นางขอ ‘กลืนกินลมหายใจ’ กับขอ ‘กลืนกินหนอนอวบอ้วนเป็นอาหาร’ สิ่งไหนจะประหลาดน้อยกว่ากัน
หญิงสาวนั่งจ้องตะเกียบในมือสลับกับอาหารหลากหลายตรงหน้า น้ำลายสอเต็มกระพุ้งแก้มด้วยกลิ่นอาหารเย้ายวน
“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว เหตุใดแค่จับตะเกียบกินข้าวยังทำไม่ได้” ติงชุ่ยดุพร้อมทั้งยกมือเท้าเอว สีหน้าจริงจังจนหญิงสาวที่นั่งอยู่ทำหน้ามุ่ยแล้วชูนิ้วเรียวงามขึ้นมาสี่นิ้ว ติงชุ่ยขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถาม
“สี่? สี่อะไร สิบสี่ ยี่สิบสี่” ติงชุ่ยหงุดหงิดที่เห็นหลันหลันจับตะเกียบคีบอาหารเองไม่ถูกวิธี
“ข้าสี่ขวบแล้วนะ” นางอ้าปากโต้เถียง ติงชุ่ยไม่ยอมให้นางกินข้าวเช้าเสียที เพราะนางจับตะเกียบไม่เป็น เมื่อวานนางกินโจ๊กกับหมั่นโถว เช้านี้หลัววั่งมาแต่เช้าตรู่ มาถึงก็เร่งรีบหุงข้าวทำอาหาร หลันหลันตื่นแต่เช้ามืด ไม่กล้ามองเลยไปยังเตียงนอนของเซียวเหรินที่อยู่ด้านใน นางไม่รู้ว่าตั่งที่นางอาศัยนอนอยู่นี่มีฉากกั้นตั้งแต่เมื่อใด ปกตินางอยู่กับคุณหนูกงก็ตื่นแต่เช้าตรู่อยู่แล้ว นางรีบจัดแจงเก็บที่นอนจากที่เคยเห็นคุณหนูทำมาก่อน แล้วรีบล้างหน้าล้างตาแปรงฟันก็เป็นจังหวะที่หลัววั่งเข้ามาในครัวแล้ว นางจึงได้ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่หลัววั่งไว้วางใจจะให้ช่วย จนกระทั่งติงชุ่ยเข้ามา จัดการยกอาหารเช้าไปให้เซียวเหรินแล้วมายืนดูนางที่หิวจนท้องร้องโครกครากแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมให้นางได้กินข้าวเช้าเสียที
“สี่ขวบ!” ติงชุ่ยส่ายหน้าไปมา ไม่ว่าอย่างไรหลันหลันก็ยืนยันว่าตัวเองเป็นนกหงส์หยก หากไม่เพราะนางเคยเห็นคนสติฟั่นเฟือนมาก่อน คงรับมือกับหลันหลันไม่ได้แน่ จะว่าไปจากคนป่วยที่มาหาเซียวเหริน หลันหลันดูจะเป็นอันตรายน้อยที่สุด อย่างน้อยนางก็ไม่คลุ้มคลั่งอาละวาดทำร้ายผู้ใด
“เอาละ เช่นนั้นปกติแต่ก่อนเวลากินเจ้ากินอย่างไร” หลัววั่งเอ็นดูหญิงสาวผู้นี้นัก มักใช้น้ำเสียงอ่อนโยนขัดกับรูปร่างสูงใหญ่ของตน
“คุณหนูป้อนข้า” นางยิ้มกว้าง แล้วอ้าปากขึ้นเล็กน้อย แต่ก่อนคุณหนูก็คอยป้อนอาหารให้นางจริงๆ นี่นะ
หลัววั่งเห็นแล้วก็โคลงศีรษะไปมา เป็นฝ่ายหยิบตะเกียบคีบเนื้อไก่คำเล็กๆ แล้วยื่นไปหมายจะป้อนให้นาง แต่ติงชุ่ยกลับหวีดร้องออกมาก่อน
“มารดาเถอะ! เจ้าเป็นแม่นางหรือไรต้องป้อนอาหารนางเช่นนี้!” ติงชุ่ยกระทืบเท้าไม่พอใจแล้วเป็นฝ่ายจับมือของหลันหลันให้คีบตะเกียบอย่างถูกวิธี
“เจ้าก็เหมือนกัน! จะสอนใช้ตะเกียบทำไมต้องดุนางด้วย หากเจ้าเป็นแม่คนจริง ลูกๆ คงร้องไห้หิวข้าวเป็นแน่”
หลันหลันมองติงชุ่ยกับหลัววั่งสลับไปมาแล้วนางก็ยิ้มกว้างออกมา
“พี่สาวกับพี่ชายต้องเป็นแม่และพ่อที่ดีแน่ๆ”
เพียงประโยคเดียวของหลันหลันทำให้ทั้งสองหยุดชะงักไปทันที ติงชุ่ยแก้มแดงอย่างไม่รู้ตัวในขณะที่หลัววั่งก็ทำหน้าไม่ถูก หลันหลันใช้นิ้วประคองตะเกียบแล้วพุ้ยข้าวเข้าปากคำน้อยๆ ค่อยๆ เคี้ยว เมื่อทำได้แล้วจึงยื่นตะเกียบไปหมายจะคีบเนื้อไก่ผัดผักในจาน แต่ติงชุ่ยตีมือเบาๆ
“เห็นไหม มีตะเกียบกลางวางอยู่ตรงนี้”
“อ้อ” นางพยักหน้าขึ้นลงแล้วทำตามที่ติงชุ่ยสอน
“หลันหลัน แล้วครอบครัวของเจ้าเล่า” หลัววั่งชวนคุยเปลี่ยนเรื่อง
