“นี่แค่ข้างหลังยังดูดีขนาดนี้เลย เห็นเขาพูดกันว่าเทียบโอนย้ายมาที่นี่ แต่ไม่รู้ว่าเข้าคณะอะไร”
“พอได้แล้วน่า ไปเหอะฉันต้องเขียนรายงานต่อ” มะปราง ละสายตาจากรูปร่างที่งดงามปริศนาแล้วหันมาหยิบสมุดกับหนังสือเรียนแล้วลุกออกจากโต๊ะที่ใช้พักผ่อนหย่อนใจใต้ต้นไม้
รณภพพยายามหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูบ่อย ๆ เกรงว่าจะมีสายเข้าเพราะเป็นห่วงคนที่เขาขังไว้ในบ้านหลังเล็ก
“ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเลิกดื้อได้หรือยัง ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะจัดการกับเอกสารการเทียบโอนมาเรียน ดีนะที่เขาสอบใบประกอบวิชาทางการแพทย์ขั้นที่หนึ่งไปแล้ว การย้ายมาเรียนแพทย์ปีสี่ที่นี่ก็ถือว่าหนักสำหรับเขาเอาเรื่องเพราะต้องเริ่มเข้าวอร์ด ดูแลคนไข้ ตามหลักสูตรที่วางไว้ ที่กังวลคือ เวลา ยิ่งภัสสรเป็นแบบนี้เขายิ่งกังวล ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงมีความรู้สึกนี้ได้ ยิ่งนึกถึงตอนที่เรียน คุณหนูจอมแสบมีเรื่องทีไร เขาเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวด้วยแทบทุกเรื่อง รอยยิ้มผุดขึ้นในวงหน้าหล่อเหลาเมื่อนึกถึงวีรกรรมที่หล่อนเคยทำไว้
“ มิก มิกจริง ๆ ด้วย ” ร่างสูงโปร่งหันมามองตามเสียงที่เรียกชื่อของเขาแล้วก็ต้องชะงัก เพราะคนตรงหน้าคือคนที่เขาไม่ได้ติดต่อมานาน
“ มะปราง ”
“ มิกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ”
“ เอ่อ พอดีว่ามาทำเรื่องเทียบโอนน่ะ ”
“ จริงหรอ มิกเรียนคณะอะไร ”
“ แพทยศาสตร์ ว่าแต่ปรางเถอะเรียนที่นี่ด้วยหรอ ”
“ อืม ปรางเรียนสหเวช ไม่คิดเลยนะว่าจะได้เจอมิกอีก ดีใจที่สุดอ่ะ ” หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มหวาน รอยยิ้มที่เขาจดจำได้ดี ปราง ปรางวลัย สุริวงศ์ รักแรกของเขาเมื่อตอนมัธยมต้นจนถึงมัธยมปลายไม่คิดว่าโลกจะกลมจนให้เขาได้พบกับเธออีกหลังจากเหตุการณ์เมื่อสามปีที่แล้ว
“ ไปหาที่นั่งคุยกันสักหน่อยไหม ”
“ อืม ได้สิ ” หนุ่มหล่อและสาวสวยที่เดินเคียงคู่กันเป็นที่จับตามองของหลาย ๆ คน เพราะดูเขาสองคนเหมาะสมกัน มีเพียงรณภพเท่านั้นที่เข้าใจดีทุกอย่าง
ในห้องเล็ก ๆ ที่ภัสสรโดนกักตัวไว้ เธอรู้สึกโมโหและโกรธรณภพเป็นอย่างมาก การกลับมาของเขาในคราวนี้ถึงแม้เธอจะดีใจอยู่ลึก ๆ ก็ตาม แต่เสียใจที่ไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าของเขา ไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงใด
“ วาว ” เสียงเรียกที่คล้ายกับตะโกนทำให้ภัสสรสะดุ้งตกใจ เรียกรอยยิ้มกว้างจากทีปกรได้เป็นอย่างดี
