ทีปกรยืนมองบ้านสวนสวยงามที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์
ท้ายสวนยังมีคลองน้ำด้านข้างมีสระว่ายน้ำ บรรยากาศที่นี่ดีกว่าบ้านในเมืองที่ภัสสร
อยู่เสียอีก เขาแอบติดสอยห้อยท้ายตอนที่รณภพบอกจะพาภัสสรมาเปลี่ยนบรรยากาศหลังจากที่กลับจากโรงพยาบาล รณภพที่ยื่นข้อเสนอให้กับภัสสรมันก็ทำให้เขารู้สึกเห็นดีเห็นงามด้วย ที่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่คิดแบบเดียวกับเขา รณภพและภัสสรก้าวเข้าไปในบ้านแล้ว เหลือเพียงแต่เขาที่ยังยืนอยู่นอกตัวบ้านที่มีรั้วสีขาวครีมกั้นไว้อยู่
ทำไมน่ะเหรอ ! เพราะที่นี่มีศาลพระภูมิเจ้าที่
“ มาทำอะไรที่นี่ล่ะพ่อหนุ่ม ” เบื้องหน้าของเขาผ่านประตูรั้วไป ปรากฏร่างของผู้ชายสวมชุดขาว ถือไม้เท้าข้างกาย โลกนี้จะมีสิ่งใดที่เห็นเขาถ้าไม่ใช่โลกของวิญญาณ
“ ผมมากับเพื่อนครับ ”
“ รู้ใช่ไหมว่าฉันให้นายเข้าบ้านหลังนี้ไม่ได้ ถ้าเจ้าของไม่อนุญาต ”
“ ผมทราบครับ ”
ทีปกรได้แต่ยืนมองอยู่หน้าบ้านเท่านั้นเพราะตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลยจริง ๆ นอกจากเธอจะอนุญาตหรือเรียกชื่อของเขา
รณภพเดินนำร่างบอบบางที่ตอนนี้มีเพียงไม้เท้าช่วยนำทางและฝ่ามือที่ค่อย ๆ สัมผัสข้างฝาผนังไป
“ ข้างหน้ามีบันได ก้าวระวังด้วย ” คนที่ดูมีทีท่าว่าไม่สนใจแต่ก็ยังเป็นห่วงหันมองตลอดทางเวลา ถึงแม้พื้นบันไดจะมีเพียงไม่กี่ขั้นก็ตาม บ้านชั้นเดียวที่มีสองห้องนอน สองห้องน้ำในตัว หนึ่งห้องครัวและหนึ่งห้องนั่งเล่น บ้านสวนหลังนี้ไม่ใช่ของใครที่ไหน มันก็คือของสายชลนั่นแหละ รณภพเป็นคนโทรไปขอร้องสายชลเรื่องการหาบ้านพัก สำหรับการให้ภัสสรได้ปรับสภาพร่างกาย ด้านหน้าของตัวบ้านมีน้ำพุ ส่วนด้านข้างมีสระว่ายน้ำ รณภพชะเง้อมองสระว่ายน้ำผ่านหน้าต่าง เนื่องจากบ้านหลังนี้สายชลซื้อไว้นานแล้วแต่ยังไม่ได้มาอยู่เป็นจริงเป็นจังเพราะต้องทำงานให้กับภวิชเขาจะเข้ามาดูบ้านก็เห็นจะเป็นแค่เดือนละครั้ง
“ นายพาฉันมาที่บ้านของใครน่ะ ”
“ บ้านของรุ่นพี่ฉันเอง ”
“ นี่คงไม่คิดจะทำอะไรไม่ดีไม่ร้ายฉันหรอกนะ ” หญิงสาวพูดทะเล้นเหมือนครั้งที่เธอยังมีสายตาปกติ มันทำให้เขาอดยิ้มไม่ได้ รณภพส่ายหัวแล้วก็เดินเข้ามาหาหญิงสาวใช้หลังนิ้วมือเคาะไปที่หน้าผากของเธอเบา ๆ
“ คิดอะไรไปเรื่อย ถ้าทำจริง ๆ แถวนี้ก็คงไม่มีใครช่วยเธอได้หรอก หึ ”
“ นี่อย่าบอกนะ ว่านายคิดจะทำอะไรฉันจริง แอร๊ย! ไม่นะ ” หญิงสาวแกล้งทำเสียงร้องแล้วยกมือสองข้างปิดเรือนกายของตัวเองอย่างเขินอาย