“อ้อ!” นางยิ้มน้อยๆ พลางเคี้ยวอาหารในปาก “คุณหนูเป็นคนเลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้าเองก็จำเรื่องราวของท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้แล้ว แค่จำได้ว่าตอนเด็กข้าอ่อนแอและอัปลักษณ์ พี่น้องถูกขายไปหมดเกลี้ยง แต่กับตัวข้าที่ยกให้เป็นของแถมยังไม่มีผู้ใดเอา คนเลี้ยงก็มิใส่ใจ ข้าหิวมากๆ ก็เลยลอบหนีออกมาตั้งแต่นั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวพี่น้องหรือพ่อแม่อีกเลย”
ทั้งหลัววั่งและติงชุ่ยได้ยินก็เวทนานัก แม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งมาให้เห็นใจ แต่ดูจากท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสานี้แล้ว ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมนางจึงคิดว่าตัวเองเป็นนกน้อย
“พี่หลัววั่งทำกับข้าวอร่อยที่สุดเลย” หลันหลันชมจากใจจริง นางคิดถึงคุณหนู หากคุณหนูได้ชิมก็ต้องชอบแน่ๆ
“อร่อยก็กินเยอะๆ เจ้าผอมไปนะ” หลัววั่งเอ็นดูนางนัก “หรืออยากให้ข้าสอนทำกับข้าวก็มาเป็นลูกมือข้าได้”
นางกำลังจะพยักหน้าเช่นทุกครั้งแต่แล้วก็ชะงักไป นางมีชีวิตในโลกนี้ได้แค่สี่สิบเก้าวัน นี่ก็วันที่สี่แล้ว นางจะมีเวลาหัดทำกับข้าวอร่อยๆ เช่นนี้หรือ?
“เป็นอะไรไป” ติงชุ่ยถามเพราะเห็นสีหน้าหมองหม่นของหญิงสาว
หลันหลันส่ายหน้าไปมา “ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้ว ข้าช่วยเก็บล้างถ้วยชามแล้วจะขึ้นเขานะเจ้าคะ”
“ขึ้นเขาไปทำอะไร” ติงชุ่ยขมวดคิ้ว
“ข้าอยากไปดูที่ที่ข้าตกลงมาเจ้าค่ะ” ‘เผื่อว่า....นางจะเจอร่างนกหงส์หยกของตัวเอง’
“ไปคนเดียวอันตราย ประเดี๋ยวข้าไปเป็นเพื่อน” หลัววั่งเสนอตัว
“เจ้าไปแล้วใครจะช่วยท่านเซียว หากเกิดเรื่องเช่นเมื่อวานอีกจะทำอย่างไร”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าถามซือ เอ่อ ท่านเซียวแล้ว ท่านเซียวบอกว่าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก เดินตามเส้นทางที่ชาวบ้านเข้าไปหาของป่าก็พบ ข้าไม่หลงทางแน่นอน เพราะข้าเป็นนก!”
ใช่! เพราะนางเป็นนกที่ไม่ว่าจะอย่างไรก็บินกลับรังได้นะซิ!
ติงชุ่ยกับหลัววั่งพยายามกลั้นหัวเราะไม่ขำถ้อยคำของหลันหลัน เอาเถิด พวกเขาเริ่มเชื่อว่านางเป็นนกจริงๆ แล้วละ
ทั้งสองเห็นว่านางได้ปรึกษากับท่านเซียวแล้วจึงไม่คิดห้ามปรามอีก มื้อเช้าผ่านไปเรียบร้อย หลันหลันที่ใส่เสื้อผ้าของติงชุ่ยก็รีบวิ่งไปตามทิศทางที่หลัววั่งย้ำอีกครั้ง
ติงชุ่ยได้แต่บอกตัวเองให้ซ่อมชุดเก่าของตนมาให้เจ้านกน้อยใส่อีกสักชุด ดูท่านางจะตัวเล็กกว่ามาก ขนาดแขนเสื้อยังยาวเลยข้อมือออกมามาก เซียวเหรินผลักบานประตูห้องออกมา เขากวาดตามองแต่ไม่เห็นร่างของหญิงสาวตัวเล็ก นางจะอยู่หรือไปไหนทำสิ่งใดมิใช่เรื่องของเขาเลยสักนิด แต่ก็อดมองหาไม่ได้ เขาเม้มปากครุ่นคิดด้วยความเคยชิน ใคร่ครวญว่าควรถามหลัววั่งกับติงชุ่ยที่กำลังรับมือกับคนป่วยที่ทยอยเข้ามาให้เขาตรวจโรคดีหรือไม่ หางตาของเขาก็เห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ด้วยบุคลิกลักษณะแล้วมิใช่ชาวบ้านทั่วไป กลิ่นไอสังหารเข้ามาก่อนจะมาถึงตัวเขาเสียอีก “ข้ามาพบท่านหมอเซียวเหริน” ติงชุ่ยกระโดดหลบไปอยู่ด้านหลังหลัววั่งทันทีที่เห็นชายฉกรรจ์ท่าทางดุดัน หลัววั่งเองแม้ตัวใหญ่แต่ไร้วรยุทธ์ เขาทำได้เพียงยืดแผ่นอกเตรียมปกป้องคนที่ถูกถามถึง แต่เซียวเหรินรู้ดีว่าคนกลุ่มนี้ไม่ใช่คนที่หลัววั่งจะล่วงเกินได้ เขาจึงก้าวออกมาด้านหน้าแม้ไม่ขยับปากเอ่ยอะไร แต่คนกลุ่มนั้นก็เข้าใจได้อย่างดี “มีธุระอันใด” “มีคนป่วย ต้องการให้ท่านไปรักษา” “ข้าไม่ออกไปรักษาผู้ใด” เซีย