“ ทำบ้าอะไรของนาย ทำไมต้องทำเสียงดังด้วย ”
“ ก็เห็นคุณเหม่อ ๆ คิดอะไรอยู่เหรอ แล้วทำไมถึงมาอยู่ในห้องนี้ได้ ” ทีปกรยืนกอดอกมองไปรอบ ๆ ห้อง
“ โดนจับมาขังน่ะสิ ฮึ่ย เจ็บใจชะมัด ” หญิงสาวทำเสียงฟึดฟัดอารมณ์ขุ่นยังมีให้เห็น ทีปกรเดินไปมองซ้าย มองขวา สังเกตุห้องโดยรวมก่อนจะเดินตรงไปนั่งยังเก้าอี้เยื้อง ๆ จากเตียงนอนที่หญิงสาวนั่งอยู่
“ คุณมีอะไรให้ผมช่วยไหม ”
“ นายจะช่วยอะไรฉันได้ ”
“ ก็ไม่แน่ ” ชายหนุ่มมองที่นิ้วมือของตัวเอง สีหน้าที่ดูมีเลศนัยนั้นยิ่งทำให้เธอรู้สึกอยากสนุกแต่อยู่ ๆ ภัสสรก็มีอาการแน่นหน้าอกกระทันหัน
“ อึก ฮึก ”
“ วาว คุณเป็นอะไร ”
“ ฉะ ฉันหายใจไม่ออก ” ร่างบอบบางหายใจฝืดขัดอาการแน่นหน้าอกที่จุกขึ้นมากระทันหันทำให้ทีปกรกุลีกุจอตรงไปหาภัสสรอย่างร้อนรน
“ เกิดอะไรขึ้นน่ะ ยาของคุณล่ะ อยู่ไหน ” เขารู้เพราะภัสสรเคยบอกว่าเธอเป็นโรคหอบหืด
“.........” หญิงสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ อาการจุกอกหายใจไม่ออกแบบนี้ สีหน้าที่ซีดเผือดของหญิงสาวทำให้เขาอยู่ไม่เป็นสุข ตะโกนให้ใครช่วยก็ไม่ได้ สิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือ…
ทีปกรหายตัวเข้าไปอยู่ในตัวบ้านหลังใหญ่ มองสาวใช้ทั้งหลายที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เขามองยังโต๊ะ ข้าง ๆ ที่มีขวดน้ำพลาสติกอยู่แล้วปัดมันล่วงจากโต๊ะ
“ แกร๊ง ” ขวดน้ำที่หล่นโดยที่ไม่มีลมพัดแถมในขวดยังมีน้ำอยู่เกือบเต็มทำให้สาวใช้มองหน้ากันด้วยความฉงน แต่ก็เดินมาเก็บขวดน้ำตั้งขึ้นเช่นเดิม แล้วหันไปคุยกันอย่างไม่สนใจ
“ จึ้ ” เขาจึ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ทีปกรเริ่มตีรวนสิ่งของทุกอย่างบริเวณห้องครัวให้ดังระนาวจนสาวใช้พากันแตกตื่นกับเสียงที่ดังขึ้นโดยที่ไม่มีสาเหตุ
“ แกร๊ง ๆ ๆ เพล้ง ๆ ” บรรดาสาวใช้วิ่งออกจากห้องครัวแทนที่จะวิ่งไปทางหลังบ้านแต่กลับวิ่งไปหน้าบ้านซะอย่างนั้น
“ กรี๊ด ผีหลอก ผีหลอก ” สาวใช้ทั้งหลายกรีดร้องโวยวายเสียงดัง ทีปกรถอนหายใจก่อนจะหายตัวไปดักหน้าของสาวใช้ทั้งหลาย แต่พละกำลังที่จะแสดงให้คนอื่นเห็นกลับหายไปเมื่อมีชายหนุ่มอีกคนเดินก้าวเข้ามา
“ เสียงดังเอะ อะ อะไรกันครับ”
“ ผะ ผีหลอกค่ะคุณมิก ผีหลอก ” สาวใช้วิ่งมาเกาะแขนของชายหนุ่ม รณภพยิ้มหวานแล้วส่ายศีรษะเบา ๆ
“ ผีมีที่ไหนกันครับ ไม่มีหรอก แล้วนี่คุณหนูของพวกพี่เขากินข้าวบ้างหรือยัง ”
“ อะ เอ่อ ยะ ยังค่ะ ” เสียงสาวใช้ที่ยังคงตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบอกตะขลุกตะขลัก
“ แล้วกุญแจที่ผมให้ไว้ล่ะครับ ” เขาแบมือขอกุญแจที่เขาให้ไว้ก่อนที่จะไปทำธุระ