“ หึ ยัยบ๊อง ” รณภพเอ็นดูท่าทางของเธอ เวลานี้สิค่อยดูเหมือนเมื่อสามปีที่แล้วหน่อย ถึงแม้เจ้าหล่อนจะชอบสร้างปัญหาให้เขาแต่เขาก็ไม่เคยจะโกรธเธอเลย มีหงุดหงิดใจบ้างก็เท่านั้น
“ เอาล่ะ เดินตรงไปประมาณสิบก้าว... เอ้า เดินไปสิ ” เขาบอกหญิงสาวให้ก้าวเดินไปข้างหน้าแล้วย้ำเสียงเน้นอีกครั้งเมื่อหล่อนยังไม่เดิน
“ พูดดี ๆ ก็ได้ไม่เห็นต้องทำเป็นขึ้นเสียงเลย ” หญิงสาวเดินนับจำนวนก้าวไปตามที่เขาบอกแต่โดยดี นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นห่วงพี่สองคนที่ต้องมากังวลเรื่องอาการป่วยของเธอแล้วละก็ เธอไม่มีทางให้เขาได้สั่งเธออย่างที่เป็นอยู่เหมือนตอนนี้เป็นแน่
“ ก็พูดดีแล้ว ไม่ได้ดุสักหน่อย ” เสียงรณภพอ่อนลง
“ เดินเลี้ยวขวาไปสักห้าเก้าสิ ”
“ อืม แล้วยังไงต่อ ” ภัสสรเดินตามทางที่เขาบอกแล้วก็หยุดถามเขา ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนเธอแทบจะไม่ชอบไปไหนด้วยซ้ำ จะมีก็สองคนเนี่ยแหละที่ชอบบังคับให้หล่อนออกมาข้างนอกทั้งที่ไม่เต็มใจ แต่แปลกที่เธอก็ทำตาม พี่ชายทั้งสองคนเธอยังกล้าปฏิเสธแต่ทำไมถึงยอมให้ทีปกรกับรณภพทำกับเธอก็ไม่รู้
“ ตรงนั้นมีโต๊ะไม้เล็ก ๆ อยู่ นั่งก่อนสิ ” รณภพกล่าว ภัสสรแอบยิ้มนิด ๆ ที่อย่างน้อยเขาก็ห่วงเธอ
“ ดีใจนะที่นายยังห่วงกัน ” คำพูดเบา ๆ ของหญิงสาวทำให้รณภพแอบมองเล็กน้อย รณภพเดินออกจากตัวบ้านไปหยิบกระเป๋าสัมภาระที่ใส่ข้าวของเครื่องใช้และเครื่องแต่งกาย ทั้งของเขาและของเธอ การพาคุณหนูน้องสาวคนเล็กออกจากบ้านไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะต้องผ่านด่านพี่ชายทั้งสองของภัสสร นี่ถ้าไม่เห็นว่าต้องบำบัดละก็ ภวัตต์และภวิชคงไม่อนุญาตแน่
“ นี่มิก ฉันหิวแล้วอ่ะ นายช่วยหาอะไรให้ฉันกินหน่อยสิ ” คุณหนูคนเดิมวางมาดใส่เขาแบบนี้แหละที่อยากเห็นไม่คิดว่าข้อตกลงที่คุยกันมันจะทำให้เธอเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“ แล้วอยากกินอะไรล่ะ ” เขาถือกระเป๋าเดินทางไว้ในมือทั้งสองข้างก่อนจะเปิดประตูห้องนอน เอากระเป๋าเข้าไปไว้
“ ฉันอยากกินอะไรที่มันอร่อย ๆ ”
“ แถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรขายด้วยสิ ตอนนี้ก็เย็นแล้วด้วย ฉันว่าทำกับข้าวกินกันเองไหม ”
“ ทำเป็นที่ไหนกันเล่า ” ภัสสรเบนหน้าหันไปอีกทาง ก็เธอทำกับข้าวไม่เป็นนี่นา
“ จะยากอะไร เรามาลองทำกันดูไหม ”
“ หึ ไม่อ่ะ นายก็ทำให้ฉันกินซะก็สิ้นเรื่อง ”
