เด็กสาวบอกชื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดน่านให้กับรามัญฟัง
“นี่หนูมาไกลขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ใช่ค่ะ หนูอยากจะทำให้แม่มีความสุขครั้งสุดท้าย”
“แล้วหนูมีจุดประสงค์อื่นที่จะมาเจอคุณพ่อหรือเปล่า”
“คุณอาหมายถึงอะไร”
“ก็เช่นอยากมาแสดงตัวว่าเป็นลูกอยากให้คุณนครินทร์รับผิดชอบหนูหรือให้ช่วยค่ารักษา”
“ไม่ค่ะ หนูไม่ได้ต้องการอะไรแบบนั้นเลยหนูใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นก็มีความสุขดีถึงแม้เราจะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนกับครอบครัวใหม่ของคุณพ่อก็เถอะ”
“หนูบอกว่าแม่ป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ หมอบอกว่าแม่อาจจะอยู่ได้ไม่นาน”
“อาไม่ได้แช่งนะ ถ้าหากว่าแม่หนูเป็นอะไรไปล่ะ หนูจะใช้ชีวิตอยู่ยังไง”
“คุณอาไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกค่ะ หนูคิดว่าตัวเองอยู่ได้ค่ะ ที่หนูมาวันนี้หนูไม่ต้องการความช่วยเหลืออะไรเลยค่ะ หนูแค่อยากให้พ่อไปเยี่ยมแม่สักครั้ง ให้แม่ได้มีความสุขก่อนที่แม่จะจากไปค่ะ” ริณเรณูพูดด้วยเสียงสั่น เธอคุยกับหมอแล้วละคุณหมอบอกว่ามารดาของเธออาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน
เด็กสาวอยากจะมาบอกพ่อเรื่องนี้ตั้งตอนที่รู้ว่าแม่ป่วยหนัก แต่ก็ไม่มีโอกาสเลยเพราะเธอต้องไปโรงเรียนและยังต้องคอยดูแลแม่ซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
จนกระทั่งโรงเรียนมีโครงการพานักเรียนมาทัศนศึกษา ริณเรณูก็ไม่อยากมาทัศนศึกษาเพราะเป็นห่วงมารดาที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล
ถึงแม้จะมีพยาบาลคอยดูแลแต่เธอก็ยังกังวล แต่ครอบครัวของสุนิสารู้ก็อาสาจะคอยดูแลแม่ให้เพราะอยากเด็กสาวได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ
ในตอนแรกริณเรณูก็ลังเลแต่พอเห็นว่าตารางทัศนศึกษานั้นมีช่วงที่คุณครูปล่อยให้นักเรียนอยู่อย่างอิสระนานถึงสี่ชั่วโมงเด็กสาวจึงตอบตกลงมาทัศนศึกษากับทางโรงเรียนเพราะจะใช้เวลานั้นออกมาตามหาบิดา
“แม่ของหนูบอกให้หนูมาตามพ่อไปเยี่ยมใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ แม่ไม่เคยบอกแต่หนูอยากเห็นแม่มีความสุขหนูเลยมาตามหาพ่อ ถ้าวันนี้หนูไม่เจอพ่อก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่หนูขอร้องให้อาบอกพ่อให้หน่อยได้ไหมคะ”
“อาจะบอกคุณนครินทร์ให้นะ แต่อาไม่รู้ว่าพ่อของหนูเขาจะเชื่อว่าหนูคือลูกหรือเปล่า”