ทีปกรที่ยืนมองสถานการณ์เมื่อเห็นทีท่าว่าทุกคนไม่รีบร้อนที่จะไปบ้านหลังเล็กเขาจึงผลักกระถางต้นไม้ ที่อยู่ตรงชั้นประดับที่วางติดระตูหลังของห้องครัวให้ล่วงลงพื้นทำให้ทุกคนในบ้านหันมองกัน รณภพไม่รอช้าที่จะวิ่งออกไปดู กระถางต้นไม้ที่หล่นลงมา มันทำให้ทุกคนฉงนเพราะไม่มีลมแรงพอที่จะพัดให้มันหล่นลงมาได้เลยแม้แต่น้อย
“ ตุ๊บๆ ตุ๊บ ” เสียงคล้ายคนทุบประตูที่ดังมาจากบ้านหลังเล็กมีคุณหนูคนเล็กของบ้านอยู่ยิ่งทำให้รณภพคว้ากุญแจห้องเปิด ภาพของภัสสรที่นอนสลบอยู่ตรงพื้นทำให้เขาตกใจ
“ วาว วาว ” ร่างสูงโปร่งรีบมาคว้าตัวหญิงสาวอุ้มเธอให้อยู่ในอ้อมกอดแล้วรีบตรงไปที่รถของตัวเอง
ทีปกรก็ตามเขาไปด้วย เพราะเขาไม่สามารถอุ้มเธอได้อย่างที่รณภพกำลังทำดังนั้นสิ่งที่ทีปกรทำได้ก็คือทำให้เกิดเสียง ทีปกรได้แค่ยืนมองจากนอกรถเท่านั้น เขาไม่สามารถขึ้นไปบนรถของชายร่างสูงคนนี้ได้ เพราะบนรถมีแม่ย่านางที่สวยงามมองเขาอยู่ แต่ทำไมเขาถึงเข้าบ้านของหญิงสาวคนนี้ได้กันล่ะ เขาหันไปมองศาลพระภูมิที่อยู่หน้าคฤหาสน์หลังงามแห่งนี้ โลกที่เขาอยู่มันคือโลกของวิญญาณ เขายังไม่เข้าใจสาเหตุที่เขาได้มาเจอกับเธอเลย ทีปกรมองรถคันงามวิ่งแล่นออกจากตัวบ้านด้วยความเร็วเขาเป็นห่วงผู้หญิงในรถเหลือเกิน
รถคันงามของรณภพขับมาด้วยความเร็ว ทันทีที่ถึงโรงพยาบาลรณภพก็ก้าวลงจากรถรีบเปิดประตูฝั่งที่ภัสสรนั่ง อุ้มร่างบอบบางใส่เตียงลากส่งให้บุรุษพยาบาลเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที ระหว่างทางเขาโทรมาประสานงานกับโรงพยาบาลก่อนแล้ว เมื่อเตียงผู้ป่วยถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน รณภพนั่งรอหน้าห้อง เขากุมมือเข้าหากัน เม้มปากแน่น เพราะไม่รู้ว่าหญิงสาวหมดสติไปนานแค่ไหน หากว่าเธอไม่มีโรคประจำตัวเขาคงไม่กังวลแบบนี้ อาการหอบหืดของเธอกำเริบหรือเปล่า ในสมองคิดไปร้อยแปด ชั่ววูบหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงรูปร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉินจนทำให้เขาต้องเงยหน้าเพื่อมอง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อพบเพียงความว่างเปล่า เขาตาฝาดอย่างนั้นเหรอ ทำไมรู้สึกแปลก ๆ ตั้งแต่กลับมาพบกับภัสสรคราวนี้ เขารู้สึกว่ามีอย่างที่ไม่เหมือนเดิมแต่ก็บอกไม่ได้ว่าคืออะไร
“ ครืดๆ ” เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องหยุดความคิดของตัวเอง
“ สัวสดีครับ พี่ฐา ”
‘ มิก วาวอาการเป็นยังไง ’
“ อยู่ในห้องฉุกเฉินครับ ”
‘ พี่กำลังขับรถไม่น่าเกินสิบนาทีพี่คงถึง ไว้ค่อยคุยกัน ’
‘ ครับ ’