“ อยากกินก็ต้องช่วยกันสิ ฉันไม่ใช่คนรับใช้ของเธอนะถ้าอยากกินก็ลุกขึ้น ”
“ จึ้ นายนี่มัน ” คุณหนูที่โดนขัดใจหน้าง้ำงอจนรณภพเผลอยิ้ม เขากอดอกมองหญิงสาว ที่ถึงแม้จะมีสีหน้าไม่พอใจแต่เธอก็ยอมทำตามที่เขาบอก
“ เดินตรงไปสิ ฉันจะบอกทาง ”รณภพมองหญิงสาวเดินตรงไปยังตามคำบอกของเขาเมื่อถึงจุดหมาย เขาจับมือหญิงสาวดึงไม้นำทางที่มือของเธอออก
“ นายจะทำอะไร ”
“ ฟังนะ ตรงนี้คือเคาน์เตอร์สำหรับวางของ ” เขาจับมือหญิงสาววางสัมผัสกับสิ่งของเบื้องหน้า ร่างบอบบางใช้มือ คลำ ๆ สัมผัสอย่างช้า ๆ เขาจับมือเธอเดินอ้อมไปอีกฝั่งหนึ่งให้อยู่ตรงกลาง ระหว่างเคาน์เตอร์สำหรับวางของซึ่งจะอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว จับมือของเธอให้หมุนกลับหลัง
“ ตรงนี้คือซิงค์ล้างจาน ชั้นวางของ แล้วก็จาน ส่วนในลิ้นชักนี้ คือที่เก็บช้อนและส้อม ลิ้นชักที่สองคือมีด เยื้อง ๆ ไปคือกาน้ำร้อน หม้อข้าว แล้วก็เลยไปอีกนิดคือเตาสำหรับทำอาหาร จำได้ใช่ไหมที่ฉันบอก “
“ บอกเยอะขนาดนี้จำได้ก็บ้า ”
“ หึ ก็ไม่เห็นยาก เอาเป็นว่าค่อย ๆ จำก็ได้ ”
“ นี่ฉันจะได้กินข้าวไหมวันนี้ ”
“ โอเค งั้นมาเริ่มจากเมนูง่าย ๆ กัน ”
“ เมนูอะไร ”
“ ไข่เจียวไง เธอหยิบถ้วยมาหนึ่งใบสิ แล้วก็ส้อมด้วย ”
“ แล้วทำไมนายไม่หยิบ ”
“ ก็บอกแล้วไงว่าถ้าอยากกินก็ต้องช่วยกันทำ ”
“ ชิ้ ” เธอสะบัดหน้าแล้วก็ควาน ๆ ไปยังจุดที่เขาเพิ่งให้สัมผัสดึงลิ้นชักออกสัมผัสรูปร่างของสิ่งที่อยู่ในลิ้นชักแล้วหยิบขึ้นมา พร้อมกับควานไปยังชั้นที่วางถ้วย เมื่อได้ของทุกอย่างตามที่ชายหนุ่มบอกแล้ว เธอก็วางลงบนเคาน์เตอร์ ร่างสูงหยิบไข่ไก่ที่เขาซื้อมาใส่ในตู้เย็นไว้รวมถึงมาม่าและข้าวสารเมื่อตอนช่วงพักกลางวันหลังจากที่พักเที่ยงเขาก็แวะมาทำความสะอาดที่บ้านหลังนี้ไว้แล้ว เพราะคุณหนูของบ้านเป็นโรคหอบหืดเขาจึง ต้องมาดูความเรียบร้อยก่อน
“ ตอกไข่สิ ”
“ แล้วมันตอกยังไงล่ะ ”
“ เธอนี่ไม่ได้เรื่องเลย ตอนประถมนี่เคยเรียนลูกเสือเนตรนารีบ้างรึเปล่าเนี่ย ” เขาบ่นอุบอิบแล้วรณภพก็ต้องอ้อมมาข้างหลังจับมือของเธอคล้ายกับโอบกอด สัมผัสที่ใกล้ชิดกันแบบนี้มันทำให้ภัสสรยิ้มกว้าง หากรณภพได้เห็นคงมีเคืองขุ่นแน่
แค่การตอกไข่มันไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับเธอ แต่เธออยากได้การตอกไข่แบบพิเศษอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ต่างหากเพียงเท่านี้ก็ทำให้เธอดีใจแล้ว
“ คราวนี้เข้าใจหรือยัง เครื่องปรุงก็ใส่อย่างละนิดอย่างละหน่อย แค่เจียวไข่ยังทำไม่ได้ ต่อไปจะทำยังไง ”