“ถ้าพ่อเขาไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูไม่สนใจเท่าไหร่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับหนูก็คือให้พ่อกับแม่ได้เจอกันอีกครั้ง”
“อาจะบอกเขาตามที่หนูเล่าให้อาฟังนะ แต่เอาจะไปหรือเปล่าอาคงตอบแทนเขาไม่ได้ ถ้าเขาไม่ไปเยี่ยมหนูจะเสียใจไหม”
“หนูคงเสียใจแทนแม่ค่ะ”
“ริณสี่โมงแล้ว” สุนิสากระซิบบอกเพื่อนเพราะเธอกลัวจะไปไม่ทันเวลาที่คุณครูเรียนรวมตัวเพื่อขึ้นรถกลับโรงเรียน
“หนูขอกลับก่อนนะคะ”
“แล้วจะมาหาพ่ออีกไหม”
“คงไม่มีโอกาสแล้วค่ะ หนูไปก่อนอย่าลืมที่หนูฝากบอกพ่อนะ”
“จะไปยังไง”
“แท็กซี่ค่ะ”
“เดี๋ยวอาไปส่งนะ”
“ไม่เป็นไรหนูเกรงใจ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ระหว่างที่นั่งรถไปกับอาหนูจะได้เล่าเรื่องของหนูกับแม่ให้อาฟังเพิ่มด้วย”
“พลอยว่าให้คุณอาเอาไปส่งก็ดีเหมือนกันนะ ประหยัดค่าแท็กซี่ด้วย” เด็กสาวกระซิบ
“หนูให้อาไปส่งก็ได้ค่ะ” ที่ริณเรณูยอมให้ชายหนุ่มไปส่งไม่ใช่เพราะเรื่องประหยัดค่าแท็กซี่แต่เธอคิดว่าระหว่างทางจะได้คุยกับเขาเพิ่มขึ้นและหวังว่าข้อมูลที่เธอเล่าให้เขาฟังนั้นเขาจะไปถ่ายทอดให้กับบิดาของเธอฟัง
“ไหนลองเล่าให้อาฟังซิว่าพ่อกับแม่ของหนูเจอกันยังไง” รามัญถามขณะที่กำลังขับรถพาริณเรณูและเพื่อนมาส่ง
“แม่หนูเป็นแม่ค้าขายข้าวแกงในตลาดค่ะ แม่บอกว่าเจอกับพ่อตอนพ่อไปคุมโครงการก่อสร้างศูนย์ราชการค่ะ ตอนนั้นพ่อเป็นผู้ชายที่หล่อมากๆ แม่ก็สวยมากๆ พ่อมากินข้าวแกงที่ร้านของแม่อยู่บ่อยๆ จนสนิทกันค่ะ จากนั้นหลังจากเจอกันได้ครึ่งปีพ่อกับแม่ก็ตกลงแต่งงานกัน”
“รูปที่หนูเอาให้ดูน่ะเหรอ”
“ใช่ค่ะ แต่มันเป็นงานแต่งงานเล็กๆ นะคะ ญาติของพ่อที่กรุงเทพไม่มีใครมาร่วมงานเลยเพราะบ้านของแม่อยู่ค่อนข้างไกลค่ะ แต่แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แม่บอกว่าแม่รักพ่อมากพ่อกับแม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเหมือนสามีภรรยาทั่วไป แม่บอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่มีความสุขมากๆ ค่ะ จนกระทั่งงานก่อสร้างศูนย์ราชการเสร็จพ่อก็ขอเข้ามากรุงเทพแล้วบอกแม่ว่าจะมารับแม่ไปอยู่ด้วย”
“แล้วเขาไปรับไหม”
“ไม่ค่ะ พ่อเข้ามาในกรุงเทพประมาณสองเดือนพ่อก็ขาดการติดต่อไป จากนั้นก็มีคนไปหาแม่ที่นั่นพร้อมกับเอารูปที่พ่อแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งไปให้และขอร้องให้แม่เลิกติดต่อกับพ่อเพราะพ่อกำลังจะมีครอบครัวใหม่ ผู้หญิงคนที่ไปด้วยบอกว่าตนเองกำลังท้องแม่เห็นแบบนั้นก็เสียใจมากๆ แม่อยากถามพ่อว่าเพราะอะไรแต่ก็รู้สึกเห็นใจผู้หญิงด้วยกันไม่จริงรับปากว่าจะไม่ติดต่อพ่อมาอีก”