รณภพนั่งจมในความคิดของตัวเอง สร้อยข้อมือของหญิงสาวเขาหยิบออกจากกระเป๋ากางเกง เขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องพกของสิ่งนี้ติดตัวตลอดเวลา อาจเป็นเพราะว่าตลอดเวลาสามปีที่เขาไปเรียนต่างประเทศของสิ่งนี้ติดตัวเขาตลอดเวลา มันคงเป็นความเคยชินละมั้ง
“ แกร๊ก ” ทันทีที่ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก รณภพก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว
“ อ้าว รณภพ ”
“ อาจารย์ ”
“ เธอเป็นญาติของผู้ป่วยเองหรอ ”
“ ครับอาจารย์ อาการเธอเป็นยังไงบ้างครับ ”
“ ตอนนี้ยังไม่มีอะไรน่าห่วง ”
“ ว่าแต่ทำไมถึงหมดสติได้ ”
“ เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ ”
“ เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้คงต้องให้หมอฐาปกรณ์มาเป็นคนอธิบายเอง อะ นั่น พูดจบก็มาเลย ” หมอสูงวัยที่มีคุณวุฒิเป็นถึงอาจารย์ที่ให้วิชาความรู้ของเขา พยักเพยิดหน้าไปทางด้านหลังจนรณภพต้องหันตามไปมอง จึงเห็นว่าฐาปกรณ์กำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาทางเขา
“ สวัสดีครับคุณอา ”
“ อืม ถ้ายังไงอยากรู้อะไรก็ถามหมอฐาปกรณ์ละกันนะ อาจารย์ต้องขอตัวก่อน ”
“ ขอบพระคุณมากครับอาจารย์ ” รณภพยกมือขึ้นไหว้ก่อนจะหันมาทางฐาปกรณ์
“ ผมขอคุยกับพี่หน่อย ”
“ อืม ปะ ไปที่ห้องทำงานของพี่ดีกว่า ” ฐาปกรณ์ยกมือตบเบา ๆ ที่หัวไหล่แล้วเดินนำหน้ารณภพไปยังห้องทำงานของตัวเองที่อยู่อีกชั้น
ฐาปกรณ์เปิดประตูห้องทำงานแล้วเดินตรงไปนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตัวเอง หันมองหน้าคนที่เป็นน้องชายของคนที่เขาแอบรัก ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอกำลังจะตั้งท้องลูกคนที่สองอยู่ก็ตาม
“ ไหน มิกมีอะไรจะถามพี่ ”
“ พี่ฐาวัดค่าปอดของวาวเป็นยังไงบ้าง ”
“ค่าปอดของวาวตอนนี้ยังคงที่ ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรงแต่ที่พี่ห่วงมากที่สุดตอนนี้คือ ภาวะแทรกซ้อนเพราะวาวมีโรคหัวใจด้วย ถ้าสภาวะปอดแย่ลงกว่าเดิมอาจจะอันตรายถึงชีวิต การผ่าตัดหัวใจในอนาคตก็จะเป็นเรื่องที่ยาก ” ฐาปกรณ์อธิบายให้ชายหนุ่มตรงหน้าฟังอย่างละเอียด สีหน้าของรณภพมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ ว่าแต่ทำไมวาวถึงหมดสติได้ ”
“ ดื้อครับ ไม่ยอมกินข้าว สงสัยคงเป็นกรดไหลย้อน ถ้ายังดื้ออย่างนี้อีกอาการคงน่าเป็นห่วงกว่านี้ ”
“ อืม พี่ก็คิดว่าอย่างนั้น ถ้ายังไงพี่ฝากมิกดูแลวาวอย่างใกล้ชิดด้วยนะ แล้วนี่เราจะมีเวลาหรอ ไหนจะต้องเรียนด้วยนี่ ปีสี่ก็ต้องเข้าวอร์ด เริ่มสังเกตเช็คอาการของคนไข้ อีกหน่อยก็คงได้เข้าเวร แล้วอย่างนี้เรื่องของวาวล่ะจะทำยังไง ”