สรุปแล้วข้าวไข่เจียวในมื้อนี้ก็ตกเป็นฝีมือของเขาที่ต้องทำ
“ หืม หอมจังเลย ” ร่างบางสูดกลิ่นหอมของไข่เจียวเข้าเต็มปอดท้องเริ่มส่งเสียงร้องคำรามเพราะความหิวท่าทางของหญิงสาวทำให้รณภพเผลอยิ้ม
“ คราวหน้าเธอต้องลองทำบ้างนะ ”
“ ก็อยากทำแต่ฉันมองไม่เห็นแล้วจะรู้ได้ยังไงว่าไข่สุกหรือไม่สุก ”
“ อย่ามีคำว่าแต่สิ ลองดูก่อน พรุ่งนี้ฉันจะสอนนะ ใช้ประสาทสัมผัสจากตะหลิวก็พอจะรู้ได้บ้างแหละน่า ” เขาพูดเสียงนุ่มแล้วตักไข่ขึ้นใส่จาน วางตรงเคาน์เตอร์ หยิบจานกับช้อนแล้วตักข้าวให้ร่างบาง รณภพหยิบเก้าอี้ที่ดันเก็บไว้ใต้โต๊ะออกมา แล้วดันร่างบางให้นั่งลง
“ กินสิ หิวไม่ใช่หรอ วันนี้กินเมนูง่าย ๆ ไปก่อนนะ ข้อตกลงอีกอย่างคือ เธอต้องออกกำลังกายทุกวัน ”
“ บ้าไปแล้ว ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย ” ภัสสรที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากถึงกับวางช้อนลงเมื่อเขาบอกข้อตกลงอีกข้อ
“ ไม่รู้สิ เธอแค่ต้องทำตามที่ฉันบอก แกร๊ก ” รณภพหยิบช้อนที่หญิงสาวตักเข้าปากกินหน้าตาเฉย เสียงช้อนที่กระทบจานข้าวมันทำให้เธอรู้ว่าคนตรงหน้าฉวยโอกาสกินข้าวของเธอทำให้ใบหน้างามแหงนมองทำหน้ามุ่ยใส่ถึงแม้จะมองไม่เห็นแต่เธอก็สัมผัสได้ว่าเขาอยู่ด้านไหน
ร่างสูงโปรงที่ตักข้าวเข้าปากช้อนที่คาอยู่ในมือเขาก้มหน้ามองหญิงสาวที่แหงนหน้ามองเขา ดวงตากลมโตของเธอมันทำให้รณภพตกอยู่ในภวังค์ แม้ว่าเจ้าหล่อนจะมองไม่เห็นแต่ใบหน้าจิ้มลิ้มที่ใครเห็นก็เป็นต้องเอ็นดูมันทำให้เขาใจเต้นผิดจังหวะอย่างที่ไม่ได้มีมานาน
“ รีบ ๆ กินข้าวซะ จะได้ไปอาบน้ำ ” เขาเรียกสติตัวเองกลับมาอีกครั้งแล้ววางช้อนลงบนจานให้หญิงสาวเหมือนเดิมเสตามองไปทางอื่น เขาถอนหายใจแล้วยกน้ำขวดขึ้นดื่มก่อนจะเดินเลี่ยงออกจากห้องครัวเพื่อให้ร่างบางได้นั่งกินข้าว
ในคืนที่พายุสาดซัดกระหน่ำ รถเบนซ์ราคาแพงแล่นมาพร้อมเสียงพูดคุยที่สนุกสนานสามคนพ่อแม่ลูก แสงไฟที่สาดกระทบเข้ากับรถคันงาม พร้อมเสียงแตรที่ลากยาว
‘ ปิ้นๆ! / โครม ‘
“ กรี๊ด พ่อ แม่ ” ภัสสรกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและเสียใจภาพอุบัติเหตุความทรงจำสุดท้ายหลอกหลอนเธอ
“ ก๊อก ๆ ปึง! วาวเป็นอะไร วาว ” รณภพเคาะประตูอยู่หน้าห้องสองสามครั้งก่อนจะพังประตูเข้ามาภายในห้องคว้าร่างบอบบางที่มีอาการสั่นเทามือสองข้างปิดที่หูของเธอเอง
“ กรี๊ด พ่อ แม่ ฮือ ๆ วาวขอโทษ ฮือ ๆ ”