“แล้วแม่หนูได้บอกผู้หญิงที่ไปหาหรือเปล่าว่าแม่หนูก็กำลังท้อง”
“แม่ไม่ได้บอกค่ะ ตอนนั้นแม่เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองท้องและพ่อก็ไม่รู้ด้วยว่าแม่ท้องอยู่ อารามคิดว่าถ้าพ่อรู้ว่าแม่ท้องพ่อจะทิ้งแม่มาแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นไหมคะ”
“อาตอบเรื่องนี้ไม่ได้เพราะอาไม่ใช่เพราะของหนู แต่ถ้าเป็นอาคงไม่ทิ้งแม่หนูอยู่ที่นั่น อาคงพามากรุงเทพด้วยตั้งแต่แรก” รามัญคิดว่าถ้าคุณนครินทร์แต่งานแล้วก็ควรจะพาภรรยาไปด้วยทุกที่
“อาคะ ถ้าหนูได้เจอพ่อหรือได้คุยกับพ่อหนูจะถามพ่อได้ไหมว่าทำไมพ่อถึงทิ้งหนูกับแม่ไป หนูอยากรู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่แม่บอกว่าพ่อรักแม่มากแล้วพ่อจะไปทำผู้หญิงอื่นท้องได้ยังไง”
“หนูมีสิทธิ์จะถามพ่อแต่อาไม่รู้ว่าคำตอบที่ได้ฟังมันจะทำให้หนูรู้สึกยังไง อาขอถามว่าหนูมีความสุขไหมที่อยู่กับแม่แค่สองคน หนูรู้สึกไหมว่าตัวเองขาดพ่อ”
“หนูมีความสุขดีค่ะ แม่เป็นทั้งพ่อและแม่ถึงแม้หนูจะเป็นเด็กที่ไม่มีพ่อแต่แม่ก็รักหนูมาก หนูเลยไม่รู้สึกว่าตนเองขาดพ่อ”
“อาขอโทษนะ อาขอถามอะไรหนูอีกข้อหนึ่งได้ไหม”
“ถามอะไรคะ”
“แม่หนูไม่คิดจะแต่งงานใหม่หรือมีผู้ชายคนอื่นเข้ามาในชีวิตเลยเหรอ”
“แม่หนูเป็นคนสวยมากๆ ค่ะมีผู้ชายหลายคนที่อยากจะมาสมัครเป็นพ่อของหนู มีคนหนึ่งรวยมากและเขาก็ไม่รังเกียจหนูเลยสักนิด เขาดีกับแม่และหนูมากๆ แต่แม่ให้เขาเป็นได้แค่เพื่อนค่ะ แม่ไม่สนใจผู้ชายคนไหนเลยแม่บอกว่า ถ้าแม่ได้รักใครแล้วไม่เจอก็จะรักผู้ชายคนนั้นตลอดถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่แม่ก็ไม่สามารถรักคนอื่นได้อีก” ริณเรณูเคยถามแม่เรื่องนี้หลายครั้งคำตอบของแม่ก็เหมือนเดิม
“อาชื่นชมความรักของแม่หนูที่มีต่อพ่อนะ”
“อารามคะจอดตรงนี้ก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูสองคนจะแอบเข้าไปเอง” สุนิสารีบบอกเพราะกลัวว่าเขาจะขับรถเข้าไปใกล้กับรถบัสจนเกินไป
“ก็ได้ อาส่งตรงนี้นะขอให้หนูสองคนเดินทางปลอดภัย ถ้าถึงแล้วจะโทรมาบอกหรือไลน์มาบอกก็ได้ เก็บนามบัตรของอาไว้ด้วย เผื่อว่ามีอะไรจะได้ติดต่อกัน”
“ขอบคุณค่ะอารามที่มาส่ง” เด็กสาวสองคนยกมือไว้รามัญก่อนที่เธอจะลงจากรถและขึ้นไปบนบัสคันใหญ่ที่จอดรออยู่