“ เฮ้อ ผมคิดว่าผมมีเวลาจัดการเรื่องนี้ได้ ”
“ อีกเรื่องหนึ่งมิก วาวหยุดยาที่ใช้กินนะ ”
“ เพราะอะไรครับ ”
“ เขาบอกว่าอาการตอนนี้ไม่มีอะไรน่าห่วงเลยขอหยุด แต่พี่ก็ให้ยาเขาไปไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขาจะกินหรือเปล่านี่สิ ”
“ ดื้ออะไรไม่เข้าเรื่อง ” รณภพตำหนิหญิงสาวที่เอาแต่ใจในเรื่องนี้ รณภพรู้เรื่องที่ภัสสรป่วยทุกอย่างและรู้ด้วยว่าภัสสรไม่ต้องการให้บอกพี่ชายของตนเพราะกลัวว่าพี่ชายจะยิ่งเป็นห่วง เรื่องนี้เห็นทีปล่อยไว้นานคงต้องสายเกินแก้
“ ผมขอตัวไปดูวาวก่อนนะพี่ฐา ถ้าผมมีเรื่องที่อยากรู้ ผมจะโทรหาพี่อีกทีนะ ”
“ อืม ”
รณภพเดินก้าวเข้าไปยังห้องพักฟื้น ร่างบอบบางที่นอนอยู่บนเตียง เขาไม่ชอบเห็นเธอนอนอยู่แบบนี้เลย มือแกร่งเอื้อมไปลูบหัวเบา ๆ ผิดที่เขาขังเธอไว้แล้วปล่อยให้เธอห่างสายตา การเรียนหมอเป็นเรื่องที่หนัก แต่การดูแลคนที่มีโรคประจำตัวไม่ให้เกิดอะไรขึ้นยิ่งหนักกว่า ต่อไปนี้เขาจะทำยังไงดี ไหนจะต้องเรียนอีก มือแกร่งเลื่อนลงสัมผัสมือร่างบอบบางหยิบสร้อยข้อมือในกระเป๋าขึ้นมาใส่กลับเข้าไปให้เธออย่างที่เธอเคยใส่
ข้อมือที่ขยับพร้อมกับเปลือกตาที่ค่อย ๆ ลืมขึ้น เธอสัมผัสถึงมือบางคนที่สัมผัสที่ข้อมือของเธอ
“ ตื่นละหรอจะหายดื้อได้หรือยัง ”
“ ทำอะไรของนาย ”
“ ก็ใส่คืนให้ไง ถามได้ ” เขาใส่สร้อยข้อมือให้กับภัสสรหน้าตาเฉย
“ จึ้ ” ร่างบอบบางจึ้เสียงขึ้นจมูกแล้วกระตุกแขนเข้าหาตัว คล้ายกับสะบัดข้อมือตัวเองให้หลุดพ้นจากเขา รณภพยิ้มมุมปากกับท่าทางรำคาญของเธอ
“ เอาอะไรมาใส่ที่มือของฉัน ”
“ สร้อยข้อมือของเธอไง ”
“ อ่อ ที่แท้อยู่กับนายนี่เองมิน่าล่ะ ฉันถึงหาไม่เจอ” ภัสสรทำน้ำเสียงตำหนิคนที่หยิบของ ๆ เธอไป สร้อยข้อมือเธอใส่มาตั้งหลายปีเพราะมีคนเคยให้ เธอเห็นว่ามันน่ารักเลยใส่ไว้ไม่เคยถอดสักครั้ง เธอตามหาสร้อยข้อมือเส้นนี้ตั้งนานแต่หายังไงก็ไม่เจอแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าหล่นหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ ถ้ายังดื้อแบบนี้ คงได้ตายจริง ๆ สักวัน ”
“ ตายก็ดีสิจะได้ไม่ต้องทรมานอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้ ” คำตอบของหญิงสาวทำให้รณภพถอนหายใจออกมาดัง ๆ เขาส่ายหัวกับความคิดของเธอ จะผ่านไปกี่ปีผู้หญิงตรงหน้าก็ยังคงมีความคิดเป็นเด็กอยู่เสมอ
“ ตาเธอบอด แต่ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีทางรักษา ถ้าเธอยังมัวแต่คิดลบแบบนี้แล้วเมื่อไหร่ชีวิตมันจะดีขึ้น ทำไมไม่ทำตัวแบบเมื่อก่อนที่เคยเป็น เธอไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงคนอื่นที่เขาคอยห่วงเธอบ้าง ”