“ วาว วาว มีสติหน่อย ไม่เป็นอะไรแล้ว มันเป็นแค่ฝันร้าย ” รณภพผลักหญิงสาวเพื่อมองวงหน้าของเธอ มือหนาสัมผัสแก้มนุ่ม
“ ฮึก ๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า วาวขอโทษ ฮือ ๆ มิก นายอยู่ไหน ฮือ ๆ ฉันกลัว ” เสียงของหญิงสาวที่ละเมอไม่ได้สติ
“ ฉันอยู่นี่แล้ว มิกอยู่นี่แล้วไง ไม่ร้องแล้วนะวาว ” รณภพเผยความอ่อนโยนต่อคนตรงหน้าออกมาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อร่างบางเริ่มสงบเขาก็ค่อย ๆ พาเธอเอนราบนอนกับเตียงอีกครั้ง มือแกร่งดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างบอบบาง มือปัดปอยผมที่เปียกชื้นเพราะการฝันร้ายเมื่อครู่
รณภพนั่งลงข้างเตียงตามองต่ำลงพื้นอย่างครุ่นคิด ประสานมือสองข้างเข้าด้วยกัน อาการผวาที่หญิงสาวเป็นอยู่มันทำให้เขายิ่งกังวล
ร่างสูงโปร่งหลังจากที่กินข้าวเสร็จเขาก็พาเธอส่งเข้าห้องนอนเพื่อพักผ่อน ผ่านไปสักพักเขาจึงอาบน้ำ เวลาผ่านไปนานพอสมควรเขาจึงแอบมาแง้มประตูห้องของหญิงสาวดูว่าเธอกำลังทำอะไร แต่เมื่อได้ความเงียบเป็นคำตอบจึงรู้ว่าเธอหลับไปแล้ว เขาเลยนั่งอ่านตำราแพทย์ต่อ จนกระทั่งตกดึกได้ยินเสียงของภัสสรเขาเลยวิ่งมาดู จึงได้เห็นสภาพของภัสสร รณภพหันมองคนที่ยังคงมีอาการสะอื้นให้เห็นอย่างอ่อนใจ ถ้าเขาไม่ย้ายกลับมาเรียนต่อที่นี่อาการภัสสรจะเป็นยังไงเขาไม่อาจคาดเดา เมื่อเห็นทีท่าว่าเธอหลับได้อย่างสนิทแล้วเขาจึงลุกออกจากห้องของเธอไป
ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ทีปกรกำลังมองดูร่างของตัวเอง ที่นอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงเขาเอื้อมมือไปสัมผัสกับร่างที่อยู่บนเตียง เกิดอะไรขึ้นกับเขา เขาตายแล้วหรือยัง ทำไมเขาถึงยังไม่ไปไหน
‘ กร แม่ขออุทิศบุญกุศลให้ถึงแก่ลูก ให้ลูกของแม่มีพละกำลังแล้วกลับมาหาแม่นะลูก ’ เสียงของหญิงสาวที่่ดังกังวาลพร้อมกับแสงเปล่งประกายที่ออกมาจากตัวเขา มันทำให้เขารู้แล้วทำไมที่ผ่านมาเขามีพละกำลังมากขึ้น มันเป็นเพราะแม่เขากรวดน้ำส่งมาถึงเขานี่เอง
“ แกร๊ก ” เสียงประตูที่เปิดออกตามด้วยนักศึกษาทางการแพทย์ที่เดินเข้ามากลุ่มหนึ่ง หนึ่งคนในกลุ่มทีปกรจำเขาได้ คนที่อยู่กับภัสสรตลอดเวลา นี่เขาเป็นนักศึกษาแพทย์อย่างนั้นหรอ ทีปกรได้แต่ครุ่นคิดยืนมองนักศึกษาแพทย์ที่กำลังทำการจดบันทึกและวินิจฉัยโรค
“ เคสของคนไข้เคสนี้เป็นเคสพิเศษ คนไข้ชื่อ ทีปกร เพชรธานิน อายุ 23 ปีเกิดอุบัติเหตุรถชน…ต่อไปนี้ ในทุก ๆ วันคุณต้องวินิจฉัยโรค คุณต้องจดรายละเอียดข้อมูลของคนไข้ให้หมด ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ชีพจรปรับเปลี่ยนหรือไม่ เข้าใจตามนี้นะ ”