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยาม เซียวเหรินก็ถูกเชิญลงจากรถม้า นับว่ายังเป็นการให้เกียรติตามสมควร ไม่ถึงกับฉุดกระชากมารักษาคน บรรดาคหบดีน้อยใหญ่มักมีคฤหาสน์สำหรับพักผ่อนอยู่ชานเมือง นอกจากพักผ่อนหย่อนใจเพื่อหาความสำราญแล้ว บางครั้งก็เป็นสถานที่ไว้หลบซ่อนยามมีภัยในเมืองหลวง เสนาบดีกรมพระคลังนามหลี่จุ้นโป๋ขึ้นชื่อว่าเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ และยังเป็นพระญาติของฮองเฮา สกุลหลี่จึงทำสิ่งใดมิใคร่เห็นหัวผู้ใดนัก เสนาบดีหลี่จุ้นโป๋อายุหกสิบแล้วแต่ยังมีข่าวคาวน่ารังเกียจอยู่เสมอ แม้เป็นหญิงชาวบ้านหรือภรรยาผู้อื่น หากถูกตาต้องใจหลี่จุ้นโป๋แล้วไม่หลุดรอดเงื้อมมือไปได้ แต่เพราะเป็นคนสกุลหลี่จึงไม่มีใครกล้าแตะต้องหรือร้องเรียน เซียวเหรินเดินตามชายฉกรรจ์ที่เขาคาดเดาว่าเป็นผู้อารักขาของเสนาบดีหลี่ ภายในคฤหาสน์ตบแต่งหรูหรา เครื่องเรือนล้วนเป็นของอย่างดีราคาสูง ภาพประดับจากจิตรกรที่มีชื่อเสียง ชายหนุ่มเพียงกลอกตามองมิได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา แม้ได้ยินเสียงก่นว่าด่าทอดังมาก่อนที่บานประตูจะถูกเปิดออก ผู้อารักขาลอบถอนหายใจบางเบาก่อนส่งเสียงให้คนด้านในรับทราบ “ท่านหม
ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ใช่ว่าไม่เคยพบคนเสียสติมาก่อน แต่ละคนล้วนมีเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักหน่วง การรักษาต้องบำรุงทั้งร่างกายและบำบัดทางจิตใจ เห็นรอยบอบช้ำทั้งใหม่เก่าตามผิวกาย เขาเชื่อว่านางต้องประสบเรื่องเลวร้ายมามาก คนที่นางติดตามเป็นถึงองค์หญิงแต่อยู่ในฐานะตัวประกันของแคว้น ฐานะความเป็นอยู่ไม่ดีนัก จักรพรรดิหมกมุ่นมัวเมาในกิเลสตัณหา ขุนนางฉ้อฉล ราษฎรอยู่อย่างยากลำบากเซียวเหรินรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวนอกห้อง ความโกลาหลเกิดขึ้น เขาไม่ได้สนใจเสนาบดีหลี่นัก เพียงแค่อยากรู้ว่าสิ่งที่ ‘หลันหลัน’ เล่าเป็นความจริงมากน้อยเพียงใด จากบาดแผลที่เขาเห็นบนร่างของเสนาบดีหลี่นั้นตรงกับที่หลันหลันบอกเล่า เขาสูดลมหายใจลึกข่มโทสะ แม้ตัวเขาไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกับกงเสวี่ยหลิง แต่กงอี้เทาเป็นสหายรักที่มักบอกเล่าเรื่องราวของน้องสาวที่ยอมเสียสละตัวเองเป็นตัวประกันของแคว้น นางถูกวางตัวเป็นหมากตัวหนึ่ง พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อให้โดดเด่นกว่ากงอี้เทา โคลงกลอนล้วนถนัด วาดภาพเขียนอักษรทำได้ยอดเยี่ยม กงอี้เทาผู้เป็นพี่ต้องข่มกลั้นแสร้งทำเป็นคนป่วยกระเสาะกระแสะเพื่อเคี่ยวกรำตนเป็นผู้นำปลดแอกจากฮ่องเต้ทรรา
“เขาเป็นคนของข้า” เซียวเหรินพูดสั้นๆ ไม่ได้สนใจสีหน้าประหลาดใจของหลัววั่งและติงชุ่ย เขาปล่อยข้อมือของหลันหลันแล้วโน้มหน้าลงจ้องมองใบหน้าอ่อนหวานของหญิงสาว “เจ้าไปทำอะไรที่นั่น”“พวกเขาบอกว่าจะไปแก้แค้น...ข้าเลยติดตามไปด้วย”“เจ้ามีความสามารถอะไรถึงได้กล้าติดตามพวกเขาไป” ช่างโง่นัก! นางจะดวงดีได้สักกี่ครั้ง!