“ไม่ค่ะ”“ทำไมล่ะ ไหนบอกมีคนมาจีบเยอะ” รามัญแอบยิ้มเมื่อรู้ว่าหญิงสาวยังไม่คบกับผู้ชายคนไหน“ก็หนูยังไม่เจอคนที่ถูกใจค่ะ อีกอย่างตอนนี้หนูก็กำลังปรับตัว เลยคิดว่าจะตั้งใจเรียนไปก่อนส่วนเรื่องแฟนค่อยว่ากันอีกที”“เพื่อนกลุ่มหนูมีแฟนกันหรือยังล่ะ”“มีแฟนแล้วสองคนยังโสดสองคนค่ะ แต่เพื่อนในห้องหนูก็มีแฟนกันเยอะเลยนะคะอารามบางคนก็มีแฟนเป็นรุ่นพี่ต่างคณะค่ะบางคนก็มีแฟนที่ทำงานแล้ว”“แล้วผู้ชายที่มาจีบหนูเขาอยู่คณะอะไร”“ก็มีหลายคณะค่ะ มีเดือนคณะวิศวะด้วยนะคะ”“แสดงว่าต้องหล่อมากๆ เลยสิ”“ใช่ค่ะหล่อมากสาวๆ กรี๊ดเต็มเลยแต่หนูไม่ชอบคนที่เป็นจุดเด่นแบบนั้นหรอกค่ะเพราะหนูก็ไม่อยากผู้หญิงคนอื่นมองแฟนหนูหรอกค่ะ”“แสดงว่าถ้ามีแฟนนี่ต้องขี้หึงมากๆ เลยใช่ไหม”“หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะเพราะยังไม่เคยมีแฟนสักทีอารามคิดว่าอายุอย่างหนูมีแฟนได้ไหม”“ได้สิ จริงๆ แล้วจะมีแฟนตอนอายุเท่าไหร่ก็ไม่มีใครกำหนดไว้หรอกนะ ถ้าการมีแฟนแล้วไม่ทำให้เราเสียการเรียน”“อารามมีแฟนตอนอายุเท่าไหร่คะ”“อามีแฟนคนแรกตั้งแต่เรียนมัธยมแล้วล่ะ”“แล้วตอนนี้ยังคบกับแฟนคนแรกอยู่ไหม”“เลิกไปนานแล้วล่ะ ป่านนี้เขาคงแต่งงานมีครอบครัวไปแล
ริณเรณูมองนาฬิกาบนหน้าจอโทรศัพท์ที่แสดงเวลาตีสองครึ่ง หญิงสาวอยากจะโทรศัพท์ไปถามรามัญเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชายที่เธอเห็นเดินควงไปกับแพรวาที่หน้าผับนั้นใช่ชายหนุ่มหรือเปล่าแต่ก็รู้สึกเกรงใจมากๆ เพราะดึกขนาดนี้มันเป็นเวลาส่วนตัว เธอลังเลแต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยไว้กับตัวเองก่อนและคิดว่าพรุ่งนี้จะแกล้งโทรศัพท์ไปชวนเขาคุยและถ้ามีโอกาสก็จะถามเขาเรื่องนี้หญิงสาวรู้ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่มและจะเสียมารยาทมากถ้าหากไปถามเขาแบบนั้น แต่เธอก็ทนไม่ได้ที่เห็นคนที่ตนเองรักออกไปกับผู้หญิงคนอื่นและผู้หญิงคนนั้นก็เป็นเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับเธอริณเรณูเคยคิดว่าตนเองกับรามัญมีความแตกต่างระหว่างอายุและเขาคงไม่สนใจจะมองเด็กที่อายุห่างกันสิบกว่าปีอย่างเธอแต่ในเมื่อเขาไปกับเพื่อนเธอได้นั่นก็หมายความว่าเรื่องของอายุไม่ใช่อุปสรรคอะไรเลยหญิงสาวไม่เคยรู้มาก่อนว่ารามัญมีแฟนหรือคบผู้หญิงคนไหนเพราะตลอดระยะเวลาที่รู้จักกับเขาสามปีกว่าชายหนุ่มก็ไม่เคยพูดถึงผู้หญิงคนไหนมันเลยทำให้ริณเรณูรู้สึกดีมากๆ เหมือนกับเขามีแค่เธอคนเดียวแต่เมื่อเห็นเขามีคนอื่นเธอก็รู้สึกใจหายเป็นอย่างมาก ริณเรณูคิดว่าจะเก็บ