“ ค่ะ / ครับ ” นักศึกษาแพทย์ทุกคนตอบกลับผู้ที่อาวุโสที่สุดในกลุ่มซึ่งเขาคิดว่าน่าจะเป็นอาจารย์ ทีปกรยืนมองร่างของชายหนุ่มที่ก่อนออกจากห้องเขายังหันกลับมามองที่เตียงผู้ป่วยซึ่งมีร่างของเขานอนอยู่ จะว่าไปถ้าชายหนุ่มอยู่นี่แล้วภัสสรล่ะจะอยู่กับใคร? คิดได้ดังนั้นเขาจึงหายตัวไปยังบ้านสวน เสียงเจื้อยแจ้วที่ดังรอดออกมาทำให้ทีปกรถอนหายใจอย่างหายห่วง
“ มาอีกแล้วรึพ่อหนุ่ม ”
“ ครับ ”
“ นี่เจ้าของบ้านเขาคงยังไม่รู้สินะว่ามีคนคอยตามอยู่ ว่าแต่ทำไมพ่อหนุ่มถึงยังไม่ไปตามทางที่ควรจะเป็นล่ะ ทำไมถึงยังวนเวียนอยู่อย่างนี้ ”
“ ผะ ผม ก็ไม่ทราบเช่นกันครับว่าทำไม ทำไมเธอถึงมองเห็นผมได้แค่คนเดียว ” ทีปกรยืนคุยกับท่านเจ้าที่ที่ดูแล้วใจดี แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่ใจดีพอที่จะให้เขาได้เข้าบ้าน ทีปกรถอนหายใจแล้วยืนชะเง้อมองเข้าไปในตัวบ้าน เสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานด้านในมันทำให้เขาสงสัยว่าใครกันที่มาหาหญิงสาวได้ถึงที่นี่
รณภพนั่งอยู่ในห้องพักสำหรับนักศึกษาแพทย์หลังจากที่เขาเพิ่งไปวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยตามวอร์ดต่าง ๆ แผ่นกระดานแข็ง ๆ ที่หนีบกระดาษไว้ วางอยู่ตรงหน้า ปากกาเคาะขึ้นและลงอย่างนึกสงสัย ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงทำไมเขารู้สึกคุ้นอย่างบอกไม่ถูก คำพูดของอาจารย์หมอยังอยู่ในหัว
‘ คนไข้ชื่อ ทีปกร เพชรธานิน อายุ 23 ปีเกิดอุบัติเหตุรถชน สมองและส่วนต่าง ๆ ไม่ได้รับการกระทบกระเทือนหรือบาดเจ็บ ชีพจรและความดันทุกอย่างปกติแต่แปลกตรงที่คนไข้กับไม่รู้สึกตัว.. ’
“ ทุกอย่างปกติแต่ไม่ฟื้นงั้นเหรอ? ” เขาตั้งความสงสัยขึ้นกับตัวเองก่อนจะหยุดคิดแล้วมองไปยังมือถือของตัวเอง กดเบอร์โทรหาคน ๆ หนึ่ง
“ ฮัลโหล ทุกอย่างเรียบร้อยดีไหม อืม ดีแล้ว ฝากหน่อยแล้วกันนะ อืมแค่นี้แหละ ” เขากดวางสายแล้วถอนหายใจ ก็คนที่เขาเคยจ้างคนให้ตามหานั่นแหละ ตั้งแต่ตอนที่กลับไทยมาแรก ๆ รณภพลุกขึ้นจากเก้าอี้ถือเอกสารในมือแล้วเดินไปหาฐาปกรณ์ที่ห้องทำงาน เขามีเรื่องที่ต้องขอให้ฐาปกรณ์ช่วย มีคนได้ไปอยู่เป็นเพื่อนหญิงสาวก็ดีเหมือนกัน เขาจะได้ไม่กังวล
ตกเย็นวันนั้นภัสสรอารมณ์ดีกว่าทุกวันที่ผ่านเมื่อได้เจอกับกลุ่มเพื่อนสนิทของตัวเอง เธอนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านสักพักหลังจากที่เพื่อนของเธอกลับออกไป