“มีซิ” นางยืนอวดด้วยความภูมิใจ “ข้ารู้จักใช้ก้อนหิน”“ก้อนหิน?” ติงชุ่ย กับหลัววั่งพูดพร้อมกัน ทั้งสองยังไม่รู้ว่ามีเรื่องใดเกิดขึ้นจึงงุนงงกับคำพูดของ หลันหลัน เซียวเหรินขมวดคิ้ว “เหตุใดเจ้ารู้จักใช้ก้อนหิน”“ก็ข้าเป็นนก!” นางยิ้มกว้างภูมิใจกับคำตอบของตนเอง “ข้าเคยเห็นผู้อื่นทำเช่นนี้มาก่อน” เซียวเหรินลอบถอนหายใจ การใช้วิธีสังหารเช่นนี้ เป็นวิธีของพวกมือสังหาร สถานที่ที่นางเคยอยู่ช่างอันตรายเสียจริง ไม่รู้ว่ากงเสวี่ยหลิงต้องประสบพบเจอเรื่องเลวร้ายใดมาบ้าง จึงจดจำวิธีทำร้ายผู้อื่นเช่นนี้“นายท่าน” จูเต๋ออี้เรียกเบาๆ เป็นเชิงเรียกสติของผู้เป็นนาย เซียวเหรินเพียงแค่ถอนหายใจหนักหน่วงแล้วหันไปพูดกับหลัววั่งและติ่งชุ่ย“เจ้าทั้งสองรีบไปจากที่นี่ และจำไว้ว่าไม่รู้ไม่เห็นเรื่องใดทั้ง
เซียวเหรินผงะไปเล็กน้อย ใบหน้างดงามยื่นมาประกบริมฝีปากของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว สองมือจับไหล่นางหมายจะผลักออก ทว่าไอเย็นที่ส่งผ่านเสื้อผ้าที่นางสวมทำให้เขาชะงัก และกลายเป็นนั่งนิ่งให้นางประกบริมฝีปากเช่นนั้น มือใหญ่นั้นค่อยๆ เลื่อนลงมาจับที่ข้อมือของนาง ไม่สนใจว่าจะเหมาะสมหรือไม่ เขาเลื่อนปลายแขนเสื้อของนางขึ้นเพื่อสัมผัสผิวกายของนาง เพียงเวลาครู่เดียวร่างกายของนางอุ่นขึ้น ชีพจรกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ดวงตาของเขาจับจ้องใบหน้าของนางเก็บทุกรายละเอียดแม้จะมีเพียงแสงสลัวจากจันทราที่สาดเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดแง้มไว้เล็กน้อย ทว่าสีหน้าอิ่มเอมของนางนั้นกลับปรากฏชัดเจน เมื่อรู้สึกว่าร่างกายกลับฟื้นเป็นปกติแล้ว หญิงสาวก็ผละจากริมฝีปากบางแล้วยกมือทาบที่หน้าอกด้านซ้าย คล้ายสำรวจว่าหัวใจของตนยังเต้นดีอยู่ หญิงสาวลืมตาขึ้นแล้วดีดตัวลงจากเตียงของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว“ขอบคุณซือจื่อ!”เซียวเหรินเห็นท่าทางสดใสไม่ใช่คนใกล้ตายของนางแล้วก็อดประหลาดใจไม่ได้ รีบยื่นมือไปคว้าข้อมือของนางพลิกจับชีพจรอีกครั้ง น่าประหลาดนักที่ชีพจรของนางกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง นี่นางต้องกลืนกินลมหายใจของเขาจริงๆ งั้นหรือหา
“ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้นขอรับ” จูเต๋ออี้ติดตามเซียวเหรินมากว่าสิบปี หากไม่เพราะมีคำสั่งของนายท่าน เขาคงเข้ามาขวางมิให้หญิงประหลาดผู้นั้นปีนเตียงนอนของนายท่านเป็นอันขาด“นางป่วยอยู่จึงทำอะไรประหลาดไปบ้าง” เขาเองก็ไม่แน่ใจเรื่องอาการป่วยอันแปลกประหลาดนี้นัก“ขอรับนายท่าน”“ดี”เซียวเหรินพยักหน้ารับรู้ พลันนึกถึงเมื่อครู่ที่เขาบอกไม่ให้หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ อีก เขาแสร้งกระแอมไอแล้วรินน้ำชาให้ตัวเอง โบกมือไล่ให้จูเต๋ออี้ออกไปเมื่อในห้องไม่มีผู้ใดแล้ว เขาก็ถอนหายใจหนักหน่วง หรือเขาจะติดโรค ‘พยักหน้า’ มาจากนกน้อยตัวนั้นเข้าแล้ว หญิงสาวนั่งมองสิ่งของตรงหน้าสลับกับมองใบหน้าเรียบเฉยของผู้ที่ถูกเรียกว่าหมอเทวดาไร้ใจ เมื่อต้องใช้เวลาในรถม้าเสียเป็นส่วนใหญ่ เซียวเหรินคิดว่าจะใช้เวลานี้บันทึกอาการแปลกประหลาดของหญิงสาวตรงหน้า “ตามหลักแล้ว ควรบันทึกอาการของผู้ป่วย ติดตามการรักษา บางครั้งอาการป่วยแบบเดียวกันแต่ผู้ป่วยคนละคน การใช้ยาย่อมแตกต่างกันไป ทั้งนี้รวมทั้งเพศ อายุ หรือน้ำหนักของคนป่วยด้วย” “ซือ...ท่านเซียวจะบันทึกอาการของข้าหรือ?” นางถามด้วยรอยยิ้มกว้าง ดวงตา