เปิดเทอมได้สองเดือนแล้วตอนนี้ริณเรณูปรับตัวกับการเรียนและการใช้ชีวิตในกรุงเทพได้ดีขึ้น หญิงสาวไม่มีปัญหาในเรื่องการเรียนเลยเพราะตอนเรียนมัธยมเธอก็ตั้งใจเรียนมาตลอดเมื่อมีพื้นฐานแน่นการเรียนต่อก็เป็นเรื่องไม่ยากเลยตอนนี้หญิงสาวมีเพื่อนสนิทอยู่สามคนคือวรัญญาหรือกอหญ้า มาริษาหรือเมย์และการ์ตูนหรือเขมจิราซึ่งคนสุดท้ายนั้นมาจากต่างจังหวัดเหมือนกับริณเรณูทั้งสองจึงสนิทกันมากกว่าเพื่อนที่เหลือ“เย็นนี้การ์ตูนจะไปติวกับพวกเราที่หอของเมย์ไหม” ริณเรณูถามเมื่ออาจารย์ประจำวิชาเดินออกจากห้องไปแล้ว“ไปสิแต่พรุ่งนี้ไปไม่ได้นะ”“ทำไมล่ะการ์ตูนพรุ่งนี้วันศุกร์นะ พวกเราว่าจะติวกันดึกเลยริณว่าจะมานอนค้างที่ห้องเมย์ด้วย”“ก็การ์ตูนต้องไปทำงานพิเศษ”“แต่ช่วงนี้ใกล้สอบแล้วนะ ถ้าไปทำงานจะมีเวลาอ่านหนังสือเหรอ” วรัญญาถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง“ช่วงสิ้นเดือนแบบนี้ลูกค้าเยอะถ้าไม่ไปก็เสียดายเงิน แต่สัปดาห์หน้าคงจะหยุด” เขมจิราทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งเพื่อเป็นรายได้พิเศษระหว่างเรียน ที่เธอทำงานแบบนี้ไม่ใช่เพราะขัดสนแต่เพราะอยากมีเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือยมากขึ้นตามอย่างเพื่อนบางคนในห้องเรียน“การ์
เช้าวันต่อมารามัญก็มารับริณเรณูตามที่ได้ตกลงกันไว้ชายหนุ่มเดินเข้ามาในบ้านสวัสดีทักทายคุณย่านารีอย่างคุ้นเคย“ย่าฝากด้วยนะราม หาคอนโดที่มันดูปลอดภัยและอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยให้หนูริณด้วยเรื่องราคาย่าไม่เกี่ยงเลย”“ได้ครับคุณย่า วันนี้ผมคงไปหาข้อมูลแล้วจะรวบรวมมาให้คุณย่าอีกทีนะครับ”“รามไม่ต้องกังวลเรื่องราคานะแพงแค่ไหนย่าก็จ่ายได้”“คุณย่าคะถ้าคอนโดมันแพงมากจริงๆ หนูยอมนั่งรถไปกลับก็ได้ค่ะ”“แต่มันจะไม่สะดวกเอานะลูกย่ามาคิดดูแล้วการที่หนูจะต้องตื่นเช้าไปเรียนและกลับมาบ้านมืดค่ำมันจะทำให้หนูไม่มีเวลาพักผ่อนเลย” “ผมเห็นด้วยกับความคิดของคุณย่านะ ครับมหาวิทยาลัยของริณอยู่ค่อนข้างไกล ถ้าเดินทางไปกลับก็คงจะเหนื่อยมากๆ”“ตอนแรกย่าก็อยากให้เขาขับรถไปเรียนนะ แต่ริณก็บอกว่าขับรถไม่เป็นและไม่ค่อยคุ้นกับถนนกรุงเทพ แต่ย่าว่ายังไงหนูริณต้องฝึกขับรถไว้เอาไว้ช่วงปิดเทอมหนูไปเรียนขับรถนะ”“ถ้าไม่อยากไปเรียนขับรถจะให้อาช่วยสอนก็ได้นะ”“หนูไม่รบกวนอารามขนาดนั้นหรอกค่ะ ตอนนี้หนูยังไม่คิดถึงการขับรถ หนูใจไม่กล้าพอค่ะ ถ้าเป็นมอเตอร์ไซค์ค่อยว่ากัน”“ถ้าหนูไปอยู่คอนโดแล้วหนูจะไปเรียนยังไง ย่าลืมคิดเรื่อง