“ นายไม่ใช่ฉันนี่ นายไม่มีวันเข้าใจหรอก ”
“ ฟึ่บ โอ๊ย ทำบ้าอะไรของนาย ”เสียงทะเลาะของคนสองคนดังขึ้น รณภพกระชากข้อมือภัสสรให้ลุกขึ้นนั่งจนเจ้าหล่อนร้องโอดครวญ
“ หัดฟังที่คนอื่นเขาบอกบ้าง เลิกโหวกเหวกโวยวาย แล้วเรียนรู้การใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้วอย่าเก่งแค่คำพูด ”
“ นี่นาย!! ” ภัสสรข่มเสียงต่ำ ฟังคนตรงหน้าพูดแล้วมันจี้ใจดำเข้า เธอปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอเป็นแบบที่เขากำลังพูดอยู่
“ เรื่องที่ป่วยถ้าอยากปิดบังไม่อยากให้ฉันพูด ก็มาตกลงกัน ”
“ นายรู้ได้ยังไง ” เธอตกใจเมื่อรณภพรู้เรื่องอาการป่วยของเธอ
“ รู้มากกว่านี้อีก ว่าไง มาตกลงกันหน่อยไหม? ” เขายื่นข้อเสนอให้หญิงสาวตรงหน้าที่มีท่าทีอ่อนลง คนอย่างคุณหนูจอมแสบไม่มีทางให้ใครมาเป็นต่อเธอได้หรอก
“ อยากบอกก็บอกไปสิ ”
“ เธอแน่ใจนะว่าอยากให้เป็นอย่างนั้น...ก็ได้ ” รณภพหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์ของภวิช เขาเปิดสปีกเกอร์โฟนเพื่อให้หญิงสาวตรงหน้าได้ยินสายตาชำเลืองมองคนที่นั่งอยู่บนเตียงที่ตอนนี้ดูไม่สงบเอาเสียเลย
“ ตี๊ด ตี๊ด ฮัลโหล / เดี๋ยว ฉันตกลง ” เสียงในช่วงจังหวะสุดท้ายก่อนภวิชจะรับสาย ภัสสรก็พูดแทรกขึ้นมาทำให้รณภพยิ้มกว้าง
‘ ฮัลโหลมิก ว่ายังไง ’ เสียงภวิชที่เรียกชื่อปลายสายอีกครั้งเพราะไม่มีเสียงตอบกลับทำให้รณภพต้องคุยแก้เก้อเพื่อเบี่ยงประเด็นก่อนหน้านี้
“ คือผมแค่จะถามว่าพี่วิชพามินไปฝากครรภ์หรือยัง พอดีผมมีรุ่นพี่ที่เขาอยู่แผนกสูตินรีจะได้ให้เขาดูแลให้ ” คำนำหน้าเปลี่ยนจากคุณเป็นคำว่าพี่เพื่อให้ดูสนิทสนม
‘ อ่อ พี่จัดการเรียบร้อยแล้ว ’
“ ครับ แค่นี้นะครับ ” รณภพกดตัดวางสายจากภวิชเพราะได้คำตอบที่พอใจ ไม่ใช่คำตอบของปลายสายหรอกนะแต่เป็นคำตอบของหญิงสาวตรงหน้ามากกว่า
“ โอเค ถ้างั้นมาตกลงกัน ” เขาหันมามองหญิงสาวที่ทำหน้าครุ่นคิด รณภพเก็บมือถือลงกระเป๋าแล้วยืนกอดอกมองหล่อน
“ ก็พูดมาสิ ”
“ ง่ายนิดเดียว ทำตามที่ฉันบอกแล้วรับรองว่าเธอจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง ”
“ นายพูดจริงหรือเปล่า ”
“ ฉ้นไม่เคยพูดให้ความหวังใครฟรี ๆ อยู่แล้ว ”
ทีปกรได้ยินทุกคำพูดที่ชายหนุ่มตรงหน้าพูดคุยกับหญิงสาวเพียงแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวที่ปกติจะเห็นเขาแต่ตอนนี้เธอกลับไม่เห็น ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลกับใจเธออย่างนั้นหรือเปล่าพลังของเขาจึงไม่พอที่จะให้เธอเห็นได้