“เจ้ารับไปก่อน แล้วข้าจะใช้งานเจ้าทีหลัง” ดวงตาของหญิงสาวเบิกโตเป็นประกาย คราวนี้นางไม่ลังเลยื่นมือไปรับถุงเงินจากเขาแล้วมีท่าทีตื่นเต้น “จำไว้ว่าเจ้าต้องซื้อเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็น” “เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าขึ้นลงเร็วๆ “แล้ว...ข้าสามารถซื้อขนมได้หรือไม่” “ขนม? เจ้าหิวแล้วรึ” เขาตั้งใจจะไปให้ถึงที่หมายก่อนจึงไม่ได้คิดจะแวะพักกินอะไร “เปล่า” นางส่ายหน้าไปมาจนผมยาวส่ายไปมา “แค่...น่ากิน” “ซื้อขนมกินเล่นได้แต่อย่ามากนัก แต่ที่สำคัญ...” “ต้องซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อน!” นางรีบพูดแล้วยืดแผ่นหลังขึ้นคล้ายโอ้อวดว่าตนเองจำคำสั่งของเขาได้ดี “รีบไปเถิด อย่าเถลไถล” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างแล้วมุดลงมาจากรถม้า พลันเหมือนคิดออกจึงยื่นหน้ากลับเข้ามาอีกครั้ง “ท่านเซียวไม่ไปด้วยกันหรือเจ้าคะ ท่าทางสนุกออก” จูเต๋ออี้ได้ยินถึงกับสะอึก นายท่านของเขานะหรือจะออกมาเดินเล่น โดยเฉพาะต้องมาเดินตามหญิงสาวซื้อเสื้อผ้าเช่นนี้ด้วย “เจ้าไปเถอะ จูเต๋ออี้ดูแลนางให้ดีอย่าให้พลัดหลงก
บ่าวไพร่พากันก้มหน้าซ่อนรอยยิ้ม มองผู้เป็นนายเดินออกไปแล้วจึงลงมือทำอาหารต่อจากที่คุณหนูทำเตรียมไว้รับแขกคนสำคัญ เพราะมัวแต่เสียเวลาลงมือตระเตรียมอาหารไว้ต้อนรับด้วยตนเอง กว่าอู๋หมิ่นลี่จะเดินออกมา แขกคนสำคัญก็มาถึงห้องรับรองแล้ว หญิงสาวก้าวเข้าไปพร้อมรอยยิ้ม นางย่อตัวคารวะบุรุษหนุ่มในชุดสีฟ้ากระจ่างแม้เรียบง่ายแต่กลับทำให้เขาดูงามสง่า “คุณชายเซียวเหริน ไม่ได้พบกันเสียนาน” “แม่นางอู๋สบายดีหรือ?” เซียวเหรินเอ่ยถาม น้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความอ่อนโยนอยู่บ้าง “ข้าสบายดี” นางยิ้มกว้างดีใจที่ได้เห็นบุรุษที่ตนชื่นชอบกลับมาเยือนอีกครั้ง ทว่าสายตาของนางมองเลยร่างสูงโปร่งไปยังร่างบอบบางที่ยืนหมุนตัวไปมา สายตากวาดมองไปรอบๆ ด้วยท่าทีตื่นเต้น สตรี! ไม่พบกันครึ่งปี เซียวเหรินมีสตรีข้างกายแล้วหรือ? จูเต๋ออี้กระแอมไอเบาๆ ทำให้หลันหลันเพิ่งรู้ตัวว่าถูกจ้องมอง นางจึงหยุดกวาดสายตา แต่เมื่อดวงตาคู่สวยมองเห็นหญิงงามในชุดสีชมพูกลีบบัว นางอดกวาดตามองขึ้นลงไม่ได้แล้วยิ้มกว้างออกมา “สวย! สวยยิ่งนัก!” อู๋หมิ่นลี่ถึงกับสะดุ้งที
หญิงสาวได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วมองเด็กสองคนที่แย่งกันมองนอกหน้าต่างรถม้าที่โยกไหวไปมา นี่คือเส้นทางที่นางตัดสินใจแล้ว เขาไม่ต้องการนาง นางก็ไม่สามารถทำใจแข็งมองดูเขากับหญิงอื่นได้ ไม่รู้ทำไม ใจนางจึงชอบบุรุษผู้นั้นไปได้ ภายนอกเขาดูเย็นชาแต่เมื่ออยู่ด้วยกันตามลำพัง เขาใส่ใจนางอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไร นางก็เป็นเพียงหญิงจากหอนางโลมที่รัชทายาทประทานให้ เมื่อเขาไม่ต้องการก็ส่งนางกลับไป คิดถึงเรื่องนี้หัวใจก็เจ็บราวถูกมีดเฉือดเนื้อหัวใจเป็นริ้วๆ“นั้นอะไร” เด็กหญิงเอ่ยถาม“ม้ายังไงเล่า” เด็กชายตอบ “มีคนขี่ม้ามาทางนี้”“คงเป็นทหารนำสาสน์ด่วนผ่านมาทางนี้” ผู้เป็นแม่อธิบาย“ข้าจะเป็นทหาร!” เด็กชายพูดขึ้น“ข้าด้วย” เด็กหญิงพูดบ้าง“เจ้าเป็นผู้หญิง เป็นทหารไม่ได้”“ข้าจะเป็นทหาร ขี่ม้าเหมือนคนผู้นั้น”“อ๋า! ใกล้มาแล้ว”จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน ผู้คนในรถม้าไม่ทันตั้งตัวล้มไปคนละทาง หลิวเจียวเหมยยื่นมือไปรับเด็กหญิงไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มกระแทกพื้นรถ“เกิดอะไรขึ้น!” หลิวเจียวเหมยหัวเสีย แม้จะเป็นคนของทางการแต่ทำเช่นนี้ไม่ถูก หากมีคนบาดเจ็บขึ้นมาจะทำอย่างไร หญิงสาวหงุดหงิดแล้วยื่นหน้าออกไปมองเป็นจังหว