เสียงรถของรณภพที่วิ่งเข้ามายังตัวบ้านทำให้เธอกระตือรือร้นที่อยากจะเล่าให้เขาฟังว่าวันนี้เธอทำอะไรบ้าง
“ ปึง ” เสียงปิดประตูและเสียงก้าวเดินใกล้เข้ามาทำให้ภัสสรลุกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ค่อย ๆ จับกำแพงนับก้าวตามที่เขาบอก
“ อุ้ย ตุ๊บ ” เสียงภัสสรร้องตกใจการเดินชนกระทบกับอกแกร่งทำให้เธอแทบหงายหลัง มือของรณภพคว้าตัวของเธอไว้ได้ กระชับแนบเข้ากับอกแกร่งของเขา ภัสสรใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ต่างจากอีกคนที่ใจเต้นอย่างสม่ำเสมอ ร่างสูงโปร่งผละเธอออกจากตัวแล้วมองหน้าคนตัวเล็ก สีหน้าที่แดงระเรื่อจนเก็บไม่อยู่แบบนี้ดูก็รู้ว่าเจ้าหล่อนต้องใจเต้นแรงเป็นแน่
“ ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้ ” เขาพูดเสียงเรียบต่างจากรอยยิ้มในหน้าที่อีกคนไม่ได้เห็น
“ ก็รอนายนั่นแหละ กล้ามากนะที่ทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวนายไม่ห่วงฉันบ้างหรือไง มาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้นี่ถ้าไม่มีนิษา
แล้วก็ยัยน้ำฝน ฉันคงอดตายแล้วมั้ง ” หญิงสาวกอดอกสะบัดหน้าหนี
“ แล้วอดตายหรือเปล่าล่ะ ” รณภพเลิกคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ
“ ใจร้ายไปแล้วนะมิก ถ้าฉันเป็นลม ล้มตายขึ้นมาจะทำไงเห้อะ ” ภัสสรพูดเสียงขึ้นสูงในประโยคท้ายอย่างน้อยใจ
“ ไม่ปล่อยให้เธอเป็นอะไรหรอกน่า ” รณภพพูดเสียงเบา ๆ
“ เมื่อกี้นายว่ายังไงนะ ”
“ พูดมากจริง เดินเข้าตัวบ้านไปได้แล้ว ” รณภพไม่ตอบคำถามของหญิงสาวที่ถามซ้ำ เขาผลักภัสสรให้เดินเข้าไปในตัวบ้านมือข้างนึงเขาถือถุงอยู่สองใบ เมื่อเดินเข้าตัวบ้านรณภพก็ส่งถุงให้กับหญิงสาวใบนึงซึ่งเขาเช็คดูแล้วว่ามันเป็นของ ๆ เธอ
“ อะ เอาไป ”
“ มันคืออะไรอะ ”
“ ไปเปลี่ยนชุดนี้ซะ สัมผัสได้ใช่ไหมว่าอะไรข้างหน้าข้างหลัง ”
“ รู้หรอกน่า ”
“ ให้เวลาสิบนาที ฉันจะรออยู่นี่แหละ ไปสิ ”
ภัสสรหยิบถุงที่เขาส่งให้มาเธอสัมผัสชุดที่ดูลื่น ๆ ใส่แล้วดูท่าจะรัดรูป ร่างบางตาโตเมื่อรู้ว่าสิ่งที่เขาให้มันคืออะไร
“ ชุดว่ายน้ำ ? ”
#เนื้อเรื่องจะเริ่มเข้นข้นขึ้นกว่าเดิมแล้วนะคะ รีดเดอร์ที่น่ารักของไรท์ เรื่องนี้ไรท์แต่งให้เนื้อต่างจากเรื่องแรกเยอะมาก พยายามเขียนให้คำผิดน้อยที่สุด ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ติชมไรท์เตอร์ได้นะ