“ย่าว่าหนูลองโทรไปถามพ่อหนูสิลูก พ่อเขารู้จักคนเยอะน่าจะพอมีใครที่มีคอนโดใกล้ๆ แถวนั้นอยู่บ้าง”“ค่ะคุณย่า”ริณเรณูออกมาโทรศัพท์ไปหาคุณนครินทร์และบอกถึงเรื่องที่ตนเองคุยกับคุณย่านารีให้ท่านทราบ“เดี๋ยวพ่อจะให้คนของพ่อจัดการเรื่องที่ให้นะ”“นานไหมคะกว่าจะรู้เรื่อง”“พ่อไม่แน่ใจเลย อีกสองอาทิตย์ใช่ไหมที่หนูจะต้องไปเรียน”“ค่ะพ่อ”“คุณพ่อค่ะหนูให้อารามช่วยหาด้วยได้ไหมคะ อารามบอกว่าเขาคุ้นเคยกับบริเวณนั้นดี”“นั้นสิพ่อลืมไปเลยว่ารามเขาพักอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น แต่หนูลองโทรไปถามเขาก่อนนะว่าเขาว่างหรือเปล่า ช่วงนี้งานเขาค่อนข้างยุ่งเหมือนกัน”“ได้ค่ะคุณพ่อ”เมื่อวางสายจากนครินทร์แล้วหญิงสาวก็โทรไปหารามัญเพื่อบอกข่าวดีว่าตอนนี้คุณย่าและบิดาของเธออนุญาตให้ออกไปอยู่ข้างนอกได้แล้วแม้จะเป็นแค่ช่วงเปิดเทอมก็ตาม“คุณพ่อกับคุณย่าบอกว่าให้หนูออกไปอยู่ข้างนอกได้แล้วค่ะ แต่อยากให้อยู่คอนโดมากกว่า อารามพอจะมีที่ไหนแนะนำบ้างคะ”“มีหลายที่เลยนะ แต่ไม่รู้จะถูกใจหนูหรือเปล่า”“หนูขออยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนะคะ เอาแบบเดินทางสะดวกค่ะ”“แล้วจะไปเรียนยังไง”“รถเมล์หรือรถไฟฟ้าก็ได้ค่ะ”“จะสะดวกเหรอ”“ตอนแรกคุณย่า
การมาอยู่กับครอบครัวใหม่ของบิดานั้นไม่ง่ายสำหรับริณเรณูเลยเพราะหญิงสาวต้องปรับตัวอีกมากแต่ก็ไม่ยากเกินไปเพราะในทุกครั้งที่มีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดจะมีรามัญคอยพูดให้กำลังใจและบางครั้งเขาก็มารับเธอออกไปข้างนอกคุณศิตาที่เหมือนจะยอมรับเธอมาเป็นลูกเลี้ยงได้ แต่พอลับหลังคุณนครินทร์และคุณย่านารีเธอก็มักจะพูดกระแนะกระแหนและเปรียบเทียบริณเรณูกับลูกสาวของตนเองอยู่เสมอ แต่ริณเรณูก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากถ้าเธอเลี่ยงได้เธอก็เลี่ยงที่จะเจอหญิงสาวคิดว่าถ้าเปิดเทอมตนเองจะขออนุญาตคุณย่านารีไปอยู่ที่หอพักเพราะน่าจะสะดวกมากกว่าการอยู่ที่บ้าน อีกทั้งระยะทางจากบ้านของเธอไปมหาวิทยาลัยก็ค่อนข้างไกล เธอไม่ค่อยชินกับเส้นทางในกรุงเทพถ้าหากจะต้องนั่งรถเมล์ไปเองในทุกๆ เช้าก็คงจะเหนื่อยจนเกินไป ส่วนรวิตากับเธอไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไหร่เพราะหญิงสาวมักจะออกไปเที่ยวนอกบ้านกับเพื่อนเสมอคนที่เธอพูดคุยด้วยมากที่สุดก็จะมีคุณย่านารีกับมาวินน้องชายที่ดูเหมือนจะสนิทกับเธอมากกว่าพี่สาวแท้ๆ ของตนเองตอนนี้เหลือเวลาอีกประมาณสองสัปดาห์ก็จะถึงวันเปิดเทอมวันนี้คุณย่านารีเลยเรียกหลานสาวทั้งสองคนเขามาคุยในห้องเพราะอยากจะมอบของรางว