หยางเฟยหลิงก้าวพรวดพราดเข้าไปหาน้องชายที่นี่นั่งอ่านตำราอยู่ สีหน้าของหยางไห่เทาไม่สะทกสะท้านแม้ถูกกระชากคอเสื้อจนตัวลอยขึ้นจากเก้าอี้ สาวใช้ตกใจส่งเสียงหวีดร้องขึ้นมาทันที “พี่ใหญ่” หยางไห่เทาคลี่ยิ้มไม่ถือสาที่ถูกพี่ชายทำเช่นนี้ “หากเจ้ายังเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ ก็บอกมาว่าซ่อนหลิวเจียวเหมยไว้ที่ใด!” “แค่สตรีนางหนึ่งเป็นแค่หญิงรับใช้ พี่ใหญ่จะต้องสนใจไปไย” “นางเป็นคนของข้า!” “ข้ารู้” หยางไห่เทายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เขาเตรียมใจมาเจอเรื่องเช่นนี้แล้วจึงไม่ได้หวาดกลัวสิ่งใด เขายกมือขึ้นแตะหลังมือพี่ใหญ่เป็นเชิงเตือนให้ปล่อยมือ แม่ทัพหนุ่มรู้ดีว่าทำไม่ถูกนัก แต่เขาระงับใจไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มสูดลมหายใจลึกก่อนปล่อยมือจากเสื้อของน้องชาย หยางไห่เทาพรูลมหายใจเบาๆ พลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แล้วผายมือเชิญให้พี่ใหญ่นั่งลงก่อน เขารินน้ำชาด้วยตนเองแล้วส่งให้ “พี่ใหญ่ไม่ต้องการนางแล้ว จะรั้งนางไว้เพื่อสิ่งใด มิสู้ปล่อยให้นางได้ใช้ชีวิตของตนมิดีกว่าหรือ?” “ผู้ใดบอกว่าข้าไม่ต้องการนาง” เขา
บ้านเมืองสงบสุขไปหรือไร ไฉนทุกคนถึงได้เป็นห่วงเป็นไยว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน หยางเฟยหลิงหงุดหงิดในใจทว่าไม่สามารถแสดงสีหน้าหรืออารมณ์ออกมาได้ เขายังคงนั่งจิบน้ำชาอย่างไร้ความรู้สึกต่อหน้ารัชทายาทฝูไหลที่นัดหมายพบหน้าเขาถึงที่จวน โดยแจ้งว่ามีใบชาชั้นเลิศมอบให้ คนอย่างเขาดื่มสุรามากกว่าน้ำชาด้วยซ้ำ เหตุใดจึงมอบใบชาให้เขากันเล่า และสุดท้ายก็สอบถามเขาเรื่องตบแต่งภรรยา “แม่ทัพหยางไม่ถูกใจน้องสาวของข้ารึ หรือเจ้าชอบองค์หญิงคนไหน ข้าสามารถพูดกับเสด็จพ่อได้” “ฐานะกระหม่อมไม่คู่ควร โปรดเลิกคิดเรื่องเหล่านี้เถิด” ฝูไหลไม่โกรธแต่กลับหัวเราะออกมา “หรือแม่ทัพหยางมีหญิงในดวงใจจึงไม่พึ่งใจพี่สาวน้องสาวของข้า” หญิงในดวงใจ เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตั้งแต่รับหลิวเจียวเหมยไว้ข้างกาย เขาก็ไม่ต้องสตรีนางใดอีก เขาชอบเวลาที่มีนางอยู่ใกล้ๆ นางเหมือนสายน้ำไหลเย็นที่ไร้เสียง แต่รับรู้ได้ว่ามีตัวตนในขณะเดียวกันก็ซุกซ่อนอีกด้านที่ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นได้สัมผัส ท่าทางแง่งอนหรือดื้อรั้น ภายใต้ท่าทีอ่อนน้อมเช่นนางจะหัวแข็งไ
ปลายจมูกโด่งกดซุกไซ้ที่ซอกคอขาวผ่อง หญิงสาวบิดตัวไปมาพลางยกมือขึ้นปัดป้อง ทว่าสองมือกลับถูกกดลงข้างตัวทำให้คนที่หลับใหลผวาตื่นจ้องมองใบหน้าผู้บุกรุกยามวิกาล “ท่าน...ท่านแม่ทัพ...” “หรือเจ้าคิดว่าเป็นผู้ใด” น้ำเสียงหงุดหงิดเคล้ากับกลิ่นสุรารสแรงทำให้หลิวเจียวเหมยตัวเกร็งและไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ท่าทางตื่นกลัวของนางทำให้หยางเฟยหลิงหงุดหงิด เหตุใดนางจึงดูกลัวเขานักนะ ทั้งที่ร่วมหลับนอนกันมาหลายครั้งหลายคราแล้ว“ตอบสิ”“....” หญิงสาวปรับสายตาครู่หนึ่ง ยามนี้ร่างใหญ่โตของเขาคร่อมร่างนางอยู่ ไอร้อนจากตัวบุรุษโอบล้อมราวย้ำเตือนว่านางไม่อาจหลบหนีไปได้“ข้า...ข้าไม่ได้รอผู้ใดเจ้าค่ะ” ‘ข้ามีสิทธิ์รอหรือ? ข้าเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงท่านแม่ทัพ จะมีสิทธิ์ทำสิ่งใดได้’คล้ายไม่พอใจกับคำตอบที่ได้ยิน ริมฝีปากเจือรสสุราทาบทับลงมาจูบกลีบปากดุจกลีบกุหลาบ เขาขบเม้มริมฝีปากนางอย่างแรงจนหญิงสาวนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ร่างกายดิ้นรนต่อต้านแต่ไม่อาจสู้แรงอีกฝ่ายและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด ยิ่งนางต่อต้านเขายิ่งอยากเอาชนะ มือที่ว่างอีกข้างกระชากเสื้อของนางเปิดอ
คนเป็นน้องอ้าปากจะพูดแต่หญิงสาวยกน้ำชาเข้ามาก่อน แม้นางสวมชุดสาวใช้แต่กิริยามารยาทอ่อนช้อยงดงามสมกับเป็นคุณหนูในตระกูลเก่าแก่ หากไม่เพราะเลือกข้างผิดคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ หญิงสาวรินน้ำชาเสร็จก็ค่อยๆ ก้าวออกไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่ต้องให้ใครเอ่ยปากขับไล่ แม่ทัพหยางมองร่างบอบบางเดินออกไปแล้วจึงย้ายสายตามาจ้องมองน้องชาย “พี่ใหญ่คงรู้แล้วว่าข้าป่วยทางใจ หมอที่ใดก็เยียวยามิได้” หยางไห่เทายกน้ำชาขึ้นจิบเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ไม่อาจกล่าวโทษพี่ใหญ่ที่ทำให้ครอบครัวเราจากเดิมที่เป็นเพียงคนยากไร้ได้กลับกลายเป็นคนตระกูลสูงส่งมีผู้คนนับหน้าถือตา แต่สิ่งเหล่านั้นสร้างความกดดันให้ข้าไม่น้อย ไม่ว่าจะทำสิ่งใดมักถูกนำไปเปรียบเทียบกับพี่ใหญ่ผู้เกรียงไกรในสนามรบ” “เหลวไหล ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ” หยางไห่เทาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนคลี่ยิ้มเหนื่อยล้า“พวกเรารู้ดีว่าพี่ใหญ่ทำเพื่อครอบครัวมากเพียงใด แต่พวกเราก็หนักใจที่ต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงมากมายที่มาพร้อมฐานะที่สูงขึ้น” “ข้าไม่รู้ว่า...” “เรื่องนี้พี่ใหญ่ไม่ผิด ท่านเองก็รู้ว่าในวังหลวงมี
“ท่านแม่พูดว่า...น้องเล็กจะกลับมาแล้วหรือขอรับ” “ใช่” หากหยางไห่เทากลับมา...น้องชายคงอยากพบหลิวเจียวเหมยเป็นแน่ แม้หลิวเจียวเหมยเคยพูดกับเขาว่านับหยางไห่เทาเป็นสหาย แต่น้องชายของเขาเล่าคิดเช่นไรกับสตรีผู้นี้? อาหารเลิศรสกลายเป็นฝืนคอไปทันที หลังจากกินอาหารเสร็จ พ่อลูกนั่งจิบชาอยู่ครู่หนึ่ง หยางเฟยหลิงจึงขอตัวกลับ ระหว่างที่เดินออกมานั้น เด็กน้อยวิ่งถลาเข้ามาทางเขาอย่างไม่ตั้งใจ “ตงตงระหว่างชนท่านลุง” น้องชายคนรองร้องห้ามแต่ไม่ทันเสียแล้ว เด็กน้อยวัยสิบขวบวิ่งชนเข้าไปเต็มที แต่หยางเฟยหลิงคว้าร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะชนกับเขาเข้า ซึ่งถ้าอาจทำให้เด็กน้อยเจ็บตัวได้ เด็กชายตัวจ้อยแหงนหน้ามองบุรุษร่างสูงใหญ่ด้วยความไม่คุ้นเคย ดวงตากลมกะพริบตาปริบๆ แล้วหันไปทางบิดาที่เดินตามมา “ท่านลุง?” “นี่ท่านลุงของเจ้า” น้องชายคนรองหัวเราะเบาๆ แล้วอุ้มเจ้าจอมซนเอาไว้ “พี่ใหญ่ไม่เป็นไรกระมัง” “ข้าจะเป็นอะไรได้” เขามองเด็กน้อยแล้วยิ้ม “พี่ใหญ่ก็กลับมาบ้านบ่อยๆ ลูกข้าจะได้จำหน้าท่านลุงได้...หรือไม
หลังผ่านศึกรักเร่าร้อน หยางเฟยหลิงสั่งให้บ่าวรับใช้เตรียมน้ำอุ่นสำหรับอาบน้ำให้หลิวเจียวเหมยเสมอ นอกจากชำระล้างร่างกายแล้วยังช่วยนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อและด้วยนิสัยรักสะอาดของหญิงสาว การใส่ใจเรื่องเหล่านี้ทำให้หลิวเจียวเหมยรู้สึกดีกับชายผู้นี้ไม่น้อย ฐานะของนางเป็นเพียงสาวใช้ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องดูแลใส่ใจนางถึงเพียงนี้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นางเดินกลับเข้ามาในห้องซึ่งประเดี๋ยวนี้เขาอนุญาตให้นางนอนรวมเตียงเดียวกับเขา ใบหน้างามแดงเรื่อที่เห็นเขาเอนกายกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง “ท่านแม่ทัพ” “อาบน้ำเสร็จแล้วหรือ” เขาถามไม่จริงจังนักแล้วยื่นมือจับข้อมือนางให้ขึ้นเตียง “อากาศเย็นรีบเข้ามาในผ้าห่มสิ” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มน้อยๆ ปีนขึ้นเตียงเข้าไปด้านใน “ข้าก็บอกแล้วว่าให้อาบน้ำพร้อมข้า เจ้าก็ไม่ยอม” หยางเฟยหลิงหัวเราะในลำคอแล้วหยิบกำไลหยกที่ซ่อนไว้ออกมาสวมใส่ข้อมือเรียวเล็กของนาง “นี่คือ...” “ข้าให้” เขาเองก็เก้อเขินไม่น้อย อายุก็ล่วงเลยมาถึงวัยนี้ไม่เคยเกี้ยวพาสตรีและไม่เคยซ
หลิวเจียวเหมยส่งเสียงได้แค่นั้นก็ถูกขบเม้มกลีบปากจนรู้สึกเจ็บ เสื้อผ้าของนางหลุดรุยและฝ่ามือร้อนนวดคลึงทรวงอกอวบอิ่ม ภายใต้แสงสลัวยามบ่ายที่ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาในเรือนที่ไม่มีผู้ใดเพราะเจ้าของจวนไล่ผู้อื่นไม่ให้เข้ามาใกล้บริเวณนี้ หยางเฟยหลิงไม่เคยรู้สึกปรารถนาหญิงใดเช่นนี้มาก่อน คิดแล้วก็น่าขบขันนัก เขาเหมือนนักพรตกินผักมาหลายปี ทว่าเมื่อพลั้งเผลอได้ชิมเนื้อเข้าไปก็ติดใจจนยอมสละได้ทุกสิ่ง แรกทีเดียวเขาคิดว่าตนเองแค่เผลอใจ เพราะตนเองไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับสตรีมานาน แต่เมื่อลองไปหอนางโลมเขากลับไม่ปรารถนาหญิงใด ในหัวของเขามีหลิวเจียวเหมยเพียงผู้เดียว ไม่ว่าจะเพราะเหตุใด เขาไม่ต้องการให้ใครแตะต้องนางและนางต้องเป็นผู้หญิงของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้นมือหยาบกร้านนวดเคล้นทรวงอกจนหญิงสาวส่งเสียงครางออกมา ลมหายใจร้อนระอุและหัวใจเต้นแรงยิ่งทำให้หญิงสาวอ่อนระทวย เขาถอนจูบแล้วเปลี่ยนเป้าหมาย เสื้อบังทรงถูกปลดออก หญิงสาวยกมือขึ้นปัดป้องแต่ไม่สำเร็จ ริมฝีร้อนอ้าปากดูดดึงปลายถันจนหญิงสาวได้แต่ส่งเสียงครางอย่างไม่อาจกลั้นได้ ช่องท้องวาบหวิวปั่นป่วน ฝ่ามือข้างหนึ่งจัดการกับกระโปรงท่อนล่างและลูบไล้เร
มือเรียวงามกำลังหยิบหนังสือที่ตากแดดไล่ความชื้นกลับมาวางบนชั้นตามเดิม วันนี้หลิวเจียวเหมยได้รับมอบหมายให้จัดการงานในห้องหนังสือของแม่ทัพหยาง ตั้งแต่เช้า นางปัดกวาดเช็ดถูและยังต้องนำหนังสือในห้องออกมาตากแดด แม้สองมือทำงานไม่ได้หยุด แต่หัวสมองของนางยังครุ่นคิดแต่เรื่องของแม่ทัพหยาง หลิวเจียวเหมยไม่เข้าใจเลยว่าเขาทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร หลังจากผ่านศึกรบบนเตียงนอนที่แสนร้อนแรง นางเห็นเพียงแผ่นหลังของเขาแล้วปิดเปลือกตา ลงอย่างอ่อนล้า ความเมามายหายไปหมดสิ้น พยายามรวบรวมเรี่ยวแรงเพื่อขยับตัวลุกขึ้นเพื่อพาตัวเองออกไปจากเตียงของเขา ทว่าเขากลับเข้ามาพร้อมอ่างน้ำอุ่นและผ้านุ่มๆ หัวคิ้วขมวดมุนขณะจ้องมองนางที่กำลังจะลงจากเตียง ‘เจ้าจะทำอะไร’ ‘ข้า’ ‘อยู่นิ่งๆ’ เขาสั่งน้ำเสียงเฉียบขาดทำให้นางไม่กล้าขยับตัว แต่กระนั้นเพียงการขยับกายเล็กน้อยก็เจ็บร้าวไปทั่วร่างจนต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงร้อง แม่ทัพหนุ่มวางอ่างน้ำแล้วเข้ามาประคองให้นางลงนอนอีกครั้ง แล้วหมุ่นตัวไปหยิบผ้าสะอาดชุบน้ำและเช็ดตัวให้นาง ‘ท่าน! ท่านแม่ทัพ! ข้าทำเองได้’